...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]  (อ่าน 172519 ครั้ง)

ออฟไลน์ YaoTJi

  • เพราะชีวิต ขาดวายไม่ได่้
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
คุณทรายๆสู้นะคะ ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ :กอด1:

นิยายเรื่องนี้สนุกมากๆเลย  o13

ออฟไลน์ 9nawKIHAE

  • ♥BJYX~
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
แทบเป็นลม ฮือออออ ละมุนมากแก้วตาของคุณพระนาย ♥/////♥
ใกล้จบแล้ว แปลว่าใกล้จะสมหวังกันแล้วใช่มั้ยยย  :heaven

ออฟไลน์ pure_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ตามไปอ่านที่เป็นฟิค ยูซู ด้วยค่ะ  ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆ ดีใจที่ได้อ่านนะค่ะ ^^

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕...[21-04-2557...หน้า๗]
«ตอบ #183 เมื่อ21-04-2014 01:46:52 »

...อสงไขย...
...กาลที่๑๕...



*********





...รัก...




เพล้ง!  แก้วใสพลัดตกจนแตกละเอียดเรียกให้คุณพระนายหนุ่มสะดุ้งตกใจหลุดจากภวังค์  เขามองแก้วแตกด้วยใจเต้นไม่เป็นส่ำ  ความรู้สึกแปลกๆอันยากอธิบายรุมเร้าจนคนนั่งข้างๆต้องหันมามอง  ใบหน้าคมสันซีดเผือดไร้สีเลือดเพ่งมองเศษแก้วบนพื้นนิ่ง
มือขาวแตะเศษแก้วแล้วขมวดคิ้ว  แก้วใบนี้เป็นใบโปรดที่เขาซื้อมาจากเมืองฝรั่งเป็นของระลึกคราวไปเรียนต่อแล้วกลับบ้านเมืองมารับราชการ  เมื่อครู่เขาเอาแต่คิดถึงแก้วตาอย่างไม่ทราบสาเหตุ  ไม่ใช่การคิดถึงอย่างทุกครั้ง  หากเป็นความพะวงห่วงหา  ไม่สบายใจและเป็นกังวล

“แก้วตา?”

“คุณใหญ่ว่ากระไรนะขอรับ?”  แสนเงยหน้าจากงานขึ้นถาม

“เมื่อครู่ฉันได้ยินเสียงแก้วตา”

“...คุณใหญ่หูแว่วเพราะคิดถึงคุณแก้วมากไปเป็นแน่”  แสนกระเซ้า

“แสน  เร่งทำงานให้เสร็จเถอะ  ฉันอยากกลับไปหาแก้วตาเร็วๆ”

“ฮั่นแน่  เพิ่งมาได้สอง-สามวันเองนะขอรับ...”  แสนหุบปากฉับเมื่อใบหน้าหล่อเหลาของคุณพระนายหนุ่มไม่ได้ยิ้มรับคำพูดเย้าแหย่จากเขา  หนำซ้ำดูเหมือนจะไม่ได้ฟังเสียด้วยซ้ำ  คิ้วเรียวเข้มขมวดมุ่นเคร่งเครียด  ใบหน้าเป็นกังวลจนแสนต้องรีบทำงานในมือให้เสร็จตามที่อีกฝ่ายต้องการ

“ถึงเร่งงานตรงนี้ก็ติดว่าคุณใหญ่ต้องอยู่รับรองท่านเจ้าหัวเมืองบ้านเสมาอยู่ดีนะขอรับ  อยากเร่งกลับเพียงไรก็หาได้ว่องไวเช่นใจคิดไม่”  แสนท้วงติงเมื่อเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังบอกเวลายามสองอันเป็นการบอกว่าล่วงเข้าวันใหม่แล้ว

“แค่เสี้ยวนาทีเดียวฉันก็อยากจะเร่งอยู่ดีนั่นแหละแสน”  ชายหนุ่มถอนหายใจ  ในอกหนักถ่วงไม่คลายแม้แต่นิด



กว่างานที่ได้รับมอบหมายจะเสร็จสิ้นก็ล่วงเข้าไปสิบวันพอดี  คุณพระนายถูกเชื้อเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงที่เจ้าเมืองบ้านเสมาจัดขึ้นหากเขาบ่ายเบี่ยงอ้างว่าไม่สบายแล้วขอตัวกลับไปพักแล้วเร่งเก็บของจ้างเรือเพื่อกลับพระนครทันที
หากติดเครื่องยนต์เรือที่นี่ได้เหมือนรถในเขตพระนครได้เขาก็อยากทำเสียเดี๋ยวนี้  เพราะแม้ว่าจะย้ำฝีพายให้เร่งมือเท่าใดก็ยังไม่อาจเร็วเท่าใจเขานึกอยากให้เป็น  ชายหนุ่มจึงได้แต่นั่งกลัดกลุ้มอยู่ตรงหัวเรือนั่นเอง
แสนเกาหัวพลางคิดว่าคุณพระนายของเขานั้นไม่สบายใจเรื่องอะไรอยู่จึงได้มีท่าที่เยี่ยงนี้  เร่งทำงานและต้องการกลับไปหาคุณแก้วเขาก็พอเข้าใจหรอก  ว่าคุณพระนายอยู่ในช่วงรักหวานชื่นกับคนตัวเล็ก  แต่เมื่อใดที่มีงานราชการคุณพระนายไม่เคยเร่งขนาดนี้  งานทุกอย่างของคุณพระนายต้องละเอียด  ถูกต้องทุกกระเบียดและไม่มีคำว่าพลาดให้เกิดขึ้น  นี่ถึงกับจ้างเรือให้ไปส่งแม้จะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม  ...ช่างผิดวิสัยนัก


*********











ร้อน

แดดแรงเหลือเกิน  เจ็บไปหมดเลย...

น้ำ...


ความเจ็บแสบบาดเนื้อตรงข้อมือ  ริมฝีปากแห้งผาก  ร้อนในคอราวกับจะกลายเป็นผง  ข้อมือเล็กพยายามขยับเพื่อให้หลุดจากพันธนาการแต่ยิ่งบิดก็ยิ่งรู้สึกราวกับเนื้อจะฉีกหลุด  ความสากของเชือกเส้นโตบาดผิวจนเลือดซึม  ใบหน้าเนียนบัดนี้หมองคล้ำไหม้แตกเงยขึ้นมองท้องฟ้าและเงาไม้ที่ทาบทับลงมาอย่างท้อแท้สิ้นหวัง

“ช่วยด้วย”  น้ำเสียงแหบโหยดังเพียงแค่ในลำคอ  เขาได้แต่กรีดร้องในอกด้วยความหวาดกลัว

ช่วยด้วย

ใครก็ได้ช่วยที  ทรมานเหลือเกิน

เด็กหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนถูกจับมาด้วยเหตุผลอะไร  เคยสร้างความเกลียดชังให้ใคร  ตอนนี้เขาหวาดกลัวจับใจจากกลางคืนเปลี่ยนเป็นกลางวันหลังจากถูกทำร้ายทางด้านหลังเมื่อคืนก็ยังไม่มีใครมาพบเขาหรือปล่อยเขาไป
ความเขียวขจีของร่มไม้ใหญ่ที่เขาเคยชื่นชอบบัดนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย  เด็กหนุ่มร่ำร้อง  ภาวนาขอให้ใครมาเจอเขาและช่วยเขาที...ใครก็ได้...

ช่วยด้วย

คุณใหญ่...

คุณใหญ่ช่วยแก้วตาด้วย...
.
   .







“ไอ้แก้ว ให้ข้าไปส่งที่เรือนไหม?”

“อะไรของพี่น่ะพี่ก้าน?  ฉันก็เดินกลับเรือนเองมาแต่ไหนแต่ไร  วันนี้ทำไมถึงจะไปส่งฉันล่ะ?”  เด็กหนุ่มหัวเราะช่างซ่อมกลองวงพาทย์อันเป็นคนสนิทคุ้นเคยกันดี

“ไม่รู้ว่ะ  ข้าก็แค่นึกห่วงเอ็งเท่านั้นแหละ”

“ไม่มีอะไรหรอกพี่ก้าน  ฉันกลับคนเดียวได้พี่เองรีบกลับบ้านเถอะ  เมียรอแย่แล้วมังนั่น”  แก้วตาเอ่ยปฏิเสธด้วยรู้ว่าดึกป่านนี้ลูกเมียของอีกฝ่ายคงรออยู่

“แต่...”  ไม่รู้ทำไมในใจของก้านถึงยังไม่คลายกังวล  เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วถอนหายใจ  “ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งเอ็งมาซ้อมรำเช้าๆละกัน  ถ้าเห็นหน้าเองข้าจะได้หายห่วง”  ก้านโบกมือลาก่อนจะหันไปอีกทางเพื่อลงเรือ เด็กหนุ่มยิ้มตอบ  หัวเราะพี่ก้านว่า  ห่วงอย่างไรกันถึงให้ไปซ้อมรำเช้าๆ

มือเล็กเร่งตะเกียงในมือให้สว่างขึ้นอีกนิด  จู่ๆก็นึกถึงใบหน้าเจ้าเล่ห์ของคนที่ไปราชการขึ้นมาจนอดหัวเราะไม่ได้  ป่านนี้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะนอนหรือยัง  ไม่ใช่ว่าเร่งโหมทำงานจนไม่ได้หลับได้นอนเช่นคราวไปอยุธยาเมื่อเดือนก่อนอีกหรอกรึ?  แต่สาเหตุที่ฝ่ายนั้นเร่งรีบก็คงจะมาจากเขานั่นแหละ  คิดถึงตรงนี้หัวใจของเขาก็เต้นแรงและพองโต
ใบหน้าและกิริยายามออดอ้อนของคนตัวโตเวลาที่เขาทำเป็นนิ่งเฉยตอนโกรธอีกฝ่าย  สุดท้ายเขาต้องหายโกรธเพราะการอ้อนนั้น...ทั้งอ้อนด้วยกอด  ทั้งอ้อนด้วยจูบจนเขาอ่อนระทวยไปเสียทุกครั้ง  เวลาเถียงกันด้วยเรื่องมีสาระบ้างไร้สาระบ้าง  อีกฝ่ายมักยอมลงให้เขาแล้วเอ่ยปากว่าขอโทษก่อน  จนบางครั้งเขาเองนั่นแหละที่รู้สึกผิดและเอ่ยขอโทษกลับไปบ้าง  หลังจากนั้นก็จะโดนตักตวงคำขอโทษคืนด้วยร่างกายแทน

แก้วตายกยิ้ม  นึกถึงคราแรกตอนเห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่กับมารดาของเขาตรงชานเรือน  มาถามหาคนรำฉุยฉายในวันงานที่สมเด็จออกขุนนางด้วยใบหน้าคาดหวัง  แล้วเปลี่ยนผิดหวังเมื่อรู้ว่าคนคนนั้นเป็นผู้ชาย  มารดาบอกเขาว่าได้โกหกไปว่ามารดาเป็นคนรำฉุยฉายเองในวันนั้นเพราะคิดว่าคุณพระนายคงตกหลุมรักนางรำคนนั้นเป็นแน่ถึงได้เที่ยวตามหา  มารดากลัวแก้วตาจะเดือดร้อนจึงทำแบบนั้น  มาลองๆคิดตามก็เห็นจริงเพราะหลังจากวันที่ถูกชกจนหน้าหงายเขาก็ไม่เจอชายหนุ่มไปหลายสิบวัน
เมื่อเจอกันโดยบังเอิญคราวตามท่านลุงออกงาน  ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดยามเห็นเขา  มองไปก็หลบสายตา  พอเผลอก็คอยแอบมองให้เขาหงุดหงิดเสียหลายรอบ  จนเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายที่เรือนท่านลุงบ่อยๆ  ได้ทะเลาะทุ่มเถียงกับอีกฝ่ายและนายแสน  จนกลายเป็นเรื่องเคยชิน  พอไม่เห็นหน้าวันใดหัวใจจะเต้นช้าๆอย่างเหงาหงอย  หรือวันไหนได้ยินเสียงในอกมันเต้นแรงระรัวจนไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน  ทั้งหวาดวิตกทั้งเจ็บปวด  คละเคล้าความสุขบ้างในแต่ละวัน  และสุดท้ายก็กลายมาเป็นแบบนี้

ความคิดหยุดชะงักเมื่อโดนขวางหน้าจากร่างสูงใหญ่ของชายฉกรรจ์สองคน  แก้วตาก้าวถอยหลังเพราะอีกฝ่ายปกปิดหน้าตาย่างสามขุมเข้าหาเขาด้วยเจตนาที่บ่งชัด  หันหลังจะวิ่งหนีก็ถูกดักทางด้วยอีกคนเอาไว้   ตะเกียงเจ้าพายุถูกฉกกระชากแย่งไปจากมือ

“ต้องการอะไร?”  เสียงหวานเอ่ยถาม  เขาพยายามบังคับไม่ให้มันสั่นแต่กระนั้นก็ยังไม่อาจควบคุมความหวาดกลัวได้ 

“มีคนอยากให้แกหายหน้าหายตาไปสักพัก!”  คนนั้นตะคอกเสียงดัง

“ใครกัน?”  มือเล็กเลื่อนแตะแหวนตรงนิ้วคล้ายวอนขอให้คนที่มอบมันให้กับเขาอยู่ตรงนี้

“ไม่ต้องรู้หรอก!”  สองคนด้านหลังตวาดแล้วเข้ากระชากมือเล็กกำไว้แน่น

“พี่ชาย!  ฉันขอร้องล่ะอย่าทำอะไรฉันเลยนะ  ฉันไม่ได้ทำอะไรให้พวกพี่โกรธเคืองไม่ใช่หรือ?”

“แกไม่ได้ทำพวกข้า  แต่แกทำกับคนที่สั่งพวกข้ามา”

“ฉันขอร้องล่ะ  พวกพี่ปล่อยฉันไปเถอะนะ”  มือเล็กยกขึ้นไหว้อ้อนวอน  ในใจนึกถึงมารดาซึ่งคงกำลังคอยเขาอยู่

“พวกข้าทำไม่ได้”  เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็นิ่งขึง  ก่อนจะดิ้นสุดแรงเกิดเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย

 “ช่วย...!”  เสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือขาดหาย  ริมฝีปากถูกปิดจากมือสาก  ความเจ็บปลาบแล่นผ่านท้ายทอยแล้วการรับรู้ค่อยๆมืดลง
.
.


“ช่วยด้วย!  มีใครได้ยินบ้างไหม!  ช่วยด้วย!”  เสียงหวานตะโกนจนแหบแห้ง  ก้องสะท้อนไปมาท่ามกลางความมืดมิด  ในใจหวาดกลัวจนแทบประคองสติไม่อยู่  ใบหน้าหวานซีดเผือดไร้สีเลือด  เขาพยายามขยับร่างกายที่ถูกพันธนาการติดไว้กับต้นไม้ใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย  คมเชือกบาดผิวจนแสบก่อนที่เชือกนั้นจะถูกย้อมเป็นสีแดงจางจากเลือดที่ไหลซึม

‘อยู่ที่นี่สักสองวันเถอะ  แล้วพวกข้าจะกลับมาปล่อยตัวเอ็ง’

‘นี่  พี่ชาย  ขอร้องล่ะ  ปล่อยฉันไปเถอะนะป่านนี้แม่ของฉันคงรอแย่แล้ว  ท่านร่างกายไม่แข็งแรงถ้าไม่มีคนดูแลจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้’  แก้วตาอ้อนวอนทั้งน้ำตา  นึกห่วงมารดาจับจิต  ป่านนี้คงพะวงห่วงเขาจนแทบบ้า  ใครคนหนึ่งอึกอักท่าทางลังเลเมื่อได้ฟังคำ  หากอีกคนกลับเดินเข้ามาจ้องหน้าแล้วเอ่ย

‘พวกข้าจะกลับมาปล่อยเอ็งแน่แต่ต้องหลังจากพวกข้าไปรับเงินรางวัลแล้วก่อน’

‘บอกฉันหน่อยได้ไหมใครให้ทำแบบนี้?’  พวกนั้นมองหน้ากันไปมา

‘พวกข้าบอกไม่ได้หรอกเพราะประเดี๋ยวเอ็งก็จะถูกปล่อยไป  รู้ไปเอ็งก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี’

‘ฉันขอร้อง’

‘คุณพระนาย  คุณพระนายเป็นคนสั่งพวกข้ามา’

‘!’  คำตอบนั้นราวกับสายฟ้าผ่าลงกลางใจ  แก้วตานิ่งตะลึงงัน  ดวงตาเรียวเบิกกว้างในหูอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงใดนอกจากเสียงหัวใจตนที่เต้นรัวแรงจนเจ็บร้าว  น้ำตาค่อยรินไหลงอาบแก้มหากไร้ซึ่งเสียงสะอื้นไห้

สิ่งที่คนเหล่านี้บอกเขานั้น  โกหก!

มือถูกมัดไพล่หลังโอบต้นไม้  รวมถึงข้อเท้าทั้งสองข้างก็ถูกมัดตรึง  ดูเหมือนพวกมันจะมั่นใจนักหนาว่าคงไม่มีใครหาเขาพบถึงได้ไม่ปิดปากเอาไว้  ป่านนี้มารดาของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างแล้วก็ไม่รู้เมื่อไม่เห็นลูกชายคนเดียวกลับเรือน
เขาตะโกนร้องเท่าที่เสียงมีจนแหบหาย  อากาศเย็นของเวลากลางคืนถูกแทนที่ด้วยความร้อนอันสาดจากดวงอาทิตย์  เหงื่อใสไหลซึมเปียกชุ่ม  ความหิวกระหายทำให้ริมฝีปากแห้งแตก  ครั้นเมื่อหมดสติแล้วฟื้นตื่นขึ้นมาใหม่เขาก็ยังคงขยับริมฝีปากร้องขอความช่วยเหลือ  แม้จะไม่มีเสียงลอดออกมาให้ได้ยิน
บาดแผลที่ถูกบาดจากเชือกถลอกเปิดกว้างขึ้น  รอยเลือดอันเคยแห้งกรังไหลย้อมทับซ้ำลงไปใหม่จนสีกลับกลายเป็นแดงอีกครั้ง  สติที่ยังหลงเหลือเฝ้าคะนึงหามารดาผู้เป็นที่รักและชายอีกคนที่ห่วงหา

“แม่จ๋า  คุณใหญ่   ช่วยด้วย....”

