---- First Anniversary (ต่อ) ----
“มารอรับแฟนเหรอครับ พี่เจ?”
พนักงานร้านสตาร์บัคส์ในสนามบินเชียงใหม่ส่งเสียงทักลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี
“อืมม์ มาไฟลท์ดึกของไทยสไมล์น่ะ เอ่อ เอาเหมือนเดิมนะ”
เจนยุทธตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะส่งแก้วส่วนตัวในมือให้พนักงาน ไม่นาน iced venti americano on ice หรือที่จริงแล้วคือกาแฟเอสเปรสโซ 4 ช็อตเทใส่น้ำแข็งโดยที่ไม่เติมน้ำเพิ่มลงไปก็ถูกนำมาวางตรงหน้าเจที่ยืนรออยู่ปลายเคาเตอร์ เขายืนสนทนากับพนักงานที่เขารู้จักเป็นอย่างดีตั้งแต่ที่สาขาโรบินสันแอร์พอร์ทที่เขาเคยนั่งเป็นประจำก่อนที่จะย้ายมานั่งที่สาขาเปิดใหม่อย่างเชียงใหม่ราม
“ขอตัวก่อนนะครับ”
พนักงานหนุ่มค้อมหัวให้เจนยุทธก่อนจะผละไปรับลูกค้ารายใหม่ เจถือแก้วกาแฟและกระเป๋าโน้ตบุ๊คของเขาไปที่โต๊ะแล้วจัดแจงเปิดกระเป๋ายกโน้ตบุ๊คมาตั้งเพื่อทำงานที่ยังคั่งค้างต่อ เขามีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าที่ไฟลท์ของฆาเบียร์จะมาถึง
“รับครัวซองต์แฮมชีสไหมคะ? อ้าว พี่เจ สวัสดีค่ะ”
พนักงานสาวซึ่งยกถาดครัวซองต์กลิ่นหอมกรุ่นที่ตัดเป็นชิ้นน้อย ๆ เพื่อให้ชิมทักเจนยุทธทันทีที่เห็นเขา เจยิ้มและทักทายพนักงานสาวซึ่งย้ายมาจากสาขาเชียงใหม่รามเมื่อไม่นานมานี้กลับคืน เขาคุ้นเคยและจำชื่อพนักงานแทบทุกคนในสาขาที่ตนไปนั่งบ่อย ๆ ได้ด้วยความช่างจำนรรจาของเขา
“ฮ่า ๆ ใช่ ๆ เดี๋ยวฆาบี้เขาก็มาแล้ว เราไม่ได้เจอเขานานแล้วล่ะสิ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่นี่เลยใช่ไหม?”
เจยิ้มร่าเมื่อพนักงานสาวถามถึงคนรักของเขาซึ่งเคยเจอหน้ากันอยู่เนือง ๆ ตอนที่เธอยังทำงานอยู่ที่สาขาเดิม
“เดี๋ยวถ้าเครื่องลงแล้วจะลากมาทักเราด้วยแล้วกัน”
เจพูดกับพนักงานสาวก่อนที่เธอจะขอตัวไปทำหน้าที่ต่อ เจอมยิ้มเมื่อนึกถึงนิสัยของคนรักที่ทำให้พนักงานที่แม้จะไม่ได้พบปะกันกับเขาบ่อยก็ยังสามารถจำเขาได้ และมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทั้งเจนยุทธและฆาเบียร์มีเหมือนกัน นั่นคือพวกเขาทั้งคู่ชอบที่จะสนทนาและมีปฏิสัมพันธ์กับพนักงานผู้ให้บริการไม่ว่าจะเป็นพนักงานของร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือโรงแรมที่พัก สำหรับเจนยุทธแล้ว มันเป็นนิสัยเดิมที่ติดตัวมาตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นนักศึกษาการโรงแรม การที่ได้พูดคุยกับพนักงานส่วนปฏิบัติการเป็นเสมือนการเรียนรู้นอกห้องเรียน มันทำให้เขาได้ความรู้หลาย ๆ อย่างเพิ่มเติมจากในตำราและทำให้เห็นภาพในการทำงานสาขานี้ได้ชัดขึ้น
‘Landed. Waiting for luggage’
‘Ok. At Stbx now krub’
เจนยุทธพิมพ์ข้อความตอบกลับฆาเบียร์ เขายกมือขึ้นบิดขี้เกียจเพื่อไล่ความเมื่อยขบจากการนั่งนานหลายชั่วโมงก่อนจะปิดและเก็บโน้ตบุ๊คใส่กระเป๋า เขายกนาฬิกาขึ้นดูเวลาและพบว่ามันเป็นเวลาหลังห้าทุ่มครึ่งแล้ว
“ขอโทษนะ นั่งเกินเวลาไปเยอะเลย”
เจนยุทธพูดกับพนักงานที่กำลังทำความสะอาดและจัดเก็บโต๊ะเก้าอี้ในร้าน
“ไม่เป็นไรครับ วันนี้วันเสาร์เราเปิดถึงห้าทุ่มครึ่ง พี่เจนั่งจนผมเก็บร้านเสร็จก็ได้”
พนักงานหนุ่มตอบ แม้จะได้ยินเช่นนั้นแต่เจก็จัดการเก็บข้าวของของตนแล้วโยกย้ายไปนั่งรอที่เก้าอี้นั่งรอผู้โดยสารหน้าประตูทางออกแทน ไม่นานเขาก็ยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของคนรักเดินผ่านออกประตูมา เจรีบลุกขึ้นและเดินไปหาคนที่ทักทายเขาตอบด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่น
“เดี๋ยวเดินผ่านสตาร์บัคส์หน่อยนะ ไปทักน้อง...หน่อย”
