เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า อ่านเจอผิดเยอะเหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วนึกถึงเรื่องเป็นหลักเลยไม่ค่อยหงุดหงิดในการอ่าน ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆ มาให้ได้อ่าน
มาก่อนกำหนดครับ ตอนแรกคิดว่าจะปรับแก้เนื้อหาด้วยบางส่วน แต่คิดดูอีกที่แก้คำผิดไปก่อน เนื้อหาเดี๋ยวรอเขียนเสร็จอีกที่
และก็ขอบคุณสำหรับกำลังใจด้วยนะครับ ตอนต่อๆคำผิดน่าจะน้อยลงแล้วครับ
ตอนที่ 12
#ไม่รู้
“เป็นไง มันทำไรมึงไหม”
นัทถามทันทีที่เห็นผมเข้ามาในห้อง
“มึงไม่ต้องมาพูดเลยนะ ปล่อยกูไปกับมันแบบนั้นได้ยังไง” ผมยกนิ้วชี้หน้ามันอย่างเอาเรื่อง
“แล้วมึงช่วยพวกกูลากไอ้มีนกับเฟิร์นกลับห้องได้ไหม สภาพเหมือนหมาขนาดนั้น ได้ยินว่าอ้วกใส่รถภาคมันอีก” แต่มึงก็ไม่ควรปล่อยกูไปแบบนั้นไหม
“แล้วมึงมั่นใจยังไงถึงปล่อยกูไปกับมันได้”
“มันไม่ทำไรมึงหรอก กูมั่นใจ” มันหันหน้ามายิ้มให้อีกครั้ง ก่อนหันไปจมอยู่กับเกมสุดรักของมันต่อ
หลังจากที่ผมโว้ยวายร้องไห้เพราะอาการเจ็บก้น ตลอดทางที่ภาคมันขับรถมาส่งผมที่หอ ผมไม่กล้าจะมองหน้ามันเลยครับ หลบสายตามันทุกครั้ง อายครับ อายมากๆ ทุกครั้งที่มากินเหล้าก็ไม่เคยเมาแบบนี้สักที แต่วันนั้นเห็นเพื่อนไปเยอะเลยคิดว่าอยากปลดปล่อยสักหน่อย ถ้าเมานัทมันคงลากผมกลับหอได้ แต่ใครจะคิดละว่าแม่สองสาวจะเมาเละเหมือนผมขนาดนั้น
ยังดีที่ภาคมันยังรักษาคำพูดของมัน
ให้เกียรติคนอื่นก็เป็นหรอมึง เห็นดูถูกกูจังเลย แล้วนี่กูจะยิ้มทำไมวะแม่ง
“มึงจะหลบกูทำไม” มันเดินมาจับแขนผมไว้ ขมวดคิ้วมองหน้า ผมได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตามัน
“ไอ้สัส!!! กูก็อายเป็นเหมือนกันนะ” ผมเงยหน้าขึ้นไปด่ามัน
“ฮาๆ ๆ อายเรื่องอะไร เรื่องเมื่อคืนหรอ?” มันยกมือทั้งสองข้างประกบหน้าผมไว้ จับให้หันไปสบตากับมัน มันยิ้มและมองผมอยู่อย่างนั้น
‘ดิ้นสิ ดิ้นสิวะไอ้ม่อน มึงจะมายืนจ้องตากับมันทำไม’ ผมพูดกับตัวเอง ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ตัวเองถึงยืนจ้องหน้ากับมัน แต่ไม่ยอมสะบัดหนีเหมือนอย่างที่เคย
ไม่รู้เพราะด้วยสายตาที่มันมองผม สายตาที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก มันอ่อนโยน จนทำให้อยากมองอยู่อย่างนั้น
“หลงเสน่ห์กูแล้วละสิ จ้องตาไม่กะพริบแบบนั้น” ผมได้สติสะบัดหน้าออกจากมือของมัน เดินก้มหน้าหนีมันออกมา
หลงเสน่ห์กับผีนะสิ มึงมันน่าหลงตรงไหนวะ แค่หล่อ สูง ขาว บ้านรวย ยิ้มละลายใจแบบนั้นอีก เออ...ก็คงน่าหลงแบบที่มันบอกแหละครับ แต่มันก็ใช้ได้แค่กับคนอื่นเท่านั้น ไม่ใช่กับผม
‘หรอกมั้ง?’