แม้แต่น้ำตาที่รินไหลยังเหือดแห้งเพราะความร้อน  เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าคล้ายอ้อนวอน  จนเมื่อเวลากลางคืนเวียนมาแล้วก็กลับเช้าขึ้นใหม่อีกครั้ง  พวกนั้นไม่กลับมาปล่อยเขาตามที่บอกไว้
ร่างระโหยไร้แม้แต่แรงยืนหากถูกรั้งให้ทรงกายติดกับต้นไม้ด้านหลังจากเชือกเส้นโต  ใบหน้าเนียนแห้งแตกเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา  ริมฝีปากแห้งแตกเป็นสะเก็ดจนเลือดซึม  เส้นผมสีขนกาที่เคยสวยหลุดลุ่ยแห้งกรอบ  ผิวเนียนขาวถูกแดดเผาจนไหม้แตกแดงทั่วทั้งตัว  หัวใจเต้นเร็วเพราะขาดน้ำหากจังหวะแผ่วเบาลง...ภาพที่มองเห็นพร่าเลือนลงทุกขณะ  ลมหายใจร้อนผ่าวแสบร้าวในทรวง  ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงพยายามสูดรั้งมันเข้าปอดหากเรี่ยวแรงกลับถดถอยจนขยับไม่ไหว

แก้วตาร้องไห้  จนน้ำตาไม่มีจะไหล  กระนั้นริมฝีปากก็ยังขยับแผ่วเบา

“คุณใหญ่...”  เจ้าของดวงตาโศกและรอยยิ้มงามปรากฏอยู่ตรงหน้าไม่ชัดเจน  ใบหน้าหล่อเหลานั้นอาบนองด้วยน้ำตา  เขาอยากเอื้อมมือไปเช็ดหยดน้ำนั้นให้แห้งเหือดไป

“ช่วยด้วย”

เขากำลังจะตาย  แก้วตาครวญในอก  ไร้ซึ่งแรงรั้งชีวิตตัวเองซึ่งค่อยๆดับลง
เขาคงไม่มีโอกาสได้กลับไปอีกแล้ว  กลับไปเพื่อบอกสิ่งที่อีกคนอยากได้ยิน

...รัก...



*********




นังส้มเหลือบสายตามองร่างระหงของคุณหนูโสภีแล้วลอบค้อนปะหลับปะเหลือกอย่างหมั่นไส้
“คุณพี่จะกลับวันนี้ไม่ใช่รึพี่ส้ม!”  โสภีหันมาถามคนสนิทอย่างไม่สบอารมณ์นัก  หล่อนร้อนใจอยากเห็นหน้าคุณพี่เสียจนใจแทบขาด  หากจนป่านนี้แล้วเหตุใดจึงยังไม่ถึงเรือน

“คุณใหญ่เธออาจจะเข้าวังก่อนก็ได้นะเจ้าคะคุณหนู”

“แล้วเข้าวังประสาอะไรดึกดื่นค่อนคืนจึงไม่กลับ!”

“อิฉันจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ  อิฉันไม่ใช่ไอ้แสนที่ตามตูดคุณใหญ่เสียที่ไหน”

“พี่ส้ม!”  โสภีหันมาตะคอกพี่เลี้ยงเสียงเขียว

“เจ้าค่ะๆ”  นังส้มหุบปากฉับทันทีเพราะรู้นิสัยคนเป็นนาย  หากยังอ้าปากสอดไม่เป็นเรื่องอีกคำเดียวคุณหนูโสภีคงคว้าอะไรมาฟาดหัวหล่อนจนตาย  ดูอย่างไอ้เจ้าสี่คนนั่นปะไร  หลังจากหลอกให้มันไปจับตัวเจ้าเด็กนางรำแก้วตาไปซ่อนไว้แล้วก็ฆ่าปิดปากพวกมันทั้งหมดสี่คน  เพื่อไม่ให้ใครไปช่วยหรือรู้ว่าเด็กนั่นอยู่ไหน   ป่านนี้เด็กนั่นคงตายไปเสียแล้วกระมัง

“หรือคุณพี่จะแวะไปหาไอ้นางรำนั่น?”  โสภีรำพึงก่อนจะยิ้มเยาะ  “แต่ถึงจะไปหามันจริงก็คงไม่เจอหรอก!”

“จริงเจ้าค่ะ”  นังส้มรีบสอพลอประจบ

“อีกไม่นานคุณพี่ก็ต้องมาแต่งงานกับฉัน”  โสภียิ้มพราย  นังส้มอดไม่ได้คันปากอยากถาม

“แล้วถ้าคุณใหญ่ยังไม่ยอมแต่งงานกับคุณหนูล่ะเจ้าคะ?”

“นังส้ม!  แกอยากตายใช่ไหม!”

“ไม่ๆเจ้าค่ะ  อิฉันไม่อยากตาย!”  หล่อนระล่ำระลักบอก  “แต่อิฉันแค่สงสัยทำไมคุณหนูไม่ให้หมอเสน่ห์เข้าช่วยล่ะเจ้าค่ะ  คุณใหญ่เธอจะได้เป็นของคุณหนูสมใจเร็วๆ”

“ฉันอยากได้หัวใจของคุณพี่ที่พร้อมจะมอบให้ฉันจริงๆไม่ใช่จากเล่ห์เสน่ห์มนต์ดำ!”  นังส้มเบะปากใส่หลังโสภี  พลางคิดในใจคนเดียวว่า  หล่อนจะคอยดูว่าวันนั้นจะมาถึงคุณหนูโสภีเมื่อไหร่  ดีไม่ดีรอจนถึงชาติหน้าคุณพระนายก็คงไม่ยอมมอบหัวใจให้!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2014 01:57:50 โดย sine »

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3



ร่างสูงเร่งฝีเท้าแล้วค่อยแปรเปลี่ยนเป็นวิ่งเมื่อในใจร้อนรุ่มเร่งเร้า  ให้คนด้านหลังอ้าปากค้างด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณพระนายถึงต้องรีบนักหนา  ชั่วประเดี๋ยวไม่ทันจะเหนื่อยก็ถึงเรือนของคนตัวเล็กแล้วแท้ๆ ... ตัวเรือนมืดมิดพาให้ใจสั่นไหว  มือขาวแตะเปิดรั้วเข้าไปทันที

“แก้วตา!  แก้วตา!  แม่พยอม!”  เสียงทุ้มเอ่ยเรียก  ความเงียบวังเวงทำให้เสียงก้องสะท้อนไปมา  แสนซึ่งตามเข้ามาทีหลังขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นมีใครออกมาต้อนรับก่อนจะรีบตามหลังคุณพระนายเข้าไปในเรือน  ไม่มีใครสักคนในเรือนหลังเล็ก       ใบหน้าหล่อเหลาของคุณพระนายซีดเผือด  ในใจร่ำร้องเรียกหาคนที่เขาคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

แก้วตา  น้องอยู่ไหน?

 “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้  ราวกับไม่มีใครอยู่มาหลายวัน?”  แสนแสดงข้อกังขา  หันมองหน้าคนเป็นนายก็ให้อยากตบปากตัวเองนัก  ร่างสูงหันหลังกลับวิ่งออกไปทันทีเมื่อคิดว่าแก้วตากับมารดาอาจจะอยู่ที่เรือนหลวงเสนาะ
คุณพระนายวิ่งแทบลืมหายใจ  พวกนางรำในเขตเรือนหลวงเสนาะพอเห็นว่าผู้ใดมาก็พากันตื่นเต้นดีใจ  แล้วใครคนหนึ่งก็วิ่งออกไปตามหลวงเสนาะหลังเพื่อนอีกคนจัดแจงเชื้อเชิญให้คุณพระนายขึ้นไปบนเรือนด้วยความเร่งรีบ  ชายหนุ่มมองท่าทางของพวกคนในเรือนพลางขมวดคิ้ว  สีหน้าของแต่ละคนดูหม่นหมองเหลือประมาณ

“พ่อใหญ่!”  หลวงเสนาะกระหืดกระหอบวิ่งมาเมื่อบ่าวในเรือนไปบอก  ชายชราสวมกอดอีกฝ่ายอย่างดีใจ  “ดีจริงที่พ่อกลับมาแล้ว!”

“แก้วตากับแม่พยอมล่ะขอรับ?  กระผมไปที่เรือนแต่ไม่พบใครเลย  ในอกมันร้อนรุ่มจนต้องวิ่งมาถึงนี่”

“นั่นละคือเหตุผลที่ฉันดีใจนักเมื่อเห็นพ่อมา  มาเถอะ  เข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าเสียให้หายเหนื่อยก่อน”  หลวงเสนาะดึงแขนอีกฝ่ายเข้าไปในห้องรับรอง  ยื่นแก้วน้ำอัญชันให้  ชายหนุ่มรับมาจิบเพียงนิดก่อนเร่งให้หลวงเสนาะบอกเรื่องราว

“แก้วตาอยู่ที่ใดขอรับ?”

“...ฉันไม่รู้”

“?”

“พวกเราตามหาตัวเจ้าแก้วมาหลายวันแล้ว”

“อะไรนะขอรับ?”  หัวใจแทบหยุดเต้นกับประโยคบอกเล่านั้น  สังหรณ์ร้ายที่รุมเร้าตั้งแต่หลายวันก่อนกลับมากระแทกอกเสียอย่างจังให้ชายหนุ่มแทบทรุด  เขาคิดว่าตัวเองตะโกนถามอีกฝ่ายออกไป  หากเสียงที่เล็ดลอดกลับแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“เจ้าแก้วหายตัวไป  ตั้งแต่วันที่พ่อไปราชการนั่นแหละพวกเราออกตามหาหลายวันแต่ก็ยังไม่พบ”  หลวงเสนาะเสียงสั่นเครือขอบตาแดงก่ำ

“เรื่องมันเป็นมายังไงกันขอรับ?”  ชายหนุ่มพยายามรวบรวมสติถามออกไป

“วันนั้นเจ้าแก้วมาซ้อมรำตามปรกติหากแต่เลิกดึกไปนิดเพราะมีเพลงใหม่เข้ามา  เจ้าก้านกลับพร้อมกัน  มันสังหรณ์ใจไม่ดีจะไปส่งเจ้าแก้วที่เรือนแต่เจ้าเด็กดื้อก็ไล่ไอ้ก้านกลับบ้านเสีย  ไอ้ก้านบอกให้มันมาซ้อมรำแต่เช้า  แต่วันนั้นรอจนบ่ายก็ไม่เห็นมันมา  ไอ้ก้านร้อนใจไปตามที่เรือนเห็นแต่แม่พยอมนั่งอยู่คนเดียว  สอบถามได้ความว่าเจ้าแก้วยังไม่กลับเรือนตั้งแต่กลางคืนนั้นมันก็เลยแล่นมาตามฉันให้เกณฑ์คนไปตามหา  แต่หาเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอจนพ่อมานี่แหละ”  เสียงแหบเครือสั่นสะท้านเพราะคิดการณ์ไปล่วงหน้าถึงชะตากรรมของเจ้าเด็กดื้อซึ่งท่านรักดั่งลูกหลานแท้ๆคนนั้น

“แม่พยอมเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”  หลวงเสนาะส่ายหน้า

“ล้มหมอนไปเสียแล้ว”

“กระผมจะเข้ากรม  ให้กองตะเวนออกค้นหา”

“ถ้าอย่างนั้นก็เร็วเข้าเถอะพ่อ  ฉันเองไปแจ้งที่กรมตั้งแต่วันที่เจ้าแก้วหายตัวไปแล้ว  หากแต่ยังไม่มีใครหาพบ”

ชายหนุ่มแทบใจไม่อยู่กับตัว  ครุ่นคิดว่าแก้วตาของเขาจะหายไปอยู่ที่ใดหรือใครมาพาคนรักของเขาไปซ่อนที่ไหน  เขาออกคำสั่งให้กองตระเวนออกค้นทั่วบริเวณโดยมีคนของหลวงเสนาะเข้าช่วยส่วนหนึ่ง  ยิ่งนายก้านที่บัดนี้น้ำตาซึมพลางตะโกนร้องเรียกหาน้องชายตัวน้อยไปพลาง  คุณพระนายสั่งกระจายกำลังออกไปให้กว้างที่สุดไม่ว่าจะเป็นเขตป่าหรือบ้านช่องทุกหลัง  แม้จะมีช่องให้ลักซ่อนเพียงคืบเดียวก็ไม่เล็ดลอดสายตา    ในอกระส่ำปวดหนึบ  เขาร่ำร่องเรียกหาแต่แก้วตา...  แก้วตาจนสิ้นเสียง  ทั้งแรงคนทั้งแรงม้าถูกใช้ค้นหาจนแทบพลิกแผ่นดินจวบจนเวลาล่วงเข้าวันใหม่  แสงสีทองสาดส่องจับจ้าพร้อมกับเสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึง

“คุณใหญ่!  คุณใหญ่ขอรับ!”  แสนกระชากบังเหียนม้าจนสุดสายเมื่อเขาเร่งความเร็วมาบอกข่าวผู้เป็นนาย  ใบหน้ากร้านอาบไปด้วยความสิ้นหวัง  เขาไม่อยากเห็นคุณพระนายเจ็บปวดเลย  หากสิ่งที่เขาเห็นมากับตาก็ไม่อาจคิดว่าเป็นอย่างอื่นไปได้

“เจอแก้วตาแล้วหรือ?”

“ขอรับ  แต่....”

“แต่อะไร!”  ชายหนุ่มตะคอกถาม  สีหน้าราวกับคนจะร้องไห้ของคนในปกครองแทบทำให้เขาบ้าตาย  แขนแกร่งยกปาดให้ร่างสูงของแสนถอยห่างจนเซไถลก่อนจะควบม้าไปทางที่แสนเพิ่งออกมา

กลุ่มกองตะเวนซึ่งยืนล้อมบางอย่างอยู่ค่อยเบี่ยงกายหลบเมื่อเห็นว่าใครก้าวลงจากหลังม้า  แล้วภาพที่ทำให้คุณพระนายแทบล้มทั้งยืนจึงปรากฏสู่สายตา...

ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวซีดเผือด  กายสั่นสะท้านจากความตระหนกอันแปรเปลี่ยนเป็นรวดร้าวจู่โจมเสียบกลางอก  ขาแกร่งสั่นเทาแทบก้าวไม่ออก  กระนั้นเขาก็ยังลากเท้าเดินเข้าไปหาร่างนั้น  ริมฝีปากได้รูปสั่นระริกสกัดกั้นเสียง  ...ใช่อย่างนั้นหรือ?

ร่างที่อยู่ตรงนั้นเป็นแก้วตาของเขาจริงหรือ?

ร่างสูงเซล้มลง  สายตาจับจ้องร่างนั้นไม่กะพริบ  แสนถลาเข้าประคองคุณพระนายพลางสะอื้นไห้แผ่วเบา  มือใหญ่ผลักร่างคนในปกครองออกห่าง  กระซิบถามเสียงขาดห้วง

“ไม่ใช่ใช่ไหม?  ไม่ใช่เขา...”  น้ำเสียงแห้งผากที่เล็ดลอดออกมานั้นสั่นเครือ

“ฮึก!  เป็นเธอขอรับ”  แสนสะอื้นตอบไม่กล้ามองหน้าคุณพระนาย

“เอ็งโกหก!”  น้ำเสียงนั้นรวดร้าวเสียจนคนรอบข้างเบือนหน้าหนีเพราะความสงสาร  แสนสั่นหัวสะอื้นตัวโยนก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างนั้นช้าๆ  ค่อยบรรจงแกะเชือกที่พันธนาการออกแล้ววางร่างนั้นให้นอนราบกับพื้นแผ่วเบา  จับมือข้างซ้ายของร่างนั้นยกขึ้น

แสงสีทองกระทบแสงแดดส่องประกาย

 “!”  เขาจำสิ่งนั้นได้ดี  แหวนสลักลายซึ่งเขาบรรจงสวมให้อีกฝ่ายกับมือ  ตอนนี้ส่องแสงล้อแดดให้เขาเห็น  ชายหนุ่มพยุงร่างอันไร้เรี่ยวแรงเคลื่อนเข้าไปใกล้  ในหูอื้ออึงไม่ได้ยินสิ่งใด  ทั้งๆที่สว่างจ้ากลับมืดมนเหมือนคนตาบอด  สิ่งเดียวที่มองเห็นคือร่างอันไร้ซึ่งลมหายใจกับแหวนทองวงเล็ก  เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างร่างอันนอนเหยียดยาวนั้น  รับมือซ้ายแสนเย็นชืดมาจากมือของแสน  เขามองสำรวจร่างนั้น...น้ำตาอาบแก้ม
ผมสีขนกาแห้งกรอบบางส่วนหลุดร่วงหาย  ผิวที่เคยขาวเนียนเปลี่ยนเป็นดำคล้ำแห้งติดกระดูก  ริมฝีปากสีชาดที่เคยยิ้มแย้มคู่นั้น  แก้มขาวที่เคยขึ้นสีเรื่อยามเขินอาย  จมูกมนรั้นไม่หลงเหลือเค้าเดิม  นิ้วแกร่งแตะแผ่วไล่ระไปตามส่วนก่อนหยุดลงตรงนิ้วนางข้างซ้าย

แหวนสลักแบบนี้มีแค่สองวงเท่านั้น  หนึ่งอยู่บนนิ้วนางข้างขวาของเขา  อีกหนึ่งอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของ...แก้วตา

“แก้วตา?”  ชายหนุ่มโน้มกายลงตระกองกอดร่างเหี่ยวแห้งนั้นขึ้นแนบอก  เอ่ยเรียกนามนั้นซ้ำๆ  “แก้วตา...”

แสนสะอื้นไห้ตัวโยน  ผู้คนรอบข้างพลางเช็ดน้ำตาเมื่อได้ยินเสียงของคุณพระนาย  ชายหนุ่มกอดร่างนั้นแน่นพลางร้องไห้  เจ็บปวดรวดร้าวราวจะขาดใจ  เสียงร้องเรียกสะท้อนก้องให้คนที่ได้ยินสะท้านในอกเจ็บปวดตาม  น้ำตาแทบเป็นสายเลือด  ชายหนุ่มแนบหน้าผากลงกับร่างในอ้อมแขนกระซิบรำพันเจือเสียงสะอื้น

“แก้วตา...คนดีของพี่  ตื่นขึ้นมาจูบรับขวัญพี่หน่อยเถอะเจ้า   พี่คิดถึงน้องเสียจนใจแทบขาดแล้วรู้ไหม  แก้วตา...  ขอเสียงน้องเอ่ยกระซิบตอบพี่กลับมาที   กระซิบบอกว่าคิดถึง...ว่ารักพี่    พี่กอดน้องอย่างนี้น้องรู้สึกไหม?  ยกแขนน้องกอดตอบพี่หน่อย...กอดพี่ทีแก้วตา    แก้วจ๋าลืมตาขึ้นมาหน่อย  พี่กลับมาแล้วนะกลับมาหาแก้วแล้ว  ได้ยินพี่ไหมคนดี...แก้วตา...    แก้วตา...”


