ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา} “วินโทรหาพี่เอ็งดิ๊”
“พี่นพเหรอครับ”
“ไอ้เทพเจ้า 9 ชีวิตอะ บอกให้มันส่งเด็กชานเมืองมาแลกกับเด็กกลางเมืองเราหน่อย”
“น้องส้มน่ะเหรอพี่ เสียดายเนอะ ขายโคตรเก่งแต่สโตร์เราไม่ว่างเลย”
“เออ ให้พี่เอ็งยืมก่อน กำชับมันด้วยว่าฝากเฉยๆ เดี๋ยวถ้าสโตร์ว่างจะไปเอาคืน”
“ทำงานแบบนี้ก็ดีนะพี่” กวินที่กำลังกดมือถือเงยหน้าขึ้นมายิ้มแฉ่ง
“มันก็ดีแต่ไม่ค่อยถูกต้อง ยังไงมันก็เป็นคู่แข่ง”
“พี่เสือคิดมั้ยว่าถ้าพวกเรา 3 คนทำงานด้วยกันมันต้องเยี่ยมมากแน่ๆ เลยเนอะ”
“ไม่ดีหรอก พี่เคยลองทำงานกับไอ้นพแล้ว แม่งอีโก้สูงมากจนอยากจะฝากอีโต้ไว้บนหน้าผากมัน วันนี้พอแค่นี้เนอะ พรุ่งนี้วินไปประชุมกับน้องใหม่ได้ใช่มั้ย”
“พี่จะปล่อยพวกเราจริงๆ เหรอ”
“มั่นใจในตัวเองหน่อย พี่อยู่ทำงานกับเอ็งไปตลอดไม่ได้หรอกนะ” กวินเบะปากแต่ถึงอย่างนั้นก็พยักหน้าเบาๆ ตอบรับ “อกผายไหล่ผึ่งหน่อยสิวะ”
ผมตบไหล่น้องมันให้กำลังใจก่อนจะบอกลาคนที่ยังเหลือในออฟฟิศก่อนออกมา
เกือบ 2 เดือนที่สอนงานให้กวินเพื่อเตรียมความพร้อมทำหน้าที่แทนเสือแต่ไม่ใช่สไตล์เสือ ประเมินคร่าวๆ จากการดูน้องมันทำงานผมคิดว่ามันพร้อมที่จะรับมือทุกอย่างด้วยตัวเองแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่ความมั่นใจของเจ้าตัวเท่านั้น ดังนั้นผมจึงมีแผนว่าต้นเดือนมีนาคมนี้คงเหมาะที่จะยื่นใบลาออก
“กลับมาแล้วครับ คนเยอะจัง”
ผมยื่นหน้าเข้าไปในครัวเมื่อเดินผ่านลูกค้าที่นั่งกันเต็มร้านเข้ามาภายใน เจ้าของร้านที่รับหน้าที่เชฟเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ผม
“กินอะไรมารึยังครับ”
“หิวอะ”
“ขึ้นไปรอข้างบนก่อนเดี๋ยวเอิ้นทำขึ้นไปให้”
“ขอบคุณครับคุณเชฟ แล้วปิงปองกลับมารึยังอะ”
“กลับมาแล้ว เอิ้นไปรับมาเมื่อตอนกลางวัน”
“กุ๊กกิ๊กล่ะ”
“ก็กลับมาด้วยกันนั่นแหละ มาที่ร้านเนี่ยคิดถึงแค่หมากับแมวเหรอ คิดถึงเอิ้นบ้างมั้ย”
“เจอกันทุกวันต้องคิดถึงด้วยเหรอ”
ที่ร้านแบ่งเป็น 2 ส่วน ด้านหน้าและชั้น 2 เป็นส่วนของร้าน ครัวและห้องเก็บของ ส่วนชั้น 3 และดาดฟ้าถูกตกแต่งเป็นบ้านพัก เกือบ 2 เดือนที่เปิดร้านมาบอกว่าขายดีมากก็คงไม่ถูกต้องนัก บางวันก็คนเยอะ บางวันก็คนน้อยแล้วแต่สถานการณ์ แต่เชื่อไหมว่าผมไม่เคยได้ยินเชฟคนใหม่บ่นว่าเหนื่อยเลยสักครั้ง
คำที่บอกว่า ‘เราจะไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยหากได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ’ คงจะเป็นเรื่องจริง
คงดีถ้าสักวันผมค้นพบว่าตัวเองชอบและอยากทำอะไร