เจนยุทธพูดแล้วดึงมือคนรักให้เดินไปโบกไม้โบกมือทักทายพนักงานสาวที่คุ้นเคยกันดีก่อนที่จะเดินจับมือพาคนรักเดินออกไปยังลานจอดรถ ฆาเบียร์อดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีของคนรักที่ดูจะไม่ขัดเขินแล้วกับการที่จะเปิดเผยสถานะของเขาทั้งสองในที่สาธารณะ
“Te extraño mucho”
ฆาเบียร์กระซิบแผ่ว ๆ บอกเจนยุทธว่าเขาคิดถึงเจ้าตัวมากก่อนจะประทับจูบแผ่ว ๆ บนหน้าผากของคนในอ้อมกอด
“ผมก็คิดถึงคุณครับ”
เจนยุทธตอบและกระชับวงแขนของเขาเข้า ทั้งคู่แลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างไม่เบื่อหน่ายภายใต้สายน้ำอุ่นจากฝักบัวแบบเรนชาวเวอร์ที่ชำระล้างฟองสบู่จากกายของพวกเขาออก พวกเขาใช้มือลูบไล้กายของกันและกันเพื่อช่วยล้างฟองสบู่ออกจนหมดก่อนที่จะปิดน้ำ
“ตายอดตายอยากมาจากไหนครับ ฆาบี้?”
เจนยุทธหัวเราะน้อย ๆ แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ห่มคลุมหลังของอีกฝ่ายที่ยังคงยืนโอบกอดเขาไม่ยอมปล่อย ตั้งแต่กลับมาถึงห้อง คนตัวโตยังไม่ออกห่างจากเขาเลยสักนิด แถมยังเพียรกอดจูบจนปากของเขาเริ่มรู้สึกชาขึ้นมาบ้างแล้ว
“ก็ฉันคิดถึงนี่นา”
คนตัวโตพูดงึมงำกับกลุ่มผมที่ยังเปียกชื้นของคนรัก เขารับผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาแล้วช่วยเช็ดผมให้อีกฝ่ายในขณะที่อีกคนง่วนกับการอ้อมแขนมาเช็ดถูหลังของเขา แม้จะเพลินกับการมีร่างกายส่วนหน้าของอีกฝ่ายมาเบียดบดกับร่างกายของตน ฆาเบียร์ก็ต้องสะดุ้งเฮือกและยันกายออกเมื่อมือแสนซนของเจ้าตัวดีเริ่มขยับลงไปป้วนเปี้ยนบริเวณบั้นท้ายหนั่นแน่นของเขา
“หวงจังน้า ทีตอนก่อนอาบน้ำไม่ได้เห็นจะมีทีท่าแบบนี้เลย”
เจกระเซ้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เมื่อกลับมาถึงห้อง ฆาเบียร์ก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ทันทีที่ปิดประตูห้องและวางสัมภาระแล้ว เขาก็ดึงรั้งร่างคนรักเข้ามากอดและจูบให้สมกับความคิดถึง แม้เจจะเพิ่งกลับมาเชียงใหม่ได้ไม่ถึงสามสัปดาห์ ความคะนึงหาของเขาที่เพิ่มขึ้นตามความรู้สึกที่มีต่อคนรักก็ทำให้เขาแทบทนไม่ได้ เขาแทบจะดึงทึ้งเสื้อผ้าของคนรักทิ้งไปจนหมดตัวตั้งแต่ก่อนถึงประตูห้องนอน แต่แทนที่จะขึ้นไปนัวเนียกันต่อบนเตียง เจก็ดันร่างคนที่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนเพราะทำงานมาตั้งแต่เช้าให้เข้าไปในห้องน้ำแทน หลังจากปรนนิบัติฆาเบียร์จนถึงสวรรค์ตามที่คนตัวโตร้องขอ เจนยุทธก็จัดการอาบน้ำอาบท่าให้คนที่ทำท่าทีเหมือนอ่อนเพลียจนไม่อยากขยับตัวจนสะอาดเรี่ยมเร้เรไร
“เหนื่อยไหมครับ วันนี้?”
เจนยุทธถามพลางใช้ไดร์ค่อย ๆ เป่าผมสีน้ำตาลประกายทองของคนรัก
“ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก แค่ลุ้นหน่อยว่าจะตกเครื่องไหม”
ฆาเบียร์ที่หลับตาพริ้มให้อีกฝ่ายใช้นิ้วสางผมแทนหวีอย่างสบายอารมณ์ตอบ เจโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อคนรักพยายามตอบเลี่ยงไปทางอื่น เขารู้ดีว่าฆาเบียร์มีงานยุ่งมาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เขามาถึงกรุงเทพเอาเมื่อเช้าวันศุกร์เพื่อเข้าร่วมในงานสัมมนาหนึ่งในฐานะผู้บรรยาย จากนั้นในเช้าวันนี้ เขาก็ใช้เวลายามเช้าไปกับการพบปะหารือกับคู่ค้าและเอเจนซี่ซึ่งอยู่ในเครือข่ายของเขา ก่อนที่จะรีบกลับโรงแรมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปร่วมงานแต่งงานในฐานะตัวแทนของอาปาคริส เขาออกจากงานประมาณสองทุ่มครึ่งเพื่อให้ไปทันเช็คอินไฟลท์ซึ่งออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 22:15 น.
