5
“นี่...บอสเรียก”
คณิตเงยหน้าจากแปลนบ้านในมือขึ้นมา มองหน้าคนที่เอาสิ่งที่ตนไม่ต้องการมากที่สุดในโลกมาให้ถึงโต๊ะทำงานเป็นรอบที่ห้า...
มันเป็นรอบที่ห้าภายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียว ที่นิรดาเดินมาตามเขาให้เข้าไปพบเจ้าของบริษัท นายจ้างของเขาที่เขาพยายามหลบหน้ามาถึงสองวัน
“ไปบอกบอสได้ไหมว่าฉันยุ่งมาก” นี่คือคำตอบที่เขาให้นิรดาเป็นครั้งที่ห้า คำตอบเดิมเหมือนทั้งสี่ครั้งที่ผ่านมา
“หึ...ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายกับบอสมีเรื่องอะไรกัน แต่ช่วยแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกได้ไหมยะ เพราะฉันไม่อยากถูกบอสอารมณ์เสียใส่เพราะเรื่องของนาย มันสมควรไหมที่ฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ... แล้วนายรู้ไหมทุกครั้งที่ฉันเอาคำตอบของนายไปให้บอส ฉันเจออะไรบ้าง...” หญิงสาวร่ายยาวใส่อารมณ์พอสมควร เพราะเป็นคู่แค้นกันมาก่อนจากเรื่องของภาคีด้วยแหละ
สิ่งที่นิรดาเจอคืออารมณ์ที่หงุดหงิดมากขึ้นทุกครั้งที่เธอนำคำตอบของลูกน้องคนโปรดไปบอก เธอไม่เข้าใจเลยว่า ห้องทำงานของอชิตะกับโต๊ะทำงานของคณิต อดีตตัวขัดขวางความรักของเธอกับภาคี มันก็ใกล้แค่นี้ ทำไมถึงไม่มาตามเอง
หญิงสาวเอามือท้าวโต๊ะทำงาน พร้อมกับยื่นวงหน้าฉ่ำเครื่องสำอางเข้าใกล้เจ้าของโต๊ะ บอกเสียงหนัก ราวกับใกล้หมดความอดทนเต็มที
“...ช่วยกรุณาเข้าไปหาบอสที่ห้องเดี๋ยวนี้ อย่าให้ฉันต้องพังโต๊ะทำงานของเธอ!” รับรองว่านิรดาไม่ได้ขู่ แต่เธอทำจริงแน่
“เออๆ ก็ได้”
ไม่ใช่เพราะกลัวนิรดาพังโต๊ะอย่างเจ้าตัวข่มขู่ คนอย่างคณิตหรือจะกลัวนิรดา แต่เพราะคำพูดของนิรดาให้เขาคิดได้ เขาควรจะแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ได้ แต่เขากลัวว่าไอ้คนที่จะแยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวไม่ได้เป็นฝ่ายอชิตะมากกว่า
* * *
“มีอะไรครับบอส” คณิตถามด้วยสีหน้าที่ไม่ยิ้มแย้ม มองหน้าคนที่เหมือนจะนั่งรอการมาของเขาอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสีหน้าที่บอกอารมณ์ได้อย่างชัดเจน ว่าไม่พอใจสุดๆ
“ตอนนี้ทำอะไรอยู่” อชิตะไม่ได้ตอบคำถามลูกน้องของเขา แต่ถามกลับ มองหน้าลูกน้องที่ไม่ยอมแม้แต่จะนั่งลงคุยกับเขา
“ทำงานครับ” เขาตอบสั้นๆ
“เห็นว่ายุ่งมากเลยเหรอ ถึงได้ไม่ว่างเข้ามาหาผม” เจ้าของห้องถาม พลางถอนหายใจยาว คล้ายกับระบายอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นภายในออกมาช้าๆ เพื่อที่มันจะได้ไม่ปะทุออกมาทีเดียวตูมใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ มือหนาผสานเข้าหากัน แล้ววางมันไว้บนตัก รอฟังคำตอบ
“ครับ”
“งานของคุณโก้ใช่ไหม” คำถามที่เขารู้คำตอบอยู่แล้ว ตอนนี้คณิตรับผิดชอบงานของเพื่อนเขาอยู่ เพื่อนที่บอกเขาว่าสนใจคณิตอย่างมาก
“ครับ”
“แล้วไม่คิดจะนั่งคุยกับผมหรือไง”
“.....” คณิตยังยืนนิ่ง
“เชิญ”
เพราะน้ำเสียงที่ดุดันขึ้น ทำให้คณิตจำต้องนั่งเสียไม่ได้
“งานของคุณโก้ ถ้ามันทำให้คุณยุ่งมากจนไม่มีเวลาเข้ามาพบผม อย่างนั้นก็...”
