ระหว่างภัคกับนักโทษมีเพียงเส้นกั้นบาง ๆ คั่นกลางและบางครั้งมันก็ทำให้นายตำรวจสับสน เปรียบคนรักดั่งผู้ต้องขังและไม่ว่าจะสักกี่รายต่อกี่ราย คิมหันต์ก็ไม่เคยปล่อยใครให้ลอยนวลและไม่มีใครเลยที่จะเคยสร้างเรื่องปวดหัวไว้ให้ แต่ร่างบางทำได้ ทำทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันคือการพรากพ่อพรากลูกและกระตุกหนวดเสือ ทั้งที่ทำเพื่อส่วนรวมมาโดยตลอด ผ่อนปนให้หลายอย่างเพราะเห็นว่าเป็นคนรัก อีกคนก็ยังจะกล้าหอบผ้าหอบผ่อนหนี
ที่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้นเพราะเมื่อบ่ายกลับมาบ้านแล้วเจอเพียงความว่างเปล่า ต้องมารับน้าชายเพื่อไปรับหลานสาวที่โรงเรียนด้วยกัน แต่กลายเป็นว่าบ้านเงียบอย่างกับป่าช้า พอตะโกนหาก็ไม่มีคนขานรับ เดินดูตามส่วนต่าง ๆ มองหาร่างบางตามห้องหับกลับไม่เห็นหน้า จากรักษาระยะก้าวเป็นสืบเท้าถี่เพราะลางสังหรณ์บอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลงคิดไปว่าแม้จะนัดหมายกันไว้ดิบดีแต่บางทีภัคอาจเปลี่ยนใจล่วงหน้าไปรับหนูดาก่อนก็ได้ แต่พอลองต่อสายโทรศัพท์หากลับมีผู้หญิงพูดแทนว่าไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ขณะนี้ ทำคดีมานักต่อนักใจมันก็ตั้งสมมติฐานไปเอง
คิมหันต์โทรหาครูประจำชั้นเด็กหญิงเพื่อที่จะถามว่ามีใครไปรับที่โรงเรียนแล้วหรือยัง ครูบอกหมดเปลือกว่าน้าชายมารับไปต่างจังหวัด ได้ยินเท่านั้นก็ด่วนตัดสายหายใจแรงรดมือถือ ก่อนจะวิ่งด้วยความร้อนใจขึ้นมาบนชั้นสอง ผลักบานประตูห้องเข้าไปแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ที่ใส่เสื้อผ้าร่วมกันแต่แบ่งสัดส่วนชัดเจนและเห็นว่าเสื้อผ้าในส่วนของภัคกับหนูดาหายไป อาจจะไม่ทั้งหมดแต่พอค้นด้านล่างตู้แล้วก็ไม่เจอกระเป๋าเดินทาง ถ้าไม่โง่พอก็คงรู้ว่านี่ไม่ใช่การลักพาตัว แต่คือการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เพราะความชะล่าใจสุดท้ายต้องมายืนกำหมัดกัดฟันกรอด แน่นอนว่าโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
ก่อนข้าวของที่อยู่บนโต๊ะใกล้เคียงจะถูกกวาดลงพื้นรวดเดียว แจกันตกแตกเพราะความเกรี้ยวกาด ขาดการยับยั้งชั่งใจจนมือไม้มันไปเองอัตโนมัติ ปากรอบรูปรวมเข้าที่ผนังอย่างแรงจนกระจกแตกเป็นเสี่ยงแล้วความคมก็เหวี่ยงกลับมาถากหน้าแก้ม แต่ความเจ็บแสบแค่นั้นไม่อาจหยุดยั้ง ทุกอย่างมันขวางหูขวางตาไปหมด คิมหันต์ระบายความโกรธเคืองด้วยการทำลายทรัพย์สิน ไม่รู้กี่ชิ้นต่อกี่ชิ้นที่ต้องสังเวยชีวิตต่อความป่าเถื่อน ก่อนความเคลื่อนไหวจะชะลอตัวลงคงเพราะเริ่มเหนื่อยหลังจากสูญเสียพลังงานไป หลังจากพังมันเกือบทั้งห้องก็ถอยหลังลงนั่งมองเศษซากจากปลายเตียง