“หึ เห็นว่ามาถึงฉิวเฉียดพอดีนี่ครับ ไหนจะต้องโหลดกระเป๋าอีก วิ่งแน่บไปเกทแทบไม่ทันเลยล่ะสิ ผมก็บอกแล้วว่าให้ค้างกรุงเทพฯ อีกคืน ก็ยังดื้อที่จะมาเชียงใหม่เลยอีก”
เจพ่นลมออกจมูกเบา ๆ อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “สาย” ของเขารายงานมาเสร็จสรรพว่าฆาเบียร์ต้องได้วิ่งไปเกทจริง ๆ เพราะลืมไปว่าตนต้องเสียเวลาดร็อปกระเป๋าที่จะโหลดใต้ท้องเครื่องที่เคาเตอร์เช็คอิน ไม่ใช่เดินตัวปลิวไปขึ้นเครื่องได้เหมือนกับทุกครั้งที่มีเพียงแค่กระเป๋าเคบินไซส์ใบเดียว
“จริง ๆ ฉันกะออกงานมาตั้งแต่ก่อนสองทุ่มน่ะ แต่ผิดแผนไปหน่อย”
ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อย ๆ เขาตั้งใจจะอยู่แค่ทักทายครอบครัวของคู่ค้าของอาปาที่เขาเองก็คุ้นหน้าดีเสร็จแล้วก็จะรีบออกงานมา แต่กลับถูกเชิญให้ไปนั่งโต๊ะประธานในพิธีและอยู่ร่วมวงสนทนาจนเห็นว่าจะไม่ทันแล้วจริง ๆ จึงได้ขอตัวออกมา เมื่อมาถึงสนามบินและเช็คอินเสร็จแล้ว เขาก็ต้องรีบวิ่งมาที่เกทโดยไม่มีเวลาที่จะได้นั่งพักผ่อนในเลาจ์ของการบินไทยซึ่งสามารถใช้ร่วมกันได้ด้วยซ้ำ
“มาเจอบัสเกทอีก ดีนะที่ฉันไม่ตกเครื่อง”
ฆาเบียร์ถอนหายใจยาว เมื่อเขามาถึงที่เกท พนักงานกำลังเริ่มทยอยส่งผู้โดยสารขึ้นรถบัสที่จะพาไปสู่เครื่องบิน
“เอ ปกติคุณจะนั่งชั้นธุรกิจมาใช่ไหมครับ? แต่ไทยสไมล์เขาเหมือนจะไม่มีชั้นธุรกิจนี่ ขายาว ๆ แบบคุณนั่งสบายเหรอ?”
เจนยุทธถามอย่างข้องใจ เขาหยิบแปรงผมที่เขาซื้อมาเพื่อฆาเบียร์โดยเฉพาะมาแปรงผมสลวยซึ่งตอนนี้เริ่มยาวประบ่าของคนรักอย่างเบามือ
“เขามีชั้น Premium Economy จ้ะ เรียกว่าอะไรน้า?...อ้อ สไมล์พลัส”
ฆาเบียร์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมา เขาจับมือคนตัวเล็กให้หยุดแปรงผมให้เขาแล้วเปลี่ยนให้เจนยุทธลงนั่งบ้าง เขาเป่าผมให้คนรักแบบเร็ว ๆ เพราะผมของเจยังไม่ได้ยาวมาจากทรงสกินเฮ้ดที่ตัดไปช่วงสงกรานต์มากนัก
“ถึงไหนแล้วนะ? อ้อ สไมล์พลัส อืมม์ ก็เป็นการดัดแปลงที่นั่งชั้น economy จ้ะ”
เจร้องอ๋อ ฆาเบียร์อธิบายต่อว่าแทนที่จะมีการเปลี่ยนเก้าอี้เป็นตัวใหญ่ขึ้น สายการบินไทยสไมล์ก็ทำตามแบบสายการบินอื่นที่มีชั้นพรีเมียมอีโคโนมี ทางสายการบินซึ่งใช้เครื่อง Airbus A320 ที่มีการจัดที่นั่งแบบ 3-3 บินทุกเส้นทางได้จัดสามแถวแรกให้เป็นชั้น Smile Plus โดยจัดให้เก้าอี้มี pitch หรือพื้นที่ระหว่างแถวที่ยาวขึ้นเล็กน้อย และจัดให้นั่งเพียงแค่ 4 คนต่อ 1 แถวโดยให้เว้นที่นั่งตรงกลางไว้
“แล้วฉันนั่งแถวหน้าสุด ก็ยืดขาได้อีกหน่อย”
“ผมก็ว่ามันไม่ค่อยคุ้มจ่ายอยู่ดี”
เจนยุทธบ่นอุบอิบ ตั๋วเครื่องบินชั้นสไมล์พลัสของไทยสไมล์นั้นอยู่ที่ขาละเกือบ ๆ 4,000 บาท เมื่อเทียบกับที่นั่งชั้นธุรกิจของการบินไทยที่ราคาใกล้เคียงกัน เจก็ยังคิดว่าสายการบินแห่งชาติคุ้มกว่าอยู่ดี
“แล้วอาหารล่ะครับ? ดีไหม? เป็นอาหารร้อนหรือว่าเป็นแซนวิชหรือขนมอบแบบชั้นประหยัด?”