อ้อมแขนกอดตระกอง        ก้มจูบแหวนทองที่เคยผ่องใส
อันตนเป็นผู้สวมให้ด้วยดวงใจ   บนนิ้วซ้ายเจ้าขวัญฤดี
ไม่คาดคิดพรากจากม้วยชีวี        จากหนึ่งแก้วมณีขวัญศรี
อกสะบั้นขาดแล้วหัวใจพี่         สิ้นสมประดีแทบอาสัญ
ความโสมนัสจู่โจมเข้าโรมรัน       แล้วก็พลันร่ำร้องสะอื้นไ   ห้
วิญญานี้ขอปลิดปลงล่วงตามกันไป      โศกเศร้าโศกาลัยหมดสิ้น
ในอกมันเจ็บแทบจะพังภินท์             โศกีไม่สิ้น สุดอาลัย
แค่หากไร้น้องแนบข้างกาย     พี่ขอตายตามเจ้ายอดดวงใจ




*********


บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความโศกเศร้า  ยิ่งเฉพาะนายก้านที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด  ร้อนถึงหลวงเสนาะต้องคอยให้คนอยู่เป็นเพื่อนเพราะกลัวมันจะโทษตัวเองแล้วกระโดดน้ำฆ่าตัวตายตาม  คนสูงวัยหันไปมองร่างโปร่งของคุณพระนายหนุ่มก็ให้ถอนหายใจเศร้า  ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวไร้สีเลือด  ขอบตาแดงก่ำจากการร่ำไห้ไม่หยุดหย่อน  หากกระนั้นค่ำคืนนี้ชายหนุ่มก็ยังพาตัวเองมานั่งฟังพระสวดไม่ขาด  ข้างกันเป็นนายแสนที่คอยเหลือบมองคุณพระนายของตัวเป็นระยะๆด้วยความกังวล  หลวงเสนาะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวานแล้วให้ใจหายนัก

แม่พยอมพอรับรู้ว่าหลวงเสนาะกลับเรือนมาพร้อมคุณพระนายและลูกชาย  หล่อนวิ่งออกมารับด้วยความดีใจ  หากเพียงสายตาจับภาพตรงหน้าได้ชัดเจนหล่อนก็ล้มพับลงไปเสียตรงนั้น  ร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจพลางกอดรัดร่างไร้วิญญาณของบุตรชายเอาไว้แน่น  เกินใครจะคาดคิด  แม่พยอมเป็นลมล้มลงสิ้นใจตามบุตรชายลงไปในคืนนั้น

หลวงเสนาะมองโลงศพตรงหน้าพลางยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตา  ถอนสะอื้นแผ่วเบา  หากเขาอ่อนแอล้มลงเสียอีกคนเห็นทีคุณพระนายคงไม่สามารถจัดการงานให้ลุล่วงลงได้

“ฝากงานทางนี้กับคุณหลวงด้วยนะขอรับ”

“พ่อจะกลับเรือนนั้นรึ?”  หลวงเสนาะเอ่ยถาม  มองใบหน้าหมองเศร้านั้นก็ให้ถอนหายใจ  เขาจะช่วยอีกฝ่ายอย่างไรดีหนอ

“ขอรับ”  ...หากเขาไม่กลับ  แก้วตาจะรอแย่....

“แสน  ฝากพ่อใหญ่ด้วยนะ”  คุณหลวงฝากฝังเด็กหนุ่ม  แสนพยักหน้ารับพลางยิ้มเศร้า  เหตุการณ์ในคืนก่อนยังทำให้เขาหวาดหวั่นไม่หาย  กลัวไปหมดจนแทบไม่กล้าแยกห่างจากคุณพระนายเกินห้าก้าว


คุณพระนายกอดรัดร่างเหี่ยวแห้งของคนรักเอาไว้แน่นไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้สักคน  ด้วยเหตุว่าหลวงเสนาะอยากจะจัดการงานตามพิธีเสียให้เสร็จสิ้น

“อย่าเอาเขาไปจากฉัน!”  เสียงทุ้มตวาดก้องราวจะขาดใจ  เขาร่ำไห้กอดกล่อมร่างน้อยไม่หยุด

“คุณใหญ่ขอรับ  คุณแก้วเธอสิ้นแล้ว”  แสนเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น  เขาสูดสะอื้นกลั้นใจ

“ไม่...นี่อย่างไรเล่าแสน  แก้วตาอยู่นี่  ฉันกอดเอาไว้อยู่นี่ไง”  ใบหน้าหล่อเหลาแนบชิดกับส่วนที่เป็นใบหน้านั้น

“ฮึก  เธอสิ้นแล้วจริงๆขอรับ”  แสนสะอื้น  ยกแขนขึ้นปาดน้ำตา

“....”  ชายหนุ่มนิ่งค้างตะลึงมองร่างในอ้อมแขน  ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวเจ็บปวด  เขากระชับร่างนั้นแน่นขึ้นก่อนจะลุกขึ้นยืน  “ไปแสน!”

“ไปไหนหรือขอรับ?”

“เรือนขาว”

“เอ๊ะ?”

“เตรียมเรือเดี๋ยวนี้!”  ร่างโปร่งสูงก้าวเดินออกไปจากเขตเรือน  หลวงเสนาะผวาวิ่งตามขวางหน้า

“พ่อจะไปไหน?”

“พาแก้วตาไปอยู่ที่เรือนขาวขอรับ”

“เดี๋ยว!  พ่อก็รู้ว่าเจ้าแก้วสิ้นแล้ว  เหตุใดไม่จัดงาน...”

“ไม่ขอรับ!”  ชายหนุ่มตวาดก้อง  “แก้วตาจะอยู่กับกระผม!”  หลวงเสนาะอ้าปากค้างเมื่อได้ฟัง  นี่คุณพระนายเสียใจจนเป็นบ้าไปแล้วกระนั้นหรือ?  ไม่ว่าใครจะขัดขวางอย่างไรชายหนุ่มก็พาร่างของแก้วตาออกไปจนได้ในที่สุด  ปล่อยให้เขาจัดการงานของแม่พะยอมเองทั้งหมด

เรือนขาวที่เหลือเพียงฤกษ์ทำบุญบัดนี้อ้างว้างเงียบเหงา  ร่างน้อยถูกจัดวางลงในโลงแก้วใสกลางเรือน  คุณพระนายนั่งมองร่างนั้นนิ่งไม่ลุกไปไหน  ไม่ขยับ  ไม่กิน  ไม่นอน  ร่ำร้องนามของ คนรักซ้ำไปซ้ำมาแผ่วเบา  หากสะท้อนก้องให้คนที่ได้ยินสะท้อนใจด้วยความเวทนาสงสาร

“คุณใหญ่ขอรับ  ทานข้าวเสียหน่อยเถอะขอรับ”  ชายหนุ่มยังคงนิ่งไม่ตอบสนอง  ใบหน้าหล่อเหลาซูบเซียวจนแสนใจหาย  เขาถอยออกไปเพื่อจัดการหาสำรับข้าว  หากเพียงก้าวพ้นประตูเรือนได้ไม่เท่าไหร่ก็ให้สังหรณ์ใจจนต้องเดินกลับเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง  แสนตกใจวิ่งถลาเข้าไปยังร่างของคนเป็นนายอย่างรวดเร็ว  เขาคว้าแขนแกร่งยื้อยุดฉุดกระชากเอาไว้สุดแรงเกิด

“ปล่อย!”

“ไม่ขอรับ!  คุณใหญ่จะทำกระไร?  จะฆ่าตัวตายตามคุณแก้วกระนั้นหรือ?”  แสนตะโกนถามอย่างเดือดดาล  เขาพยายามแย่งปืนไฟออกจากมือร่างสูงสุดความสามารถ  กระนั้นก็ยังสู้แรงคุณพระนายไม่ได้

“ใช่!  เมื่อไม่มีแก้วตาฉันจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่อใครกัน!”  ชายหนุ่มตะโกนก้องเจือเสียงสะอื้น

“เพื่อ...เพื่อคุณพ่อ!  ท่านเจ้าคุณอย่างไรเล่าขอรับ!”  แสนตอบ  “ท่านเลี้ยงดูคุณใหญ่มาตั้งแต่ยังเล็ก  คุณใหญ่จะใจดำทิ้งท่านไปเสียอย่างนี้หรือ?  ทั้งคุณพร้อมเองก็ทำให้ท่านเจ้าคุณทุกข์ใจพอแรงอยู่แล้ว  คุณใหญ่จะปลิดชีพหนีท่านไปกระนั้นหรือขอรับ?”  ร่างสูงนิ่งขึง  คำพูดของแสนหยุดการกระทำของคุณพระนายหนุ่มได้ชะงัด  แต่แสนก็ยังคงไม่ไว้ใจ  เขาพยายามแย่งปืนไฟออกจากมือแกร่งมาไว้ที่ตัวเอง

“ฉันจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีแก้วตา...”  คุณพระนายทิ้งร่างลงกับพื้นคร่ำครวญ

“คุณใหญ่  กลับไปหาท่านเจ้าคุณเถอะขอรับ”  แสนตะล่อมปลอบโยน

“ฉัน...”

“ท่านคงรอฟังข่าวเรื่องงานของกองตระเวนที่คุณใหญ่ขึ้นไปจัดการที่ทางเหนืออยู่แน่ๆ”

“....”

“ป่านนี้ท่านเจ้าคุณคงรอทานข้าวพร้อมคุณใหญ่อยู่”  ชายหนุ่มนึกถึงใบหน้าของบิดาก็นิ่งไป  “ทางนี้กระผมจะดูแลเองขอรับ  กระผมจะดูแลคุณแก้วเธอเอง คุณใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ”  แสนปลอบโยน  ประคองร่างของคุณพระนายออกไปยังเรือที่จอดเทียบท่าแล้วกลับมาปิดประตูเรือนขาวแผ่วเบา    กลางวันชายหนุ่มปฏิบัติงานราชการเช่นเดิมที่ผ่านมา  หากพอตกกลางคืนเขาจะพายเรือออกไปยังเรือนขาว  นอนมองโลงแก้วแล้วพร่ำรำพึงพร้อมหยาดน้ำตา... 

...แก้วตา...














ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
เสียงไอหนักเล็ดลอดให้นมแย้มขมวดคิ้วกังวลหนัก  ก่อนจะออกไปตามหมอฝรั่งมาตรวจคุณพระนายอย่างรีบร้อนตามคำสั่งของท่านเจ้าคุณเมื่อรู้ว่าบุตรชายคนโตล้มป่วย

“ลูกไม่เป็นอะไรมากหรอกขอรับ”  ท่านเจ้าคุณมองคนพูดแล้วเวทนาเหลือแสน  ดูเอาเถิด  ร่างสูงใหญ่บัดนี้ผ่ายผอมจนน่าใจหาย  ดวงตาอันเคยสดใสกลับแห้งผากไร้แวว  ใบหน้าซูบตอบราวกับคนป่วยหนัก  ไม่มีสง่าราศีเช่นกาลก่อนสักนิด

“สภาพนี้ยังบอกว่าไม่เป็นอะไรมากอีกรึ?  เจ้าเหมือนคนใกล้ตายเข้าไปทุกวัน”  ชายหนุ่มฟังคำบิดาแล้วแค่นยิ้ม  หากเขาตายสิดี  จะได้ไม่ต้องทรมานใจอยู่เช่นนี้  “กินยาเสียหน่อยเถอะ”  ท่านเจ้าคุณพยักหน้าให้แสนเข้ามาประคองร่างบุตรชาย  นมแย้มค่อยลุกมาป้อมยาให้  หากเพียงครู่เดียวคนป่วยก็อาเจียนมันออกมาหมดไม่เหลือ  นมแย้มตกใจหน้าซีดพลางยกมือปิดปากร้องไห้ด้วยความสงสาร  แสนหันมามองท่านเจ้าคุณพลางส่ายหน้าอย่างจนใจ
   
“คุณใหญ่เจ้าขา  เหตุใดจึงเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เจ้าคะ?”  นมแย้มคลานเข้ามาเช็ดหน้าเช็ดปากให้คนบนเตียงแล้วสวมกอดด้วยความสงสารจับจิต  ท่านเจ้าคุณพยักหน้าเรียกแสนออกไปข้างนอกเมื่อเห็นว่าคนบนเตียงหลับตาลง

“มีเหตุอันใดเกิดขึ้นระหว่างที่ไปงานราชการทางเหนือ?”  แสนสะดุ้งโหยงเมื่อได้ฟังคำถาม  เขาส่ายหน้าบอกไม่รู้อยู่ท่าเดียว  ท่านเจ้าคุณถอนหายใจด้วยไม่รู้จะแก้สาเหตุอย่างไร  วันก่อนโสภีร้องไห้วิ่งมาฟ้องเขาว่าพ่อใหญ่ไม่ยอมให้หล่อนดูแล  หนำซ้ำยังลากสังขารไปงานเผาศพนางรำของหลวงเสนาะเสียอีก  ถึงจะรู้ว่าบุตรชายสนิทสนมกับหลวงเสนาะพอสมควรแต่คงไม่ถึงขนาดลากสังขารไปเผาศพนางรำคนหนึ่งหรอกกระมัง?  นอกเสียจากนางรำคนนั้นจะมีความสำคัญกับพ่อใหญ่อย่างมากมาย?

“พ่อใหญ่รักอยู่กับนางรำของหลวงเสนาะคนที่ตายไปแล้วคนนั้นหรือ?”  แสนสะดุ้งคำรบสองเมื่อท่านเจ้าคุณเอ่ยถาม

“เอ่อ”

“ตอบ!”

“ขอรับ”

“แต่ก็ตายไปแล้วมิใช่รึ?”  แสนไม่ตอบคำ  ท่านเจ้าคุณลูบคางพลางหันไปมองห้องของบุตรชายอย่างใคร่ครวญ  “เห็นทีฉันคงต้องเร่งจัดงานแต่งของพ่อใหญ่กับแม่โสภีเสียแล้ว”

“อะไรนะขอรับ?”  แสนตกใจ  เงยหน้าขึ้นถามคนเป็นนายเสียงดัง

“ตกใจกระไรของเอ็งไอ้แสน!”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ทั้งนั้น  ฉันไม่ทนเห็นลูกชายตัวเองมานอนทนทุกข์อยู่กับผู้หญิงที่ตายไปแล้วหรอกนะ!”  กล่าวจบก็ทิ้งให้แสนยืนอ้าปากค้างตกใจก่อนจะขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด
.


“ลูกยังไม่พร้อม”

“ฉันไม่รอแล้ว!  อย่างไรเจ้าก็ต้องแต่งกับแม่โสภี!”  ท่านเจ้าคุณไม่ยอมฟังบุตรชายซึ่งบัดนี้ลากสังขารตัวเองมานั่งทำงานเอกสารที่บังคับแสนไปเอามาจากกรมพระตำรวจ

“ไม่ขอรับ”

“เจ้า!”  ท่านเจ้าคุณโมโหจนสั่นไปทั้งตัว  มองหน้าบุตรชายอันเป็นที่รักก็ให้หงุดหงิดใจเหลือคณาเมื่อฝ่ายนั้นทำสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก

ร่างผอมทิ้งกายพิงเก้าอี้อย่างหมดแรงหลังพ้นร่างบิดา  แสนถลาเข้ามาประคองเมื่อเห็นคุณพระนายหอบหายใจหนัก  ยกถ้วยยาจ่อป้อนก็ถูกผลักไสให้เขาน้ำตาปริ่ม  ดูเอาเถิด  คุณพระนายของเขาจงใจฆ่าตัวตายแท้ๆ

“คุณใหญ่ขอรับ  ทานยาเสียหน่อยเถิดไอ้แสนขอร้อง”  เขาร้องไห้วิงวอนกราบกรานจนอีกฝ่ายยอมดื่มยา  เพียงครู่ชายหนุ่มก็อาเจียนออกมาจนสิ้นเหมือนอย่างข้าวปลาอาหารที่ผ่านมาทุกมื้อ

“คุณพี่ว่าผ้าสีนี้งามหรือไม่เจ้าคะ?”  โสภีหยิบผ้าไหมผืนงามยื่นมาตรงหน้าชายหนุ่ม  เขานิ่งเฉยไม่เหลือบสายตามอง  มีเพียงเสียง  อืม  แผ่วเบารับคำในลำคอ  โสภีผุดกายลุกขึ้นอย่างเดือดดาลเพราะหลายวันที่ผ่านมาคุณพี่ของหล่อนยังคงทำเหมือนร่างไร้วิญญาณกับหล่อนไม่เปลี่ยนแปลง  โสภีกระชากแขนที่เคยแกร่งของชายหนุ่มรุนแรง  บัดนี้มันผ่ายผอมจนหล่อนใจหาย  กระนั้นความโมโหก็ยังมีมากกว่า  หล่อนเม้มริมฝีปากแน่นก่อนเอ่ยตัดพ้ออีกฝ่าย

“คุณพี่ทำอย่างนี้ไม่ให้เกียรติน้องเลย  เรากำลังจะแต่งานกันนะเจ้าคะ!”