“ปิงปอง!!” เจ้าหมาพันธุ์ทางที่ผมบังเอิญเก็บได้ในถังขยะเมื่อเดือนที่แล้ววิ่งกระดิกหางดิ๊กๆ ด้วยท่าทางระริกระรี้เข้ามาหา ผมจึงอุ้มมันขึ้นมากอดไว้แนบอกก่อนนั่งลงบนแคร่ไม้ที่ตั้งอยู่บนระเบียง
ผมลูบหัวมัน คุยกับมันราวกับว่ามันเข้าใจสิ่งที่ผมพูด ไม่หรอก ถึงแม้เจ้าปิงปองจะมองหน้าผม บางครั้งก็เลียปากผม แต่มันก็ทำไปตามสัญชาติญาณเท่านั้น มันไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิดเดียว
ขณะที่กำลังคุยกับปิงปอง เจ้ากุ๊กกิ๊กแมวที่น้องชิปเก็บได้และมาฝากเอิ้นเลี้ยงก็เดินมาคลอเคลียที่ขา ครั้นเมื่อตั้งใจจะอุ้มมันขึ้นมา เจ้าแมวก็เดินเลี่ยงผมไปซะอย่างนั้น
จำได้ว่าเคยถูกถามว่าชอบหมาหรือแมวมากกว่ากัน หากถามซ้ำผมก็ยังจะตอบว่าหมา ก็ดูแมวสิ มันทำตัวเหมือนสัตว์เลี้ยงของเราที่ไหน แหม คงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้านายแล้วเราเป็นทาสล่ะสิ
นี่เสือครับ ไม่ตกเป็นทาสแมวแน่นอน ถ้าอยากได้ทาสล่ะก็เชิญลงไปคลอเคลียเจ้าของบ้านโน่น
“ทะเลาะกับกุ๊กกิ๊กอีกแล้วเหรอ”
ขณะที่ผมกำลังคุยกันด้วยเสียงในใจกับเจ้ากุ๊กกิ๊ก คุณเชฟก็ปรากฏตัวพร้อมกับอาหารกลิ่นหอม
“มีอะไรกินบ้าง”
“ทอดมันข้าวโพดกุ้งสับ เอิ้นเพิ่งลองทำอะ ไม่รู้ว่าจะกินได้มั้ย”
“อ้าว ไม่รู้ว่ากินได้มั้ยแต่เอามาให้เรากินเนี่ยนะ”
“เอิ้นลองชิมแล้ว อร่อยนะแต่อยากให้เสือลองชิมแล้วบอกหน่อยว่าอร่อยจริงๆ หรือว่าเอิ้นเข้าข้างตัวเอง”
เจ้ากุ๊กกิ๊กถูกอุ้มขึ้นมาโดยทาสของมัน ส่วนปิงปองก็เดินอยู่รอบๆ สงสัยคงกินอิ่มแล้วจึงไม่สนใจถาดอาหารของผมเลย
“หน้าตาน่ากินนะ”
มองหน้าเชฟที่มองผมอย่างลุ้นๆ แล้วจึงตักเมนูแนะนำเข้าปาก ผมเคี้ยวมันอย่างละเอียดลออสัมผัสรสชาติด้วยลิ้นที่พักหลังมานี้ทำหน้าที่ชิมเมนูใหม่ๆ บ่อยเหลือเกิน
“เป็นไงบ้าง”
“ใช้ได้”
“แค่ใช้ได้เองเหรอ”
“เคยไปกินที่ร้านแถวๆ มหา’ลัยตอนที่กลับไปเจอพวกเพื่อนๆ น่ะ ร้านนั้นอร่อยมาก อร่อยแบบลืมไม่ลงอะ เสือว่าถ้าเอิ้นอยากให้ลูกค้ากลับมากินอีก เอิ้นก็ต้องทำอาหารที่มีรสชาติพิเศษ แบบที่ต้องมาที่นี่เท่านั้น”
“เป็นโจทย์ที่ยากมาก แต่เอิ้นจะพยายาม” แม้ปากจะบอกว่ายากแต่ใบหน้ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขจนอดกระเซ้าไม่ได้
“ดูมีความสุขนะ”
“มีความสุขสิ ยิ่งได้ทำอาหารให้เสือกินเอิ้นก็ยิ่งมีความสุข”
“เดี๋ยวต้นเดือนว่าจะยื่นใบลาออกแล้วนะ”
“วินเก่งขึ้นแล้วเหรอ”
“มันทำได้แหละ ตอนนี้อยู่ที่ความมั่นใจของน้องมันแล้ว พรุ่งนี้เสือก็ปล่อยให้น้องมันเข้าประชุมเอง เสือไม่ไปด้วย”
“ถ้าลาออกแล้วคิดไว้หรือเปล่าว่าจะทำอะไร”