“อืมม์...ฉันก็ไม่ได้กินด้วยสินะ ขึ้นเครื่องมาฉันก็หลับเลย ตื่นอีกทีก็เครื่องกำลังจะลงแล้ว แต่ก็น่าจะเป็นอาหารร้อนเพราะฉันเหมือนจะเห็นเขามาปูผ้าให้คนข้าง ๆ”
คนตัวโตพูดเสียงอ่อย ๆ ตอนพนักงานต้อนรับมาถามว่าเขาต้องการรับอาหารไหมนั้น เขาซึ่งยังสะลึมสะลืออยู่ได้เปิดตามามองเพียงครึ่งเดียวก่อนที่จะตอบปฏิเสธไป เขาไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่ารายการอาหารในวันนี้มีอะไรให้เลือกบ้าง
“โคตรไม่คุ้มเลยคุ๊ณ!”
เจนยุทธเบิกตาโตและอุทานเสียงสูงเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายพลาดอาหารจานร้อนที่เสิร์ฟบนเครื่องไป
“เอาน่า ๆ อย่างน้อยฉันก็มาถึงบ้านทันได้กอดเจคืนนี้แล้วกัน”
ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วใช้มือโอบเอวคนรักเข้ามาหาตัว เขาฝังใบหน้าลงกับกลุ่มผมของเจแล้วหอมเบา ๆ สำหรับเขาความคุ้มค่าของการเดินทางคือการมาถึงจุดหมายในเวลาที่ต้องการ และสายการบินไทยสไมล์ก็ตอบโจทย์ของเขาได้สมบูรณ์แบบแล้ว
“หึ กอดเกิดอะไรครับ มาให้ผมกอดมากกว่า”
คนตัวเล็กยิ้มกริ่มเมื่อนึกถึงฉากรักร้อน ๆ ในห้องน้ำเมื่อสักครู่ ฆาเบียร์หน้าแดงระเรื่อ เจนยุทธจัดการเล้าโลมเขาจนอดรนทนไม่ไหวและในที่สุดต้องออกปากขอให้อีกฝ่ายเข้ามาในกาย
“นายนี่ชักจะได้ใจใหญ่แล้วนะ เจ้าตัวแสบ คราวหน้าฉันจะไม่ปล่อยให้นายทำหน้าระรื่นได้แบบนี้อีกแล้ว”
ฆาเบียร์แยกเขี้ยวแล้วดึงแก้มของคนที่ยิ้มกริ่มอย่างหน้าหมั่นไส้ตรงหน้า เจหุบยิ้มทันที
“คุณจะใจร้ายกับผมขนาดนั้นจริง ๆ เหรอครับ ฆาบี้? ไม่สงสารผมหน่อยเหรอ?”
คนตัวเล็กตีหน้าเศร้า ฆาเบียร์ชะงักไปแล้วถอนหายใจเบา ๆ เขาถอดปลั๊กและม้วนสายเก็บไดร์เป่าผม แล้วจึงลงนั่งบนเตียงเคียงข้างคนรัก
“ฉันทำนายเจ็บทุกครั้งเลยจริง ๆ เหรอ เจนยุทธ?”
คนตัวโตซึ่งยังคงฝังใจกับภาพคนรักที่ต้องจับไข้ไปเพราะตัวเองพูดพึมพำเบา ๆ
“ถ้ามันเป็นแบบนั้น ฉัน ฉัน เฮ้อ...”
ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คนที่ตั้งใจจะพูดหยอกคนรักเล่น ๆ ใจหายวาบและรีบเอนกายซวนซบเข้ากับต้นแขนล่ำสัน เจเอียงแก้มถูเบา ๆ กับหัวไหล่ของคนรักจนฆาเบียร์อดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ที่เห็นคนรักของตนแปลงร่างกลายเป็นลูกแมวน้อยขี้อ้อนไปแล้ว
“มันก็เจ็บนิด ๆ แต่ก็เสียวมาก ๆ นะครับ แหะ ๆ”
คนขี้แกล้งยกมือกอดเอวเมียตัวโตของเขาไว้แล้วจูบแผ่ว ๆ ที่หัวไหล่ ฆาเบียร์หันหน้ามาหาคนที่ส่งสายตาแป๋วแหววมาให้ เขาโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อเห็นเจ้าตัวดีของเขาทำหน้าทะเล้น
“นายนี่มันตัวแสบจริง ๆ นะ หืมม์?”
