ตอนที่ 10 :: รางวัลของคนเก่ง
[บีทส์]
ผ่านมาจะสามอาทิตย์แล้วครับตั้งแต่พวกผมไปเข้าค่ายมา นับๆ ดูก็เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่ผมได้เข้ามาเป็นนักศึกษาของที่นี่ ด้วยเอกที่เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร และเพราะคงไม่มีใครคาดคิดว่าหน้าตาหล่อเหลาอย่างผมจะเรียนบัญชี ทำให้ผมกลายเป็นจุดเด่นของคณะคนหนึ่งไปโดยปริยาย เวลาเดินไปไหนมาไหนในมหาลัยก็จะแขวนป้ายชื่อสีเขียวที่บ่งบอกถึงเอกที่เรียน คนมองเหลียวหลังกันจนคอแทบเคล็ด
ตั้งแต่วันกลับจากการเข้าค่ายที่ผมได้นั่งคู่กับพี่เจ พี่มันก็ชวนผมคุยตลอดทางนั่นแหละครับ คอยวัดไข้ผมเป็นระยะๆ ให้อีกต่างหาก ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพี่มันต้องมาทำดีกับผมด้วย ทั้งๆ ที่เพื่อนๆ ผมก็พยายามที่จะบอกให้พี่มันกลับไปนั่งกลับเพื่อนซะ เพื่อนผมมันดูแลผมได้ แต่พี่มันดันเอ่ยปากบอกว่า
'พี่เต็มใจ'
แล้วใครจะไปว่าอะไรได้ล่ะครับ ผมก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย อ่อ พี่มันขอโทษเรื่องที่แกล้งผมด้วยนะครับ ยังจำกันได้ไหม ผมเลยถามพี่มันไปว่าคนอื่นก็คุยกันแต่ทำไมถึงเรียกทำโทษแค่ผม...พี่มันหัวเราะก่อนจะตอบด้วยประโยคที่สุดแสนจะขนลุกว่า
'บีทส์น่ารักไง พี่เลยแกล้ง อีกอย่างแค่อยากให้บีทส์จดจำพี่ได้ก็เท่านั้นเอง...แล้วมันก็ได้ผลดีซะด้วย'
มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละครับที่เชื่อ ผมเบ๋ปากให้พี่มันด้วยท่าทีที่ไม่เชื่อสุดๆ พี่มันหัวเราะก่อนจะยีหัวผม ผมสะบัดหัวหนีก่อนจะทิ้งหัวลงไปเอียงซบกระจกเพื่อข่มตาหลับ ไม่อยากจะคุยกับพี่มัน พี่เจเลยบอกให้ผมนอนพักผ่อนซะ แต่ทำไมต้องมากระซิบใกล้ๆ หูผมด้วยละพี่!!
ผมยกเอาเสื้อที่พี่เจยื่นให้ห่มก่อนหน้านี้มาปิดคลุมหัวมิด ได้ยินเสียงหัวเราะหึหึ ใกล้ๆ ก่อนที่ผมจะหลับๆ ตื่นๆ จนมาถึงกรุงเทพ
ก็ตื่นเฉพาะเวลาเขาแวะปั้มกันเท่านั้นแหละครับ รู้สึกไม่สบายตัวเลยได้แต่นอน โดยมีไอ้พี่เจเป็นคนรับใช้ส่วนตัว สบายชะมัด! อ่อ ระหว่างที่เขาจอดปั้ม ผมก็แอบเหล่มองหาพี่ซันอยู่นะครับ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาสงสัยจะเปลี่ยนไปนั่งคันอื่น...