“แต่งงาน?”  คิ้วเรียวขมวดมุ่นกับคำบอกเล่านั้น  เขาไอโขลกตัวโยนเมื่อยามเสียงลอดผ่านลำคอ  โสภีมองภาพตรงหน้าน้ำตารื้น  ร่างสูงซึ่งเคยแกร่งเกร็งมาบัดนี้ดูซูบผอมพร้อมจะร่วงโรยทุกเวลา  ผิวขาวกลายเป็นซีดเซียว  ดวงตาลึกโหลไม่งดงามเช่นแต่ก่อน

“ใช่  งานแต่งงานของเรา  คุณพี่กับน้อง!”  โสภีเช็ดน้ำตาตะโกนตอบ

“แต่พี่ไม่ได้รักโสภีอย่างนั้น”  ต่อให้เสียงนั้นเบาเพียงใดโสภีก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน  หนำซ้ำมันยังเสียดแทงเข้าในหัวใจของหล่อนชนิดปลิดขั้วหัวใจเลยทีเดียว

“คุณพี่!”  โสภีกรีดร้อง  หล่อนเจ็บปวดนักเมื่อชายตรงหน้าเอ่ยถ้อยคำนั้นออกมา  “คุณพี่ต้องรักน้อง!”  หล่อนโถมเข้าทุบตีบ่ากว้างผอมแห้งนั้นอย่างโมโห   ชายหนุ่มเพียงแต่ยืนนิ่งให้หล่อนตี  ก่อนจะเอ่ยประโยคเชือดใจ

“ขอโทษ  แต่พี่รักแก้วตา  รักแก้วตาเพียงคนเดียวเท่านั้น”

“แต่มันตายไปแล้ว!  มันตายไปแล้วคุณพี่ได้ยินไหม!”  โสภีตะโกน  หล่อนลืมตัวเดือดดาล  ความหึงหวงทำให้สติของหล่อนขาดหายสิ่งที่เคยปิดบังบัดนี้หลุดออกจากปากของหล่อนเอง   

ร่างสูงหันมามองคนที่ได้ชื่อว่าน้องสาวอย่างไม่เชื่อสายตา  ไม่มีใครรู้ว่าแก้วตาตายแล้วนอกจากเขา  แสน  นมแย้มและคนในเรือนหลวงเสนาะ  งานศพที่จัดขึ้นก็มีเพียงของแม่พยอมเท่านั้น  แล้วเหตุใดโสภีจึงรู้ว่าแก้วตาตายแล้ว?

“โสภี?”

“คุณพี่ต้องรักน้องไม่ใช่มัน!  ตายกลายเป็นผียังจะจองล้างจองผลาญกันอยู่ได้!”  หล่อนกรีดร้องลั่นเรือน  แสนและนมแย้มวิ่งเข้ามาอย่างตกใจ  พวกเขาได้ยินสิ่งที่โสภีตะโกนร้องชัดเจน

คุณหนูโสภีฆ่าคุณแก้วตา?

“เธอฆ่าแก้วตาอย่างนั้นหรือ?”  ชายหนุ่มลุกขึ้นเต็มความสูงจ้องมองหญิงสาวเขม็งอย่างไม่เชื่อสายตา  ก่อนเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง

“ใช่!  มันสมควรตายแล้ว  เพราะมันคุณพี่ถึงไม่รักน้อง!”  โสภียังคงโกรธเกรี้ยว  ถึงจะตกใจที่ตัวเองเผลอพูดออกไปแต่บัดนี้หล่อนไม่กลัวอะไรอีกแล้ว  คุณพี่จะต้องเป็นของหล่อนเพียงคนเดียวเท่านั้น!

“โสภี!”  ชายหนุ่มขู่คำรามมือแกร่งเกร็งกำแน่น  ร่างสูงถลันกายพรวดเดียวถึงหน้าหญิงสาว  มือผอมคว้าลำคอระหงบีบแน่น

“คุณใหญ่!”  แสนและนมแย้มร้อง  ตกใจกับการกระทำของคนตรงหน้า

“แค่ก  คุณพี่จะฆ่าน้อง?”  หญิงสาวเบิกตากว้าง  จ้องมองคนที่หล่อนรักอย่างไม่เชื่อสายตา  ตากร้าวแดงก่ำแรงกดบนลำคอมีแต่จะเพิ่มขึ้น  โสภีจิกข้อมือชายหนุ่มหวังให้เขาปล่อยหล่อน

“คุณใหญ่  หยุดเถอะขอรับ  น้องนะขอรับ  คุณโสภีเป็นลูกสาวท่านเจ้าคุณบิดาของคุณใหญ่อย่างไรเล่า!”  แสนเข้ามาช่วยห้ามหากในใจหวังให้โสภีตายตกตามกัน  กลัวแต่เพียงคุณพระนายของเขาจะกลายเป็นฆาตกร  นอกจากทุกข์ที่สูญเสียคุณแก้วแล้วคงรู้สึกผิดบาปในใจตามมาเป็นแน่

“ไป  ไป  ให้พ้นหน้าเดี๋ยวนี้!”  ชายหนุ่มผลักร่างเล็กล้มลงกองกับพื้น  โสภีสูดสำลักไอโขลกจนหน้าแดงก่ำหล่อนเหลือบมองร่างสูงด้วยสายตาตัดพ้อพร้อมน้ำตานองหน้า  นมแย้มเข้ามาพยุงโสภีให้ออกไปจากห้อง  ชั่วประเดี๋ยวที่หญิงสาวทำท่าจะซบบ่านมแย้มร้องไห้  นมแย้มก็ผลักไสหล่อนออกไปเสียก่อน  เธอเกลียดคุณหนูโสภีจับใจ!

“ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่น้องฉัน”  หยาดน้ำอุ่นไหลผ่านแก้มกร้าน  แววตาเจ็บปวด  ชิงชัง  เคียดแค้นจ้องมองคนที่สะอื้นอยู่บนพื้น

“คุณพี่!”

“แสน  พาฉันไปให้พ้นจากตรงนี้”  ชายหนุ่มเอ่ยอย่างระโหย  หัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน  เขาเฝ้าตามหาว่าใครที่เป็นคนทำลายดวงใจของเขา ไม่มีวี่แววเลยแม้แต่น้อยว่าคนลงมือจะเป็นคนใกล้ตัว  เขาไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าจะเป็นโสภีถึงแม้ว่าเหตุการณ์จะชวนคิดก็ตาม  อย่างไรเสียคุณพ่อก็มีบุญคุณท่วมหัวที่เลี้ยงลูกกำพร้าอย่างเขามา  วันนี้โสภีหลุดปากออกมาเองเขาอยากฆ่าหล่อนนัก!


********



เสียงขลุ่ยหวานเศร้าบาดจิต  แสนยกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาอยู่ข้างคนเป็นนายไม่ห่างไปไหน  พลันเสียงนั้นก็หยุดลงแทนที่ด้วยเสียงไอ  แสนถลาเข้าไปประคองร่างซูบผอมของคุณพระนายแล้วก็ให้น้ำตาไหลอีกครั้ง  ผ้าแพรผืนเล็กซึ่งใช้ปิดปากบัดนี้มีเลือดย้อมจนสีคล้ำไปทั้งผืน  แสนใจหายวาบเมื่อคุณพระนายเซวูบทรุดลงบนตั่ง  หอบหายใจหนัก  ดวงตาซึ้งเศร้าไร้แววเหม่อเลื่อนลอย  ริมฝีปากอิ่มแห้งแตกขยับแผ่วไร้เสียง  กระนั้นแสนก็รู้ว่าคุณพระนายเอ่ยนามใคร

“...แก้วตา”   ความคิดคำนึงสุดท้ายของเขามีเพียงเจ้าฉุยฉายคนงาม  ...พี่คิดถึงรอยยิ้มของน้องเหลือเกิน  กว่าจะรักกันช่างยากหนักหนาเหตุใดหนอสวรรค์จึงพรากน้องไปจากพี่เสีย  หากวันนั้นพี่อยู่กับน้องเรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นใช่ไหม?  ยามนั้นน้องจะหวาดกลัวมากแค่ไหนกัน  คงเรียกร้องหาให้คนช่วยจนเสียงแหบแห้ง  คงหิวโหยทรมานเจ็บปวด  แก้วตาของพี่  พี่ขอโทษนะเจ้า

หากทำได้พี่อยากโอบกอดน้องไปชั่วชีวิต  ไม่อยากให้น้องร้องไห้เจ็บปวดแม้เพียงสักครา  อยากลูบเรือนผมสีขนกานุ่มยามน้องอยู่ในอ้อมแขน  อยากบอกว่ารักน้องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  แต่ในเมื่อไร้เจ้าพี่ก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว

คนดีของพี่  รอพี่หน่อยเถอะนะ  อีกประเดี๋ยวพี่จะตามน้องไป


นมแย้มเดินเข้ามาพลางส่งสายตาถาม  แสนส่ายหน้าพลางกลั้นสะอื้น  ไม่ว่าเขาจะหาหมอมารักษาเท่าใดก็ไม่มีใครรักษาคุณพระนายของเขาได้เลยสักคนเดียว  โรคทางใจ...คุณพระนายของเขาตรอมใจหนักนัก  ร่างกายไม่รับอาหารไม่รับยาใดเลย  นับวันลมหายใจของคุณพระนายก็ยิ่งแผ่วลง

แสนพาคุณพระนายและนมแย้มจากเรือนเจ้าพระยามาเสียตั้งแต่วันนั้น  จนกระทั่งวันนี้แม้ผ่านมาหลายสิบวันคุณหนูโสภีก็ยังคงตามหาคุณพระนายของเขาไม่เลิกรา  ท่านเจ้าคุณเองก็ร้อนใจหนัก  แต่แสนจะไม่พาคุณพระนายกลับไปที่นั่นอีกแล้ว   คนที่เรือนนั้นทำร้ายหัวใจของคุณพระนายของเขาเสียจนย่อยยับแทบจะสิ้นลมอยู่นี่

“แสน”

“ขอรับคุณใหญ่”  แสนจับมือผอมเกร็งของคุณพระนายขึ้นแนบแก้มรับคำน้ำตานองหน้า

“หาก  แค่ก!  หากฉันหมดลมลงแล้ว  ให้เอาร่างฉันไปนอนอยู่ข้างๆแก้วตา”  ประโยคกระท่อนกระแท่นขาดห้วง

“คุณใหญ่เจ้าขา”  นมแย้มร้องไห้  คว้ามืออีกข้างของชายหนุ่มมากอดแนบอก

“นมจ๋า  ฉันขอโทษนะ”  นมแย้มส่ายหน้าสะอื้นไห้สงสารคุณพระนายจับใจ

ลมหายใจหอบกระชั้นถี่ค่อยแผ่วเชื่องช้าลง  ร่างผอมเกร็งกระตุกเฮือกสองสามครั้งก่อนจะนิ่งสงบ  แสนและนมแย้มผวาร้องเรียกคุณพระนายของตนเสียงสั่น

คุณใหญ่สิ้นแล้ว!

แสนเช็ดน้ำตา  มองคุณพระนายของตนเป็นครั้งสุดท้าย  เขาค่อยวางร่างเย็นชืดของคุณพระนายลงเคียงข้างร่างของแก้วตา  จัดท่าให้ทั้งสองอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน
เขาเขียนจดหมายส่งข่าวให้หลวงเสนาะรู้เพียงคนเดียว  จะแจ้งให้ท่านเจ้าคุณบิดาของคุณพระนายทราบหรือไม่แล้วแต่ความเห็นชอบของหลวงเสนาะ  ขอเพียงอย่างเดียว  อย่าได้ตามหาและพยายามพรากคุณใหญ่ไปจากคุณแก้วอีกเลย
หลังจากนั้นแสนและนมแย้มก็ขังตัวเองอยู่ในเรือนขาว  ปิดตายเรือนหลังงาม...ไม่มีใครพบเห็นพวกเขาอีกเลย...


*********





ร่างบนเตียงขาวขยับไหว  แขนเล็กยกขึ้นปิดหน้าพลางสะอื้นไห้  ความเจ็บปวดรวดร้าวเสียดแทงเข้าไปในอกเสียจนแทบขาดใจ  หยาดน้ำตามิอาจห้ามไม่ให้รินไหล  เขาร้องไห้...ร้องเพราะสงสารคุณพระนายและเขาคนนั้นที่แสนเจ็บปวด
เขาคนนั้นคือตัวเขาเอง!

“แก้ว!  แก้วฟื้นแล้ว!”  เขาจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของฤดีหากแก้วตาไม่ได้สนใจ   
เขายังคงร้องไห้...





.
.
.


โปรดติดตามกาลต่อ





คุยนิด:
สวัสดีค่ะ  มาช้าอีกเช่นเคย  ตอนจบจะพยายามมาลงให้เร็วที่สุดนะคะ^^
มีคนตามไปอ่านฉบับยูซูฟิคชั่นด้วย  เขิน :o8:

ขอบคัุณสำหรับกำลังใจที่ให้กันตลอดมานะคะ  มือใหม่เล้าเป็ดมีความสุขขึ้นแล้วค่ะ^^
ตอนนี้กำลังใจเต็มเปี่ยมแล้วค่ะ


อ่านอย่างมีความสุขนะคะ


ปล.ตอนนี้แต่งไปร้องไป  น้ำตาท่วมจอ
ปลล.เช่นเคย  มีสิ่งใดแนะนำ-ติ-ชมกันได้เสมอนะคะเพื่อการพัฒนาที่ดีขึ้นต่อไปค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ YaoTJi

  • เพราะชีวิต ขาดวายไม่ได่้
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
โอ้ยโย๋ มาช้าแต่มาเต็มขนาดนี้ ให้อภัยค่ะ แถมดอกไม้ให้อีกช่อ  :L2:


ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

ได้อ่านตอนใหม่ยาวจุใจเลย---สนุกมากๆ

สงสารทั้งสองคนจัง
ว่าแต่โสภีชาติที่แล้วก็ทำชั่ว
แต่ทำไมชาตินี้ยังไม่ได้รับกรรม
แถมยังตามมาจองล้างจองผลาญอีก

ใกล้จะจบแล้วก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน---ไม่อยากให้จบเลย

+ 1 + เป็ดจ้า

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
คุ้มค่าการรอคอยเหมือนเดิม. สนุก น่าติดตามมาก. สงสารแก้วตามากมาย   เกลียดนังโสภีสุด. ได้รับกรรมมั้ง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :mew1: หายคิดถึงไปที

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
« ตอบ #189 เมื่อ: 21-04-2014 19:30:55 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
อ่านแล้วน้ำตาท่วมจอเลย ก่อนตายแก้วคงทรมานมากๆๆ ส่วนคุณใหญ่ตรอมใจตาย น่าเศร้า

ปล.ตอนจบขอแบบไม่เศร้าได้ไหมจ๊ะ กลัวร้องไห้น้ำตาท่วมห้องอะ

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
ฮือ อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาซึมค่ะน้องทราย  :mew4:
สงสารทั้งสองคน แต่ที่สงสารมากกว่านั้นก็พ่อแสนผู้ซื่อสัตย์ค่ะ
ต้องเห็นเจ้านายตัวเองมาตายต่อหน้า ...

ขอบคุณที่มาต่อตอนนี้นะคะและจะรอตอนจบต่อไปค่ะ
ขอบคุณนิยายที่ละเมียดละมัยทางภาษาเรื่องนี้ค่ะ  :กอด1:   :L2:

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
สงสารจังเลย

ออฟไลน์ aimjjj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad11: สงสารทั้งคู่มากๆ :serius2:กว่าจะได้รักกันในชาตินี้จะมีอะไรอีกมั๊ย อย่าให้ต้องพรากจากกันอีกเลย :o12: ฮือออออออ ทรมาน อ่านไปปาดน้ำตาไป คุณแต่งได้ดีมากเลย เราชอบภาษาแบบนี้มาก

ปล.เพราะเรื่องนี้ทำให้เราสมัครเพื่อเม้นเลย สู้ๆนะคะ o13 สนุกมากๆ~~
ปล.๒ อยากให้มีรวมเล่มจัง :call:

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
มาต่อเถอะ

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
กำลังเข้มข้น รีบๆมาต่อนะครับ

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
ยัยโสภีนี่ใจทำด้วยอะไรน่ะ ฆ่าแก้วตาแบบทรมานมาก
สงสารคุณใหญ่สุดๆ ดีแล้วที่คุณใหญ่ไม่รัก
แสนกับนมก็ซื่อสัตย์มากเลย อย่าให้คุณใหญ่กับแก้วตาสมหวังซักที
รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ omyim_jjj

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

เศร้าได้อีก

ออฟไลน์ kakaris

  • หากชีวิตเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราสามารถให้ผู้เป็นที่รักยิ่งนั้นได้ แล้วเราจะไม่มอบให้เ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ฮึย...อ่านแล้วเร้องเลยอ่า :mew4:  :hao5:

คนแต่งสู้ๆน้า

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
อ่านไปร้องไห้ไป ร้องจนปวดหัวเลยงานนี้
แก้วตาน่าสงสาร ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็ต้องมาจบชีวิตด้วยความทรมาน ไหนไอ้พวกโจรสองคนนั้นบอกว่าแค่สองวันปล่อยไง นี่มันกี่วันทำไมศพถึงได้แห้งจนผมหลุดร่างขนาดนั้น อยากถามโสภีเหลือเกินว่าจิตใจของหล่อนทำด้วยอะไร ทำไมถึงโหดร้ายขนาดนี้ ฆ่าคนโดยไม่มีสำนึกอะไรเลยสักนิด
คุณใหญ่เราเข้าใจที่คุณใหญ่เป็นนะ แต่ว่าเราก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคุณใหญ่ อย่าเอาแต่ยึดติดกับความรักถึงเอาเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ที่ได้ทำร่วมกันมา ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้ นั่นมันก็คือสิ่งที่เราได้ทำกับคนที่เรารัก แต่ว่าถ้าหากไปพบท่านเจ้าคุณแล้วบอกใให้แต่งงานแถมยังรู้ว่าคนที่ตนเองหมั้นหมายอยู่ฆ่าคนที่เรารักมันก็คงจะหนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับผู้ชายคนหนึ่ง
ไม่ได้หวังให้จบเลิศเลอแบบทั้งคู่ครองรักกันในชาตินี้ แต่ก็คงจะดีถ้าหากทั้งคู่ได้รักกันในชาติหน้า เพราะว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณใหญ่จะกลับกลายเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ถ้าหากไปสิงสู่อยู่ในร่างของครูเปรมก็คงจะไม่แน่ แต่ว่าเวลาของทั้งสาม คุณใหญ่ แสน นมแย้ม คงใกล้หมดลงแล้ว ตอนนี้ก็แค่ทำให้แก้วตากลับมารักแต่ถ้าหากครองรักกันก็คงยาก
นายแสนและนมแย้มต้องบอกว่าเป็นบ่าวที่หาได้ยากที่จะจงรักภักดีกับนายของตัวเองขนาดนี้ ตอนนี้ที่อยู่รู้ก็คือศพของทั้งคู่อยู่ไหนกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
« ตอบ #199 เมื่อ: 24-04-2014 20:30:36 »





ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ฮื้อออ เศร้าอะ เศร้าเกินไปแล้ว ทั้งๆที่รักกันมากถึงขนานนั้น แล้วทำไมต้องใจร้ายแยกพวกเค้าด้วย จิตใจทำด้วยอะไร  :ling1:

ออฟไลน์ pattyyaoi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สงสารแก้วตากับคุณใหญ่  :hao5:

อิโสภี ขอให้กรรมตามสนอง!!!!!!!!!!  :m31: :m31:

ออฟไลน์ aimjjj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เข้ามาดันกระทู้ ชอบเรื่องนี้มากๆ รอตอนต่อไปนะคะ~~ ปล.อ่านไปสองรอบน้ำตาก็ยังคงไหลพรากเหมือนรอบแรกที่อ่าน  :sad4: :o12: เป็นกำลังใจให้ค่ะ :กอด1: :3123:

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
...อสงไขย...
...กาลที่๑๖...