“ยังไม่ได้คิด” ผมส่ายหน้า
ที่จริงก็คิดแหละ คิดว่าจะพักสักระยะแล้วค่อยคิดแผนการหางานในอนาคต
“ไม่มีความสุขกับการทำงานเหรอ”
“ไม่ถึงกับไม่มีความสุขหรอก แค่คิดว่าใช้เวลาอยู่กับมันนานเกินไปแล้ว 5 ปีแล้วนะเอิ้นที่เสือทำงานที่นี่ อยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ งานเดิมๆ เราเดิน เราเหนื่อย แต่มันเหมือนกับเราย่ำอยู่กับที่ในขณะที่โลกหมุนอยู่ตลอดเวลา”
“ลองปรึกษาแม่ดูก่อนมั้ย”
“เอิ้นไม่อยากให้เสือลาออกเหรอ”
“เอิ้นไม่ได้ห้ามแต่เอิ้นไม่เห็นด้วยที่เสือจะออกจากงานมาโดยไร้จุดหมาย อย่างที่เสือบอกว่าโลกหมุนอยู่ตลอดเวลา เรายังคงต้องดำรงชีวิตอยู่และเงินก็เป็นปัจจัยสำคัญนะ แต่ถ้าเสือตัดสินใจจะออกจริงๆ เอิ้นก็ไม่ว่าอะไร”
“พูดทำไม เริ่มลังเลแล้วเนี่ย”
“เห็นมั้ย เอิ้นพูดแค่นี้เสือยังลังเล รู้มั้ยว่ามันหมายถึงอะไร” ผมส่ายหน้า “ใจนึงเสือก็ยังผูกพันกับที่นั่น แต่อีกใจก็อยากก้าวออกมาเพื่อตามฝันที่เสือเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ใช่มั้ยล่ะ”
โอ้โห ตรงประเด็นอย่างกับนั่งอยู่กลางใจผมอย่างนั้นแหละ
“ถ้าเราไม่มีความฝันเราไม่มีสิทธิลาออกจากการเป็นพนักงานออฟฟิศเหรอ”
“งั้นเสือตอบเอิ้นหน่อยได้มั้ยว่าเสือถนัดอะไรนอกจากงานที่เสือทำอยู่ทุกวัน”
สำหรับคนอื่นคำถามนี้อาจจะไม่ยากเลยแต่สำหรับผมเมื่อได้ฟังคำถามสมองกลับว่างเปล่า ไม่ว่าจะพยายามเค้นหาคำตอบเท่าไหร่ก็ไม่เจอ หมายความว่าผมไม่ถนัดอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ
ผมทิ้งตัวนอนหนุนตักคนถามคำถามเมื่อยกถาดอาหารไปวางไว้บนโต๊ะข้างๆ อุ้มปิงปองที่นอนหลับอยู่มาวางไว้บนอก มองท้องฟ้าที่ปราศจากดวงดาวไม่ต่างอะไรจากตัวผมที่ไร้ซึ่งความฝัน
“เอิ้นจำได้ว่าเสือวาดรูปเก่ง”
“ไม่ได้วาดมานานแล้ว มือแข็งหมดแล้ววาดไม่ได้หรอก”
“เรียนจบบริหารมาใช่มั้ย”
“อื้อ”
“จบบริหารก็ต้องทำงานบริหาร ระหว่างที่ยังตามหาความฝันตัวเองไม่เจอ ลองมาเป็นผู้จัดการร้านให้เอิ้นก่อนมั้ย เราจะได้อยู่ด้วยกันทุกวันไง”
“ได้เหรอ”
“ได้สิ”
“เงินเดือนเท่าไหร่”
“คงไม่เยอะเท่าที่เก่านะ ร้านเพิ่งเปิด กำไรก็ไม่ค่อยมี”
“มีใครเขาทิ้งงานเงินเดือนเยอะเพื่อมาทำงานเงินเดือนน้อยกันล่ะ”
“ไม่มาเหรอ”
“ไม่อยากใช้เส้นเข้าทำงาน อ่อ นึกได้อย่างนึงแล้วว่าถนัดอะไร”
“อะไร” เจ้าของตักถามด้วยความสนอกสนใจ
“รับจ้างทวงหนี้ดีมั้ย งานใช้กำลังขอให้บอกเถอะ โคตรถนัดอะ”
“ตลกนะเรา”
“ยังไม่ลาออกก็ได้ เดี๋ยวปรึกษาเจ๊ศรีดูก่อน แต่เจ๊คงไม่อยากให้ออกหรอก ออกมาก็มาเกาะเจ๊กิน”