...ทั้งกลุ่มเลย
“มึงมีอะไรอยากบอกกูไหมบีทส์” ผมหันไปตามเสียงพูดของคนที่นั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเลิกคิ้วถามมันงงๆ อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมา คนฉลาดๆ อย่างกูก็งงเป็นนะพิงค์
“อะไรของมึง” ผมถาม แต่อิพิงค์มันยังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือการ์ตูนของมันเหมือนเดิม นั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางสบายๆ มือหนึ่งถือหนังสือการ์ตูน อีกมือก็หยิบขนมใส่ปาก สบายไปไหมเพื่อนกู
“เรื่องพี่ซัน”
ผมนิ่งเมื่อได้ยินชื่อของใครบางคน นี่ผมเผลอไปแสดงอาการอะไรให้มันสงสัยตอนไหนหรือเปล่า ผมว่าผมยังไม่เคยพูดเรื่องพี่ซันกับใครเลยสักครั้งแม้แต่กับน้องก็ยังไม่เคย แล้วไอ้คนที่มันนั่งอ่านการ์ตูนตรงหน้ามันรู้ได้ยังไง เอ๊ะ หรือมึงจะมีญาณทิพย์วะพิงค์ ไอ้ฉิบหาย!! เพื่อนกูมีองค์เหรอเนี่ย
“ไม่มีนี่ กูจะไปปิดบังมึงเรื่องอะไรครับ” ผมพยายามปรับเสียงตัวเองให้เป็นปกติ ก่อนจะก้มลงเอาหนังสือมาเปิดทำเนียนเป็นทบทวนบทเรียน ทั้งที่ในหัวกำลังคิดถึงใบหน้าของใครบางคน ที่พิงค์มันพูดถึง
“บีทส์” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอิพิงค์ด้วยใบหน้าหงุดหงิด อยู่ดีๆ ก็เรียก เรียกแล้วก็ไม่พูด!
“เรียกทำไมอีก!?!” ผมตะคอกใส่หน้าเพื่อนสนิททันที ตอนนี้อยู่กันสองคนครับ ไม่รู้จะไปลงที่ใคร ไอ้นัทไปหามีนที่คณะในระหว่างพัก ผมกับอิพิงค์ก็นั่งรอไอ้ปริ้นกับไอ้ออยให้เดินมาหาพวกผมที่คณะนัดกันไว้ว่าจะไปกินข้าวพร้อมกัน
“มึงอ่านหนังสือกลับด้าน”
หื้ม? ผมก้มลงมองหนังสือในมือก่อนที่จะ...
เพล้งงงงงงง
ได้ยินเสียงหน้าตัวเองหล่นแตกกระจาย เชี่ยเอ๊ย จริงด้วย!! ผมรีบกลับหัวหนังสือให้ถูกที่ถูกทาง ก่อนจะนั่งตีหน้านิ่งท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของอิพิงค์ที่ตอนนี้ลงไปนอนราบกับเก้าอี้แล้วกุมท้องหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย อินี่!! เดี๋ยวกระโปรงเปิดเก็บชายกระโปรงหน่อยสิโว้ย เดี๋ยวกูได้เห็นอะไรๆ ที่มันไม่เจริญหูเจริญตา!
ไอ้ฉิบหาย อายมาก!!
“หยุดเลยพิงค์ เมื่อกี้กูแค่ทดสอบความสามารถของตัวเอง ลองอ่านหนังสือกลับหัวดูบ้าง เผื่อกูจะจำเนื้อหาได้แม่นยำขึ้น!” แถไปก่อนเรื่องเสียหน้ายอมไม่ได้ อิพิงค์มันพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง หน้ามันแดงไปหมด พยายามกลั้นขำสุดฤทธิ์ ฮึ่ม มึงอย่าพลาดบ้างนะโว้ย
“อ๋อเหรอ กูเพิ่งรู้ว่าอ่านหนังสือกลับหัวจะทำให้เราจำเนื้อหาได้แม่นยำขึ้น ทริกมึงนี่น่าเอามาลองนะบีทส์ ฮ่าๆๆ” ยังครับ มันยังไม่หยุด เอ้อ! กูรู้ว่ากูพลาด แต่อย่าย้ำนักได้ไหม เห็นด้านๆ แบบนี้กูก็อายเป็นนะมึง
“เดี๋ยวเหอะมึง เดี๋ยวกูเสกหนังควายเข้าท้อง” ผมชี้หน้ามัน
“ฮ่าๆ อะไรวะ กูก็แค่แซว สรุปคือมึงจะไม่บอกกูจริงๆ เหรอ มีอะไรมึงปรึกษากูได้นะ เห็นกูแบบนี้ แต่กูมั่นใจว่าฉลาดกว่ามึง” พิงค์มันพูดขำๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงจริงจังในตอนท้าย แต่จะว่าไปก็จริงของมัน เอ๊ะ มึงหลอกด่ากูหรือเปล่าเนี่ยพิงค์!?!