“ไม่มีใครหนีไปจากฉันได้…”
อุตส่าห์ทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าร่างบางจะไม่สามารถหนีไปไหนได้อย่างที่ใครหลาย ๆ คนทำกับตัวเอง ทั้งที่ไม่ใช่เด็กที่ทำได้เพียงยืนมองพ่อแม่หย่าร้างแล้วแยกทางกันอีกต่อไป คิมหันต์เกลียดการถูกทิ้งไว้ข้างหลังจะจากคนในครอบครัวหรือใครก็ตาม แค่คิดว่าอีกสองคนกำลังมีความสุขอยู่ที่ไหนสักแห่งนัยน์ตาก็แดงก่ำ ความแค้นผนวกกับความน้อยใจ แต่อย่าหวังว่าจะได้เห็นน้ำตาลูกผู้ชาย ที่พ่อส่งเรียนนายตำรวจก็เพราะไม่อยากให้อ่อนแอ
‘ในระหว่างที่แกมัวแต่ร้องไห้ คนอื่นเขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว’แม้เวลาจะยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงดี แต่ก็สามารถใช้อำนาจในหน้าที่เพื่อสั่งการกับลูกน้อง หลังรอสัญญาณไม่นานเท่าไหร่ก็กรอกเสียงเย็นชาไปตามสาย “…ตามหาคนให้ฉันหน่อย”
ตอนแรกรักคือการครอบครอง
ต่อมารักคือการครอบงำ
ได้รับอิทธิพลมาจากคำพ่อสอน
คิมหันต์ล้มตัวลงนอนเพียงเพื่อจะพักสายตา แต่ความเหนื่อยล้าจากหน้าที่การงานทำให้เข้าสู่สภาวะหลับลึกจนนึกว่าตาย ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน หลายชั่วโมงหรือแค่สิบนาทีกว่า เปลือกตาจึงคอยมีการเคลื่อนไหว แต่ยังไม่ทันลืมตา ประสาทการรับรู้ก็เริ่มทำงาน เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะแว่ว ๆ จากที่ไกลแสนไกลก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เหมือนจงใจหัวเราะเหนือกกหู เป่าลมฟู่วแผ่วเบาแล้วเหมือนควันเทาที่สลายไป นายตำรวจลืมตาขึ้นมาในสายของอีกวัน เห็นแสงผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้าผ้าม่านปลิวละล่อง ก่อนจะได้ยินเสียงบางอย่างจากนอกห้องนอน หรือเสียงหัวเราะนั้นจะตามมาหลอกหลอนแม้ในยามตื่น ค่อยลุกขึ้นนั่งแล้วเปิดประตูออกมาจากห้อง ยืนมองจากด้านบนมายังด้านล่างอย่างไม่เชื่อสายตา
ภัคและหนูดาเดินเข้ามาในบ้านหลังผลัดกันหยอกล้อจนเกิดเสียงหัวเราะ แล้วพอเงยหน้าขึ้นมองด้านบนทั้งสองคนก็ยกมือโบกทักทายนายตำรวจที่ยืนนิ่งก่อนจะออกวิ่งเต็มกำลังจากบันไดขั้นบนสุดแล้วก็หยุดชะงักที่ขั้นล่างเมื่อตระหนักได้ว่าไม่ควรแสดงออกถึงความยินดีเกินหน้าเกินตา แม้ดีใจที่ทั้งคู่กลับมาแต่ว่าความผิดที่ทั้งคู่หายไปก็ยังมีอยู่ ยิ้มรับเมื่อหนูดาตะโกนเรียกพ่อคะแล้วถลาวิ่งเข้ามากอดขา แล้วเปลี่ยนท่าทีเป็นขึงขังยามมองตาขวางใส่ภัค