“ก็มาเกาะเอิ้นกินแทนสิ อยากเลี้ยงเสือจะแย่แล้วเนี่ย” พูดเฉยๆ ไม่ได้ต้องไล้มือตามกรอบหน้าแล้วมาสัมผัสที่ริมฝีปาก
“จับอะไรเดี๋ยวก็กัดซะหรอก” นี่แน่ะ! งับนิ้วเข้าให้
“กัดอะไรเดี๋ยวก็จูบซะหรอก”
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้แล้วแนบริมฝีปากลงมาโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมปฏิเสธแม้สักนิดเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ห้ามปรามทั้งยังปล่อยให้ร่างกายตอบสนองไปตามธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีสักครั้งที่จูบของเราจะไม่ทำให้ผมรู้สึกดี จะว่าไปมันก็คล้ายยาวิเศษที่มีฤทธิ์ปัดเป่าความกังวลใจ
อาการขลาดเขินลดน้อยลงเมื่อเราสัมผัสกันบ่อยขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้หายไป หัวใจของผมยังคงเต้นแรง ใบหน้ายังคงร้อนผ่าวแต่ก็กินระยะเวลาไม่นานก่อนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
“เดี๋ยวเอิ้นต้องลงข้างล่างแล้ว เสือจะนอนเล่นที่นี่ก่อนก็ได้นะ”
“ไม่อะ จะกลับบ้านแล้ว ขอบคุณสำหรับอาหารนะ”
“ขอบคุณสำหรับจูบนะ”
ไม่ต้องพูดก็ได้นะ ตอนทำก็ไม่เขินเท่าไหร่หรอกแต่พอพูดเท่านั้นแหละ เขินหนักมากจนต้องแก้อาการเขินนี้ด้วยการชกไหล่แกร่งแรงๆ แล้วชิงเดินลงมาก่อนเลย
เชฟมือใหม่เดินตามมาส่งผมถึงหน้าร้านเพื่อบอกฝันดีเป็นการบอกลา
ระหว่างเราเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เอิ้นย้ายมาอยู่ที่นี่
▼▲ ▼▲ ▼
เดินตรงไปอีกไม่เกิน 500 เมตรก็ถึงบ้านของผมแล้ว ผมแวะเข้าไปทักทายเจ๊ศรีในมินิมาร์ทอย่างที่ทำเป็นประจำแต่แปลกที่วันนี้เจ๊ไม่อยู่ที่ร้าน
“ทำไมวันนี้ไม่อยู่ร้านล่ะเจ๊” ผมทักเมื่อพบว่าเจ๊นั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก
“กลับบ้านดึกทุกวันเลยนะพักนี้ แกมีแฟนเหรอ”
“เปล่านะเจ๊ก็ไปกินข้าวบ้านไอ้เอิ้นมา”
“แล้วนั่นไม่ใช่แฟนเหรอ”
คำพูดของเจ๊ทำผมนิ่งค้างเหมือนวิดีโอที่ถูกหยุดไว้ชั่วคราว
“แม่...”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“อะไรตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่” น้ำเสียงเจ๊จริงจังกว่าครั้งไหนๆ
“ไม่ได้เป็นแฟน เป็นเพื่อนกัน”
“เพื่อนที่ไหนเขาจูบกัน” ช็อคยิ่งกว่าถูกจับได้ว่าเป็นแฟนกันคือเจ๊เห็นตอนที่ผมกับเอิ้นจูบกัน ในเมื่อหลักฐานมันชัดเจนขนาดนี้ก็ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรมาแก้ตัวแล้ว
“เราชอบกันครับแม่แต่ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าแฟนได้รึเปล่า”
“รักสนุกแต่ไม่อยากผูกพันรึไง ทำไมเป็นคนแบบนี้ฮะตาเสือ”
“มันก็ไม่ใช่รักสนุก แต่...”