“มึงยังไม่สร่างเมาอีกหรอวะม่อน หูถึงแดงขนาดนั้น” มีนทักผมที่กำลังนั่งลงที่ว่างของโต๊ะ
มึงอย่าทำมาเป็นพูดดีมีน ได้ข่าวว่าเมื่อคืนสภาพมึงก็ไม่ต่างจากกูสักเท่าไร
แล้วหูแดงอะไร ผมว่าผมสร่างเมาแล้วนะ แล้วเมื่อเช้าหูผมมันก็ยังปกติดี เฮ้อ...เพราะอากาศร้อนแน่ๆ
“เมื่อคืนภาคมันทำอะไรม่อนไหม” ช้อปที่นั่งอยู่ข้าง สีหน้าที่ดูจริงจังถามขึ้น
“เออ...ไม่มี มันไม่ได้ทำไรเราหรอก อย่าคิดมาก” ผมพูดไป หันไปสบตากับนัทที่กลั้นหัวเราะแทบจะไม่ได้อยู่
ไม่อยากให้มันพูดเรื่องน่าอายแบบนั้นไป เดี๋ยวโดนพวกแม่งล้ออีก ตอนเช้าก็โดนนัทมันล้อมาตลอดทาง
“หนีมาไม่คอยกูเลยนะ” มันตามมาแล้วครับ พร้อมกับสายตาช้อปที่หันไปมองเขม็นมัน
“กูรู้แล้วว่ามันไม่ได้เมาเหล้าหรอก มันเมา....” นัทหันมองหน้าผมสลับกับภาคแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เมาอะไรของมึงพูดให้จบสิวะ” ผมถามมันออกไปเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าผมเมาอะไร เมาแดดหรอ? สงสัยจะเป็นอย่างนั้นแหละครับ
“อ๋อ….” ทั้งไอ้อาร์ม มีน เฟิร์น ร้องอ๋อออกมาพร้อมกันเหมือนเข้าใจที่นัทพูด มีแต่ผมเท่านั้นที่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันหมายความว่ายังไง
แล้วทำไมช้อปถึงมองไอ้ภาคมันแบบนั้นล่ะ ผมหันไปคุยกับช้อปหวังว่าจะดึงความสนใจออกออกจากไอ้ภาค เพราะดูเหมือนช้อปพร้อมที่จะพุ่งไปซัดมันได้ทุกเมื่อ แต่ไอ้เจ้าตัวมันเหมือนจะไม่สนใจช้อปสักเท่าไร แถมยิ้มหน้าบานแบบนั้นอีก
เออเอาเข้าไปครับ นี้เป็นอะไรกันหมด ทำไมเหมือนผมไม่เข้าใจอยู่คนเดียว
“น้องชื่อไรครับ” เสียงลูกค้าผู้ชายคนหนึ่งในโต๊ะที่ผมเดินมาเสิร์ฟน้ำปั่นและเค้กทักขึ้น
“คะ...ครับ”
“พี่ถามว่าน้องชื่อไร” เขาย้ำคำถามอีกครั้งหนึ่ง
“ชื่อม่อนครับ ต้องการอะไรเพิ่มเรียกได้เลยนะครับ” ผมพูดตัดบทก่อนที่อีกคนจะพูดอะไรต่อ เดินตรงมาที่เค้าเตอร์ ที่มีขาประจำของร้านนั่งอยู่ ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ ภาคไงจะใครละ