อชิตะทิ้งจังหวะลงเล็กน้อย มองใบหน้าขาวที่เขาไม่ได้มองแบบเต็มตาเช่นนี้มาสองวันแล้ว คณิตพยายามหลบหน้าเขา มาทำงานสาย และออกจากออฟฟิซเร็ว
“... ผมคงต้องให้คุณปริญดูแลงานคุณโก้แทน คุณจะได้ยุ่งน้อยลง มีเวลาให้ผมมากขึ้น”
“ได้ไงครับบอส งานนี้ผมทำได้เยอะแล้วนะครับ แล้วมันก็เป็นงานของผม ปริญจะมาทำแทนได้ไง” คณิตโวยวายขึ้นมาทันที ไอ้
ตอนที่เขาไม่อยากทำ ทำไมถึงยัดเยียดมาให้จัง แต่พอเขาทำไปเยอะแล้ว ดันจะมาดึงงานของเขาคืน มันได้ที่ไหนกัน ต่อให้เขายังรู้สึกว่าไม่อยากทำงานของเพื่อนอชิตะ ไม่อยากออกไปพบให้ถูกแทะโลมและแตะอั๋งในวันหยุดก็เถอะ
“ได้...ทำไม่จะไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นคำสั่งของผม ตอนนี้ผมส่งปริญไปคุยงานต่อกับคุณโก้เรียบร้อยแล้ว” อชิตะบอกเสียงนิ่ง ไม่สนใจใบหน้าขาวที่แสดงออกว่าไม่พอใจอย่างมาก แล้วความอารมณ์ก็คงพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาบอกอีกว่า
“แล้วงานของคุณไพโรจน์กับคุณนราวดี คุณก็ไม่ต้องทำแล้วนะ ผมให้ภัทรพลกับนิดาทำแทนคุณแล้ว”
“บอส! ทำแบบนี้หมายความว่าไง หรือบอสจะไล่ผมออกแค่เรื่องที่....ผมไม่ยอมนอนกับบอสนี่นะ...เหอะ” พูดไปก็อายปาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าอชิตะจะเป็นคนเช่นนี้ นี่แหละคือคนที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก
“ผมพูดสักคำไหมว่าจะไล่คุณออกเพราะเรื่องที่คุณไม่ยอมนอนกับผม” อชิตะย้อนถาม “แค่อยากให้คุณมีเวลาให้ผม ถ้างานมันทำให้คุณยุ่งจนไม่มีเวลา งั้นก็ไม่ต้องทำ” เขาไม่เคยใช้ความเป็นเจ้าของบริษัทมาข่มขู่ลูกน้อง โดยเฉพาะกับคณิต ที่เมื่อก่อนเขารักและเอ็ดดูเหมือนน้อง แต่ที่ต้องพูดเหมือนคนบ้าอำนาจ เผด็จการก็เพราะเขาห้ามความรู้สึกที่มันคุกรุ่นในอกไม่ได้ เขาไม่ชอบที่คณิตทำตัวห่างเหินออกไป ทำให้ชีวิตของเขาเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้เขาไม่มีสมาธิทำงานเอาซะเลย
เขาเอาแต่คิดถึงคณิต... หนักไปกว่าความคิดถึงคือความปรารถนาที่อัดแน่นภายใน อยากสลัดทิ้ง
“ถึงคุณจะไม่ไล่ผมออก แต่ผมก็ขอลาออกครับ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโมโห
นั่นสินะ เขาควรใช้การลาออกเป็นหนทางออกจากชีวิตที่ผิดเพี้ยนนี้ เหตุการณ์แค่ข้ามคืนจากการกระทำโง่ๆ ของเขา ทำให้ทุกอย่างผิดรูปแบบไปหมด
มันรวน
มันป่วน
มันบ้าบอชะมัด!
เขาต้องออกไปจากความเปลี่ยนแปลงผิดเพี้ยนนี้ให้เร็วที่สุด ทว่าสุ้มเสียงทรงอำนาจก็ขัดความขึ้นมาแทบจะทันที
“ผมไม่อนุญาต”
แต่เขาต้องไม่กลัว
“คิดว่าผมแคร์งั้นเหรอครับ ขอโทษ คุณไม่ใช่เจ้าชีวิตของผม และผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทนทำงานกับคนอย่างคุณอีกต่อไป
ลานะครับ หวังว่าเราคงจะไม่ต้องเจอกันอีก” ว่าแล้วคณิตก็ลุกขึ้น เขาหันหลังให้คนที่กลายเป็นอดีตเจ้านายนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
“เดี๋ยวหนึ่ง!”
เสียงเรียกที่มาพร้อมกับแรงกระชากที่ต้นแขน เขาถูกดึงให้เซปะทะร่างที่สูงกว่าและหนากว่ามาก ก่อนจะถูกรวบไว้ทั้งตัว
“ปล่อย!”
นอกจากจะไม่ปล่อยแล้ว ร่างที่เล็กกว่ายังถูกดันให้ไปติดพนังห้องอีกด้วย
“ปล่อยผม!”
คณิตพยายามดิ้น แต่เหมือนไร้ประโยชน์ เขาสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้ อชิตะตัวใหญ่กว่าเขา และใบหน้าคมนั้นก็ดูเหมือนจะโกรธเขามาก ตาคมกริบที่บรรจุลูกไฟร้อนไว้มองราวกับว่าเขาเป็นคนที่โง่เง่าที่สุดในโลก
“ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ห๊ะหนึ่ง” อชิตะเค้นเสียงถาม เขากลัวว่าตัวเองจะหลุดอารมณ์ที่มันอัดแน่นอยู่ภายในจะระเบิดใส่คนตัวเล็ก อารมณ์ของเขาแทบจะขย้ำคณิตจนแหลกละเอียดได้ทีเดียว
อชิตะรู้ว่าตัวเขาผิดที่ยึดติดกับเรื่องคืนนั้นในสระนำ ผิดที่ไหลไปตามความต้องการส่วนลึกที่คล้ายจะขยายวงใหญ่ขึ้นทุกวินาที ผิดที่ลืมว่าตัวเองนั้นมีคู่หมั้นแล้วและกำลังจะแต่งงานกัน สร้างครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกัน แต่เขาก็อยากให้คณิตช่วยอยู่ร่วมในความผิดนี้กับเขาด้วย ไม่ใช่ตัดรอนเขาไปซะทุกทาง ไร้เยื่อใย ไร้ความผิด ทั้งที่คณิตเองเป็นฝ่ายปลดปล่อยความปรารถนาเร้นลึกของเขาออกมา จนเขาไม่อาจควบคุมอะไรได้อีก
“ผมมากกว่าที่ต้องถามคุณ ทำไมคุณไม่หยุด” ดวงตาของคณิตวาวจัดยามถามกลับ
“เพราะผมหยุดไม่ได้ไงล่ะหนึ่ง ผมหยุดไม่ได้ คุณเข้าใจไหม ผมหยุดความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคุณไม่ได้ ผม...”
อชิตะสูดลมหายใจลึก ราวกับกำลังรวบรวมความกล้าครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา เพื่อพูดในสิ่งที่เขารู้สึก ความรู้สึกที่เกิดเพียงชั่วข้ามคืนจากจูบที่ยังติดตรึงจนถึงวินาทีนี้ และทำให้เขาไม่สามารถเป็นเขาคนเดิมได้อีกต่อไป
...มันไม่มีทางจะเหมือนเดิมอีกแล้ว
ทั้งหัวใจ สมอง และร่างกายบอกเขาเช่นนั้น
“...ผมรักหนึ่งนะ”
ความรู้สึก “รัก” ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับเรื่องตลก แต่มันคงไม่ตลกสำหรับชีวิตของคนที่รู้สึกและพูดมันออกมาอย่างเขาเลย
...ความรักที่เป็นเหมือนความผิดเพี้ยนของชีวิต ไหลไปตามความปรารถนามากกว่าความถูกต้องที่มีมาแต่แรก
อชิตะรู้ดีว่าทุกอย่างสามารถหยุดลงได้ นับตั้งแต่ค่ำคืนสุดท้ายคืนนั้น คืนที่เขาได้กอดคนตัวเล็กไว้ทั้งคืน มันเป็นคืนที่ยาวนานและเขาหลับตาไม่ลง ไม่ใช่แค่เขา แต่รวมถึงคนที่เขานอนกอดด้วย
เขาควรหยุดตามคำพูดของคณิตที่ฉุดรั้งไม่ให้เกิดอะไรเกินเลยกว่าการสวมกอด แต่เขากลับไม่ยอมหยุดมัน เขากลับรู้สึกโหยหาผู้ชายที่ชื่อคณิต เขาหวงแหนความรู้สึกหลงใหลครั่งไคล้นี้ และอยากให้มันดำเนินต่อไปอีกแสนนาน นานตลอดไปอย่างคนที่เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด
ใช่...เขามันคนเห็นแก่ตัว
และเมื่ออยากได้อะไรแล้ว เขาก็ต้องได้ ต่อให้ไม่ได้ก็ต้องเอามาให้ได้ คนก็เป็นคนแบบนี้แหละ
“ฟังผมนะ” คณิตสะกดอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลง เพื่อพูดให้อชิตะเห็นความจริงกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ “มันไม่ใช่ความรัก มันก็แค่ความรู้สึกที่คิดไปเองของคุณ”
“คุณรู้ได้ไงว่ามันไม่ใช่ความรัก”
“ความรัก...มันมีจุดเริ่มต้น ต้องมีเรื่องราว แต่สิ่งที่คุณเรียกว่าความรัก แล้วปามันใส่ผม มันไม่มีอะไรเลย นอกจากอารมณ์ชั่ววูบของคุณ และคุณก็โมเมว่ามันเป็นความรัก”
“แค่นี้เองเหรอที่มันทำให้คุณคิดว่าความรู้สึกของผมไม่ใช่ความรัก” อชิตะถาม ใช้สายตาผิดหวังมองอีกฝ่าย
“หรือคุณคิดว่าไม่ใช่ อารมณ์ชั่ววูบที่คุณอยากได้ผมเป็นเมียไง คุณก็เลยต้องหลอกล่อตัวเองว่ามันคือความรัก”
คำพูดของคณิตไม่ถูกใจคนถามเลยสักนิด ถึงทำให้ใบหน้าคมเข้มนั้นดุดันยิ่งขึ้น อชิตะยืนมองหน้าคณิตนิ่ง นานเกือบนาทีกว่าอชิตะเอ่ยคำถามสั้นๆ ออกมาอีกครั้ง
“งั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ...แล้วก็ปล่อยผมได้แล้ว ผมจะไปเก็บของ ออกไปให้พ้นหน้าคุณ คุณจะได้หายบ้าเสียที”
“ที่ผมเป็นบ้าแบบนี้ มันก็เพราะคุณ...หนึ่ง”
อชิตะไม่ได้โยนความผิดให้อีกฝ่าย แต่มันคือความจริงที่สุดต่างหาก ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกทั้งรัก ทั้งหึง ทั้งหวง ปรารถนาจะกกกอดได้มากมายเพียงนี้ เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ ทำไมถึงเกิดขึ้นได้รวดเร็วและมากมายนัก
“คุณเริ่มก่อนนะหนึ่ง คุณทำให้ผมต้องการคุณ คุณทำให้ผมคลั่งแทบจะบ้าตายอยู่แล้วรู้ไหม”
เขามองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย นัยน์ตาคู่นั้นเหมือนกำลังสำนึกถึงความผิดของตัวเอง คงนึกไปถึงคืนนั้น ในสระน้ำ กับคำถามที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไป แล้วใบหน้าขาวก็ก้มหลบสายตาของเขา แต่มีหรือเขาจะยอม เขาปล่อยมือข้างหนึ่งที่กอดรัดให้ไม่คนตัวเล็กกว่าดิ้นหนีเขาไปเมื่อหลายนาทีก่อน เพื่อจะใช้มันบังคับให้ใบหน้านั้นเงยขึ้นมาสบตากับเขาอีกครั้ง
ให้คณิตได้เห็นความปรารถนาของเขาเต็มสองตา
“คุณรู้อะไรไหมหนึ่ง ว่าตอนนี้ผมอยากทำอะไรมากที่สุด”
“อยากจูบผม” มันคำตอบที่คณิตแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย เพราะทั้งน้ำเสียง แววตา และกรอบหน้าคมเข้มที่อยู่ใกล้แค่คืบ
“แล้วผมจูบได้ไหม” คำตอบของคณิตทำให้อชิตะมีรอยยิ้มแต้มมุมปาก แล้วยังทำให้ความหงุดหงิดใจก่อนหน้าแทบจะหายไปจนหมด ที่มีเข้ามาแทนคือความพึงพอใจ
“ทำไมต้องถามด้วย ในเมื่อผมห้ามอะไรคุณไม่ได้อยู่แล้ว” คนถูกขอจูบบอกอย่างประชด ยอมรับว่าไม่ได้รู้สึกโกรธคนตรงหน้ามากเหมือนเมื่อหลายนาที ที่เหลือก็คงเป็นความรู้สึกผิด ผิดอย่างที่อชิตะพูดกรอกหูเขานั่นแหละ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นผล
มาจากคืนวันนั้นทั้งสิ้น เป็นผลมาจากคำถามโง่ๆ ของเขาเอง
“แค่อยากให้สมัครใจ” อชิตะยังคงยิ้ม พอใจที่คณิตไม่ต่อต้านเหมือนตอนแรก คล้ายกับว่าเจ้าตัวยอมแพ้ต่อความต้องการของเขา ไม่อาจสู้กับความปรารนาโลดแล่นอยู่ตรงหน้า
“แล้วถ้าผมไม่สมัครใจล่ะ” คณิตถามกลับ ตัวเขาเองก็เริ่มผ่อนคลายขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาโกรธใครได้ไม่นาน และอีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะอชิตะใจเย็นลงด้วยแหละ เขาชอบใบหน้ามีรอยยิ้มพึงพอใจของอชิตะมากกว่าใบหน้าดุดันที่เขาไม่คุ้นเคย เพราะตลอดเวลาที่ทำงานกับอชิตะ เจ้านายหนุ่มของเขาไม่เคยสาดอารมณ์ไม่พอใจหรือหงุดหงิดใจอะไรใส่เขาเลย มีแต่เอาใจและดูแลเป็นอย่างดี เพราะอชิตะเคยทำดีกับเขามากไง เขาถึงไม่กล้าหาญพอจะหักหาญหรือต่อกรด้วยแบบเด็ดขาด ชนิดที่ว่าแตกเป็นแตก เขาแค่พยายามจะดื้อเพื่อให้อชิตะยอมถอยออกไป แต่ถ้าอชิตะไม่ยอมถอย เขาก็ยอมแพ้อย่างจำยอม และรอโอกาสจะดื้อต่ออีกครั้งจนกว่าอชิตะจะถอดใจไปเอง
“ไม่สมัครใจงั้นเหรอ?” ถามแล้วก็ยิ้ม มองกลีบปากเล็กที่ขยับยู่แสดงความไม่พอใจออกมาก่อนตอบคำถามของเขาว่า
“ใช่”
อชิตะค่อยๆ ละมือจากใบหน้าขาวลงมารวบเอวเล็กให้เข้ามาประชิดมากยิ่งขึ้น มีความสุขที่สถานการณ์ระหว่างเขากับคนตัวเล็กกว่าไม่ได้รุนแรงไปกว่านี้ เขาดีใจที่คณิตอ่อนให้ หรือมันเป็นเพราะเขาอ่อนให้อีกฝ่ายก่อนกันแน่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นแบบนี้ดีมากแล้ว
เขาได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ หากเขาอยากทำให้คณิตยอม เขาควรยอมให้คณิตก่อน เพราะเมื่อเขาอ่อนลง คณิตก็อ่อนตาม อย่างเช่นตอนนี้ที่คณิตไม่มีทีท่าว่าจะโกรธหรือโมโหในการกระทำของเขา
“ผมคิดถึงรสชาติที่ได้จากปากของคุณมากรู้ไหม ผมรอให้คุณสมัครใจก่อนไม่ไหวหรอกนะ”
เมื่อคำพูดสิ้นสุด แล้วเจ้าของกลีบปากน่าบดขยี้ไม่มีทีท่าว่าจะต่อต้านกลับมาอย่างเผ็ดร้อน มีเพียงใบหน้าขึ้นสีอย่างช้าๆ เป็น
ปฏิกิริยาตอบกลับ ยิ่งทำให้อชิตะได้ใจโน้มใบหน้าลงต่ำ บดริมฝีปากตนกับกลีบปากบางสีหวานด้วยความโหยหาและปรารถนา เขายอมรับว่าหลงใหลกับความหวานที่ได้ลิ้มลองนี้เหลือเกิน
“อื้มมมม...” ลิ้นร้อนที่สอดแทรกเข้ามาให้คนถูกรุกล้ำต้องเผลอครางออกมาเบาๆ อย่างสุดกลั้นแล้ว
คณิตนึกอายตัวเองที่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ ซ้ำร้ายเขายังเผลอยกมือขึ้นโอบรอบต้นคอหนาไว้ราวกับกลัวว่าริมฝีปากร้อนจะหนีห่าง แล้วร่างกายที่ถูกบังคับให้เบียดแนบแน่นกับร่างที่หนากว่าอีกล่ะ เขาไม่ควรรู้สึกดีไปกับจูบดูดกลืนนี้ ดีจนเขาอยากหยุดทุกอย่างไว้ตรงนี้ให้นานที่สุด
เมื่อครู่เขาบอกอชิตะไปใช่ไหม ว่าความรักต้องมีจุดเริ่มต้น แล้วค่ำคืนกลางสายน้ำเย็นฉ่ำ กับคำถามโง่ๆ ที่หลุดออกจากปากเขา มันจะใช่จุดเริ่มต้นไหม?
จุดเริ่มต้นโง่ๆ ที่ทำให้เกิดเรื่องราวที่ผิดเพี้ยนและความสัมพันธ์ที่เกินเลยไปไกล
จูบแรกจากความมึนเมา ความสับสนในใจลึกๆ จนมาถึงจูบปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความหลงใหลและอารมณ์ความต้องการ
‘แกร็ก’
เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของอชิตะ เรียกสติของคณิตกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาต้องผลักอชิตะออกไปให้ไกลที่สุด แต่ดูเหมือนจะไม่ทันซะแล้ว และอชิตะก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเอวของเขาด้วย ดีหน่อยที่ยังพอจะเลิกจูบเขาอย่างพวกหิวโซซะที
ไม่ว่าใครจะเข้ามาเห็นความสัมพันธ์ที่ผิดเพี้ยนระหว่างเขากับอชิตะ เขาก็ขายหน้าอยู่ดี แต่ตอนนี้มันยิ่งกว่าขายหน้าซะอีก ในเมื่อคนที่เข้ามาคือ...