**********



หล่อนร่ำไห้แทบบ้า...

เฝ้าตามหาว่าเขาอยู่ไหน  ที่เป็นแบบนี้เพราะหล่อนรักเขามากเหลือเกินแล้วเหตุใดเขาจึงใจร้ายผลักไสหัวใจของหล่อนแบบนี้?  ใช่แล้ว  เป็นเพราะมัน  เป็นเพราะไอ้เด็กบ้านางรำคนนั้น!  สมควรแล้วที่มันต้องตายไม่ว่าใครหน้าไหนก็แย่งเขาไปไม่ได้และเขาจะต้องเป็นของหล่อนคนเดียว!

“โสภี  ลูกฆ่าคนจริงๆน่ะหรือ?”  เสียงแหบสั่นเครือ  ร่างอันเคยสง่างามงองุ้มจากความเศร้าสลด  ในมือกำจดหมายแผ่นหนึ่งเอาไว้น้ำตาอาบแก้ม

“มันสมควรตาย  มันแย่งคุณพี่ไปจากลูก!”

“!”  ท่านเจ้าคุณสะอื้นไห้กับคำตอบ  สภาพของบุตรสาวแสนรักไม่งดงามเช่นเคย  บัดนี้ดูหล่อนเหมือนคนบ้าไร้สติ

“คุณพ่อเจ้าขา  คุณพี่อยู่ที่ใดเจ้าคะ?  คุณพ่อช่วยลูกตามหาเขานะ  ลูกจะแต่งงานกับเขา!”  ท่านเจ้าคุณทรุดกายลงนั่งยื่นแขนลอดซี่กรงเหล็กตรงหน้าเข้าไปลูบเรือนผมของบุตรสาวแผ่วเบา

“พี่เขาไม่อยู่แล้วโสภี”

“ไม่อยู่  คุณพี่ไปไหนเจ้าคะ?  ไปทำงานหรือ?”

“พ่อใหญ่...สิ้นแล้ว”

“คุณพ่อโกหกลูก?”  หญิงสาวนิ่งขึงกับสิ่งที่ได้ยิน  พยายามปฏิเสธว่ามันไม่ใช่ความจริง

“ไม่  โสภี  พ่อไม่ได้โกหกลูก  พ่อใหญ่สิ้นแล้วจริงๆ  เขาตรอมใจตายตามนางรำคนนั้นไปแล้ว”  สิ้นประโยค   เสียงกรีดร้องร่ำไห้เจ็บปวดโหยหวนสะท้อนก้องไปทั่วคุกหลวง
หล่อนร่ำร้องเรียกหา...นามของเขาจนถึงวันสุดท้าย...

**********


เขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว  เหตุใดเขาจึงผูกพันกับเรือนหลังนั้น  เหตุใดเขาถึงกลัวสวนป่าหลังคณะฯ  เหตุใดคุณพระนายถึงมีดวงตาแสนโศกและรอยยิ้มแสนเศร้าแบบนั้น  สาเหตุที่ทำให้คุณพระนายทุกข์ทรมานมาแสนนาน  และทำไมเขาถึงรักคุณพระนาย

“แก้ว!  แก้วฟื้นแล้ว!”  เขาจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของฤดีหากแก้วตาไม่ได้สนใจ   

เขายังคงร้องไห้...

ไม่ว่าใครจะถามอะไรเขาได้แต่ส่ายหน้า  น้ำตายังคงไม่หยุดไหล...นานหลายนาทีกว่าแก้วตาจะถอนสะอื้นหยุดน้ำตาตัวเอง  กระนั้นความเศร้าก็ยังคงลอยวนท่วมอกของเขาไม่คลาย

“แก้วตา  เราดีใจเหลือเกินที่เธอตื่นขึ้นมาเสียที  คุณน้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกประเดี๋ยวก็คงมา อาจารย์เปรมเขาก็มาเยี่ยมเธอนะเพิ่งกลับไปเมื่อครู่นี้เอง  เธอหิวไหม?”  ฤดีเอ่ยรัวจ้องหน้าเพื่อนอยู่อย่างนั้น  ชายเองซึ่งเพิ่งมาถึงก็ดีใจ  เข้ามาลูบตามแขนแก้วตาอย่างเป็นห่วงพลางถอนหายใจโล่งอกที่เด็กหนุ่มฟื้นขึ้นมาเสียทีหลังไร้สติไปสามวันสามคืนเต็ม  หากคำถามแรกของแก้วตาที่เอ่ยขึ้นมาทำเอาสองพี่น้องนิ่งขึงด้วยไม่รู้จะตอบอย่างไร

“คุณพระนายล่ะ?”  ฤดีเงยหน้ามองพี่ชาย  ฝ่ายนั้นมีสีหน้าลำบากใจทั้งหมดอยู่ในสายตาของแก้วตาซึ่งจ้องอยู่ก่อนแล้ว  “คุณพระนายอยู่ไหน?”

“...เขาหายไปแล้ว”

“!”  ร่างเล็กผวาลุกขึ้นนั่งหากต้องลงกลับไปนอนอีกครั้งเพราะหน้ามืด  ฤดีดุเพื่อนคนเก่งเสียงดังก่อนจะตามหมอมาดูอาการ



ไม่ว่าจะอ้อนวอนแค่ไหนแก้วตาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลเพราะทุกคนอยากให้แน่ใจว่าคนตัวเล็กจะไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ  กระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้เมื่อเขายังไม่เห็นคุณพระนายเลยสักครั้งตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา  ในอกร้อนรุ่มเป็นห่วงและกังวลอย่างไม่ทราบสาเหตุ

‘คุณใหญ่  คุณอยู่ที่ไหนน่ะ?’  เขาเอาแต่ร้องเรียกหาอีกฝ่ายในใจ  ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เกรงว่าหากเขาแสดงอาการมากกว่านี้คนรอบตัวเขาคงคิดว่าเขาบ้า  ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองภาพวาดของคุณพระนายอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน

“คุณฟื้นแล้ว?”  แก้วตาหันไปทางต้นเสียง  วูบหนึ่งในใจเขาลิงโลดเมื่อเห็นใบหน้าคุ้นเคย  ก่อนจะเสหลบตาลงต่ำเพราะไม่ใช่คนที่เขาคิดถึง

“อาจารย์...”

“คุณดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย”  เปรมมองตามสายตาคนบนเตียงไปยังภาพวาดนั้น  “นั่น  รูปของใครงั้นหรือ?”  ทั้งๆที่เขาคิดว่าตัวเองรู้คำตอบแต่ก็ยังถามออกไป

“อาจารย์  คุณช่วยผมหน่อยได้ไหม?”  แก้วตาไม่ตอบคำถามก่อนหน้าหากเอ่ยขอร้องแทน  “ช่วยพาผมไปที่เรือนขาวที”

“อะไรนะ?  แต่ว่า...”

“ผมขอร้อง  ได้โปรด”


ชายหนุ่มมองดูร่างซูบเซียวก้าวเข้าไปในตัวเรือนหลังงามอย่างรีบร้อนด้วยความไม่เข้าใจ  เด็กหนุ่มมาหาใครที่นี่อย่างนั้นหรือ?  คนในภาพวาด?

“คุณใหญ่!  คุณใหญ่  คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”  เสียงหวานแหบเครือ  เขาร้องเรียกเสียงดังไปทั่วตัวเรือน

“แก้วตา  คุณเรียกใครน่ะ?”  เปรมรั้งแขนเล็กให้เจ้าของร่างหันมา  “ที่นี่ไม่มีใครอยู่หรอก”

“มีซิ  คุณใหญ่ของผมอย่างไรล่ะ  เขาจะต้องอยู่ที่นี่ซิ”  เด็กหนุ่มหันมาตวาดเสียงดัง  ยังคงร้องเรียกหาใครคนนั้นไม่หยุด  ไม่ได้รับรู้ว่าใจของใครบางคนเหี่ยวเฉาลงกับคำว่า  ‘คุณใหญ่ของผม’  ที่เจ้าตัวเอ่ยออกมา  อาจารย์หนุ่มเดินลงมายังห้องโถงด้านล่างด้วยใจวูบโหวง  ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีเขียวแก่อย่างหมดแรง  ดูท่าว่าเขาจะหลงรักแก้วาตาเข้าเสียแล้วอย่างหมดใจ...

พลันเมื่อสายตาเหลือบมองไปยังผนังหลังโต๊ะเขียนหนังสือ  เขาถลันกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก้าวขยับร่างไปยังภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา  ภาพของชายหนุ่มใบหน้าหมดจดหล่อเหลา  ดวงตาโศก  อยู่ในชุดข้าราชการแบบเก่า  เสื้อราชปะแตนสีขาวกับผ้าม่วงสีเขียวขี้ม้า...คนเดียวกับในภาพที่แก้วตามี!
ถ้าอย่างนั้นคนคนนั้นก็ไม่มีตัวตนอยู่จริงน่ะซิ?

“แก้วตา!  คุณกำลังหาใคร?”  เปรมวิ่งกลับขึ้นไปชั้นบน  กระชากแขนเล็กให้ตอบคำถาม

“ก็บอกแล้วว่าคุณใหญ่!  คุณใหญ่ของผม!”  ร่างเล็กสะบัดแขนจากการเกาะกุม  รู้สึกรำคาญใจกับท่าทีของคนตรงหน้าเหลือเกิน  ตอนนี้เขาร้อนใจอยากเจอคุณใหญ่ของเขาเท่านั้น!

“คนในภาพวาดนั่นน่ะรึ?”

“ใช่!”

“แต่...นั่นเป็นภาพต้นสมัยรัชกาลที่๖แล้วนะ  เขาจะมีตัวตนอยู่ได้ยังไง?”  เพราะความแคลงใจ  อาจารย์หนุ่มจึงเอ่ยถามถึงแม้เขาจะเดาคำตอบเอาไว้ในใจแล้วก็ตาม

“เขามีตัวตนสำหรับผม!”  เหมือนคนขาดสติ  เด็กหนุ่มร่ำร้องหาใครคนนั้นไม่หยุดปาก  พาลน้ำตาก็ไหลเป็นทางอาบแก้ม  เขารู้เหมือนอย่างที่อาจารย์หนุ่มพูดนั่นแหละ  คุณใหญ่ของเขาไม่มีตัวตนอยู่ที่นี่แล้ว

“มันเป็นไปไม่ได้  ถึงผมจะไม่เคยเห็นเขาแต่ผมก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คน”

“คุณจะมารู้ดีกว่าผมได้ยังไง!”  แก้วตาแผดเสียง  “ก่อนหน้านี้เขาอยู่ที่นี่  อยู่กับผม!”

“ถ้าคุณเห็นเขาจริงก็แสดงว่าเขาเป็นผี!”

“หยุดนะ!”

“ไหนล่ะ?  ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?  ทำไมไม่ปรากฏตัวออกมา”  อาจารย์หนุ่มเสียงดังกลับ  เขาเห็นท่าทางเจ็บปวดของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ให้แสลงใจ

“เขาต้องอยู่ซิ  ต้องอยู่...”  ไหล่เล็กสะท้านไหวด้วยแรงสะอื้น  ริมฝีปากสีเข้มเอ่ยพร่ำร้องเรียกนามนั้นสั่นเครือแหบโหย

“แก้วตา...”  เด็กหนุ่มไม่รู้...ว่าตัวเองหมดเรี่ยวแรงซุกซบอกกว้างของใครบางคนเพื่อร่ำไห้  ใครคนนั้นซึ่งเพิ่งรู้ตัวว่าหลงรักคนในอ้อมแขน  ใครคนนั้นที่เจ็บปวดรวดร้าวเมื่อเขาสะอื้นไห้  “เป็นผมได้ไหมแก้วตา?”  เขากระซิบถามแผ่วเบา




พระคุณเจ้ามองหน้าเด็กหนุ่มแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก  หลายวันมานี้ท่านโดนเจ้าเด็กจอมดื้อมาเฝ้าแทบทุกวัน  ท่านอยากจะหลบรึก็ไม่เหมาะสมเพราะเจ้าคนตรงหน้าอ้างมาทำบุญใส่บาตรอยู่อย่างนี้

“นั่นใครล่ะ?”  ท่านเอ่ยถามพลางพยักหน้าไปทางด้านหลังเด็กหนุ่มซึ่งมีใครบางคนนั่งอยู่  ใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั้นทำให้ท่านหนักใจคำรบสอง

“ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่แก้วตาเรียนอยู่ครับ”  พระคุณเจ้าพยักหน้ารับ

“หลวงพ่อบอกผมเถอะนะครับว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน  ทั้งคุณใหญ่ ทั้งนมแย้มทั้งนายแสน”  ประโยคคำถามที่ฟังมาตลอดสี่-ห้าวันนี้เป็นคำถามเดิมทั้งสิ้น 

“พวกเขายังอยู่  ในเรือนหลังนั้นนั่นแหละ”

“แล้วทำไมผมถึงไม่เห็นพวกเขาล่ะครับ”  คำตอบนั้นทำให้ดวงตาหม่นแสงวาววับขึ้นด้วยความหวัง

“โยม  โยมจะรั้งพวกเขาไว้ทำไม  อีกไม่นานพวกเขาจะหมดสิ้นเวรในภพนี้แล้ว”

“หมายความยังไงหรือครับหลวงพ่อ  สิ้นเวรอย่างนั้นหรือ?”  ท่านไม่ตอบหากจ้องหน้าแก้วตานิ่ง  “หมายความว่าผมจะไม่ได้พบเจอพวกเขาอีกอย่างนั้นหรือครับ?”  คราวนี้พระคุณเจ้าพยักหน้ารับเชื่องช้า  จากความหวังลุกโชนเมื่อครู่พลันดับแสงลงอย่างรวดเร็ว
.
.


“เป็นผมไม่ได้หรือ?”

“คุณหมายความว่ายังไง?”  เด็กหนุ่มหันกลับมาถามคนด้านหลัง  ร่างสูงขยับกายเข้าใกล้  ฉวยข้อมือเล็กมากำไว้แล้วเอ่ยด้วยสายตาเว้าวอน  ไม่ว่าเขาจะตามรับตามส่งพูดคุยหรือคอยวนเวียนอยู่ใกล้  อีกฝ่ายไม่เคยผลักไสหากแต่ก็ไม่เคยยอมรับเช่นกัน

“ให้เป็นผมที่รักแก้วตาแทนเขาไม่ได้หรือ  คุณพระนายคนนั้นน่ะ”  อาจารย์เอ่ยถาม  เขารู้เรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับคุณพระนาย  คนในภาพวาดนั้นแล้วโดยฟังจากการบอกเล่าของฤดี

“คุณไม่ใช่เขา”  แก้วตาบอกเสียงนิ่งประโยคนั้นคล้ายจะย้ำกับตนเองมากกว่า  เขาจ้องมองตอบอย่างเย็นชาหากแต่ในส่วนลึกเขากลับไม่กล้าเอ่ยปากไล่ชายหนุ่มอย่างโหดร้ายได้

“ผมรู้  แต่ผม..”

“คุณไม่รู้หรอกว่า  กว่าเราสองคนจะรักกันได้มันยากเย็นขนาดไหน”  เด็กหนุ่มบิดแขนออกจากมือใหญ่พลางหันหลังให้  หากมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้านานกว่านี้เขาคงร้องไห้  เหตุผลที่เขายอมให้อีกฝ่ายตามอยู่แบบนี้  แก้วตารู้ใจตัวเองดี...เขามันเห็นแก่ตัว

“ใช่  ผมไม่รู้หรอกว่าคุณกับเขารักกันมันยากขนาดไหน  แต่คุณก็ไม่รู้หรอกว่าผมรักคุณมากขนาดไหนเหมือนกัน”

“....”  แก้วตานิ่งอึ้ง  ไหล่เล็กห่อลู่สั่นสะท้านก่อนจะยืดตัวตรงแล้วเดินออกไป
.
.
ชายมองภาพตรงหน้าด้วยใจห่อเหี่ยว  ถึงเขาจะรู้คำตอบหากแต่อดคาดหวังไม่ได้  ร่างสูงทิ้งกายลงนั่งข้างคนเหม่อลอย  ยกมือขึ้นเกลี่ยผมให้พ้นหน้าผากเนียนแผ่วเบาเรียกให้อีกฝ่ายหันมามอง

“พี่ไม่ได้หวังว่าแก้วจะลืมเขา”  ชายเลื่อนมือกอบกุมมือขาวไว้หลวมๆ  “เพราะพี่รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้  แต่พี่อยากให้แก้วเปิดใจบ้าง”

“พี่ชาย...  ผมรักพี่เหมือนพี่ชายแท้ๆคนหนึ่ง”  คำตอบซึ่งรู้ตั้งแต่แรก  พอได้ยินจากปากคนตรงหน้าจริงๆกลับเจ็บแปลบเสียยิ่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้เสียมากมาย  ชายยกยิ้มเศร้า  ริมฝีปากได้รูปเม้มสนิทกลั้นความเสียใจ

“ผมรู้ว่าพี่ชายคิดยังไง แต่มันไม่ได้จริงๆ”

“พี่รู้   รู้แล้ว”  ชายเสหลบสายตาเจ็บยอกในอกจนร้าวระบม  หากมือแกร่งยังไม่ปล่อยมือเล็กให้หลุดเป็นอิสระ  “พี่ขอดูแลแก้วต่อไปแบบนี้นะ”

“ขอบคุณครับ  ขอบคุณ”  แก้วตาร้องไห้  เขานึกเสียใจที่ไม่อาจตอบสนองความรู้สึกนั้นของชายหนุ่มได้  แต่เขารักใครไม่ได้อีกแล้วจริงๆ

**********


เขายังคงมาเรือนขาวทุกวันไม่เคยขาด  ถึงแม้จะมองไม่เห็น  ไม่ได้ยินเสียงอย่างที่ผ่านมาแต่เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะยังอยู่ตามที่พระคุณเจ้าบอก

“คุณใหญ่  คุณได้ยินผมไหม?”  สายลมอ่อยพัดแผ่วเบา  หัวใจของแก้วตาเต้นระรัวแรง  เขาก้าวเข้าไปยังห้องนอนใหญ่  ทุกอย่างที่นี่ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน  เด็กหนุ่มทิ้งกายลงนั่งบนเตียงลูบไล้เนื้อผ้าเย็นชืดด้วยความโหยหา

“ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน  คุณใหญ่ออกมาเถอะนะ  ผมมีบางอย่างที่อยากจะบอกคุณ  ต้องบอกให้ได้”  ลมเอื่อยผะแผ่วเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้น  ผ้าม่านผืนบางปลิวสะบัดเสียงดัง   แก้วตาพี่...  คล้ายเสียงทุ้มแว่วร้องเรียก  ร่างเล็กผุดลุกขึ้นยืนเหลียวหา  ...หรือจะอยู่ที่เรือนซ้อมรำ?