“ไม่ต้องกลั้นขำเลยมึง กูรู้หรอกว่าหลอกด่ากู” ผมพูดเซ็งๆ หรือว่าจะลองปรึกษากับมันดูเผื่อมันจะช่วยแนะนำอะไรได้บ้าง อย่างน้อยๆ มันก็คงจะคุ้นเคยกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากกว่าผม แต่เห้ย บอกมันจะดีเหรอวะยิ่งปากสว่างอยู่ด้วย แต่พอคิดดูอีกที...พิงค์มันก็เพื่อนผมนี่หว่า เพื่อนย่อมไม่ขายเพื่อน!!
อย่าครับอย่ามองผมด้วยสายตาประมาณว่า มึงอย่าโง่นะบีทส์ ผมมีเหตุผลของผมนะ อย่างน้อยๆ พิงค์มันก็ดูเป็นคนจริงใจกับเพื่อนกับฝูง จริงๆ นะ อีกอย่างผมว่าประสบการณ์เรื่องความรักมันคงผ่านมาโชกโชน อย่าเพิ่งคิดลึกผมหมายถึง หน้าตาดีๆ อย่างมันก็น่าจะมีคนมาชอบเยอะใช่ไหมล่ะ มันก็น่าจะมีแนวคิดดีๆ ให้ผมได้เอามาประยุกต์ใช้บ้าง! ฉลาดคิดฉิบหาย
“ว่าไงบีทส์” อิพิงค์ยักคิ้ว ผมเหล่ไปมองหน้ามัน อย่าเพิ่งเร่งได้ไหม กูกำลังประเมินถึงผลดีผลเสียอยู่ เรื่องนี้มันปัญหาใหญ่ระดับชาติเลยนะเว้ย
“อย่าเร่งดิ” ผมตอบ พลางขมวดคิ้วเป็นปม ขาล่างก็กระดิกยิกๆ ไปพร้อมๆ กับนิ้วชี้ พิงค์มันเบ๋หน้าให้พลางก้มดูนาฬิกาสีชมพูที่ข้อมือมัน จะว่าไปไอ้ออยกับไอ้ปริ้นมันก็ช้าไปนะ เดี๋ยวหมดเวลาพักก่อนที่จะได้กินข้าว ผมนี่แหละจะงาบหัวมันเป็นอาหารเที่ยง!!
“ห่า เดี๋ยวไอ้พวกนั้นมามึงก็ไม่ได้เล่าพอดี เร็วๆ ดิ กูอยากรู้” สรุปคือมึงแค่อยากเสือกสินะ ผมมองหน้ามัน
“มึงเคยแอบชอบใครไหมพิงค์”
“เอ้า อินี่!! ถามคำถามได้ปัญญาอ่อนมากค่ะ สวยๆ อย่างกูมันก็ต้องสนใจคนหล่อๆ อยู่แล้ว มึงถามทำไม” อิพิงค์จีบปากจีบคอพูด น่าถีบจริงๆ
“มึงก็ฟังกูให้จบก่อนเซ่! กูหมายถึงแบบ...แอบชอบใครสักคน ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะชอบเรา ออกจะเกลียดกู เอ้ย ไม่ใช่! ออกจะเกลียดเราด้วยซ้ำ คือกูจะพูดยังไงดีวะ คล้ายๆ กับการแอบชอบเขาข้างเดียว ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่ามันไม่มีทางจะเป็นไปได้ ประมาณนั้นอ่ะ” ผมเล่าพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาแก้มด้วยความไม่แน่ใจ พิงค์มันพยักหน้ารับคิดตาม
“ที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้ก็เพราะทั้งเขาและมึงเป็นผู้ชายทั้งคู่ใช่ไหม?”