หนูดาดึงความสนใจด้วยการบอกว่าหนูมีของมาฝาก โมบายหอยจากทะเล “ไปเที่ยวกันมาสนุกไหมคะ” ถามหนูดาแต่ตามองภัค คิมหันต์แค่ความอยากรู้ว่าเวลาไม่มีผู้คุมอยู่ด้วยแล้วจะสนุกสนานสักแค่ไหน
“สนุกค่ะ หนูอยากให้คุณพ่อไปด้วย”
“งั้นทีหลังก็บอกพ่อด้วยสิคะ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นแล้วกั้นเด็กหญิงไว้เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง ให้หนูดาออกจากวิถีของผู้ใหญ่ด้วยการบอกว่าไปรอที่ห้องนั่งก่อนนะคะ แต่ไม่ได้บอกเหตุผลว่าเพราะผู้ใหญ่จะทะเลาะกัน
เมื่อพ้นรัศมีการมองเห็นของเด็กน้อย คิมหันต์ก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เพราะทุกวินาทีคือการพิพากษา กระชากต้นแขนภัคเข้ามาใกล้ตัว เงาดำพาดหัวร่างบางเป็นลางร้ายว่าจะตายในอีกไม่ช้า “โง่มากนะที่กลับมา” คิดว่าร่างบางจะฉลาดกว่านี้แต่ที่ไหนได้ โดยลืมไปว่าถ้าภัคฉลาดจริงก็คงไม่มองกรวดเป็นเพชร เห็นผิดว่าตำรวจเป็นคนดีหรอก
ระหว่างพยายามบิดแขนออกจากการเกาะกุม ทั้งที่ควรเอาน้ำเย็นเข้าลูบไฟภัคกลับเงยใบหน้ามองอย่างถือดี “ผมก็ไม่ได้จะหนีไปไหนสักหน่อย”
“แล้วจะอธิบายเรื่องที่เสื้อผ้ากับกระเป๋าเดินทางหายไปได้ยังไง” เรื่องเดียวที่คาใจและอยากได้คำตอบชัด ๆ
แต่นั่นกลับทำให้ถูกยิ้มเยาะ จนเผลอชักสีหน้าไม่พอใจและเมื่อได้ฟังคำเฉลยยิ่งไปกันใหญ่ “ผมซักแล้วตากไว้หลังบ้านต่างหาก” ภัคลอยหน้าลอยตาตอบและรู้ดีว่าคิมหันต์กำลังไม่ชอบใจเอามาก ๆ เพราะมันไม่ต่างจากการถูกดัดหลัง สร้างหลักฐานเท็จเพื่อหลอกให้เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น มันคือการลูบคมนายตำรวจผู้คิดว่าตัวเองเก่งกาจเหนือใคร บางครั้งเราก็ต้องร้ายเพื่อไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่ถ้าเทียบกันแล้วร่างบางยังร้ายไม่ได้เท่าคนตรงหน้าด้วยซ้ำและลูกไก่ในกำมือตัวนี้จะจิกถ้าหากอีกคนกำมือแน่นไปหรือเมื่อไหร่ก็ตายที่เริ่มหายใจไม่ออก
“อยากลองดีกับฉันใช่ไหม” มันไม่ใช่แค่ถูกด่าว่าเป็นตำรวจซะเปล่าแต่กลับสับเพร่าไม่ตรวจแวดล้อมให้ดี แต่ที่สุดแล้วกลับอารมณ์เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ ถูกอีกคนล้อเล่นกับความรู้สึกจนกลายเป็นไอ้หน้าโง่ ทำตัวโอเว่อร์เกินเหตุ จากบีบต้นแขนขาวจนเป็นรอย ปล่อยให้เลือดเดินแล้วบีบซ้ำและด้วยความไวกว่ากระชากผมด้านหลังจนภัคหน้าหงายแล้วบังคับให้เดินตาม ท่ามกลางการยื้อพยายามแกะมือใหญ่ร่างบางต้องกลั้นเสียงร้องไว้เพราะไม่อยากให้หนูดารับรู้