“มองหาใครงั้นหรือ?”

“!”  ร่างเล็กสะดุ้งกาย  หันเหลียวไปมองเจ้าของเสียงแล้วเบิกตากว้าง  ร่างระหงในชุดสีชมพูอ่อนค่อยเยื้องย่างเข้ามาหาอย่างไร้สุ้มเสียง  ในมือลากท่อนไม้ติดมาด้วย  ดวงตาเรียวน่ากลัวจับจ้องเด็กหนุ่มไม่วาง   ริมฝีปากบางเคลือบลิปสติกสีเข้มแย้มยิ้ม  “คุณโสภี”


“ใช่  ฉันเอง!  แก้วตาก้าวถอยหลังอย่างระแวดระวัง  “กลัวเหรอ?”  หญิงสาวค่อยๆยกท่อนไม้นั้นขึ้น  ลูบมันเบาๆพลางเอียงคอมองเด็กหนุ่มตรงหน้า

“คุณจะทำอะไร?”

“ทำอะไร?  ก็ทำให้แกหายไปจากโลกนี้ไงล่ะ!”  โสภีประกาศกร้าว  ใบหน้าที่เคยสวยงามบิดเบี้ยว  “คุณพี่ต้องเป็นของฉัน!”

“เขาไม่ใช่ของคุณ!”

“หุบปาก!  วันนั้นตอนฉันเจอเขาที่พาหุรัดครั้งแรก  ในนี้ก็บอกฉันว่าฉันเจอเขาแล้ว”  โสภีชี้อกซ้ายของตัวเอง

“?”  แก้วตานึกถึงเหตุการณ์วันนั้น  คนที่โสภีเจอคืออาจารย์เปรมนี่!

“แล้วฉันก็เจอเขาอีกเรื่อยๆ  ถึงเขาจะไม่เหมือนตอนที่อยู่ในฝันของฉันสักเท่าไหร่  แต่ช่างมันเถอะฉันเจอเขาก็ดีแล้ว”

“เขาไม่ใช่...”

“แต่เพราะแก!  ไม่ว่าเวลาไหนๆเขาก็ยังตามรักแกไม่เลิกรา  เพราะแบบนั้นฉันถึงต้องกำจัดแกยังไงล่ะ”

“คุณโสภี  เลิกแล้วต่อกันเถอะนะอย่าได้จองเวรจองกรรมกันแบบนี้เลย  ผมขอร้อง”

“ไม่มีวัน  ตราบใดที่มีแกอยู่คุณพี่จะไม่มองมาทางฉัน  ฉันยอมไม่ได้!”  หล่อนแผดเสียง  บัดนี้ดวงตาคู่งามเบิกกว้างเหลือกถลนจ้องมองแก้วตาอย่างอาฆาตแค้น

“แต่ผมจะอโหสิกรรมให้คุณ”  เด็กหนุ่มพยายามทำใจดีสู้พลางมองหาทางหนีทีไล่  แต่ดูเหมือนจะหาไม่พบเพราะโสภียืนขวางประตูเอาไว้

“อ้อ  เหรอ  งั้นฉันจะอโหสิกรรมให้แกถ้าชาตินี้แกตาย!”  จบคำหญิงสาวก็ถลาเข้าหาพร้อมท่อนไม้ที่เงื้อขึ้นสูง  แก้วตาเบี่ยงกายหลบหากปลายไม้นั้นกระทบเข้ากับต้นแขนเต็มแรงให้เด็กหนุ่มเซล้มกองกับพื้นเสียงดัง

“คุณโสภีอย่าทำแบบนี้เลยนะ”  เขาเอ่ยขอ  ต้นแขนเจ็บหน่วง  น่ากลัวว่ากระดูกอาจจะหัก

“ถ้าอย่างนั้นแกก็ตายเสียสิ!”  โสภีฟาดลงมาอีกครั้ง  ท่อนไม้กระทบศีรษะได้รูปของคนบนพื้นเต็มแรง  ร่างนั้นแน่นิ่งไม่ขยับ  หล่อนยกยิ้มสะใจเดินเข้าไปใกล้แล้วใช้ปลายเท้าเขี่ย  รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะบ้าคลั่ง 
ต่อไปนี้เขาจะเป็นของฉันแค่คนเดียว!



“แก้วตา!  คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”  เสียงทุ้มตะโกนร้องเรียก  โสภีเบิกตากว้างถลันกายไปยังหน้าต่าง  ร่างสูงของชายหนุ่มกำลังเดินเข้ามาในเรือนขาว  หล่อนต้องทำอะไรสักอย่าง 
ใช่แล้ว!  เผามันซะ!  เผาที่นี่ไปพร้อมกับมัน!
โสภีวิ่งไปคว้าถังน้ำมันที่เตรียมมาสาดไปรอบห้องอย่างรีบร้อน  พร้อมกับเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา

“คุณโสภี?  นั่นคุณจะทำอะไร!”  อาจารย์หนุ่มตวาดถาม  มองเห็นร่างแน่นิ่งของแก้วตาบนพื้น  เขาขยับเท้าหากต้องชะงักเมื่อโสภีขู่ตะคอก

“อย่าเข้ามา!”  หล่อนชูไม้ขีดไฟพร้อมกับจุดมันขึ้น  ร่างสูงนิ่งไม่กล้าขยับ  กลิ่นน้ำมันฉุนกึกตลบอบอวลจนแทบสำลัก  วันนี้ตั้งแต่เช้าไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกเป็นห่วงเด็กหนุ่มอย่างไม่รู้สาเหตุ   เมื่ออดรนทนไม่ไหวจึงต้องขับรถไปบ้านของฤดี  ไปทั้งๆที่รู้ว่าเขาอาจจะต้องเจ็บช้ำกับสายตานิ่งเฉยของอีกฝ่ายเวลามองเขา  ไปทั้งๆที่รู้ว่าหัวใจตัวเองต้องเจ็บ  กระนั้นเขาก็ยังห่วงหาแก้วตามากมายเหลือเกิน  เขาไม่พบเด็กหนุ่มที่นั่นเลยคิดว่าคงอยู่เรือนขาว  เขาก็บึ่งรถมาราวกับพายุด้วยความร้อนใจ

“คุณอย่าทำอะไรบ้าๆนะ”  เขาพยายามใจเย็นทั้งๆที่เป็นห่วงคนบนพื้นจนแทบบ้า  หน้าผากเนียนย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉานหากแผ่นอกเล็กยังกระเพื่อมแสดงถึงการมีชีวิตเขาก็ถอนหายใจ 

“บ้างั้นเหรอ?  ฉันบ้าก็เพราะคุณนั่นแหละ!”

“?”

“ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้คุณก็มองแต่มัน!”  เปรมเลิกคิ้วไม่เข้าใจสิ่งที่โสภีเอ่ย  หากแต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ฤดีเล่าให้ฟังก็พอปะติดปะต่อเรื่องราวได้  โสภีอาจจะจำเรื่องราวของชาติที่แล้วได้ผ่านความฝัน  แต่หากตอนนี้หล่อนความฝันกับความจริงผสมปนเปกัน

“ผมไม่ใช่เขา”

“โกหก!  คุณพี่เป็นของน้อง  ไม่ใช่มัน!”  ร่างสูงพยายามขยับกายเข้าไปใกล้เพื่อจะแย่งไม้ขีดไฟออกจากมือของหล่อน  เมื่อได้ระยะเขาก็ถลาเข้ายื้อยุดกระชากร่างโปร่งของโสภีออกมาให้พ้นบริเวณซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยน้ำมัน  หล่อนกรีดร้องดิ้นรนขยับหนีไม่ยอมแพ้  สองร่างนัวเนียพัลวันจนมาถึงหน้าประตูเหนือหัวบันได  โสภีสะบัดมือโยนไม้ขีดไฟเข้าไปในห้องโดยแรงพลันไฟก็ลุกพรึบขึ้นอย่างรวดเร็ว  อาจารย์หนุ่มผวาเมื่อเห็น  เขาผละร่างออกหากโสภีกลับเหนี่ยวรั้งไม่ให้เขาเข้าไปในห้อง

“แก้วตา!”  ร่างสูงพยายามสะบัดหญิงสาวออกหากหล่อนกระชากเขาด้วยแรงหึงหวงอันมหาศาล  สองร่างล้มลงตกลงไป...

‘แก้วตา!’  เขาตะโกนก้องในใจ  ก่อนภาพของคนที่นอนหมดสติบนพื้นจะหายไปจากลานสายตา...  เขาหล่นวูบลงไป...




ความเจ็บปวดเสียดแทงไปทั่วร่าง  แขนขาหนักอึ้งไม่ขยับไหวแค่หายใจเข้าเบาๆก็ร้าวไปทั้งอก  กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอบอวล  เขาสำลักไอออกมาเป็นลิ่มเลือด  เขายังไม่สามารถช่วยแก้วตาได้เลย 
ต้องช่วย!  ดวงตาพร่ามัวรับภาพอันเลือน ราง  เงาร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้  เจ้าของร่างสูงโปร่งยืนค้ำอยู่เหนือร่างของเขา  ใบหน้านั้น...เขาจำได้ติดตา

‘คุณพระนาย .... คุณใหญ่ซินะ?”  เขาถาม  อีกฝ่ายพยักหน้ารับด้วยใบหน้าโศกเศร้า  ‘คุณกำลังรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยแก้วตาและผมได้อย่างนั้นหรือ?’  ใบหน้านั้นพยักรับอีกครั้ง  เขาแค่นยิ้มหากทำได้ลำบากเหลือเกิน ‘ช่วยแก้วตา...  ช่วยเขาด้วย’  หยาดน้ำตาร่วงหล่นจากใบหน้าหล่อเหลาอันพร่าเลือน  เปรมมองภาพนั้นแล้วยิ้ม...เป็นครั้งสุดท้าย...


เปลวไฟร้อนระอุลุกโหมกระหน่ำ  เรือนขาวหลังงามลุกไหม้ลามไปทั้งตัวเรือนอย่างรวดเร็ว  รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างใกล้เคียงอย่างเรือนซ้อมรำหลังเล็กด้านข้าง  ทุกอย่างจมหายไปกับพระเพลิงลูกใหญ่อันแสนบ้าคลั่งด้วยแรงริษยา

“แก้วตา  คนดีของพี่”  เสียงทุ้มทอดกังวานแว่วเรียกให้เปลือกตาบางขยับไหว

“คุณใหญ่”

“น้องปลอดภัยแล้ว”  เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายกยิ้ม  กระซิบปลอบโยน

“คุณไปไหนมา?”  แก้วตาเค้นเสียงจากลำคออันแห้งผากเอ่ยถาม

“พี่อยู่ตรงนี้  ใกล้ๆน้องตลอดเวลา”

“อย่าหายไปอีกนะ  อย่าหายไป  เพราะว่าผมรักคุณ”

“แก้วตา?”  ริมฝีปากหยักยกยิ้ม

“แก้วรักคุณใหญ่นะ”
   
“พี่ก็รักแก้วตา  รักเหลือเกิน...”  เขากระซิบตอบ  ใบหน้าเนียนซีดเผือดแย้มยิ้มก่อนเปลือกตาหนักอึ้งจะปิดลง  แว่วเสียงทุ้มสะอื้นไห้แผ่วเบา


‘ลาก่อน  แก้วตาที่รัก’




*********




“มีอันต้องนอนโรงหมอเสียทุกเดือนเลยเชียวนะ!”  เสียงหวานตวาดแหว  เมื่อเขาลืมตาตื่นจึงเห็นว่าเพื่อนสาวของเขายืนเช็ดน้ำตาป้อยๆอย่างไม่อายสายตาใคร  ทั้งๆที่ปากก็พล่ามต่อว่าเขาไม่หยุด

“ฤดี  ไม่เอาน่า”  พี่ชายกอดปลอบน้องสาวก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเหลือบไปเห็นคนบนเตียงลืมตาแป๋วมองพวกเขาสองคนอยู่  “ตื่นแล้วหรือ?”

“ใครตื่น  น้องไม่ได้หลับเสียหน่อย  อ๊ะ  แก้ว!”  ฤดีอุทาน  ยกมือเช็ดน้ำตาลวกๆถลามายังเตียงคนไข้ด้วยความดีใจ

“เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?  แล้วคุณใหญ่ล่ะ?  คุณโสภีด้วย?”  ชายกับฤดีหันมามองหน้ากัน  คนเป็นพี่เอ่ยปากถามกลับ

“แก้วจำไม่ได้เลยหรือว่าเกิดอะไรขึ้น?”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว  แล้วค่อยเล่าเรื่องเท่าที่จำได้ให้ทั้งสองคนฟัง

“ดีเท่าไหร่แล้วที่แค่หัวแตกกับกระดูกร้าว”  ฤดีว่า  แก้วตาพยักหน้ารับเบนสายตาไปยังร่างสูง

“คุณน้าโสภีเธอตายแล้ว”

“อะไรนะ!”  คนบนเตียงตกใจผุดลุกขึ้นนั่ง  เบ้หน้าเพราะแขนยังเจ็บไม่หายหากเขาก็ไม่ยอมนอนลงเมื่อฤดีทำท่าจะดันตัวเขาลงไป

“หลังจากทำร้ายแก้วจนหมดสติเธอก็เผาเรือนขาว..ทุกอย่างมอดไหม้ไปหมดเลย”  สิ้นคำของชายแก้วตาก็หน้ามืดหมดแรงให้ชายต้องพยุงร่างพิงหัวเตียง

“แล้วคุณใหญ่ล่ะ  เขาช่วยผมออกมา”

“คนที่ช่วยแก้วคืออาจารย์เปรมนะ?”

“เอ๊ะ?”

“ดูเหมือนอาการจะหนักพอควรเพราะเขาฝ่ากองเพลิงไปพาเธอออกมา”  แก้วตาสับสนกับคำบอกเล่าของทั้งสองคน  ทำไมคนที่ช่วยเขาออกมาถึงเป็นอาจารย์เปรมไปได้เล่าในเมื่อเขาจำได้ว่าเป็นเขาแน่ๆ  เป็นคุณใหญ่ของเขา...

“แล้วตอนนี้อาจารย์อยู่ที่ไหน?”  เป็นอีกครั้งที่ฤดีลอบสบตากับผู้เป็นพี่ชาย

“ญาติของอาจารย์พาเขากลับอเมริกาไปแล้ว”

“!”

*********

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3

เวลาผ่านไป ๖ เดือน  ทุกอย่างยังคงเดิมไม่มีสิ่งใดต่างออกไป  เขาหมุนแหวนทองคำวงเล็กตรงนิ้วนางข้างซ้ายพลางถอนหายใจ  ในวันที่ตื่นมาในโรงพยาบาล  ได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างเขาก็เพิ่งสังเกตว่าแหวนกลับมาอยู่บนนิ้วของเขาอีกครั้ง  แก้วตาจำได้ว่ามันเคยหายไป  แล้วเจอมันสวมอยู่บนนิ้วของร่างในโลงแก้ว  เขาไม่คิดอยากได้คืนหากจู่ๆวันนั้นมันก็กลับมา  กลับมาอยู่บนนิ้วของเขา

แก้วตาพาแม่ย้ายออกจากบ้านของฤดีมาเช่าบ้านหลังเล็กๆภายหลังออกจากโรงพยาบาล  ไม่ว่าเพื่อนสาวกับพี่ชายขอร้องอย่างไรก็สู้เหตุผลของเขาไม่ได้สักคน  เขาไม่อยากพึ่งพิงทำตัวเป็นกาฝากอีก  เขาเริ่มทำงานทุกอย่างเท่าแรงของเขาจะมี  เพื่อที่สมองของเขาจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน  พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย  ตื่นตอนเช้าไปหมาวิทยาลัย  แล้วก็ทำงานวนเวียนอยู่อย่างนั้น  เขากำลังหลีกหนีและพยายามทำใจยอมรับ
ยอมรับว่าไม่มีคุณใหญ่ของเขาอีกต่อไปแล้ว...

เรือนขาวเหลือเพียงซากเถ้าถ่าน  รวมถึงเรือนหลังเล็กด้วย  ไม่มีสิ่งใดเหลือไว้ให้เห็น  มีเพียงความทรงจำเท่านั้นให้นึกถึง  บ่อยครั้งที่เขามายืนตรงนี้แล้วปล่อยให้น้ำตารินไหลโดยไร้เสียงสะอื้น  กัดริมฝีปากของตัวเองแน่นเพื่อที่จะไม่เอ่ยนามของคนให้ห้วงคำนึงออกมา
สิ้นเวรพ้นทุกข์เสียที  ขออย่าให้เขาทรมานอีกเลย

หลวงพ่อบอกว่าพวกเขาทั้งสามจากไปแล้ว  ไปสู่ภพภูมิที่ดีไม่ต้องติดบ่วงอยู่ในห้วงทุกข์อีกต่อไป  ดังนั้นแก้วตาจึงทำได้เพียงร้องไห้เงียบๆเมื่อคิดถึงพวกเขา  ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
และสุดท้าย...อาจารย์เปรมคนนั้นก็ลาออกไม่อยู่รอให้เขาเอ่ยขอบคุณสักคำ...