“ใช่!! เอ้ย ไม่ใช่โว้ย!! มึงจะบ้าเหรอ” ผมรีบโวยวาย อิพิงค์หัวเราะ
“หึหึ มึงมีเรื่องต้องคุยกับกูยาวเลยนะบีทส์ มึงปรึกษาคนถูกแล้วเพื่อนยาก”
“กูบอกว่าไม่ใช่ไง มึงอย่ามั่วพิงค์ กูยิ่งเครียดๆ อยู่” ผมพยายามปฏิเสธ ทำไมเหมือนผมสังเกตเห็นแววตาที่กำลังพบเจอเรื่องสนุกเรืองแสงออกมาจากตาของไอ้คนที่มันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังไงก็ไม่รู้ครับ คิดถูกหรือคิดผิดว่ะเนี่ยมาปรึกษามัน
“เอาเถ๊อะ มึงยังไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่กูอยากแนะนำอะไรมึงสักอย่างนะบีทส์ ในฐานะที่กูก็เจอคนมาเยอะ” แน่ใจนะว่ามึงแค่เจออย่างเดียว ผมแอบแย้งในใจ แต่ก็ยอมนั่งนิ่งๆ เพื่อรอฟังว่าพิงค์มันจะพูดอะไรต่อ
“อย่าเพิ่งยอมแพ้...ถ้ามึงยังไม่ได้พยายามอย่างถึงที่สุด” อิพิงค์มองหน้าผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หมายความว่าไงวะ”
“มึงเอากฎเกณฑ์จากที่ไหนมาวัดว่าความรักของมึงมันเป็นไปไม่ได้ ผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชายเท่านั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วทุกวันนี้มันจะมีกระเทย ทอม เกย์เดินกันให้ควักหรอบีทส์ สำหรับคนอื่นกูไม่รู้ แต่กับพี่ซัน...กูว่าไม่แน่ ห้าสิบห้าสิบ” ผมเลิกคิ้ว มึงจะไปรู้อะไรพิงค์ ถ้ามึงรู้ว่าพี่มันพูดตอกหน้ากูมาว่าเขาชอบผู้หญิงจนเพื่อนมึงหน้าหงาย มึงจะไม่พูดคำนี้เลย
“มึงเอาอะไรมาพูด พี่มันชอบผู้หญิงเหอะ”
“ฮั่นแน่ มึงยอมรับแล้วใช่ไหมว่าชอบพี่สุดหล่อของกูอ่ะอิบีทส์!?!” ฮะ กูพูดตอนไหน เฮ้ย!! นี่มึงหลอกถามกูอีกแล้วเหรอพิงค์ เลวมาก!!!
“อะไรเล่า มึงมั่วแล้วพิงค์ กูจะไปชอบพี่สุดหล่อของมึงได้ไง คือมึงพูดชื่อพี่ซันขึ้นมาใช่ไหมล่ะ กูเลยแบบคิดว่ายังไงพี่เขาก็ชอบผู้หญิงไม่มีทางมาชอบผู้ชาย” ผมเถียง
“ ไม่ต้องตอบกูหร๊อก ตอบใจตัวมึงเองก็พอ บีทส์...ลองเสี่ยงอีกสักครั้งก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอ กูยอมลดตัวลงมาช่วยมึงเลยก็ได้นะถ้ามึงยอมรับว่าชอบพี่สุดหล่อของกูจริงๆ” ผมชะงักไปในประโยคแรกของมัน แต่ประโยคสุดท้ายนี่อดหมั่นไส้มันไม่ได้ครับ อย่ามาหลอกกูซะให้ยาก กูไม่หลงกลมึงเป็นครั้งที่สามแน่!
“ทำไมมึงถึงได้ยัดเยียดกูให้พี่ซันจังวะ นี่กูเพื่อนมึงนะเว้ย” ผมชี้เข้าหาตัวเอง
“ลองดูไหมล่ะ เท่าที่กูประเมินดูพี่สุดหล่อของกูน่าจะชอบคนอ้อนๆ หน่อย เชื่อฟังเขา เอาอกเอาใจ เหมือนลูกแมวตัวน้อยของราชสีห์ผู้เย่อหยิ่ง มารยาร้อยเล่มเกวียนที่มึงซ่อนไว้อ่ะเอาออกมาใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา ถ้ามึงทำได้ พี่ซันก็พี่ซันเห๊อะ ไม่พ้นมือเพื่อนกูหร๊อก” อิพิงค์มันว่า
ผมถอนหายใจ ทุกวันนี้หน้าผมพี่มันยังไม่อยากมองเลยนะ แล้วจะให้ผู้ชายมาดแมนแฮนด์ซั่มอย่างกูไปอ้อนพี่ซัน นอกจากจะไม่ได้ความเอ็นดูจากเขาแล้วเพื่อนมึงอาจจะได้กินตีนพี่มันมากกว่าพิงค์
“มึงลืมไปแล้วเหรอว่าพี่ซันน่ะ แฟนพี่ฟ้านะเว้ย พี่ฟ้าพี่รหัสของกูด้วย!” ผมเอ่ยขึ้น เมื่อนึกขึ้นได้กับความจริงบางอย่าง
“เขายังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย อีกอย่างมึงบอกกูเองไม่ใช่เหรอว่าเขาคบกันเพราะที่บ้าน มึงจะกลัวอะไรของแบบนี้ใครดีใครได้โว้ย” กูชักจะหนาวๆ ร้อนๆ แล้วนะพิงค์ นี่มึงเพื่อนกูจริงๆ ใช่ไหม
“เขาเป็นว่าที่คู่หมั้นกันด้วยซ้ำ” ผมพูดเสียงสลด
“ว่าที่ก็ว่าที่สิ เชื่อกูเถอะว่าพี่ซันไม่ได้รักพี่ฟ้าจริงๆ หรอก มองตาดูก็รู้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะโดนจับหมั้นกันตามประสาคนรวยแต่งกับคนรวยก็ได้”
มึงไปจ้องตากับพี่ซันตั้งแต่ตอนไหน แล้วไอ้การโดนจับคลุมถุงชนขนาดนั้น ครอบครัวเขาก็ต้องรู้เห็นเป็นใจด้วยอยู่แล้ว แล้วกูจะเอาอะไรไปสู้กับเขา
“บาปน่ะสิมึง”
“โลกของเรามันไม่ได้สวยงามอย่างที่มึงคิดนะบีทส์ เอาเถอะ มึงก็คิดซะว่าแค่ทำให้คนที่เรารักมีความสุขก็ได้ ถ้าจนถึงที่สุดแล้วพี่ซันเขาไม่สามารถหันกลับมาชอบมึงได้จริงๆ ก็ถือว่ามึงได้ทำเต็มที่แล้ว มึงก็แค่ ‘ตัดใจ’ แต่ถ้าเขาเกิดชอบมึงขึ้นมาจริงๆ มันก็คุ้มกับการเสี่ยงไม่ใช่เหรอวะ” แค่ได้ยินคำว่าตัดใจก็จุกแล้วครับ
“เห้ยแต่ว่าไม่ใช่พี่ซันจริงๆ นะเว่ย” คุยกับมันมาตั้งนานเพิ่งจะนึกขึ้นได้ โอ๊ย พลาดอีกแล้วกู อิพิงค์ทำหูทวนลม
“ถ้างั้นมึงก็เลิกหน้าแดงให้กูดูก่อนสิ แล้วกูจะยอมโง่เชื่อมึงก็ได้ โอ๊ะ นั่นพี่เจของกูนี่หว่า” ฉิบ นี่กูหน้าแดงเหรอ! ไม่บอกกูให้เร็วกว่านี้ล่ะเว้ย!! ผมเอามือแนบแก้มตัวเองทั้งสองข้าง ก่อนจะหันไปตามทิศทางที่พิงค์มันมอง
พี่เจจะแวะมาหาผมตอนพักเที่ยงของทุกๆ วันเลยครับแต่ตั้งกลับมาจากเข้าค่ายนั่นแหละ ผมรีบเก็บข้าวของส่วนตัวของตัวเองรวบๆ ใส่กระเป๋า ก่อนจะหันไปสั่งอิพิงค์
“พิงค์ๆ ถ้าพี่มันถามหากู บอกว่ากูไปขี้นะไม่ต้องรอ” อิพิงค์ทำหน้างงเหรอหรา ผมรีบหันไปทางพี่เจอีกรอบ พี่มันมุ่งตรงมาทางนี้เหมือนมีเป้าหมาย จะไม่อะไรเลยนะถ้าเป้าหมายที่ว่า..ไม่ใช่ผม
“เห้ยเดี๋ยว!!” เสียงอิพิงค์เรียกตามไล่หลัง ไม่ทันแล้วโว้ย!!
ผมรีบจ้ำอ้าวออกมาจากหน้าคณะทันทีด้วยท่าทางเร่งรีบ กระชับกระเป๋าเป้สีดำของตัวเอง มองซ้ายมองขวาไปไหนดีวะ กลับไปกินข้าวที่คณะก็ไม่ได้เดี๋ยวได้ป๊ะกับไอ้พี่เจ พี่มันหล่อนิสัยดีนะครับ แต่ผมมันนิสัยเสียอย่างหนึ่งคือ…
ยิ่งมีใครวิ่งไล่ตาม...ผมก็ยิ่งวิ่งหนี
ผมตัดสินใจว่าจะโทรหาไอ้ออยกับไอ้ปริ้น ชวนไอ้พวกนั้นไปกินข้างนอกก็ได้วะ ส่วนอิพิงค์ก็ปล่อยให้มันรับหน้ากับพี่เจไป...มันคงชอบ
"อ้าวบีทส์ จะไปไหนน่ะ” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะยิ้มกว้างให้กับคนคุ้นหน้าที่เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับเพื่อนสนิทมันอีกคน
“ยังไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะโทรหาไอ้ออยแล้วชวนมันไปกินข้าวข้างนอก” ผมตอบก่อนจะก้มลงกดไล่รายชื่อหาเบอร์ไอ้ออยในโทรศัพท์ต่อ
“เราว่าไม่ต้องโทรแล้วล่ะ พวกนั้นมีควิซจนป่านนี้ยังไม่เสร็จเลย” ไอ้ตี๋ตอบ ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์เครื่องโปรด ไปมองหน้าคนตอบแทน
“ไม่เห็นไอ้พวกนั้นบอกเลย” ผมถาม จริงๆ ครับ ก็นัดกันไว้แล้วว่าจะไปกินข้าวด้วยกัน ปล่อยให้กูหิ้วท้องรออีกแล้วเรอะไอ้พวกนี้ ชิช๊ะ ลืมกู!!
“ฮ่าๆ บีทส์ชอบทำหน้าตลกเหมือนที่ตี๋มันบอกเลย” หา!?! ผมทำหน้าตาเหรอหราหนักกว่าเดิม อะไรวะ ผมออกจะหล่อมาบอกตลก ไม่ใช่พี่หม่ำนะ
“ไอ้ตี๋มันบอกเนมแบบนั้นเหรอ” ผมถาม พลางส่งสายตาหาเรื่องไปทางไอ้คนที่ตัวสูงกว่าผม
“เห้ย เราเปล่า” ไอ้ตี๋รีบปฏิเสธ หนอยแน่ะ กล้านินทาไอ้บีทส์ลับหลังเรอะ
“ฮ่าๆ เนมว่าเราไปกินข้าวกันเถอะ บีทส์ยังไม่ได้ทานเหมือนกันใช่ไหม เนมกับตี๋กำลังจะไปกินข้าวตรงหน้ามอพอดี ไปด้วยกันไหม” หูย คนอะไร วันแรกพูดเพราะยังไง...วันต่อมาก็ยังพูดเพราะอย่างนั้น!! ยิ่งรู้จักกันยิ่งรู้สึกว่าเนมมันแตกต่างจากคู่แฝดมันลิบลับ เรียกชื่อตัวเองแทนตัวทู๊กคำ อะไรจะน่ารักขนาดนี้
ผมยิ้มให้เนมก่อนจะพยักหน้าตกลง เลื่อนสายตาไปหาอีกคนที่ยังยืนทำหน้าอ้อนอยู่ข้างๆ เกือบจะหลุดขำแต่เก็บอาการไว้ได้ทัน ผมสะบัดหน้างอนใส่ไอ้ตี๋ ก่อนจะเดินตามเนมไปติดๆ