เป็นการต่อสู้ภายใต้ความเงียบงัน หยาดน้ำตาแทบหยดเมื่อเจ็บไปทั้งโคนผม ตบแก้มกร้านไปทีเพื่อให้ปล่อย เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เด็กน้อยโผล่หน้าออกมาจากห้องนั่งเล่น ยิ้มด้วยความทะเล้นเมื่อภาพที่เห็นเป็นตอนคิมหันต์ปลดมือลงได้ทันแล้วโอบรัดเอวภัคไว้อย่างแนบแน่นและหนูดาไม่มีทางเห็นเลยว่าคุณพ่อกำลังถูกน้าชายจิกแขนจนได้เลือด แม้จะเป็นผู้ใหญ่ยอดแย่แต่อย่างน้อยก็ยังมีความรับผิดชอบต่ออนาคตของเด็ก กลัวตัวเองจะสร้างภาพจำอันโหดร้าย
“เล่นกับหนูได้ไหมคะ” ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องต้องสะสางกับร่างบางคิมหันต์ก็คงจะตกปากรับคำลูกสาวโดยทันที แต่แทนที่จะปฏิเสธไปเลยอย่างไร้เยื่อใย นายตำรวจจึงออกกลอุบาย “งั้นเล่นซ่อนหากันดีไหมคะ หนูดาเป็นฝ่ายหาแล้วพ่อกับน้าภัคจะไปซ่อน” ภัคไม่รู้เลยว่าอีกคนจะมาไม้ไหนแต่ก็เออออไปตามกัน เมื่อแบ่งหน้าที่ชัดเจนว่าหนูดาจะเป็นคนนับ คนเป็นพ่อไม่ลืมกำชับกติกา “นับหนึ่งถึงร้อยนะคะ”
“นับหนึ่งถึงร้อยเลยเหรอคะ” หนูดาลังเลเพราะว่ายังนับเลขได้ผิด ๆ ถูก ๆ ทุกวันนี้ที่โรงเรียนก็สอนแต่ยังอ่อนหัดไปสักหน่อยสำหรับเด็กเข้าโรงเรียนช้า
“ให้เวลาพ่อกับน้าภัคได้ซ่อนบ้างสิ” สีหน้าอ้อนวอนทำให้เด็กหญิงโอนอ่อนผ่อนตาม พยักหน้ารับอย่างแข่งขันแล้วหลับตาลงพลางส่งเสียงนับเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้น “หนึ่ง…” ไม่ต้องรอให้ถึงสอง คิมหันต์ก็ออกแรงกระชากภัคขึ้นชั้นบนท่ามกลางการต่อต้าน ขนาดร่างบางล้มไปกับบันไดมือใหญ่ก็ยังออกแรงลากกระชากแขนแทบหลุด ภัคถูลู่ถูกังไปกับพื้น พยายามยืดหยัดแต่ก็ถูกสะบัดเข้าไปในห้องก่อนจะชนกับข้าวของที่เกลื่อนกลาดจนล้มลงระเนระนาดไปด้วยกัน
เสียงดังจากชั้นบนทำหนูดาสะดุ้ง นัยน์ตาสุกสกาวเต็มไปด้วยความสงสัย ลังใจว่าจะนับเลขต่อดีหรือเปล่า แต่เมื่อเสียงนั้นเบาลงก็เข้าใจว่าคงเป็นเสียงโครมรามจากการพยายามแอบซ่อน ก่อนจะเริ่มนับต่อ “สิบสาม”
ความรักช่างเลวร้าย มันทำให้คนกลายเป็นบ้า ขณะที่ภัคกำลังนั่งมึนงงเพราะหัวดันไปโขกกับขอบเตียงไม้ คิมหันต์ก็เดินมาคร่อมหน้าตักไว้แล้วตบแก้มใสไปทีเผื่อจะช่วยเรียกสติให้เข้าร่องเข้ารอย ก่อนร่างบางจะเอาคืนด้วยการต่อยเข้าที่ต้นขา ระดมทุบด้วยกำปั้นแล้วผลักยักษ์ปักหลักไปด้านหลังหวังให้ล้มดูบ้าง ภัคหยัดกายจากพื้นปีนขึ้นเตียงแล้วเตรียมจะคลานหนีไปอีกฝั่ง แต่กลายเป็นว่าถูกคว้าเข้าที่ข้อเท้าอย่างจัง นอกจากสะบัดก็ยังถีบเข้าที่ยอดหน้านายตำรวจอย่างแรงจนแยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง แต่โชคร้ายว่าคิมหันต์ตั้งหลักได้ก่อนเลยลากภัคที่ล้มลงบนที่นอนเข้าหาตัว