“แต่อะไร ที่ผ่านมาแกก็สนใจแต่ผู้หญิงไม่ใช่เหรอแล้วทำไมตอนนี้ถึง...” สีหน้าเจ๊ไม่ค่อยสู้ดีนัก ท่าทีของเจ๊ทำให้ความหวังที่ว่าท่านจะยอมรับพวกเราพังทลายลง
ผมรู้สึกผิดหวัง อยากร้องไห้แต่เพราะเป็นผู้ชายผมจึงทำเพียงถอนหายใจแล้วตั้งใจจะอธิบาย ทว่าเจ๊กลับไม่ยอมเปิดโอกาส
น้ำเสียงแข็งดังขึ้นจนผมสะดุ้ง
“ผู้หญิงมีตั้งมากมายทำไมแกถึงชอบผู้ชาย แล้วทำไมต้องเป็นตาเอิ้น แม่ไม่เข้าใจเลยเสือ”
“แม่ไม่ชอบที่เสือชอบผู้ชาย หรือไม่ชอบที่คนนั้นเป็นเอิ้น”
แม่เงียบไม่ตอบแถมยังไม่ยอมมองหน้าผมอีก
“แม่คิดว่าเสือไม่ลำบากใจเหรอ เสือก็อยากมีแฟนเป็นผู้หญิง เสืออยากมีชีวิตธรรมดาแต่เสือก็ห้ามความรู้สึกที่มีต่อเอิ้นไม่ได้ เสือผิดเหรอ แต่ถ้าเสือผิด เสือขอโทษ ขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวัง”
“ถ้าแกรู้สึกผิดแกก็เลิกเจอกันซะ ถ้าความใกล้ชิดมันทำให้พวกแกรู้สึกพิเศษต่อกัน การอยู่ห่างก็อาจจะทำให้ความรู้สึกพวกแกห่างกันไปด้วยก็ได้”
“แม่ แต่เสือ...”
“ฉันสั่งห้ามให้พวกแกเจอกัน บอกเพื่อนแกด้วยว่าอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
“แม่!!!”
อ้าวเฮ้ย! ไม่เหมือนที่คิดเอาไว้นี่นา
ผมไม่คิดว่าเรื่องจะเลวร้ายแบบนี้ ผมคิดว่าเจ๊จะเข้าใจ ผมไม่เคยคิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่าต้องทำตัวแบบไหน
ผมนอนก่ายหน้าผากคิดเรื่องนี้ทั้งคืน
พยายามปลอบใจตัวเองว่าแม่แค่งอน เดี๋ยวตื่นเช้ามาเจอหน้าก็ยิ้มให้กันเหมือนเดิม แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่อย่างที่คิด
แม่กำลังโกรธ โกรธมากอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
ปกติถ้าแม่งอน เมื่อเข้าสู่วันใหม่ก็จะหายงอนแล้ว แต่เช้าวันนี้แม่ยังปั้นปึ่งใส่ผมอยู่เลย
เพราะแม่ไม่ยอมคุยกับผม บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตอนเช้าจึงอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก
▼▲ ▼▲ ▼
ผมเดินออกจากบ้านพร้อมกับพ่อ ไม่บ่อยหรอกที่เราจะเดินออกจากบ้านพร้อมกัน เพราะปกติพ่อจะขับรถออกจากบ้านเลย คงเพราะบรรยากาศบนโต๊ะอาหารล่ะมั้งท่านจึงตัดสินใจเดินออกมาพร้อมกันเพื่อพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“ไปทำอะไรให้แม่เขาโกรธล่ะเรา” พ่อเริ่มเปิดประเด็น
“เรื่องเสือกับเอิ้นแหละพ่อ”
“แม่คงตกใจ”
“แม่โกรธต่างหาก เมื่อคืนแม่ยื่นคำขาดให้เสือเลิกเจอเอิ้นด้วย”
“แม่เขารักเสือนะ แม่รักเอิ้นเหมือนลูกชายคนนึงด้วยเหมือนกัน ไม่มีใครเป็นทุกข์เพราะเห็นคนที่ตัวเองรักมากสองคนรักกันหรอก”
“แม่ไง ตอนนี้แม่กำลังเป็นทุกข์เพราะความรักของเสือ หรือว่าความรักของเสือกับเอิ้นเป็นสิ่งที่ผิดครับ”
“ความรักไม่ผิดหรอก”
“งั้นก็ผิดที่เสือกับเอิ้นเหรอครับ ผิดที่พวกเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ใช่มั้ย”
พ่อส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีใครผิดทั้งนั้นเสือ”
เหมือนบทสนทนาของเราจะยืดเยื้อพ่อจึงหยุดเดินแล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แม่อาจจะแค่กลัว”