“ที่ตรงนี้เธอเคยบอกว่าไม่อยากมา”  ฤดีเอ่ยเมื่อเดินมาหยุดยืนข้างร่างโปร่งของเพื่อนตัวเล็ก  ...สวนป่าหลังตึกคณะฯ

“ใช่  แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”  หญิงสาวเลิกคิ้วกับคำบอกนั้น  ก่อนจะเดินตามเพื่อนเข้าไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่  กางกระดานวาดรูปออกมา

ร่างเล็กเอนหลังพิงต้นไม้แล้วหลับตานิ่ง  ใช่  เขาเคยกลัวที่ตรงนี้  ที่ที่เขาเคยตาย เมื่อนานมาแล้ว  หากตอนนี้เขากลับรู้สึกเฉยๆกับมันเพราะเขารู้ต้นเหตุแห่งความกลัวนั้นแล้วและเขาเลือกจะปล่อยมันไป

“จริงซิ  เราลืมบอกแก้วเลยว่ามีพัสดุส่งมาถึงเธอ”  เขาเลิกคิ้วรับรู้คำบอกเล่าของเพื่อนหากไม่ได้ลุกขึ้นไปห้องธุรการในทันที

พัสดุเป็นทรงกระบอกเหมือนอย่างที่พวกเขาเอาไว้ใส่ภาพร่างถูกหยิบขึ้นพิจารณา  เขามองหาชื่อผู้ส่งแต่ก็ไม่พบเหมือนมันถูกเอามาวางไว้ในห้องนี้โดยใครบางคนแทนที่จะเป็นพนักงานไปรษณีย์  ฤดียักไหล่เมื่อเขามองไปเหมือนถาม  แก้วตาค่อยแกะฝากระบอกออกในนั้นเป็นกระดาษแผ่นใหญ่บรรจุอยู่  เขาค่อยๆคลี่ออก...
นี่มัน!  มือที่ถือกระดาษสั่นระริก  ดวงตาเรียวเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา  ความตื่นเต้นตกใจค่อยเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ
แปลนโครงสร้างเรือนขาว!

“อาจารย์เห็นคนที่นำพัสดุมาไว้ในห้องนี้หรือเปล่าครับ?”  เขาหันไปถามอาจารย์ในห้อง  อีกฝ่ายบอกไม่เห็นเขาเพียงแต่แจ้งให้นักศึกษาทราบว่ามีพัสดุส่งมาถึงเท่านั้น

“มีอะไรหรือเปล่าแก้ว?”

“ภาพนี้!  เขาวาดมันออกมาจนได้!”  เด็กหนุ่มพูดลอดไรฟันอย่างนึกเคือง

“ใคร?”

“ก็อาจารย์เปรมยังไงล่ะ!”  ทั้งๆที่สัญญากับเขาแล้วว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าเขาไม่อนุญาต  ทำแบบนี้มันโกหกกันชัดๆ!  สุดท้ายแก้วตาก็ค้นหาที่อยู่เก่าของอีกฝ่ายมาได้  ถึงไม่มั่นใจว่าฝ่ายนั้นจะกลับมาจากอเมริกาหรือยัง  แต่ยังไงก็อยากจะลอง

“นี่ๆ  อย่าโกรธอาจารย์ขนาดนั้นเลยน่า  อย่างน้อยเขาก็เป็นคนช่วยเธอไว้เมื่อคราวนั้นนะ”

“อ้อ  ใช่  ถ้าอย่างนั้นเราจะขอบคุณเขาก่อนจากนั้นก็ค่อยชกให้หน้าหงายโทษที่ผิดสัญญา!”


นิ้วเรียวกดกระหน่ำออดหน้าบ้านชนิดไม่หยุดพัก  ฤดีต้องคว้ามือเพื่อนออกเพราะกลัวออดจะไหม้เสียก่อนหากเพียงครู่เดียวเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนมาทุบประตูรั้วแทน

“นี่  อาจารย์เปรม!  คุณอยู่หรือเปล่า  ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”  เด็กหนุ่มตะโกน  ทั้งโมโหทั้งร้อนใจเขาตะโกนสลับกับกดออดไปเรื่อยๆจนไม่รู้สึกถึงแรงสะกิดจากเพื่อนจนฝ่ายนั้นทนไม่ไหวกระชากไหล่เขาให้หันไป  “อะไร?”  ยังไม่ทันถามให้จบประโยคสายตาของเขาก็จับร่างคุ้นตาของใครบางคน  ฝ่ายนั้นยืนชะงักห่างออกไปเมื่อเห็นเขาทั้งสอง  แล้วหันหลังเดินกลับออกไปอย่างรวดเร็ว

“หยุดนะ!”  พอเขาตะโกนแบบนั้นร่างสูงก็เปลี่ยนเป็นวิ่งทันที  “เฮ้ย!” 
กลายเป็นว่าต้องวิ่งไล่ตามเสียอย่างนั้น

.
.

“....”

“คุณวิ่งหนีทำไม?”  แก้วตาถาม     ในที่สุดเขาก็วิ่งตามอีกฝ่ายทัน  เด็กหนุ่มกระโดดล็อคคออย่างเหนียวแน่นชนิดล้มหน้าคว่ำก่อนจะลากร่างสูงเข้าไปยังร้านกาแฟแถวนั้น

“เปล่า...!”  ปัง!  เอ่ยปฏิเสธยังไม่จบมือเล็กก็ตบโต๊ะดังปังจนชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก (รวมถึงฤดีด้วย)  มือใหญ่ดันแว่นกันแดดอันโตซึ่งเลื่อนลงขึ้นไปบังดวงตาตามเดิม

“กล้าโกหกเหรอ”  เหงื่อซึมผุดบนหน้าผากกว้างเมื่อเห็นสายตาของร่างเล็กตรงหน้า  พลางคิดในใจว่าเหตุใดเดี๋ยวนี้แก้วตาคนน่ารักถึงได้กลายเป็นดุร้ายไปเสียแล้ว (แน่นอนว่ามันมาจากตัวเขาเองนั่นแหละ  ซึ่ง...เขายังไม่รู้ตัว)

“เปล่าจ้ะ  เอ้ย  เปล่าครับ”  เขาดันแว่นขึ้นอีกครั้งเพราะรู้สึกว่าเหงื่อจะทำให้มันลื่นเลื่อนลงมาเรื่อยๆ

“คุณผิดสัญญากับผม”

“เอ๊ะ?”

“อย่ามาแกล้งลืมนะ  คุณบอกว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าไม่ได้รับอนุ...  อะไร?”  แก้วตาชะงักประโยคค้างไว้เมื่อฤดีดึงแขนเสื้อเขาแรงๆ

“เธอควรจะพูดอีกประโยคหนึ่งก่อนนะ”

“อ้อ  ขอบคุณนะครับที่คุณช่วยผมจากเรื่องเมื่อคราวที่แล้ว”  ยังไม่ทันให้ชายหนุ่มได้พยักหน้ารับแก้วตาก็พูดประโยคต่อไปให้เขานิ่งอึ้งเสียก่อน  “ถึงแม้ว่าผมจะเห็นคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่คุณก็ตาม”

“แก้ว!”

“....”  ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แว่นกันแดดซีดเผือดทันที

“ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องหลักเสียที  ...อ้อ  ช่วยถอดแว่นกันแดดได้ไหม?”  แก้วตากอดอกพลางชี้ไปยังแว่นกันแดดบนหน้าคนตรงข้าม  ฝ่ายนั้นส่ายหน้าปฏิเสธทันทีเช่นกัน  “นี่คุณ  มันเสียมารยาทนะ  อยู่ในที่ร่มแล้วจะใส่แว่นกันแดดทำไม”  พออีกฝ่ายไม่ตอบซ้ำยังทำนิ่งอยู่แบบนั้นคนตัวเล็กเลยได้แต่สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อระงับอารมณ์โกรธที่พุ่งทะลักขึ้นมาอีกครั้ง  ไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นหน้าคนคนนี้เขาถึงควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย! (อารมณ์โกรธน่ะนะ  แน่ล่ะ  ว่าเขาไม่รู้สาเหตุ)

“เข้าเรื่องดีกว่า  ตอนนี้คุณรู้ใช่ไหมว่าผมโกรธมาก”

“....”  ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ  ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพยักหน้าอย่างรวดเร็วแทนเมื่อสบดวงตาวาวโรจน์

“เรื่องอะไรรู้ไหม?”  คราวนี้เจ้าของใบหน้าน่ารักยิ้มหวานหากคนมองกลับเสียวสันหลังวาบแล้วส่ายหน้า  “เป็นใบ้หรือคุณน่ะ?”

“เปล่า”

“เห็นส่ายหน้ากับพยักหน้าแค่นั้นก็นึกว่าเป็นใบ้ไปเสียแล้ว”

“ปากร้ายเสียจริง”  เขาพึมพำแผ่วเบาหากคนจ้องหาเรื่องก็หูดีเกิน  เด็กหนุ่มสะบัดเสียงถาม

“อะไรนะ!”

“เอ่อ  เข้าเรื่องดีกว่าไหม?”  ฤดีอดเอ่ยแทรกไม่ได้  หากปล่อยทิ้งไว้เห็นทีอาจารย์เปรมผู้เคยมั่นใจในตนเองคงโดนคนตัวเล็กข่มไปมากกว่านี้เป็นแน่

“ใช่!  ผมจะบอกว่าผมโกรธมากที่คุณผิดสัญญา”

“สัญญา?”

“ก็ที่คุณสัญญากับผมว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าผมไม่อนุญาตไง!”

“เอ่อ”  สีหน้าเหมือนลืมไปแล้วทำเอาเด็กหนุ่มตบโต๊ะเสียงดังให้สะดุ้งกันอีกรอบ

“คุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

“คือ  พี่  เอ้ย  ผมแค่  แค่อยากให้มีเรือนขาวเหมือนเดิม”   

“ก็เลยละเมิดสัญญาแล้ววาดภาพนี้ขึ้นมา?”

“พี่สัญญาไว้อย่างนั้นรึ?”  สำนวนประโยคทำเอาเด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น

“ยังไม่แก่ไม่น่าจะความจำสั้นนะคุณ”

“....”  ชายหนุ่มนั่งนิ่งไม่ตอบโต้  แก้วตาฮึดฮัดเทกระดาษออกจากกระบอกสีน้ำตาล

“โทษที่คุณผิดสัญญา  ผมจะฉีกมันทิ้งซะ!”

“อย่านะ!”  ร่างสูงผวากายลุกขึ้นยืน  ยืดกายเอื้อมแขนแย่งภาพนั้นออกจากมือเล็ก  เป็นจังหวะเดียวกับที่แว่นกันแดดหลุดออกจากใบหน้าหล่อเหลา

“!”  ร่างเล็กนิ่งขึงเมื่อสบตาคนตรงหน้า  ปล่อยให้กระดาษในมือเล็กถูกชิงเอาไปอย่างง่ายดาย

“พี่ขอตัวก่อนนะ”  ร่างสูงคว้าแว่นกันแดดแล้วเดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็วทิ้งให้เด็กหนุ่มนิ่งค้างอยู่แบบนั้นหากภายในอก  หัวใจของเขาเต้นระรัวแรงเหลือเกิน!

“ฤดี  เธอเห็นอย่างที่เราเห็นหรือเปล่า?”

“อะไร?”

“คุณใหญ่...”

“ไหน?”  หญิงสาวชะเง้อคอมองไปรอบๆร้านหากไมเห็นแม้เงาร่างของคุณพระนายที่เพื่อนเอ่ย

“ตรงหน้าเรา”

“ห๊ะ?”

“เมื่อครู่นี้”

“เธอฝันไปหรือแก้ว?”

“ไม่ใช่ฝันฤดี!  เราแน่ใจว่าเป็นเขาแน่ๆ!”

“หมายความว่ายังไง?”

“นั่นไม่ใช่อาจารย์เปรม  ฤดี”

“เธอคงคิดถึงเขามากไป”  เพื่อนสาวไม่เห็นพ้องด้วย  เห็นๆอยู่ว่านั่นคือคนมีชีวิตจะเป็นคุณพระนายคนนั้นไปได้อย่างไร  ดูท่าเพื่อนของเธอคงจะเพ้อเพราะคิดถึงคุณพระนายมากเกินไปแน่ๆ   
เด็กหนุ่มกัดริมฝีปาก...หรือเขาอาจจะเพี้ยนอย่างฤดีว่าจริงๆ
.
.


“นี่  เธอไม่คิดหรือว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันเหมือนโรคจิต?”  ฤดีเอ่ยถามคนข้างกาย

“ทำไมเขาถึงไม่ขับรถล่ะ?”

“เขาอาจจะเบื่อก็ได้ถึงได้นั่งสามล้อแบบนั้น”  ไม่รอให้เพื่อนสาววิเคราะห์จบ  ร่างโปร่งก็วิ่งถลาไปยังคนที่กำลังจะขึ้นสามล้อทันที

“อ๊ะ!”  ชายหนุ่มสะดุ้งกายเมื่อจู่ๆแขนแกร่งก็โดนคว้าไว้

“คุณจะไปไหนหรือ?”

“แก้วตา!  เอ่อ  ไปเที่ยว”

“เที่ยว?  ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วยนะ”

“เอ๊ะ?”

“เอารถคุณไปซิ  นะ  จะได้นั่งได้หลายๆคนไง”  เด็กหนุ่มเขย่าแขนออดอ้อนให้ร่างสูงตกประหม่า

“รถ  รถหรือ?”

“ใช่  ผมเคยเห็นคุณขับไปมหาวิทยาลัย”

“เอ่อ  คือ  พี่  เอ้ย  ผมอยากลองนั่งสามล้อดูน่ะ”

“งั้น  คุณไปเที่ยวที่ไหน  ผมไปด้วยนะ”

“เที่ยว  เอ่อ  เที่ยว...”

“ไปที่ที่คุณเคยพาผมไปก็ได้นะ”  เด็กหนุ่มคะยั้นคะยอ  พยายามมองสบตาร่างสูงซึ่งเพียรเบี่ยงกายหลบไม่สบตาเขา  “คุณจำได้ใช่ไหม?”

“...ที่ไหนหรือ?”

“....”

สุดท้ายก็กลายเป็นแก้วตาเอ่ยบอกสถานที่ออกไป  แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้นั่งสามล้ออย่างที่ชายหนุ่มต้องการหากเป็นรถของฤดีซึ่งหญิงสาวทำหน้าที่เป็นสารถี  อาจารย์มองท่าทางของเด็กสาวอย่างสนใจพลางถามว่าผู้หญิงก็ขับรถเป็นด้วยหรือ?  ฤดีหัวเราะชอบใจกับคำนั้นส่วนแก้วตาได้แต่จ้องมองท่าทางผิดแปลกของร่างสูงไม่วางตา  เขาพยายามสอดส่ายสายตามองมือใหญ่ของอีกฝ่ายเพื่อหาบางสิ่งหากดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ตัวถึงได้สอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกงตลอด
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เด็กหนุ่มมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้น  แม้แต่ฤดีเองก็เห็นถึงความผิดปรกติตามเพื่อนบอกให้ดูเกี่ยวกับอาจารย์หนุ่มตรงหน้า  เช่น  ไม่ว่าเวลาไหนอาจารย์ก็มักจะใส่แว่นกันแดดเสมอ (ถึงแม้วันนั้นจะแดดน้อย  ร่มเงาเต็มฟ้าก็ตาม)  หรือเวลาที่เขาชวนไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยอาจารย์เปรมไม่แม้แต่จะจำเพื่อนอาจารย์ได้สักคนเดียว  บางครั้งเพื่อกลบเกลื่อนชายหนุ่มจะแกล้งไอ  เจ็บคอไม่พูดจาแล้วก็เอาแต่ยิ้ม  พาไปพาหุรัดชมภาพยนตร์ก็ทำราวกับไม่เคยดูมาก่อน  ทุกอย่างดูแปลกตาและแปลกใหม่ไปเสียหมดสำหรับอาจารย์หนุ่มคนนี้

“เขาไม่เหมือนคนเดิมเลยสักนิด”  ชายออกความเห็นเพราะโดนทั้งสองคนลากเข้าขบวนการจับผิดครั้งนี้ด้วยเนื่องจากชายเองก็เป็นผู้ใกล้ชิดอาจารย์หนุ่มคนหนึ่งเหมือนกัน

“พี่ชายพอจะบอกได้ไหมครับว่าไม่เหมือนยังไง?”

“เขาดูสุขุมขึ้น  พูดน้อย  ไม่ยิ้มเล่นหัวและเข้ากับคนง่ายเหมือนเมื่อก่อน”  สองหนุ่มสาวพยักหน้ารับด้วยเห็นพ้อง

“ดูสง่างามเหมือนพวกเจ้าขุนมูลนาย”  ฤดีเสริม  สองหนุ่มพยักหน้ารับ

“...ผมว่าแววตาเขาแปลกไป”  เด็กหนุ่มเอ่ย

“ยังไง?”  สองศรีพี่น้องเป็นฝ่ายถาม

“ อาจารย์เปรมมีตาสีน้ำตาล  ตาเขามีแววขี้เล่นและไม่ชอบสวมแว่นกันแดด”

“แล้วตอนนี้ล่ะ?”

“ผม  ผมคิดว่า  ตาของเขาเหมือนคุณใหญ่”

“....”  ทั้งหมดเงียบเมื่อได้ยินประโยคของแก้วตา  ทุกคนพร้อมใจเหลือบมองร่างสูงที่เดินเข้าบ้านไป (พวกเขาแอบอยู่ในรถของชาย)

“มันต้องมีข้อพิสูจน์มากกว่านี้นะ”  ชายถอนหายใจ  เขาไม่คิดอย่างที่แก้วตาพูด  เพราะเห็นๆอยู่ว่าคนคนนั้น  มีชีวิตมีตัวตนไม่ใช่วิญญาณ
.
.



“....”  พระคุณเจ้าจ้องมองร่างตรงหน้านิ่งนาน  นานเสียจนคนโดนจ้องถึงกับนั่งไม่ติด  อีกสามคนด้านหลังก็แทบลืมหายใจกับท่าทางนั้นของภิกษุชรา

“เอ่อ  กะ  เอ่อ  หน้าผมมีสิ่ง...มีอะไรแปลกไปหรือครับหลวงพ่อ?”  ชายหนุ่มเอ่ยถามพยายามควบคุมหางเสียงไม่ให้สั่น

“เปล่าดอกโยม  แล้วไปอยู่ที่ไหนมาล่ะไม่เห็นหน้าเสียนาน”

“บ้านที่อเมริกาน่ะครับ”

“อ้อ  อย่างนั้นรึ  แล้วนี่กลับมาอยู่ถาวรหรือแค่มาเที่ยวเฉยๆ”  ท่านถามทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาจากคนตรงหน้า

“คงอยู่ถาวรถ้าสามารถทำได้ครับ”

“อย่างนั้นรึ?  มา  เข้ามาใกล้ๆนี่ซิ”  เมื่อร่างสูงขยับเข้าไปใกล้ท่านก็ประพรมน้ำมนต์แล้วยื่นบางสิ่งให้ชายหนุ่มรับไป  “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข  พ้นทุกข์พ้นโศกเสียทีนะโยม  เวลาที่เหลืออยู่ก็อย่าให้เสียเปล่าล่วงเลยนะโยมนะ”

“ขอรับ  หลวงพ่อ”  ชายหนุ่มก้มลงกราบ  ในใจรับคำนั้นมาพิจารณาแล้วถอนหายใจ  พระคุณเจ้าท่านคงเห็น...