เจนยุทธหัวเราะคิกคักแต่ก็ต้องอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อร่างใหญ่กำยำโถมเข้าหาเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“เด็กขี้แกล้งต้องโดนแบบนี้”
ฆาเบียร์พูดด้วยความมันเขี้ยว เขาเข้ากอดรัดร่างเพรียวที่พยายามดิ้นหนี แต่ด้วยร่างกายที่เล็กบางกว่า สุดท้ายเจก็ต้องยอมปล่อยให้คนรักปล้ำจูบไปทั้งตามอำเภอใจ
“ช้ำหมดแล้วอ่า”
เจบ่นเบา ๆ เมื่อส่องกระจกดูริมฝีปากแดงก่ำของตน พ่อเจ้าประคุณของเขาไม่ได้ปราณีเลยแม้แต่น้อยและกระหน่ำป้อนจูบไปทั่วใบหน้าและร่างกายส่วนบนเหมือนคนตายอดตายอยากมานาน
“ให้ตายสิ คุณ เราเพิ่งเจอกันไปเมื่อก่อนกลางเดือนเองนะ”
เจร้องลั่นเมื่อเห็นรอยแดงช้ำจาง ๆ เป็นรูปนิ้วที่สะโพก คนตัวโตยิ้มแหย ๆ ด้วยรู้ตัวว่าตนเองเผลอตัวทำรุนแรงกับคนรักไปบ้าง แต่เมื่อครู่ตอนที่เขาได้ก้มลงหอมเรือนผมของเจนยุทธ เขาก็อดนึกถึงใครอีกคนที่ได้ทำท่าเดียวกันเย้ยเขาเมื่อเกือบสองสัปดาห์ก่อนขึ้นมามิได้ มันทำให้เขารู้สึกอยากทำร่องรอยไว้บนร่างของอีกฝ่ายให้เหมือนกับเป็นการตีตราและประกาศว่าคน ๆ นี้เป็นของเขา แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แต่ความหึงหวงที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจกับความน้อยใจในตัวคนรักที่ไม่ค่อยจะระวังตัวเมื่ออยู่กับน้องรหัสคนนั้นทำให้สติของเขาหลุดไป
“ขอโทษจ้ะ”
คนตัวโตกระซิบเสียงผะแผ่ว เขาซบหน้าลงกับแผงอกที่รู้สึกได้ว่าแน่นขึ้น เขาไล้นิ้วไปตามรอยจูบสีแดงเข้มที่ตนทิ้งไว้จากการกอดปล้ำเมื่อครู่นี้อย่างเบามือก่อนที่จะจูบแผ่วเบาทับรอยเหล่านั้น สัมผัสเบาหวิวประหนึ่งขนนกที่ลากผ่านผิวส่วนอ่อนไหวทำให้เจอดหัวเราะคิกคักออกมาไม่ได้
“ไม่เอาแล้วครับ จูบไปจูบมาแบบนี้ เดี๋ยวไม่ได้นอนกันพอดี ลุกครับ ลุก เก็บข้าวของก่อนจะได้นอนหลับพักผ่อน”
เจนยุทธดันร่างคนที่โอบรัดกายเขาอยู่ให้ลุกขึ้นแล้วจึงลุกขึ้นตาม
“คุณอ่ะ นี่มัน Hermes เลยนะครับ!”
เจนยุทธโวยเมื่อเห็นเสื้อเชิร์ตผ้าไหมที่เจ้าตัวถอดโยนไว้กับพื้นอย่างไม่ใส่ใจตอนที่เร่งรีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าก่อนจะพากันเข้าไปในห้องน้ำ ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วเอื้อมมือไปรับเสื้อเชิร์ตแบรนด์ดังราคาแพงระยับจากมือเจนยุทธ เจโคลงหัวแล้วเดินไล่เก็บเสื้อผ้าที่ทั้งเขาและฆาเบียร์ถอดทิ้งไว้เป็นทางตั้งแต่หน้าประตูห้องมา
“นี่อีก เอามาโยนแบบนี้ได้ยังไง”
เจถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นเสื้อนอกแบรนด์เดียวกันที่ถูกโยนพาดไปกับตะกร้าขนมที่เขาวางไว้บนเคาเตอร์ครัว
“ดีนะไม่เปื้อน คราวหน้าโยนไปทางโต๊ะกาแฟนู่นนะครับ”
เจนยุทธบ่นพึมพำแล้วส่งเสื้อนอกสั่งตัดพร้อมทั้งกางเกงให้คนรัก
“ชุดนี้เก็บไปซักที่ฮ่องกงเองนะครับ ผมไม่ไว้ใจร้านซักรีดแถวนี้”
เจกำชับ ทุกครั้งที่ฆาเบียร์ใส่ชุดสูทสั่งตัดราคาเรือนแสนมา เขาจะบอกให้อีกฝ่ายเอากลับไปส่งซักที่ฮ่องกงแทนที่จะจัดการส่งซักแห้งให้เหมือนที่ทำกับสูททำงานธรรมดา ๆ ที่เจ้าตัวมักจะทิ้งเอาไว้เพื่อใส่กลับในคราวถัดไป
“ไม่เห็นเป็นไรเลย คราวที่แล้วที่เจเอาไปส่งซักให้ก็ออกมาโอเคนี่?”
“หือ ตัวไหนครับ?”
เจนยุทธทำหน้างง ทุกครั้งก่อนที่เขาจะเก็บชุดของฆาเบียร์ไปส่งซัก เขาจะดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่สูทแบรนด์เนมราคาแพงระยับเหล่านั้น
“คราวนู้นฉันทิ้งแจ็คเก็ตลำลองของ Kiton ไว้ เจก็ยังส่งซักแห้งให้ฉันได้ ออกมาก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย”
ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ
“ไอ้เบลเซอร์สีฟ้าเบบี้บลูที่คุณใส่กับยีนส์มาคราวนู้นอ่ะนะ? ตายห่าน นั่นของแพงเหรอครับ?”
เจนยุทธตาเหลือก เขาลองพลิก ๆ ดูเสื้อนอกคนรักทิ้งเอาไว้แล้วเมื่อเห็นว่าเป็นยี่ห้อที่ไม่คุ้นเคยจึงได้ส่งซักตามปกติเหมือนชุดสั่งตัดจากร้าน Sam’s หรือที่ฆาเบียร์ซื้อใส่แก้ขัดจากตามร้านทั่วไป
“ก็...แบรนด์อิตาเลียนน่ะ ไม่ต้องซีเรียสหรอกน่า ส่งซักตามปกตินั่นแหละ”
คนตัวโตพยายามพูดปัดไปเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอพูดสิ่งที่ทำให้คนรักต้องกังวลออกมา หากเจก็ได้วางเสื้อผ้าที่เขาหอบไว้ลงบนโต๊ะแล้วหยิบมือถือออกมาค้นหาชื่อแบรนด์นั้น
“ห๊ะ? ตัวละ 7,000 กว่าเหรียญ?”
เจนยุทธร้องเสียงหลงเมื่อเห็นราคาเสื้อนอกที่หน้าตาใกล้เคียงกันกับที่เขาส่งซักแห้งไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวบนเว็บไซต์ของห้างสรรพสินค้าดังในสหรัฐฯ
“ราคานี้แค่เสื้อไม่รวมกางเกงด้วย? ลมจะใส่”
ฆาเบียร์กลั้นยิ้มเมื่อเห็นความดราม่าของเจ้าตัวดีที่ทำท่าเหมือนจะซวนซบลงกับเก้าอี้บาร์
“คนเรามันต้องใส่เสื้อผ้าแพงขนาดนั้นด้วยเหรอครับ?”
เจนยุทธถามเสียงอ่อย ๆ
“แหม ฉันก็มีแบบนี้ไม่กี่ตัวหรอกน่า โดยมากก็เอาไว้ใส่ไปงาน ที่เหลือก็สูทสั่งตัดหรือ made-to-measure ของแบรนด์ทั่ว ๆ ไปมั่ง หรือบางทีถ้าเจอพวกสูทแฟชั่นแบบที่ใส่ฉาบฉวยฉันก็ซื้อแบบ ready-to-wear มานะ...”
“เอ่อ อิแบรนด์ทั่ว ๆ ไปของคุณนี่ Armani Hermes Zegna อะไรพวกนี้ใช่ไหมครับ?”
เจขัดคอเมียตัวโตเขาอย่างหมั่นไส้ ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ ในลำคอแล้วโน้มตัวลงโอบเอวคนที่นั่งทอดหุ่ยอยู่บนเก้าอี้บาร์
“ก็ พวกนั้นแหละจ้ะ มันติดเป็นนิสัยมาตั้งแต่ทำงานสายประชาสัมพันธ์แล้ว นายต้องเห็นคนอื่นในสายงานเดียวกัน พวกนั้นแต่งตัวจัดกว่าฉันอีกนะ”
ฆาเบียร์เอาคางเกยไหล่คนตัวเล็กแล้วสูดดมกลิ่นแชมพูอ่อน ๆ จากเรือนผมของคนรัก เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงัก เขารู้ดีว่าแม้กระทั่งในปัจจุบัน ฆาเบียร์ก็ต้องรักษารูปลักษณ์ของตนในฐานะหน้าตาของบริษัท
“แล้วไอ้ made-to-measure มันต่างจาก bespoke ตรงไหนครับ?”
เจดึงคนรักให้ลงนั่งบนเก้าอี้บาร์ตัวข้าง ๆ แล้วถามด้วยความสนใจ เขารู้ว่าแบบ bespoke คือการตัดขึ้นใหม่ตามแบบที่ลูกค้าต้องการโดยมีการเลือกแบบทุกอย่างได้ตามใจชอบตั้งแต่ปกเสื้อ ตำแหน่งกระเป๋า การตีเกล็ด และอื่น ๆ ส่วนการ made-to-measure นั้น เจทึกทักเอาว่ามันคงคล้ายกับการ ”วัดตัวตัด” ของไทย ซึ่งเขาก็ไม่ได้เห็นว่ามันจะต่างกับการ bespoke ตรงไหน
“ต่างสิ การ made-to-measure หรือก็คือการ custom-made มันคือการดัดแปลงแพทเทิร์นที่มีอยู่แล้ว ถ้าฉันอยากได้สูทแบบนี้สักตัว ฉันก็จะไปที่ร้าน เลือกแบบที่อยากได้ จากนั้นก็วัดตัวเพื่อให้ช่างทำการแก้ไขหรือตัดชุดขึ้นใหม่จากแบบมาตรฐานที่มีอยู่แล้ว โดยอาจจะเลือกชนิดผ้าอะไรพวกนี้เองได้...”
ฆาเบียร์ยกเสื้อนอกของ Hermes ที่เจเอาแขวนไว้กับพนักเก้าอี้มาเป็นตัวอย่าง
“ตัวนี้ฉันก็ไปเลือกแบบเอาจากชุดมาตรฐานที่เขามี แล้วก็วัดตัว...”
เจนยุทธฟังคนรักเล่าถึงกระบวนการสั่งตัดเสื้อผ้าของแบรนด์ดังอย่างเพลิดเพลิน
“ส่วน Kiton ตัววันนั้น นั่นก็เป็นแบบ made-to-measure เหมือนกัน เป็นคอลเลคชั่นฤดูร้อนปีนี้ มันจะแพงหน่อยเพราะว่าเจ้านี้เค้าดังเรื่องผ้าแคชเมียร์...”
Kiton แบรนด์ผู้ตัดเย็บชุดสูทจากเนเปิลส์ อิตาลีนั้น โด่งดังในเรื่องผ้าขนสัตว์ที่เรียกว่าแคชเมียร์ เป็นที่รู้กันว่าผ้าที่ทำจากขนชั้นในของแพะแคชเมียร์ของแบรนด์นี้มีความบางเบากว่าแบรนด์ไหน ๆ ทำให้ใส่สบายและชุดออกมาดูไม่หนาเทอะทะ แต่เสื้อนอกลำลองที่มีสนนราคากว่า 7,000 เหรียญของฆาเบียร์ตัวนั้นกลับเป็นผ้าแคชเมียร์ผสมกับลินินและไหมซี่งเหมาะกับการใส่ในฤดูร้อนมากกว่า เขาบอกเจนยุทธว่าเขาใส่เสื้อนอกตัวนั้นมาเชียงใหม่เพราะเขามาขึ้นเครื่องทันทีหลังจากนัดรับประทานอาหารกลางวันแบบไม่เป็นทางการกับท่านกงสุลสหรัฐฯ ประจำฮ่องกงและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ
“ฉันก็ลืมบอกนายไปซะสนิทเลยว่าไม่ต้องส่งซักให้ก็ได้”
ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ แว่บแรกที่เห็นเสื้อนอกตัวนั้นในถุงของร้านซักแห้งเขาก็อดใจหายวาบไม่ได้ แต่หลังจากเปิดสำรวจดูแล้วเขาก็เบาใจที่เห็นว่าทางร้านไม่ได้ทำเสื้อนอกราคาแพงระยับของเขาเสียหายหรือเสียทรง
“เขาก็ดูแลให้ดีอยู่นะ แต่คราวหลังฉันจะพยายามไม่ลืมแล้วกัน เจจะได้ไม่ต้องลำบากใจ”
“ครับ ดีครับ คุณทิ้งไว้แค่สูททำงานธรรมดา ๆ ที่ตัดจากร้านแซมส์แล้วกันนะ อิพวกแบรนด์นี่ผมไม่กล้ายุ่งจริง ๆ ยิ่งพวกชื่อแปลก ๆ นี่ ตอนแรกผมนึกว่าเป็นพวกเคาเตอร์แบรนด์ พอรู้งี้ ผมก็ไม่กล้าแตะแล้วอ่ะ”
เจนยุทธพูดเสียงอ่อย ๆ เขารู้จักแค่แบรนด์ที่เป็นแบรนด์แฟชั่นอย่าง Hugo Boss Zegna Hermes หรือ Tom Ford แต่พวกแบรนด์ที่เป็นผู้ผลิตสูทโดยเฉพาะอย่าง Kiton นี้ เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันเลยสักนิด
“แบบนั้นก็ได้จ้ะ ตามที่เจสบายใจเลยแล้วกัน”
“เห้ออออ ค่อยดีหน่อย ผมจะได้ไม่ต้องห่วงว่าจะไปทำสูทตัวละหลาย ๆ แสนของคุณพัง”
เจถอนหายใจแล้วฟุบหน้าลงกับเคาเตอร์บาร์
“เฮ้ออออออออออ!”
“เป็นอะไรไป หืมม์?”
ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วซบหน้าลงไปกับโต๊ะเพื่อให้อยู่ในระดับสายตาของคนที่ตะแคงหน้ามาทำตาแป๋วมองเขา
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่กำลังคิดว่าไอ้เจ้าสูททั้งตู้ของคุณที่ฮ่องกงน่ะคงแพงกว่าน้องอัซซูรี่ของผมอีกน้า”
“ไม่ขนาดนั้นซักหน่อยน่า”
คนตัวโตพูดอ้อมแอ้ม ในหัวของเขากำลังคิดคำนวณถึงราคาเสื้อผ้าที่อัดแน่นอยู่ในตู้แล้วก็พบว่าตัวเองตอบปฏิเสธได้ไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำนัก
“พวกสูทแบบเป็นทางการที่ฉันสั่งตัดไว้ชุดนึงก็ใช้ได้หลายปีอยู่นะถ้ารูปร่างฉันไม่เปลี่ยน โดยปกติฉันก็จะใช้วิธีตัดเก็บ ๆ ไว้ปีละสองสามชุด พวกที่แพงหน่อยก็ชุดสองชุด ส่วนพวกลำลองหรือสูทแฟชั่น ก็แล้วแต่ว่าถูกใจหรือเปล่า ถ้าชอบก็ซื้อ...”