“กลัว” ผมทวนคำอย่างคิดไม่ออกว่าแม่กลัวอะไร
“แม่รู้จักเสือดีกว่าใคร แม่รู้ว่าเสือเป็นคนโลเล อยู่ใกล้อะไรก็มักจะคล้อยตามไปกับสิ่งนั้นเสมอ ถ้าอยากหยุดความกลัวและความกังวลใจของแม่เสือต้องทำให้แม่เห็นว่าเราจริงจังกับเอิ้นมากแค่ไหน”
“พ่อนี่สมกับที่เป็นสามีเจ๊ศรีจริงๆ”
“ก็คนอยู่ด้วยกันทุกวันนี่นา”
“แล้วพ่อล่ะผิดหวังในตัวเสือรึเปล่าครับ”
“เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่า...แค่ลูกพ่อมีความสุขพ่อก็มีความสุขแล้ว เอาล่ะ!” พ่อก้มมองนาฬิกา “สายแล้ว รีบเถอะมีคนรออยู่ตรงโน้น”
เมื่อมองตามสายตาอบอุ่นโอบอ้อมของพ่อก็พบกับเจ้าของร้านอาหารที่ยืนมองมายังเราอยู่ก่อนแล้ว
ผมควรบอกเขาเรื่องนี้หรือเปล่านะ
พ่อเดินย้อนกลับไปที่บ้านส่วนผมก็มุ่งตรงไปข้างหน้าเพื่อทักทายคนที่มารอส่งผมไปทำงาน
“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ ตาคล้ำเชียว” นิ้วเรียวสัมผัสที่ใต้ดวงตาของผมแผ่วเบาเมื่อถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”
“บอกแม่เรื่องที่จะลาออกแล้วเหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอก แต่ก็กังวลเรื่องแม่จริงๆ น่ะแหละ แล้วรู้ได้ยังไงว่าเครียดเรื่องแม่”
เอิ้นไม่ได้ตอบแต่เหลือบมองไปยังทางเดินที่ผมเพิ่งเดินผ่านมาและเมื่อมองตามสายตาคมก็พบกับคำตอบ แม่ยืนมองเราจากหน้าร้านมินิมาร์ทแต่เมื่อเห็นว่าเรามองกลับไปก็รีบกลับเข้าร้าน
“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจเล่าให้เอิ้นฟังได้ตลอดนะ”
ความอ่อนโยนที่แสดงออกทั้งน้ำเสียงและการกระทำของคนที่ยื่นมือมาจัดปกเสื้อให้ผมคงไม่ทำให้เจ๊คลางแคลงใจในความรักสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นปัญหาก็คือความรู้สึกของผม
ผมน่ะเป็นพวกแสดงความรู้สึกและแสดงออกไม่ค่อยเก่งซะด้วยสิ แต่ถ้าอยากให้เจ๊ยอมรับก็ต้องทำให้เห็นล่ะนะ
▼▲ ▼▲ ▼
ผมยื่นใบลาออกทันทีเมื่อเคลียร์งานทุกอย่างเสร็จ ยังไม่รู้หรอกว่าจะออกมาทำอะไร ผมไม่ใช่คนที่ชอบวางแผนอนาคตสักเท่าไหร่ ตอนแรกก็ลังเลหรอกแต่พอพี่สิงห์เห็นดีเห็นงามด้วยเท่านั้นแหละก็ตัดสินใจยื่นใบลาออกทันที
คงจะจริงที่พ่อบอกว่าผมเป็นคนโลเลและมักจะคล้อยตามสิ่งรอบตัวได้โดยง่าย
“ลาออกแล้วนะ”
คำทักทายใหม่ทำให้คนที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวหันมามอง
“อื้อ” และตอบแค่นั้นก่อนจะหันไปสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อ
“ทำไมวันนี้ปิดร้านเร็วจัง” ผมก้าวเข้าไปยืนข้างๆ ชะโงกหน้ามองอาหารในกระทะเมื่อถาม
“ยังไม่ปิด”
“อ้าว ไม่มีคนเลย”
“วันนี้มีลูกค้าเข้าร้านแค่ 2 คนเอง” ครั้งแรกตั้งแต่เปิดร้านที่ผมได้ยินเอิ้นพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า
“เอาน่า อย่างน้อยก็มีลูกค้าตั้ง 2 คนแน่ะ ก็ถือซะว่าเป็นวันทำงานแบบชิวๆ ละกัน”
“ชิวมาหลายวันแล้ว เอิ้นไม่คิดเลยอะว่าการทำตามความฝันตัวเองมันจะยากขนาดนี้”
“ถามอะไรอย่างนึงสิ” อีกฝ่ายพยักหน้าผมจึงยื่นมือไปจับชายเสื้อกระตุกเบาๆ แล้วถาม “ที่เปิดร้านอาหารเนี่ยอยากทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงหรืออยากทำธุรกิจเพื่อแสวงหาผลกำไร”