เด็กหนุ่มเดินตามหลังอีกฝ่ายไปเงียบๆก่อนจะสาวเท้าขึ้นมาเดินเคียง  ร่างสูงหันมายิ้มอ่อนก่อนจะเมินหลบสายตา

“คุณมีอะไรจะบอกผมไหม?”

“อะไรหรือ?”

“...ถ้าคุณไม่บอกผมจะถามละกัน  คุณวาดแปลนเรือนขาวออกมาได้อย่างไรกัน?”

“เอ่อ”

“ทั้งๆที่คุณไม่ได้รู้โครงสร้างละเอียดนัก  แต่ผมอาศัยอยู่ที่นั่นมานานพอที่จะรู้ว่าภาพที่คุณวาดนั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากของเดิมแม้แต่น้อย”

“พะ  ผม  คิดว่ามันคงบังเอิญ”

“ทำไมคุณไม่บอกล่ะว่าคุณเป็นถึงอาจารย์สอนวาดรูปแค่มองอย่างละเอียดไม่กี่ครั้งก็สามารถวาดมันออกมาได้”

“!”  ร่างสูงหยุดเท้า  เหงื่อกาฬซึมขมับทั้งๆที่อากาศกำลังเย็นสบาย

“แล้วก็อีกข้อ  วันที่ผมขอสัญญาไม่ให้คุณวาดภาพเรือนขาวคุณจำได้ไหมว่าคุณขอสิ่งใดจากผมเป็นการแลกเปลี่ยน”

“ผม..”  มือใหญ่ชื้นเหงื่อ  เขากำลังคิดหาข้อแก้ตัวมากมายแต่ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถหาเหตุผลใดมาอ้างได้เลย

“และข้อสุดท้าย  ทำไมคุณถึงต้องใส่แว่นกันแดดตลอดเวลาที่อยู่กับผม”

“....”  เด็กหนุ่มเลื่อนกายมายืนประจันหน้ากับร่างสูง  ค่อยๆเอื้อมมือถอดแว่นกันแดดออกแผ่วเบา  ดวงตาซึ่งก่อนหน้าเป็นสีน้ำตาลบัดนี้กลับเป็นสีนิลเจือแววโศกอันคุ้นเคย

“เพราะคุณกลัวว่าผมจะรู้อย่างนั้นหรือว่าคุณไม่ใช่อาจารย์เปรมตัวจริง?”

“!”   






“ใช่ไหมคุณใหญ่?”


*********



เขามองร่างที่หยุดหายใจนั้นด้วยความรู้สึกสงสาร  ผู้ที่มีใบหน้าเหมือนราวกับพิมพ์เดียวหนำซ้ำยังมีใจปฏิพัทธ์ในคนคนเดียวกันคือแก้วตาอีกด้วย  เขาหลั่งน้ำตาให้กับชายอีกคนซึ่งยอมสละแม้ชีวิตตนเองเพื่อปกป้องคนที่รัก
ชายหนุ่มหลับตาแน่นก่อนตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเข้าสิงสู่ร่างที่เพิ่งหมดลมนั้นเนื่องจากเขาไม่มีพลังพอจะช่วยเหลือใครได้อีกแล้วหากยังอยู่ในร่างเดิมนี้  เขาลุกขึ้นก้มลงมองกายหยาบขยับเคลื่อนไหวตามเขาสั่ง  ศีรษะได้รูปยังคงอาบเลือดจนเปียกชุ่ม  เขาหันไปมองร่างที่นอนเคียงกัน...ซึ่งยังคงหายใจรวยริน  หากสิ่งซึ่งเขาพะวงคืออีกคนอันอยู่ในเปลวเพลิงที่ลุกโหม...แก้วตา  เขาลุกขึ้นถลันกายขึ้นไปยังชั้นบนหากคนนอนหมดสติยังไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัว

“แก้วตา!”  เขากระโดดก้าวข้ามเปลวเพลิง  ไม่สนใจว่าแขนขาจะโดนลวกเป็นแผลไหม้ขนาดไหน  เสียงบันไดเรือนลั่นครืนเมื่อไฟลามเลียไปถึงแล้วถล่มลงไป  “โสภี!”  เขาพะวงห่วงหาหากต้องตัดใจเมื่อเห็นไฟลุกท่วมร่างนั้นจนมิด

“คุณใหญ่ขอรับ  ระเบียง!”  แสนปรากฏกายเลือนรางร้องเรียก  เขาดึงผ้าปู  ผ้าแพรผูกมัดติดกันเป็นเส้นยาวคล้องใต้รักแร้ของแก้วตาแล้วหย่อนร่างไร้สติของเด็กหนุ่มลงไปเบื้องล่างซึ่งแสนรอรับอยู่  ก่อนจะไต่ตามลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับทั้งห้องถูกเผาไหม้  ลามไปทั้งตัวเรือน...

“แก้วตา  คนดีของพี่”  เขาร้องเรียกเมื่อพาเด็กหนุ่มออกมาพ้นเขตอันตราย

“คุณใหญ่”

“น้องปลอดภัยแล้ว”  เขากระซิบปลอบโยนร่างน้อยในอ้อมแขน

“คุณไปไหนมา?” 

“พี่อยู่ตรงนี้  ใกล้ๆน้องตลอดเวลา”

“อย่าหายไปอีกนะ  อย่าหายไป...เพราะว่าผมรักคุณ”

“แก้วตา?”  เขายิ้มเมื่อได้ฟัง  ในอกพองฟูเปี่ยมสุข

 “แก้วรักคุณใหญ่นะ”
   
“พี่ก็รักแก้วตา    รักเหลือเกิน...”  เขากระซิบตอบ  ใบหน้าเนียนซีดเผือดแย้มยิ้มก่อนเปลือกตาหนักอึ้งจะปิดลง  เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองร่างโปร่งแสงของร่างอาจารย์หนุ่มผู้มีใบหน้าเดียวกับเขาซึ่งยังคงแย้มรอยยิ้มไม่จาง  ร่างนั้นก้าวขยับมาใกล้คนในอ้อมแขนเขา  ก้มลงกดจูบบนหน้าผากเนียนแล้วกระซิบแผ่วเบาเจือเสียงสะอื้น



‘ลาก่อน แก้วตาที่รัก ’    ….




เขาพยายามหาทางออกจากกายหยาบนี้หากดูเหมือนจะไม่เป็นผลสำเร็จ  เขามองร่างของแสนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆอย่างตื่นตระหนก

“แสน  ฉันจะทำอย่างไรดี  เหตุใดฉันจึงออกไปจากร่างนี้ไม่ได้?”

“คุณใหญ่ขอรับ  นี่อาจเป็นชะตาลิขิตก็ได้นะขอรับ”

“หมายความว่าอย่างไร?”  แสนยังคงยิ้มแม้บัดนี้ร่างของเขาจะเจือจางลางเลือนมากขึ้นทุกทีๆ

“ลิขิตให้คุณใหญ่มีชีวิตอีกครั้งอย่างไรเล่าขอรับ”

“!”

“กระผมเสียดายเหลือเกินที่ไม่อาจอยู่ดูความสุขของคุณใหญ่กับคุณแก้วได้อย่างที่ปรารถนา”

“แสน?”

“กระผมต้องตามนมแย้มไปแล้วขอรับ”

“ฉัน...”

“อย่ารู้สึกผิดอันใดเลยขอรับคุณใหญ่  ไอ้แสนคนนี้มีความสุขยิ่งแล้วเมื่อได้เคียงคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณใหญ่หากเสียดายที่จะไม่ได้เห็นความสุขหลังจากนี้ของท่าน”  แสนวางแหวนทองสองวงลงบนเตียงคนไข้

“แสน...”

“ลาก่อนขอรับคุณใหญ่  หากบุญวาสนายังมีกระผมคงได้เกิดมาเกื้อหนุนท่านอีก  ขอให้มีความสุขนะขอรับ”  ร่างนั้นก้มลงกราบแทบเท้าก่อนจะเลือนหายไปเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า  และเสียงสะอื้นไห้ของเขาเพียงลำพัง...
.
.

เขาบรรจงสวมแหวนวงน้อยลงบนนิ้วนางของคนที่ยังไม่ได้สติอย่างแผ่วเบาแล้วกดจูบหลังมือนั้นด้วยความรักใคร่  ความสับสนตีกันวุ่นเสียจนเขาไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องไหนก่อน  เป็นจังหวะเดียวกับญาติของอาจารย์หนุ่มมาจากอเมริกาเมื่อทราบข่าวการบาดเจ็บและลากตัวเขากลับไปพร้อมกันเพื่อรักษาต่อที่นั่น  เขาคิดว่าเป็นการดีที่จะอยู่ห่างแก้วตาสักพักในช่วงที่เขาไม่รู้จะจัดการเรื่องราวนี้อย่างไร
เขาค่อยๆเรียนรู้การใช้ชีวิตของอาจารย์หนุ่มผู้นี้ใหม่ตั้งแต่ต้น  พวกเขามีใบหน้าและรูปร่างเหมือนกันราวกับแฝดหากสังคมรอบตัวทำให้เขาต้องปรับตัวกับหลายสิ่งมากมายนัก  กว่าจะคุ้นชินก็ล่วงเลยไปถึง ๖ เดือนเต็ม
เขากลับมาเมืองไทยอีกครั้ง  มองดูซากเรือนขาวที่มอดไหม้ก็ให้ใจหาย  ดังนั้นเขาจึงลงมือวาดภาพแปลนเรือนขาวขึ้นมาอีกครั้งเฉกเช่นในอดีตโดยไม่รู้ว่าอาจารย์หนุ่มผู้นี้เคยให้สัญญาสิ่งใดไว้กับแก้วตา  จนเมื่อเด็กหนุ่มได้รับสิ่งนั้นแล้วออกตามหาเขา  และนั่นจึงทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นพลาดอย่างมหันต์เนื่องด้วยเขายังไม่พร้อมจะพบหน้าแก้วตาเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน  จนสุดท้ายอีกฝ่ายก็เห็นถึงความผิดปรกติและไล่ต้อนเขาจนจนมุม...

“เพราะคุณกลัวว่าผมจะรู้อย่างนั้นหรือว่าคุณไม่ใช่อาจารย์เปรมตัวจริง?”

“!”   

“ใช่ไหมคุณใหญ่?”  เขาตกตะลึงยืนนิ่ง  ก้มลงมองเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นด้วยสายตาหวาดหวั่น

“คุณพูดอะไร?”  เสียงทุ้มสั่นไหวจนจับได้

“....”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ฟัง  เขาขบริมฝีปากก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นในระดับสายตาให้ร่างสูงเห็นสิ่งที่สวมอยู่บนนิ้วนาง  มือขวาค่อยๆถอดแหวนวงนั้นออกมาอย่างแช่มช้า

“อย่า!”  ร่างสูงผวาคว้ามือเล็กที่ทำท่าจะขว้างแหวนวงนั้นทิ้งแล้วตวัดร่างบอบบางไว้ในอ้อมกอดอย่างตื่นตระหนก  “พี่ขอโทษ!  พี่ขอโทษ...”

“ทำไมต้องโกหก  ฮึก  ทำไมต้องปิดบัง?”  ร่างเล็กซุกหน้าลงกับอกกว้างสะอื้นไห้จนตัวโยน  ความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้พังทลาย

“คนดี  พี่ขอโทษนะเจ้า”

“รู้ไหมว่าผมคิดถึงคุณแค่ไหน  ในอกเจ็บจนแทบขาดเมื่อคิดว่าคงไม่ได้พบคุณอีกแล้ว  ฮึก~”

“ขอโทษนะคนดี  พี่เองก็คิดถึงน้องเหลือเกิน”  ฝ่ามือแกร่งประคองใบหน้าเนียนทะนุถนอมกดจูบหน้าผากเนียนแผ่วเบา  เลื่อนจูบซับหยาดน้ำตาให้เหือดแห้ง  สุดท้ายที่ริมฝีปากสีเข้ม  ...เนิ่นนานด้วยโหยหาลึกซึ้ง

“คุณใหญ่”

“หืม?”

“รักนะครับ”

“!”  ชายหนุ่มเบิกตากว้างก่อนจะยิ้มเจิดจ้า  กดจูบปลายจมูกมนแล้วกระซิบ  “พี่ก็รักแก้วตาเช่นกันครับ”




รัก...
รักเหลือเกิน...ยอดดวงใจ...







"ล่องลอยเอ๋ยจากพิมานข้ามสีทันดรตระการ
สู่แคว้นแดนไทยปิ่นจอมขวัญปักใจพี่มั่นตรึงหมาย
กี่ชาติกี่ภพมิมีคลอนคลายรักเจ้าไม่หน่ายไม่คลายจากกัน
แจ่มจันทร์ขวัญฟ้าขอเทพเทวาเป็นพยาน
วันดีศรีสุขสองเราสมัครสมาน
พี่ขอรักนงคราญจวบจนรักนั้นนิรันดร์กาลเอย
ดอกเอ๋ยเจ้าดอกจำปาลาวตัวพี่รักเจ้าเท่าท้องนภาเอย"


*********



เขาเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มควันสีขาวอันอ้อยอิ่งลอยขึ้นไปบนฟ้าพร้อมหยาดน้ำตาที่อาบแก้มช้าๆหากไร้เสียงสะอื้น  เขาไม่ได้ทุกข์ตรมรวดร้าวจะขาดใจอีกแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น  ช่วงระยะเวลาที่ร่วมใช้ชีวิตด้วยกันมาก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้วสำหรับพวกเขาทั้งสองคน  เพราะกายเนื้อไม่ใช่ของคุณพระนายตั้งแต่ต้นหากเป็นร่างอันหมดอายุขัยตามเหตุแห่งกรรมและด้วยไม่รู้เหตุผลกลใดวิญญาณของคุณพระนายจึงอยู่ในร่างนี้ได้  ระยะเวลาสิบปี...จะว่าสั้นก็สั้นจะว่านานก็นานพอสมควร  จนเมื่อต้นปีนี้ร่างนั้นค่อยๆอ่อนแอลง  ผุกร่อนไปตามกาลเวลา  เขาร้องไห้ตกใจหากคุณพระนายกลับยิ้มแล้วปลอบเขาที่ร้องไห้กับอกให้ทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิด  เขาขอบคุณสวรรค์เบื้องบนเสียด้วยซ้ำที่มอบระยะเวลาสิบปีนี้มาให้  การได้อยู่กับคุณพระนายในชาตินี้  ได้ครองคู่ได้รักกันเขาถือว่าเป็นการชดเชยหลังจากทุกข์ทรมานมานาน  และตัวเขาเองก็ควรพอใจกับสิ่งที่ได้รับเช่นกัน  จนเมื่อวันที่คุณพระนายสิ้นลมมาถึง...เขาไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว

“ลาก่อนครับคุณใหญ่  อีกไม่นานเราคงได้พบกันใหม่”  แก้วตายิ้ม  กระซิบถ้อยคำแผ่วเบา  เขาไม่เอ่ยถ้อยคำสัญญาว่าจะครองคู่กันไปทุกภพชาติ  เขาไม่อยากให้คำพูดกลายเป็นบ่วงดึงรั้งอีกฝ่ายให้เป็นทุกข์  และแก้วตามั่นใจไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกกี่ชาติเขาทั้งสองคนก็คงจะหากันจนเจอและได้รักกัน...




   
...อสงไขยกาล...






ปล. พูดคุย

จบแล้วค่าาาาาาาาา (เอคโค่ดังๆ)
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ
หากมีข้อผิดพลาดอะไร  ติ-ชมกันได้เช่นเคยนะคะ
กอดดดดดด ทุกคนเลยยยยยย


ปลล. ทำลิ้งค์ไม่เป็นต่ะ  เลยลำบากให้ทุกคนหาตอนเอง 
ขอโทษนะคะ


แล้วพบกันใหม่ค่ะ^^


ออฟไลน์ kakaris

  • หากชีวิตเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราสามารถให้ผู้เป็นที่รักยิ่งนั้นได้ แล้วเราจะไม่มอบให้เ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ
ติดตามอ่านทุกตอนซึ้งมากๆ
ชอบอ่านแนวนี้มากค่ะ
แต่งอีกนะคะ เป็นเรื่องที่ดีมากๆ

ออฟไลน์ aimjjj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
จบแล้ววว o13 o13 o13 o13 o13
ขอบคุณคนเขียนมากๆนะคะที่แต่งเรื่องดีๆละมุนๆแบบนี้มาให้อ่าน  :กอด1: เราชอบมากๆ
แต่อีกน้าาาา :call: บวกเป็ดรัวๆ :z13:

ปล.น้ำตาซึมเลย  :sad4:

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
จบซะแล้ว ใจหายอ่ะ
สงสารทุกคน แล้วก็สงสารเปรมที่สุดเลยทั้งๆ ที่แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรกลับต้องมาตายเพราะเหตุการณ์นี้
ในที่สุดคุณใหญ่กับแก้วก็ได้รักกันเสียทีถึงแม้ว่าจะไม่ยาวนานเหมือนคู่ใด แต่การที่ทั้งคู่ได้รักกันในชาตินี้ก็ราวกับปาฏิหารย์แล้วแหละ
อ่านจบแล้วอยากอ่านตอนพิเศษุงเลยค่ะคนเขียน ขอสักหลายๆ ตอนนะค่ะ อิอิ

ปล.ถ้ารวมเล่มจะดีใจมากๆ เลยค่ะ อยากได้! (เอาตอนพิเศษเยอะๆ นะคะ ถ้ามี 55+)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
จบแบบจะว่าแฮปปี้ก็แฮปปี้
จะว่าเศร้าก็เศร้า
แต่อยากให้มันมีความสุขมากกว่านี้

ออฟไลน์ mook0007

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 159
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
จบแบบจะสุขก็ไม่เชิง จะเศร้าก็หน่อยๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด