4 – ไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่แตกต่างกับใจเย็น เป็นไทไม่ชอบสังเกตพฤติกรรมของคนอื่น ไม่เคยด้วยซ้ำที่จะเพ่งลึกลงในจิตใจของตนเอง เพราะเขาปิดผนึกมันไว้แล้วด้วยน้ำตาเทียนของค่ำคืนมืดมนอนธการนั้น เพื่อที่จะตัดปัญหาสับสนซับซ้อนในจิตใจ และเพื่อที่จะใช้ชีวิตได้อย่างปกติธรรมดาที่สุด
เป็นไทไม่ค่อยยืดหยุ่นต่อสิ่งใดนัก ไม่ค่อยชอบแกะกะเทาะความคิดความรู้สึกของผู้คน ถูกก็ว่าไปตามถูก ผิดก็ว่าไปตามผิด ถึงรู้อยู่แก่ใจว่าทุกสิ่งย่อมมีตื้นลึกหนาบาง แต่เป็นไทก็มักจะมองข้าม แม้แต่สาเหตุของความรู้สึกตนเองเขาก็มองข้ามไปเช่นกัน
เกลียดก็คือเกลียด เป็นไทคิดแค่นั้น
ตั้งแต่เด็ก เป็นไทเกลียดปรายผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องตัวเองเข้าไส้ เกลียดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้า ตอนนั้นเขาอายุสักเจ็ดขวบได้ ปรายอายุได้สี่ขวบ ตัวเล็ก ยิ้มหวาน และน่ารำคาญ
เป็นไทไม่รู้ว่าทำไมถึงเกลียดปรายนักหนา ทั้งที่ควรจะนับปรายเป็นน้องชายคนหนึ่งแต่เขาก็ทำไม่ได้ ทุกครั้งที่ได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ คนนั้นยิ้ม หัวเราะ ดังก้องกังวาน บางอย่างในใจสั่นสะท้านไหวกระเพื่อม ส่งผลกระทบให้เจ็บปวดรวดร้าวจนเขาไม่อยากเข้าใกล้ สุดท้ายจึงผลักไส ไม่ใยดี และห่างกันไปโดยไม่เคยรู้ถึงสาเหตุที่เกลียดปรายแม้แต่น้อย
จนวนกลับมาพบอีกครั้งเมื่อปรายขาดไร้ทั้งพ่อและแม่ ให้ต้องตกมาอยู่ในอุปการะของแม่เขาเอง เป็นไทก็ยังคงรู้สึกเกลียด แม้จะน้อยลงกว่าเมื่อครั้งเป็นเด็กแต่มันก็ฝังลึกยากจะจางหาย เป็นไทกระทำแต่สิ่งไม่พึงกระทำของการเป็นพี่ชาย และไม่เคยแบ่งปันความรักให้ จนผู้เป็นน้องรู้สึกโหวงว่างในหัวใจ นั่นแหละเป็นไทถึงจะพอใจขึ้นมาบ้าง
โดยไม่รู้ตัวเลยว่ายิ่งขุดหลุมในใจของปรายเท่าไหร่ หลุมในใจของเขาก็ยิ่งเปิดกว้างขึ้นเท่านั้น
แต่ก็นั่นแหละ นั่นแหละที่เป็นไทไม่เคยสำรวจตรวจค้นลงไปในใจของตนเอง เขาชอบอะไรที่มีคำตอบตายตัว ต่อให้ต้องค้นคิดซับซ้อนแต่ถ้าได้ผลลัพธ์ เขาก็ยังรู้สึกดีกับมัน ไม่ว่าอะไรๆ ก็ดีกว่าการต้องค้นลงไปในจิตใจมนุษย์ที่ซับซ้อน บิดพลิ้ว ผันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
จนในวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ เป็นกุมภาพันธ์ที่อากาศร้อนอ้าวราวกับเดือนเมษา เป็นไทก็ถูกสะกิดแง้มถึงซับซ้อนเล็กๆ ในจิตใจตนเอง
เป็นไทไปงานคอนเสิร์ตที่คลื่นวิทยุออนไลน์แห่งหนึ่งเป็นผู้จัด เป็นงานรวมศิลปินหลากค่ายหลายวงดนตรี เวทีกระจายไปตามจุดต่างๆ ในสวนสนุกร้างที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน ตามสไตล์ของงานดนตรีที่ก้ำกึ่งระหว่างนอกและในกระแส ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากนัก ผู้คนในงานเดินกระจัดกระจายไปตามเวทีนู้นเวทีนี้ ไม่ได้มีมุมไหนกระจุกเบียดเสียด และก็ไม่มีเวทีไหนที่ผู้คนจะเต้นกันเป็นบ้าเป็นหลัง ส่วนใหญ่ก็แค่ยืน ยินดี และโห่ร้องไปตามโอกาสแห่งท่วงทำนองเพลง ซึ่งเป็นไทก็คงเป็นหนึ่งในคนที่ดูเฉยเมยเหล่านั้น เขามาเพียงเพราะเพื่อนชวนมาเปลี่ยนบรรยากาศตอนจิบเบียร์เท่านั้น
ด้วยไม่ได้คลั่งไคล้วงดนตรีไหนเป็นพิเศษจึงนั่งจับกลุ่มกันอยู่บนพื้นอย่างที่เห็นได้ทั่วไปในงาน ให้มีมารยาทหน่อยก็จะไม่เบียดเสียดอยู่หน้าเวที ขยับมาด้านหลังไกลโพ้นเพื่อให้เกียรติศิลปินที่กำลังขึ้นเล่นไม่ให้เห็นแล้วเสียกำลังใจ และข้อดีอีกอย่างคือเสียงดนตรีจะดังคลอกับบทสนทนาไร้สาระเรื่อยเปื่อย วิพากษ์วิจารณ์สไตล์การแต่งตัวของผู้คนในงาน ทั้งเอิร์ธโทนเรียบง่ายและเสื้อฮาวายสีแสบสันตัดกันสับสนซับซ้อน หุ่นของหญิงสาวที่เดินผ่าน เสียงดนตรีวงที่รู้จักและไม่รู้จัก และเสียงสายลมที่พัดผ่านมาเป็นระยะ ให้บรรเทาอบอ้าวในค่ำคืน แม้สุดท้ายแล้วจะยังเหนียวเนื้อตัวจากเหงื่อไคลก็ตาม
และคืนนั้นก็คงจบลงด้วยดีหากกระป๋องเบียร์กระป๋องสุดท้ายของเป็นไทไม่ได้ถูกเตะล้มจากใครบางคน
ไม่ ถึงเป็นไทจะอารมณ์ร้อนเพียงใดก็ใช่ว่าจะลุกขึ้นไปเอาเรื่องทันที เขายังดูท่าทีของตัวการว่าจะทำอย่างไร แต่ที่เห็นก็มีเพียงยืนหมกมุ่นกับสนทนารื่นเริงของพวกพ้องตัวเอง จนเมื่อสะกิดบอกว่าทำเบียร์หก สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงการหันมอง ยกมือเป็นสัญญาณขอโทษเล็กน้อยและกลับไปคุยกันต่อราวกับมีอะไรสำคัญนักหนา และจังหวะนั้นแหละ ที่อารมณ์เดือดดาลของเป็นไทพุ่งปรี๊ดปรอทแตก
“เฮ้ย มึงจะขอโทษสักคำนี่ตายเหรอวะ”
เขาลุกขึ้น โวยถาม ขึ้นมึงกูไม่เกรงใจใดๆ ในเมื่ออีกฝ่ายก็ดูเป็นแค่พวกเด็ก ม.ปลาย เพื่อนของเป็นไทเห็นท่าไม่ดีก็รีบลุกตาม ไม่ใช่ว่าถ้ามีเรื่องจะช่วยตะลุมบอน แต่หาจังหวะห้ามปรามต่างหาก ด้วยก็รู้ว่าเป็นไทนั้นเลือดร้อน วีรกรรมที่แทบจะแปะอยู่บนหน้าเพื่อนของตนก็คือการอัดหมัดเข้าหน้าพี่ว้ากที่พูดจาไร้เหตุผล จนไม่มีรุ่นพี่คนไหนอยากยุ่งด้วยอีกเลย
“ขอโทษแล้วกัน” และเพื่อนของเป็นไทก็แทบจะปาดเหงื่อเมื่อได้ยินวาจากระด้างกระเดื่องเหล่านั้น แทบจะคว้าตัวเป็นไทล็อกไว้เมื่อได้ยินเสียงพึมพำแผ่วแต่ยินชัดว่าทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ แน่นอนว่ายิ่งโหมกระพือไฟเดือดดาลของเป็นไทให้ยากจะดับมอด และเด็กพวกนั้นก็กลับพูดจาวอนตีนอีกว่าจะให้มีเรื่องก็ได้ กระทั่งพวกของมันอีกสองสามคนเข้ามาสมทบ แต่ไม่ ไม่ได้จะมีเรื่อง หากเข้ามาห้ามปรามและฉุดกระชากให้ถอยห่างจากกัน สถานการณ์ดูเหมือนจะบรรเทาลงบ้าง ก่อนหยุดชะงักเยือกแข็งจากถ้อยคำของเพื่อนที่เพิ่งเข้ามาเมื่อครู่ และเป็นคนเดียวที่ไม่ได้พาตัวเองเข้ามาดึงรั้งห้ามปราม
“วันเกิดกู ยังจะมีเรื่องกันอีกเหรอ”
แต่ก็แค่นั้น แค่นั้นที่ทำให้เพื่อนสงบความวุ่นวายลง อาจเพราะเห็นแก่วันเกิดของเพื่อน หรืออาจเพราะที่จริงแล้วเป็นหัวโจกของกลุ่ม หากเป็นไทก็ไม่ได้สนใจในจุดนั้น ไฟโกรธของเขายังปะทุกรุ่น ขณะที่เพื่อนก็พยายามดับไฟนั้นให้มอดโดยบีบรั้งไหล่เอาไว้เหมือนเรียกสติ ก่อนจะเล่าอธิบายสาเหตุของเรื่องแทนเขา มีถ้อยถกเถียงจากฝ่ายนั้นบ้าง แต่สรุปแล้วฝ่ายผิดก็ดูจะเป็นคนที่ไม่ยอมขอโทษเต็มปากเต็มคำ
“งั้นเหรอ” แล้วคนฟังความก็ตอบรับสั้นง่ายเช่นนั้น น้ำเสียงเรียบ นิ่ง จนไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับปัญหานี้กันแน่ กระทั่งแววตาที่ดูนิ่งไม่ต่างจากน้ำเสียงหันมาสบตากับเป็นไท และเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ชะงักยิ่งกว่าใดๆ ในเมื่อครู่ “ให้ผมซื้อเบียร์คืนให้เป็นไทก็ได้นะ”
“เดี๋ยว รู้ชื่อกูได้ยังไง” เป็นไทมั่นใจว่าไม่มีใครเอ่ยชื่อเขาในบทสนทนาเมื่อครู่ ความสงสัยพุ่งแซงไฟโกรธที่ดูจะมอดลงชั่วพริบตา
“เราเคยเจอกันนะครับ” เด็กคนนั้นเอ่ยเฉลย “ที่งาน Open House”
เป็นไทคิ้วขมวด พยายามนึกย้อนไปถึงเด็กที่เจอในวันนั้น มากหน้าหลายตาจนอยากเอ่ยปากด่าให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อเพ่งมองดีๆ ถึงโครงหน้า แววตา บรรยากาศนิ่งเย็นทั้งที่ร้อนอบอ้าวไม่ต่างกันไม่ว่าจะบ่ายวันนั้นหรือคืนนี้ เขาก็เริ่มจะนึกออก
และก็มีเด็กเพียงคนเดียวที่ถามชื่อเขา
“ว่ายังไง อยากได้เบียร์คืนไหมครับ” แต่ไม่ให้ทันได้เอ่ยอะไร คนตรงหน้าก็เอ่ยถามประเด็นเดิม
“ในงานไม่มีเบียร์ขาย พวกกูหิ้วเข้ามาเอง”
“งั้นเหรอ” อีกแล้วกับการตอบรับสั้นง่าย และนิ่งเรียบ “เอายังไงดีล่ะ”
“บุหรี่สักซองก็ได้”
“ผมไม่สูบ” อีกฝ่ายตอบมาทันควัน และไม่เว้นระยะให้เป็นไทได้เอ่ยถามถึงเพื่อนคนอื่น เพื่อนที่เป็นตัวการก็ได้ว่ามีไหม คำถามก็เอ่ยมาก่อน “อย่างอื่นในงานได้ไหมครับ แผ่นเพลง เสื้อ หรือว่าของกิน”
“เออๆๆ สักอย่างก็ได้”
เป็นไทตัดบท เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายก็พยายามจบปัญหาด้วยดี เขาขี้เกียจจะยืดเยื้อมากความ เห็นรอยยิ้มบางเบาปรากฏบนใบหน้า เอ่ยบอกให้เขาไปเลือกดูของ และก่อนจะปลีกตัวจากมาด้วยก็ได้ยินถ้อยคำที่บอกกับเพื่อน ไม่เป็นไร เคลียร์ได้แล้ว รู้จักกัน ทั้งที่จริงแล้วไม่รู้จักเลยสักนิด
“ผมชื่อใจเย็นนะครับ” แต่เหมือนรู้ว่าถูกนินทาอยู่ในใจ ‘ใจเย็น’ จึงเอ่ยแนะนำตัวเองตอนที่เดินตามเขามาที่โซนขายของ อยากจะเอ่ยไปว่าไม่ได้ถาม แต่ชื่อที่ได้ฟังก็ชวนให้ด่าออกไปอีกอย่าง
“ชื่อแหววสัด”
เป็นไทรู้ตัวว่าปากไว ไวพอที่จะก่อให้เกิดเหตุทะเลาะกันได้อีกสักยกสองยก แต่ใจเย็นก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ยิ้มเบาบางเหมือนกับที่เห็นเมื่อครู่
“เป็นไทอยากได้อะไร”
“มึงจะไม่มีคำนำหน้าชื่อให้กูหน่อยเหรอวะ”
“มันยาวไป” เอ่ยตอบเรียบนิ่งแฝงความเอาแต่ใจ หากก็ดูเป็นเรื่องปกติของเจ้าตัวเมื่อเปลี่ยนเรื่องไปอย่างเนียนสนิท “ชอบวงอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“หึ ไม่มี”
“งั้นเหรอ” พลันอยากนับว่ากี่ครั้งแล้วที่ใจเย็นพูดคำนี้ “งั้นของกินไหม”
ดูประจวบเหมาะเจาะพอดีที่ทั้งคู่เดินมาถึงซุ้มของกิน ทั้งจริงจังและกินเล่นปะปนสลับกันไปแบบซุ้มต่อซุ้ม ผู้คนต่อคิวกันยาวยืดในบางร้าน และเงียบเหงาซบเซาในร้านข้างเคียง เป็นไทไม่ได้อยากจะกินอะไรเป็นพิเศษนัก แต่คงดีกว่าซื้อแผ่นเพลงที่ได้มาก็ไม่เปิดฟัง
“ก็ได้”
“ไอติมไหมครับ” และไม่ทันได้เลือกอะไรก็ถูกแนะแนวทางไปอีกครั้ง “ดับร้อน”
เป็นไทไม่ได้ตอบทันที แต่มองป้ายราคาเห็นว่าไอศกรีมหนึ่งสกูปก็แพงกว่าค่าเบียร์แล้วจึงพยักหน้าเออออ อีกครั้งที่ใจเย็นยิ้มบางเบา หากก็เริ่มรู้สึกว่ามันเป็นยิ้มกวนตีนในเมื่อเขาเอ่ยบอกว่ารสช็อกโกแลต ใจเย็นกลับสั่งกับแม่ค้าว่ารสสตรอเบอร์รี่
“ผมว่าสตรอเบอร์รี่อร่อยนะ” พูดเองเออเองเสร็จสรรพ “สั่งไซส์แอลให้เลย”
เป็นไทรู้สึกหมดคำพูด จะด่าว่ากวนตีนยังขี้เกียจ เริ่มจับนิสัยเด็กคนนี้ขึ้นมาได้เลาๆ ว่าค่อนข้างเอาแต่ใจ ภายใต้คำพูดคำจาที่ดูมีมารยาทนั่นก็แฝงความกระด้างกระเดื่องเอาไว้เต็มไปหมด ไม่บ่อยนักที่เป็นไทจะสังเกตใครให้ชัดในครั้งแรกที่เจอ ไม่สิ นี่คงเป็นครั้งที่สอง แต่อย่างไรก็จำครั้งแรกได้ไม่ชัดนัก ที่จำได้เห็นจะมีแต่แววตาที่ดูนิ่ง สุขุม ยากคาดเดา ครั้งนี้ที่เพิ่มเติมคือพวกอากัปกริยา การแต่งกาย เสื้อแขนยาวลายขวางเส้นเล็กกับกางเกงขาสั้น สไตล์เหมือนนายแบบของเสื้อผ้าแบรนด์ญี่ปุ่นที่เห็นบ่อยๆ ตามห้าง หรืออันที่จริงก็เห็นได้ในวัยรุ่นทั่วไปน่ะแหละ แค่ดูโดดเด่นกว่าด้วยหุ่น ผิวพรรณ และบุคลิก
สรุปง่ายๆ คือใจเย็นดูเป็นลูกคนมีเงิน และได้รับการอบรมมาดีพอสมควร กระนั้นเลยก็ปิดความเอาแต่ใจแข็งกระด้างไว้ได้ไม่มิด
“ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะครับ” พลันเด็กเอาแต่ใจคนนั้นก็หันมาพูดกับเป็นไทพร้อมยื่นถ้วยไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่มาให้ “บางครั้งก็ออกจะไม่มีมารยาทไปบ้าง”
“มึงก็ไม่มีมารยาทเหมือนกัน” อีกครั้งที่เป็นไทปากไว ว่าไปทั้งที่ก็เพิ่งรับของมาและลองตักชิมโดยไม่สนอีกคน รสหวานของไอศกรีมสตรอเบอร์รี่แผ่ซ่านบนลิ้น ดับร้อนชุ่มชื่นคอชวนให้นึกว่าก็ไม่เลวนัก
“ทำไมล่ะครับ” หากเงยหน้ามา ก็เห็นใจเย็นเอ่ยถามด้วยสงสัย
“ก็รสไอติมยังเลือกเองเออเองไม่ถามกูสักคำ”
“งั้นเหรอ” ตอบรับแบบที่ดูไม่รู้ตัวตามนั้นจริงๆ “งั้น...เดี๋ยวคราวหน้าผมจะถามแล้วกัน”
คำว่า ‘คราวหน้า’ ทำให้เป็นไทรู้สึกคิ้วกระตุก แต่กระนั้นเลย ประโยคต่อๆ มาก็ส่งผลหนักกว่านั้น
“แต่ผมว่า”
“ว่าอะไร”
“ตอนนี้เป็นไทออกจะพอใจกับรสนี้”
นั่นแหละ ที่เป็นไทรู้สึกว่าเลือกสีหน้าไม่ถูก
“มึงจะรู้ได้ยังไง”
“ผมสังเกตผู้คนเยอะ” ใจเย็นเอ่ย แววตาที่ยากจะคาดเดาในตอนนี้ทำให้คนถูกจ้องรู้สึกเหมือนกำลังถูกล้วงความลับ “เลยคิดว่าดูรู้”
และไม่รู้ทำไม ทั้งที่อากาศร้อนอบอ้าว แต่เป็นไทรู้สึกเย็นขึ้นมา เย็นแบบที่บอกไม่ถูก เหมือนเย็นอยู่ในบรรยากาศรอบตัวที่แผ่ออกมาจากตัวตนของใจเย็น แต่เขาก็คิดว่าคงเป็นเพราะไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่ที่แผ่ซ่านอยู่ในปาก ในกาย แต่พลันบรรยากาศเหล่านั้นก็เลือนหายเมื่อใจเย็นยิ้มออกมา เป็นยิ้มกว้าง สดใส ไม่ได้บางเบาและปรุงแต่งเหมือนที่เคย
“แต่ผมจะไม่คิดเองเออเองแล้วกัน” เอ่ยคำนั้น ให้เป็นไทไม่รู้จะเถียงหรือสนทนาอะไรต่อ “เราหายกันแล้ว ไปแล้วนะครับ”
“เออไปเหอะ”
เป็นไทตอบรับ แทบอยากจะไล่ให้ไปพ้นๆ ด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ดีว่าไม่ต้องลงแรงไร้สาระขนาดนั้น เขามองเด็กคนนั้นหันหลังเดินจากไป มองแผ่นหลังที่ห่างออกไปไกลเรื่อยๆ ก่อนจะละสายตา กลับมาสนใจกับไอศกรีมในถ้วย ไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่ที่เขาไม่ได้เลือกเอง พลันก็ให้ความรู้สึกเย็นพัดหวนกลับแบบที่ไม่ใช่แค่อุณหภูมิจากไอศกรีม แต่เป็นความเย็นเมื่อนึกถึงถ้อยคำของใจเย็น นึกถึงแววตาที่ดูทะลุทะลวงเข้ามาถึงลึกๆ ในใจและจับความลับได้
ว่าความจริงเป็นไทชอบไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่ และชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว
กระนั้นด้วยเพราะกลัวจะขาดไร้เพื่อน กลัวคำที่เพื่อนล้อว่ากินอะไรเป็นผู้หญิง กลัวว่าจะไม่มีสังคมแม้แต่ที่โรงเรียนทั้งที่ที่บ้านก็แย่พออยู่แล้ว เวลาเลือกกินไอศกรีม เป็นไทจึงเลือกแต่รสที่ตัวเองไม่ได้ชอบ อะไรก็ได้ที่จะทำให้ไม่ดูแปลกในสายตาเพื่อน จนกระทั่งที่สุดแล้วเขาก็ลืมเลือนรสและกลิ่นหอมหวานของมันไป และเพิ่งกลับมาย้อนนึกเอาได้ในวันนี้เอง
ฟังดูเป็นเรื่องเล็ก แต่เป็นไทรู้สึกว่ามันกระทบกระเทือนสั่นไหว อยากจะรีบกินต่อให้หมดๆ ถ้วย ไม่อยากให้เพื่อนเห็นว่าเขาได้อะไรกลับมาเป็นการชดเชย แต่จนบทเพลงที่แว่วดังมาไกลๆ จากเวทีไหนสักเวทีจบลงแล้วเขาก็ยังไม่อาจกินให้หมดได้ ตอนนั้นเองจึงเริ่มหงุดหงิด เพราะรู้สึกเหมือนถูกงัดแง้มเข้ามาในซับซ้อนของจิตใจ และกลัวว่าจะถูกทะลุทะลวงลึกเข้าไปในทุกๆ เรื่องที่ซ่อนเอาไว้
เรื่องที่เขาเกลียดปรายก็เหมือนกัน ไม่อยากถูกสะกิดบอกให้รู้ตัวเลยว่าที่จริงก็เพราะอิจฉา อิจฉาที่ปรายมีพ่อแม่มอบความรักให้อย่างเปี่ยมล้นแบบที่เขาไม่เคยได้รับเลยตลอดชีวิต*******************************************************************************************
เหมือนว่าทั้งคู่ไปคุ้ยตะกอนในใจของกันและกันโดยไม่รู้ตัวเลยเนอะ
คงได้เห็นบุคลิกของใจเย็นชัดขึ้น จะชังหรือชอบก็อยากให้บอกสักหน่อย แต่หวังให้ชอบนะคะ 55
*เผื่อใครลืม ใจเย็นชอบไอศกรีมรสนี้อยู่แล้ว ไม่ได้เลือกเพราะรู้ว่าเป็นไทชอบ มารู้ทีหลังค่ะ
สำหรับแท็กเรื่องนี้ #ใจเย็นกับเป็นไท ค่ะ
ขอบคุณคนอ่านทุกคนนะคะ