“มันก็ทั้งสองอย่าง ถ้าการทำตามฝันแล้วไม่มีจะกินจะทำทำไม”
“ถ้าคิดว่าจะทำงานเพื่อให้ตัวเองมีอันจะกิน งานก่อนหน้านี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ จะลาออกมาทำตามความฝันตัวเองทำไม เมื่อก่อนเอิ้นดูมีความสุขมากกว่านี้ตอนที่ได้ทำอาหาร ตอนที่เห็นคนอื่นได้กินอาหารที่เอิ้นทำ ความรู้สึกเหล่านั้นมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
มือที่กำลังง่วนอยู่กับตะหลิวกับกระทะหยุดชะงักลง
“เสือไม่รู้หรอกนะเอิ้น ว่าการได้ทำตามความฝันของตัวเองมันให้ความรู้สึกดีแค่ไหน เสือรู้แค่ว่าตอนที่เสือเห็นเอิ้นทำมันด้วยความรักและความตั้งใจ เสือมีความสุขมากที่เห็นเอิ้นมีความสุขกับมัน”
ผมขยับเข้าไปใกล้คนที่เอาแต่จ้องหน้าผมอีก ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดเตาแก๊ส
“ลืมเรื่องผลกำไรไปซักพักได้มั้ย ลองทำมันด้วยความรักจริงๆ ถ้าสุดท้ายความรักที่เอิ้นมีพยุงความฝันของเอิ้นไว้ไม่ไหว เราค่อยมาช่วยกัน”
ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาอ่อนล้าของอีกฝ่าย อยากให้เข้ามั่นใจและไว้ใจกัน
“ไว้ใจเสือมั้ย เสือ โปรเจ็คเมเนเจอร์ที่ดันยอดขายผลิตภัณฑ์โนเนมให้สูงทัดเทียมผลิตภัณฑ์ที่ติดตลาดมาแล้วหลายต่อหลายแบรนด์เลยนะ”
บนใบหน้าของคนตรงหน้าผมเผยรอยยิ้ม แม้จะแฝงด้วยความเหนื่อยล้าแต่อย่างน้อยเขาก็ยิ้ม
ผมเอื้อมมือไปจับมือเขาแล้วบีบเบาๆ แบบที่ผมเคยได้รับจากเขามาหลายต่อหลายครั้ง
“เอิ้นเคยบอกว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเอิ้นจะอยู่ข้างเสือ แล้วเสือเคยบอกเอิ้นมั้ยว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเสือก็จะอยู่ข้างเอิ้นเหมือนกัน”
“แพ้เลยอะ”
“แพ้อะไร”
“แพ้เสือ”
“ไม่ใช่ว่าแพ้มาตั้งนานแล้วหรือไง”
“ครับ โคตรแพ้”
ร่างของผมถูกรั้งเข้าไปกอดเอาไว้แบบที่ผมเองก็ยินยอมให้โอบกอดอย่างไม่เกี่ยงงอน ถ้าหากว่าสัมผัสอุ่นๆ นี้จะช่วยปัดเป่าความเหนื่อยล้าและเยียวยาจิตใจที่ท้อแท้ได้ล่ะก็ ผมยอม
“คืนนี้นอนนี่ได้มั้ย เอิ้นอยากกอดเสือ” เสียงแผ่วกระซิบข้างหูแล้วงับ
“แม่จับตาดูอยู่จะให้ค้างที่นี่ได้ยังไง”
“ให้เอิ้นไปช่วยพูดกับแม่ดีมั้ย”
“ไม่เป็นไรหรอก บอกแล้วไงว่าเสืออยากพิสูจน์ตัวเองให้แม่เห็นว่าเสือไม่ใช่คนโลเลอีกต่อไปแล้ว”
▼▲ ▼▲ ▼
เอิ้นพิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่าความฝันอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เรามีความสุขที่สุดได้
ผลประกอบการเดือนที่ 2 หลังจากหมดโปรโมชั่นเปิดร้านใหม่แย่ถึงขั้นแม้แต่ต้นทุนก็ยังไม่ได้คืน
“ลูกค้าส่วนมากเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงวะ”
ผมถามในตอนที่เรานั่งกินไอศครีมด้วยกันบนดาดฟ้าในช่วงกลางดึกหลังจากเก็บร้านเสร็จแล้วโดยมีเจ้าปิงปองกับเจ้ากุ๊กกิ๊กเดินพันแข้งพันขาอยู่ไม่ห่าง
“ส่วนมากจะเป็นกลุ่มผู้หญิง”
“ช่วงอายุล่ะ ประมาณเท่าไหร่”
“พนักงานออฟฟิศแถวนี้”
“ช่วงเวลาและเมนูแบบไหนที่ขายดีที่สุดล่ะ”
“กลางวันจนถึงบ่าย อาหารจานเดียวน่าจะมียอดสั่งมากที่สุด”
“แล้วทำไมไม่เพิ่มเมนูอาหารจานเดียวเข้าไปล่ะ อีกอย่าง เอิ้นคิดว่ามันจะดีไหมถ้าเราเพิ่มบริการเดลิเวอรี่ด้วย”
“เอิ้นทำอาหารไม่ได้หลากหลายขนาดนั้นและอีกอย่างเอิ้นไม่มีความรู้เรื่องการจัดส่งเลย”
“คิดว่ากำลังคุยอยู่กับใคร นี่เสือนะครับ เสือที่คลุกคลีวงการธุรกิจการขายมากว่า 5 ปีและเติบโตมาในย่านนี้ ตรอกไหนซอยไหนขอแค่ถามตอบได้หมด รู้ดียิ่งกว่ากูเกิ้ลแมพอีก”
“คร้าบ คุณเสือ”
“เรื่องทำอาหาร ลองให้แม่สอนดีมั้ย”
“แต่ว่านี่ก็เกือบ 2 สัปดาห์แล้วนะที่ท่านไม่คุยกับเรา”
“นี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่เราจะได้พิสูจน์ตัวเองก็ได้นี่”
แผนงานของเรายังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่แต่มันก็ทำให้คนที่ไม่ร่าเริงมาหลายวันยิ้มได้บ้าง ผมเองก็รู้สึกดีที่อย่างน้อยความรู้ที่มีไม่มากของตนทำให้อีกฝ่ายยิ้มได้ ถ้าเจ๊รู้เจ๊จะภูมิใจในตัวผมหรือเปล่านะ
เอิ้นเดินมาส่งผมที่บ้านหลังจากตกลงกันว่าพรุ่งนี้ค่อยมาคุยรายละเอียดกันต่อพร้อมคุณลลิน
เราบอกลากันด้วยคำว่า ‘ฝันดี’ อย่างเช่นทุกคืน
ผมเดินเข้าบ้านและควรจะขึ้นห้องถ้าหากไม่พบว่าไฟในห้องรับแขกยังสว่างอยู่ เจ๊ศรีคนขี้งอนกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟากลางห้อง มองด้านข้างก็ยังรับรู้ได้ว่าแม่เหน็ดเหนื่อยมากเพียงใด ต้นเหตุของความเหนื่อยนี้อาจจะเป็นผม
ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงบนพื้น
“แม่ยังโกรธเสืออยู่เหรอ”
แม่ยังคงเมินเฉยเฉกเช่นทุกวัน
“คุยกันหน่อยได้มั้ย เสือมีเรื่องอยากให้แม่ช่วยหน่อย”
เช่นเดิม สายตาของแม่ยังคงจับจ้องที่หน้าจอทีวีซึ่งกำลังฉายโฆษณาผงซักฟอก
“หลายสัปดาห์มานี้ที่เชิญนั่งยอดขายไม่ค่อยดีเลยแม่ เอิ้นก็ท้อ เสือก็เลยมีไอเดียว่าจะให้ที่ร้านทำข้าวกล่องกับพวกอาหารจานเดียวขายด้วย แต่ก็เป็นแค่ความคิดเสือกับเอิ้นนะ ส่วนคุณลลินเราจะคุยกันพรุ่งนี้ เสือไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรหรอก แต่ว่า เสือไม่สบายใจเลยเวลาที่เอิ้นดูไม่มีความสุข”
ผมไม่รู้ว่าแม่ฟังผมอยู่หรือเปล่าแต่ที่ดันทุรังพูดหวังเพียงว่าจะมีสักประโยคที่ท่านรับรู้
“ทั้งที่เป็นความฝันของตัวเองแท้ๆ แต่กลับทุกข์เมื่อได้ทำมัน เสือว่ามันไม่ถูกต้องเลยแม่”
โฆษณาผงซักฟองเปลี่ยนเป็นโฆษณาแชมพูขจัดรังแค
“ถ้าอาหารที่ร้านขายดีขึ้นทุกคนก็คงมีความสุข เสือว่าแม่ก็คงอยากให้เอิ้นมีความสุขเหมือนกัน แม่ครับ แม่ช่วยเอิ้นหน่อยได้มั้ย”
หน้าจอทีวีดับลงในจังหวะที่ผมพูดจบประโยคพอดี สงสัยแม่คงไม่ชอบโฆษณาแชมพูตัวนี้ถึงได้เดินออกจากห้องรับแขกแล้วขึ้นชั้น 2 ไป โดยไม่สนใจใยดีผมที่นั่งแหมะอยู่ที่พื้นสักนิดเดียว
เศร้าเลย
[- T B C -]เสือของเอิ้นเป็นนิยายไบโพลาร์ค่ะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
ปรับอารมณ์ทันป่ะ ไม่ทันก็ต้องทันอะ บังคับ 555
ปีใหม่แล้ว...สวัสดีปีใหม่นะคะ ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคน
ปีนี้ก็ขอฝากตัวอีกปีนะ
เจอกันตอนหน้า
แจ๊ส