เสียงหัวเข็มขัดกระทบกันเหมือนเสียงโมบายหอย แค่ต่อยเข้าที่ท้องน้อยเบา ๆ ก็ทำเอาปวดร้าวจนนอนน้ำตาคลอ ร่างที่งออยู่ของภัคค่อยถูกมือใหญ่คลายออกพร้อมกับกางเกงที่ลงไปกองกับพื้น มีเพียงกางเกงชั้นในที่ถูกหยิบขึ้นมาก่อนจะยัดเข้าปากร่างบาง เผื่อว่าอยากกรีดร้องเสียงจะได้ไม่ก้องมากและกว่าจะทันตั้งตัวส่วนหัวของแก่นกายก็ดันเข้ามาในร่างอย่างจัง กระแทกผนังอ่อนเหมือนจะสั่งสอนให้ราบจำ กำราบความดื้อรั้นด้วยการยัดเหยียดความเป็นผัว ขยับจนตัวคลอน เคลื่อนสะโพกสอบด้วยความดุดันทำเอาร่างบางนอนมองเพดานตาลอย มือที่จิกท่อนแขนใหญ่ปล่อยตกข้างกายเปลี่ยนเป็นกำผ้าปูไว้จนยับยู่ยี่ พยายามจะไม่มีอารมณ์ร่วมแต่พอหลวมตัวให้แป๊บเดียวความเสียวซ่านก็เล่นงาน
ปฏิเสธว่าอย่าขณะถูกจับพลิกคว่ำ ระหว่างที่นายตำรวจพยายามรำลึกความหวานผ่านการเสือกกายเข้าออก ร่างบางก็ลอบมองบานประตูอยู่ตลอด เพราะตอนนี้ประตูยังเปิดอ้าซ่าจนได้ยินเสียงนับเลขลอยมาจากด้านล่าง ทั้งที่ต่างรู้ดีว่าของที่แตกหักแล้วต่อให้ประกอบใหม่ก็ยังคงเหลือรอยร้าว แต่เหนือซากปรักหักพังภัคก็ยังปล่อยให้คิมหันต์เอาจนเกือบถึงฝั่งฝัน เผลอดันบั้นเอวหนาให้ยิ่งเขยิบมาประชิดบั้นท้ายตอนได้ยินเสียงหนูดา ตัวเองร้องอืออ้าเพราะกางเกงในคาปาก
ร่วมรักเพื่อให้ผ่านไปอีกวัน รอดตายอย่างปาฏิหาริย์เพราะรูทวารยังใช้การได้อยู่และต่อไปนี้คงมองกันเองเป็นเพียงวัตถุทางเพศ วันไหนอยากเสร็จก็เข้าหา วันไหนคันมาก็อ้าขาให้ ใช้ระบบพึ่งพาอาศัย ช่างหัวความรักมันไปซะ
‘ห้าสิบหก’เด็กหญิงหลงจนวกกลับมานับเลขเดิมอีกครั้ง ได้แต่หวังว่ามันจะถึงร้อย ค่อยนับอย่างใจเย็น
‘ห้าสิบเจ็ด… ห้าสิบแปด… ห้าสิบเก้า…หกสิบ…หกสิบเอ็ด… หกสิบสอง… หกสิบสาม…’กว่าเด็กจะนับถึงร้อย ความรู้สึกของผู้ใหญ่ก็ทยอยลดลงเหลือศูนย์
-------------------------------------
ชอบไหมมมมม ถ้าชอบคอมเม้นหรือติดแท็ก #ลั่น_ดาล ให้ชื่นใจหน่อย อิอิ
เดี๋ยวมีอีกน้า ทยอยๆแต่งอยู่ ส่วนเรื่องพ่อกับพี่คิมเดี๋ยวมีพาร์ทขยายเป็นตอนวัยเด็ก เนี่ย คิดว่าจะแต่งหนูดาตอนโตด้วยแต่กลัวตัวเองไม่ไหว เอาไว้ถ้าไม่ได้แต่งจริงๆจะเล่าตอนโตหนูให้ฟังในแท็กนะคะ
ติดตามข่าวสาร