เป็นอีกวันหรือจะเรียกว่าทุกวันที่มันมานั่งเฝ้าผมทำงานแบบนี้ จนมันกลายเป็นลูกค้าประจำ แถมยังสนิทกับพี่แมนผู้จัดการร้านเป็นอย่างดี ก็วันดีคืนดีพี่แมนแกก็จะขอให้ไอ้ภาคมาช่วยเรียกลูกค้าให้ มันก็ไม่ปฏิเสธนะครับ มันบอกว่าดีกว่าอยู่เฉยๆ แถมได้ช่วยผมทำงานด้วย และที่สำคัญผมได้เงินค่าแรงเพิ่ม เพราะมันไม่ยอมรับค่าแรงจากพี่แมน พี่แมนแกเลยรวบยอดเพิ่มค่าแรงให้กับผมแทน
“มีอะไรรึเปล่า” มันขมวดคิ้วถามผม
“เปล่าไม่มีอะไร” ก็จะให้ผมบอกว่ามีอะไรได้ยังไง ก็แค่ลูกค้าถามชื่อเท่านั้น เพราะปกติลูกค้าหลายคนก็มักจะถามอยู่เสมอ
“ม่อนโต๊ะสิบ” ผมเดินถือเค้กอีกจานเดินมาเสิร์ฟที่โต๊ะเดิน ด้วยพี่แมนบอกเหตุผลว่าโต๊ะนั้นรีเควสพนักงานเสิร์ฟว่าต้องเป็นผม
“เมื่อกี้พี่ยังพูดไม่จบรีบกลับไปไหน” ลูกค้านักศึกษาคนเดิม ถามขณะที่ผมกำลังก้มลงไปวางจานเค้กลงที่โต๊ะ
“เออ...พอดีลูกค้าเยอะ ผมต้องไปดูแลลูกค้าครับ” ผมตอบแบบปัดๆ ไป เตรียมหันหลังเดินกลับไปที่เค้าเตอร์
‘หมับ’ เขาคว้าเขาที่แขนผม พยายามรั้งผมไม่ให้เดินกลับ
“พี่มีอีกคำถามเดียว น้องมีแฟน...โอ๊ย!!!” ยังไม่ที่เข้าจะพูดจบ ข้อมือของเขาก็ถูกมือของไอ้ภาคจับไว้ ผมว่ามันไม่ใช่การจับแบบธรรมดาแน่ เพราะดูสีหน้าที่แสดงออกว่าเจ็บ กับมือของไอ้ภาคที่ตอนนี้ปูดเต็มไปด้วยเส้นเลือด
ผมลากภาคออกมาทันที ลากมันให้มานั่งที่นั่งข้างๆเค้าเตอร์ของมัน
“มึงทำอะไรของมึง” ผมถามมันที่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากำลังโกรธจัด
“มึงไม่เห็นหรอว่ามันกำลังทำอะไร” มันขึ้นเสียงตะคอกใส่หน้าผม
“เขาทำอะไร เขาแค่คุยกับกูเฉยๆ” ผมตอบไปตามตรงก็แค่ลูกค้าชวนคุยเท่านั้น
ถึงแม้ว่าผมจะไม่ชอบท่าทีของเขาสักเท่าไร แต่มันก็ดูไม่เสียหายอะไรนี่ครับ เพราะหน้าที่ของผมคือดูแลลูกค้า
“มึงไม่คิดว่ากูเป็นห่วงมึงบ้างหรอ” เสียงมันเบาลงจ้องหน้าผม
ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะตอบมันว่าอะไร รู้เพียงว่าต้องรีบกลับไปขอโทษลูกค้าคนนั้นก่อน เพราะถ้าปล่อยให้ลูกค้าไม่พอใจแบบนี้ผมโดนไล่ออกแน่ๆ
ผมหันหน้าเตรียมเดินกลับไปที่โต๊ะเพื่อขอโทษลูกค้า
“เมื่อกี้พี่ขอโทษนะ” ผมยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าออกจากเค้าเตอร์ ลูกค้าคนเมื่อกี้ก็เดินเข้ามามาบอกขอโทษผม
“เออ...ผมต่างหากที่ต้องขอโทษแทน....”
“พี่เข้าใจ พี่ก็เคยเป็น ถ้าใครมาจับมือแฟนพี่ พี่ก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน” แทนที่เขาจะหันหน้ามาคุยกับ เขากลับหันหน้าไปหาไอ้ภาค พร้อมยกมือตบที่ไหล่มันเบาๆ ด้วย
เดี๋ยวเมื่อกี้เขาหมายความว่าไง ใครเป็นแฟนกับใคร แล้วเข้าหมายความว่ายังไงที่บอกว่าเป็นใครๆก็ทำ
ผมปล่อยประเด็นหลังไปก่อน ขอแก้ตัวเรื่องเป็นแฟนกับภาคมันก่อน
“ผมไม่ได้เป็น....” ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยคำแก้ตัวเขาก็เดินหันหลังกลับไปนั่งที่เดิม
เฮ้อ...เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ผมจะทำไงละที่นี่
ผมหันหน้ากลับมาเพื่อจะเคลียกับอีกคน แต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร ภาคมันก็เปิดประตูเดินออกจากร้านไป
ผมได้แต่มองตามหลังของมันไป ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ครับ เพราะไม่รู้ว่ามันเดินหนีผมเพราะอะไร ถ้าเพราะเรื่องเมื่อกี้ผมก็ไม่ได้ผิดอะไรนิครับ แล้วทำไมมันถึงต้องโกรธผมด้วย
ผมมองตามมันจนสายตาสบกับลูกค้าคนนั้นอีกครั้ง เขาพยักหน้าเหมือนว่าให้ผมเดินตามมันออกไป ผมหันไปขออนุญาตพี่แมนที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังร้าน พี่แกดูงงๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงพยักหน้าให้เท่านั้น
ผมเดินตามมันออกมา ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าตามมันออกมาด้วยเหตุผลอะไร แต่ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว ของเคลียให้มันเข้าสักหน่อยครับว่ามันเป็นอะไร
ผมวิ่งไปดึงแขนมันไว้เพราะดูเหมือนว่ามันกำลังขึ้นรถเตรียมขับออกไป ผมจับแขนมันไว้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ผมไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆครับ ก็อย่างที่บอกว่าผมก็ไม่ได้ผิดทำอะไรสักหน่อย
มันยืนนิ่งไม่หันมามองผมเช่นกัน
“มึงไม่มีอะไรจะพูดแล้วตามกูมาทำไม” มันถามหลังจากที่เรายืนนิ่งกันอยู่อย่างนั้นสักพัก
“จะให้กูพูดอะไร ก็กูไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ตลอดที่ผ่านมามึงคงไม่รู้สึกอะไรกับกู ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่กูทำให้มึง” ผมรู้ว่าที่มันทำกับผม ทั้งคอยมานั่งเฝ้า คอยไปรับไปส่งผมทุกวันว่ามันต้องการอะไรจากผม แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยว อะไรกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“มึงคงเกลียดกูจริงๆสินะ ต่อไปมึงก็ไม่ต้องทนเห็นหน้ากูอีกแล้วนะ” มันดึงมือผมออก เปิดประตูรถขับออกไปทันที
ผมยังยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทำไม ทำไมถึงรู้สึกว่าตอนนี้ใจมันหวิวๆ เหมือนว่าหัวใจมันลีบเล็กลงจนเหมือนว่ามันไม่สามารถสูบฉีดเลือดให้ไปเลี้ยงร่างกายให้เพียงพอได้ เหมือนว่ามีก้อนหินหนักๆ กำลังทับอยู่ตรงหน้าอก ผมเป็นอะไรกันแน่
ผมเดินกลับเข้ามาในร้าน นั่งซบลงที่เค้าเตอร์ ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมเป็นอะไร รู้สึกแค่ว่าไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น รู้แค่ว่าอยากนั่งอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ เท่านั้น
‘หมับ’
เหมือนมีมือใครสักคนแตะลงที่ไหล่ผม คิดว่าน่าจะเป็นพี่แมนเรียกให้เอาอาหารไปเสิร์ฟลูกค้าแน่ๆ ใช่สิตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมานั่งอยู่ตรงนี้ หน้าที่ของผมตอนนี้คือดูแลลูกค้า
ผมลูกขึ้นหันหลังเตรียมจะเดินไปรับออเดอร์ไปเสิร์ฟลูกค้า
‘ไม่ใช่พี่แมนหนิ’
ไม่ใช่พี่แมนครับ คนที่แตะไหล่ผมเมื่อกี้ไม่ใช่พี่แมน แต่เป็นลูกค้าคนเมื่อกี้ที่ยืนยิ้มให้กับผม
“พี่ขอโทษนะ เมื่อกี้ทะเลาะกันเพราะพี่รึเปล่า”
“ปะ...เปล่าครับ”
“เปล่าแล้วทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น”
“คือผมไม่เข้าใจว่ามันเป็นอะไร เออ...เพื่อนผมคนเมื่อกี้นะครับ” ผมถามออกไปเพราะดูว่าเขาเข้ามาไม่เหมือนกับก่อนหน้า
“อ่าวไม่ได้เป็นแฟนกันหรอ พี่ก็นึกว่าเป็นแฟนกัน เห็นหวงซะขนาดนั้น”
“ไม่ใช่ครับไม่ใช่ เป็นเพื่อนกัน”
“เป็นเพื่อนกันแล้วทำไมถึงทำหน้าเป็นคนอกหักแบบนี้หละ”
“ไม่ใช่สักหน่อยครับ เพียงแต่ว่า....” ผมมองหน้าเขาสักพัก ก่อนเขาจะพยักหน้าบอกให้ผมพูด
“คือผมไม่เข้าใจว่ามันโกรธอะไรผม อยู่ดีๆ ก็เดินหนีออกไป แถมบอกว่าจะไม่มาให้ผมเห็นหน้าอีก”
“แล้วเราคิดยังไงกับเขา”
“ก็ไม่ได้คิดอะไรหนิครับ”
“จริงหรอ? ถ้าไม่คิดอะไรคงไม่มานั่งทำเหมือนคนอกหักแบบนี้หรอก รู้ไหมว่าที่เขาทำเพราะเขาเป็นห่วงเรา เวลาเราชอบใครเป็นอะไรสักหน่อยเราก็เป็นห่วง ยิ่งเวลาเห็นคนอื่นมายุ่งกับคนของเราอีก ถ้าน้องไม่ดึงเขาออกไปเขาคงต่อยพี่น่วมไปแล้ว”
ผมนั่งคิดตามคำพูดของเขาไป
ที่มันทำเพราะห่วงผม แต่ทำไมมันต้องห่วงผมขนาดนั้น ผมก็ผู้ชายเหมือนกันนะ แต่วันนั้นวันที่ผมโดนไอ้พวกสารเลวนั้นลากไป ผมก็ผู้ชายนิ แต่ก็ยังเกือบโดนทำแบบนั้น
“มันเป็นห่วงผมขนาดนั้นเลยหรอ”
“พี่ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรกับเรา ถึงทำให้เขาต้องเป็นห่วงขนาดนี้ แต่ตอนนี้พี่เป็นห่วงเขามากกว่า เขาแสดงออกให้เห็นขนาดนั้น แต่ก็ยังมีคนซื่อบื้อไม่รับรู้อะไร มานั่งเหมือนคนไม่มีวิญญาณแบบนี้”
“ผมหรอ?” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“เฮ้อ...เป็นพี่ๆ ก็ท้อ ท้อกับคนไม่รู้ใจตัวเองสักที” เขาไม่พูดอะไรต่อยกมือขึ้นยีหัวผม ยิ้มให้ก่อนเดินออกไป ก่อนออกจากร้านยังไม่วายหันมาตะโกนบอกผมอีกว่าให้รู้ใจตัวเองสักที
‘รู้ใจตัวเอง’
ผมล้มลงนอนมือข้างหนึ่งยกขึ้นมาก่ายหน้าผาก นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ พลางนึกถึงเรื่องที่พี่คนนั้นพูด
‘ต่อไปมึงก็ไม่ต้องทนเห็นหน้ากูอีกแล้วนะ’
ทำไมผมถึงรู้สึกใจหายกับประโยคนี้ของมันด้วย