“บอสคะ...คุณภารินีมาแล้วนะคะ...ว้ายยย...! …เอ่อ...ยะ...ยุ่งอยู่หรือคะ....งั้น...นะ...นุ่น...ออกไปบอกให้คุณภารินีรอก่อนนะคะ” เพราะอรอุมาเลขาของอชิตะลาป่วยมาสองวันแล้ว นิรดาถึงต้องรับหน้าที่แทน เนื่องจากเธอสนิทกับอรอุมาที่สุด และยังเป็นญาติห่างๆ ซึ่งห่างมากของอชิตะด้วย
นิรดาคือผู้โชคดีที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์เข้า หญิงสาวไม่คิดว่าการเข้ามารายงานอชิตะว่าลูกค้าที่นัดไว้มาถึงแล้ว จะเป็นการเปิดประตูเข้ามาพบความจริงอันเป็นความลับอชิตะกับคณิต ที่เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้กันได้
‘มิน่าละ อชิตะถึงตามใจคณิตนัก’
นิรดาแอบสรุปในใจ
“ปล่อยก่อน” คณิตเสียงเขียวบอกเจ้าของท่อนแขนที่ไม่ยอมปล่อยเขาเป็นอิสระเสียที ทั้งที่มีคนเข้ามาเห็นเต็มสองตา แถมเป็น
อริเขาด้วย และอชิตะควรรักษาชื่อเสียงของตัวเองหน่อยไหม เป็นถึงเจ้าของบริษัทนะ คนที่เข้ามาเห็นก็เป็นคนที่ปากมากที่สุดในบริษัท เรื่องนี้ได้กระฉ่อนบริษัทแน่ๆ
แทนที่อชิตะจะทำตามที่คนตัวขาวบอก เขากลับโอบเอวเล็กให้แน่นขึ้น พลางหันไปบอกนิรดาว่า
“นุ่นช่วยพาคุณภารินีไปที่ห้องประชุมนะ แล้วไปบอกให้คุณเกียรติศักดิ์เข้าไปคุยงานแทนผม ส่วนนัดอื่นๆ วันนี้ให้โทรไปเลื่อนเป็นอาทิตย์หน้าให้หมด บอกไปว่าผมไม่สบาย”
“เอ่อ...ค่ะ”
“ส่วนเรื่องผมกับหนึ่ง หวังว่าจะไม่ถึงหูคนอื่นนะ เข้าใจใช่ไหมนุ่น” เขาก็พอรู้ว่านิรดาเป็นคนช่างเม้าธ์ จึงต้องห้ามไว้ก่อน ตัวเขาไม่เป็นไรหรอก แต่ดูหน้าคณิตแล้วนึกสงสาร คงไม่อยากถูกเม้าธ์ไปทั่วบริษัทแน่
“ค่ะบอส”
“อีกอย่างนะ ผมกับหนึ่งจะไปต่างจังหวัด ถ้ามีงานด่วนอะไรก็โทรเข้ามือถือของผม ส่วนงานไหนที่ต้องให้เซ็นเอกสาร ก็วางไว้บนโต๊ะไปก่อน กลับมาแล้ว ผมจะรีบจัดการให้”
“ค่ะบอส”
* * *
‘แล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะเนี่ย ทำไมคนที่เข้ามาเห็นต้องเป็นยัยนุ่นด้วยว่ะ ซวยจริงไอ้หนึ่ง’
นี่คงเป็นคำถามที่ดังวนเวียนอยู่ในหัวของคณิต ตั้งแต่เดินออกจากบริษัทพร้อมกับอชิตะ โดยมีสายตาของนิรดามอง
ตามอย่างอยากรู้อยากเห็นจนตัวสั่น จนกระทั่งตอนนี้ที่เขากำลังเปิดประตูเข้ามาในห้องของตัวเอง แน่นอนว่าอชิตะต้องตามเข้ามาด้วย
“หนึ่ง”
“ครับ”
คณิตหันกลับไปมองคนที่เดินตามเขาเข้ามา ห้องของเขาเป็นสถานที่ที่อชิตะคุ้นเคยอยู่แล้ว เพราะเมื่อมีสังสรรค์หลังเลิกงานกันทีไร ไม่คอนโดฯ ของอชิตะ ก็คอนโดของเขา ต้องกลายเป็นที่หลับนอนของสองคนเมา แล้วเชื่อไหมล่ะว่าอชิตะน่ะ มีกุญแจห้องของเขาด้วยนะ
กุญแจสำรองที่ถูกยึดไว้นานมากแล้ว
“อย่าคิดมากน่า ผมก็บอกนุ่นแล้วว่าอย่าเอาเรื่องของเราไปพูดให้ใครฟัง” เขาบอกคนที่ทำหน้าเซ็งมาตลอดทาง แถมยังไม่ยอมเปิดปากพูดคุยกับเขาสักคำ
“บอสพูดเหมือนกับไม่รู้จักยัยนุ่น” คณิตนิ่วหน้าแสดงความไม่พอใจความคิดง่ายๆ ของคนพูด
“เอาน่า ไปเก็บกระเป๋าก่อน” อชิตะตัดบท
“บอส...”