ฆาเบียร์ใช้นิ้วเกลี่ยแก้มใสของคนที่ทำตาแป๋วฟังเขาอยู่
“โห งั้นที่เห็นที่ห้องคุณที่ฮ่องกงนี่คงสะสมมาเจ็ดแปดปีแล้วสิครับ กี่ตู้แล้วเนี่ย ทั้งในห้องทำงานแล้วก็ห้องนอน”
เจกระเซ้าคนรักที่ออกจะแฟชั่นจ๋าของเขา
“แหม ไม่ขนาดนั้นหรอก ก็พอมาอยู่ฮ่องกง ฉันก็เลือกตัดสูทร้าน Sam’s เพราะราคาดี คุณภาพก็ดี แถมอยากตัดเมื่อไหร่ก็ตัดได้ ไม่ต้องบินมาตัดเหมือนสมัยก่อน มันก็เลยล้นตู้อยู่แบบนี้ ตอนนี้ถ้าไม่ได้ออกไปพบปะใคร อยู่แค่ที่ทำงาน ฉันก็จะใส่สูทของที่นี่ แต่ถ้าวันไหนออกงาน ฉันถึงจะใส่สูทแบรนด์ ที่เห็นเยอะ ๆ นี่ก็ของร้าน Sam’s ทั้งนั้นนะ”
คนตัวโตพูดเสียงอ่อย ๆ เขาอดโคลงหัวไม่ได้เมื่อนึกถึงว่าตัวเองออกจะเพลินกับการที่อยู่ใกล้แหล่งตัดเสื้อผ้าราคาถูกจนกระทั่งต้องเพิ่มขนาดตู้เสื้อผ้ามาหลายรอบแล้ว
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ เงินคุณ ความสุขคุณ อยากซื้อก็ซื้อไปเหอะ ผมเข้าใจน่าว่าคุณต้องแต่งตัวดี ๆ ตลอดเวลาเพื่อรักษาภาพลักษณ์ แค่ว่าวันไหนคุณใส่ของแพงมาก็บอกผมหน่อย จะได้ไม่ไปยุ่งกับมัน”
เจยิ้มบาง ๆ เขากวาดตามองคนตรงหน้าที่อยู่ในชุดอยู่บ้านแบบสบาย ๆ คือกางเกงสะดอและเสื้อยืดธรรมดาพลางคิดว่าเขาคงเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่เคยเห็นผู้บริหารหนุ่มคนนี้ในลุคสบาย ๆ แบบนี้
“ตายล่ะ ตีหนึ่งแล้ว เราเก็บข้าวเก็บของให้เรียบร้อยกันเถอะครับ”
เจนยุทธสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเวลาบนนาฬิกา กว่าพวกเขาจะกลับถึงห้องก็เกือบเที่ยงคืนแล้วแถมยังเสียเวลานัวเนียกันและอาบน้ำไปอีกร่วมชั่วโมง คนตัวเล็กโดดลงจากเก้าอี้บาร์แล้วหอบเสื้อผ้าที่พวกเขาสองคนถอดทิ้งไว้เป็นทางไปใส่ในตะกร้าผ้าโดยที่ไม่ลืมแยกชุดสูทแบรนด์ดังของฆาเบียร์ไว้ต่างหาก
“เอาถุงใส่สูทมาด้วยหรือเปล่าครับ? ถ้าไม่ได้เอามาจะได้เอาของที่บ้านให้ไปก่อน”
“เอามาจ้ะ อยู่ในกระเป๋า”
เจพยักหน้ารับคำพลางเดินไปยกกระเป๋าเดินทางขนาดกลางของฆาเบียร์ขึ้นวางบนเก้าอี้ยาวที่ปลายเตียง แม้จะรู้รหัสเปิด เขาก็ขยับกายออกให้เจ้าของกระเป๋าได้ทำการปลดล็อคด้วยตนเอง ฆาเบียร์ส่งถุงใส่ชุดสูทให้เจและปล่อยให้คนตัวเล็กจัดการกับสูทของเขาไป ส่วนตัวเองก็จัดการรื้อเอาของออกมาจากกระเป๋าเดินทาง
“เอ๊ะ ซื้อแชมเปญมาเหรอครับ?”
เจนยุทธทักขึ้นเมื่อเห็นขวดแชมเปญที่ฆาเบียร์หยิบออกมาวางบนเตียง เขายกขึ้นมาดูและพบว่ามันคือแชมเปญที่เขาเพิ่งได้ลองลิ้มชิมรสและขึ้นแท่นเป็นของโปรดใหม่ของเขาอย่าง Dom Perignon Rose
“เจอถูกมาเหรอครับ แล้วจะเปิดเมื่อไหร่ดีล่ะ? หรือว่าซื้อมาเก็บครับ?”
เจนยุทธถามเรื่อยเปื่อยไป เขาทำท่าสนใจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกขวดหนึ่งที่เห็นคอขวดแพลมออกมาจากใต้เสื้อผ้าในกระเป๋าของคนรัก เขาเอื้อมมือไปเพื่อหยิบมาดูแต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินคำตอบของคนรัก
(อ่านต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)