“ว่า...”
“บอสอย่าทำเนียนได้ไหม เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือครับ ว่าคืนนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะทำเรื่องบ้าๆ ด้วยกัน ผมว่าพอเถอะนะครับบอส...หยุดเถอะนะครับ” แววตาที่มองไปยังเจ้านายหนุ่มเต็มไปด้วยความร้องขอ ขอให้เชื่อเขาบ้าง ฟังเขาบ้าง ไม่ใช่แค่ฟังแต่ไม่ยอมทำตาม จนเกิดเรื่องให้นิรดาเห็น
“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่า....”
อชิตะพูดช้าๆ เขาเดินเข้าไปรวบร่างเล็กเข้ามากอด กดศีรษะได้รูปแนบกับอก ไม่มีอาการต่อต้าน เขาเลยยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เผื่อว่าคณิตจะได้รับรู้ว่าเขารู้สึกมากมายแค่ไหนกับเจ้าตัว
“...ผมหยุดไม่ได้” หรือต่อให้เขาหยุดมันได้ เขาก็ไม่หยุด เลือกไปแล้ว หลงไปแล้ว ยังไงก็ต้องทำทุกอย่างให้ได้มาทั้งกายและหัวใจ
“แต่...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ให้โอกาสผมนะหนึ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน มันมีจุดเริ่มต้น มันมีเรื่องราว และมันจะดำเนินต่อไปอย่างที่ทั้งผมและคุณต้องการ”
“แต่ผมไม่ได้ต้องการ” คณิตฝืนตัวออกมา เงยหน้ามองสบตา
“แต่ผมต้องการ”
“ผมไม่อยากเป็นมือที่สาม บอสมีคุณหวานอยู่แล้วนะครับ” นึกถึงหน้าคู่หมั้นของอชิตะแล้ว เขาก็อยากร้องไห้จริงๆ ณัชชาเป็นคนดี สมควรแล้วเหรอที่จะโดนหักหลัง
“เรื่องของหวาน ผมจะ...”
Rrrrrrrrrr…
เสียงโทรศัพท์ของอชิตะดังขัดจังหวะ เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบมันออกมาดู เป็นณัชชาที่โทรทางไกลมาจากต่างประเทศ
“คุณหวานใช่ไหมครับ” คณิตตั้งคำถาม คำตอบก็เดาเอาจากสีหน้าของอชิตะ
“คุณไปเก็บกระเป๋าก่อน” เขาสั่ง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูระเบียง เพื่อคุยสายกับคนที่อยู่อีกประเทศหนึ่ง
* * *
อชิตะใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีคุยกับคู่หมั้นสาว ก่อนจะเดินกลับเข้ามาภายในห้อง เจ้าของห้องนั่งอยู่บนโซฟา ข้างตัวมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่วางอยู่ เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างคนตัวเล็ก เอื้อมจับมือเล็กกว่ามากุมไว้ เขากำลังหลงรักผู้ชายคนนี้อย่างบอกไม่ถูก
“บอสไม่รู้สึกผิดต่อคุณหวานเลยหรือครับ” คณิตหันมาถาม หลังจากนั่งเงียบใส่อชิตะไปหลายนาที คำถามที่บาดลึกหัวใจเขาเช่นกัน
ทุกครั้งที่จูบกับอชิตะ ในหัวเขาแทบไม่ได้นึกถึงณัชชาหรือความผิดต่อหญิงสาวเลย เหมือนเขาถูกมอมเมาจนลืมผิดถูกไปซะหมด
“ผม...”
“บอสไม่สงสารคุณหวานบ้างหรือครับ”
“ผม...”
“บอสไม่คิดบ้างหรือครับว่าคุณหวานจะเสียใจมากแค่ไหน”
“ผม...”
“บอสรู้ไหมครับว่าบอสเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด” และหลอกให้เขาเห็นแก่ตัวไปด้วยอีกคน
“พอหนึ่ง!”
******** จบตอนที่ 5 *********
BY สีเหลืองอ่อน