“บีทส์!!” ผมชะงัก แล้วหันหลังกลับไปตามเสียงเรียก
“อ้าวพี่หมอ มาทำอะไรแถวนี้ครับ” คือนี่มันหน้าตึกคณะวิศวะนะครับพี่ ได้ข่าวว่าเรียนหมอ แถมยังต้องเข้าเวรที่โรงพยาบาลไม่ใช่เร๊อะ พอผมหยุดเดินอีกสองคนที่อยู่ใกล้ๆ กันก็พลางหยุดเท้าไปด้วย พวกผมเดินออกมาน่ะครับ กะว่าจะหาอะไรกินกันหน้ามอเพราะกลัวว่าจะกลับมาเข้าเรียนคลาสบ่ายไม่ทัน พ้นจากวิศวะก็เจอประตูแล้วครับ
“เอารายงานของไอ้ซันมาฝากไว้กับไอ้สองน่ะ งานด่วนต้องส่งอาจารย์วันนี้” อ่อ มาหาพี่สอง เอ้า แล้วทำไมพี่ซันไม่มาเองล่ะ มหาลัยกับหอก็อยู่กันแค่นี้ จะว่าไปผมก็ไม่เจอพี่ซันเลยตั้งแต่กลับมาจากเข้าค่ายนั่นแหละครับ เลยพอทำให้ใจผมสงบลงได้บ้าง .. ได้ยินเสียงแว่วๆ ตอบกลับมาว่า ‘เหร๊อ??’ จริงๆ นะเออ นั่งยันนอนยันเลย
“อ้าว แล้วทำไมพี่ซันไม่มาส่งเองล่ะครับ” อดไม่ได้ที่จะอ้าปากถาม ไม่เจอหน้าขอรู้ข่าวบ้างก็ยังดี...อาการหนักนะกู
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ” หื้ม พี่ซันน่ะเหรอ!?!
“เฮ้ย จริงหรอพี่ แล้วพี่ซันเป็นอะไรมากไหม อยู่โรงพยาบาลไหนครับ!?! เผื่อผมจะแอบไปเยี่ยมได้ แล้ว แล้วตอนนี้ปลอดภัยดีใช่ไหม เอ่อ พี่หมอ ละ..” ผมเอ่ยถามพี่หมอเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าเอื้อมมือไปคว้าแขนพี่หมอมาเขย่าเร่งตั้งแต่ตอนไหน ก่อนจะหยุดถามเมื่อพี่หมอเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
“บีทส์ใจเย็นๆ มันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เลือดร้อนไปหน่อยเลยพลาดน่ะ ตอนนี้พี่ก็บังคับให้มันนอนพักอยู่ที่คอนโดนั่นแหละ” ผมพรูลมหายใจออกมาทางจมูกเฮือกใหญ่ อยากไปเห็นกับตาว่าพี่มันไม่เป็นอะไรมากจริงๆ แอบไปเคาะที่หน้าห้องจะโดนถีบออกมาไหมวะเนี่ย
“ขอโทษครับ” ผมยิ้มแห้งๆ ลืมตัวไปหน่อย
“ไม่ต้องห่วงมันหรอก เดี๋ยวพี่จะกลับไปดูมันอีกสักรอบ แล้วจะไปเข้าเวรต่อ” พี่หมอเอื้อมมือมายีหัวผมแล้วส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ เฮ้อ พี่ซันน่าจะได้มุมนี้ของพี่หมอมาบ้าง ว่าแต่ทำไมใครๆ ถึงชอบเล่นหัวผมกันจั๊ง!!
ผมยังยึดชายเสื้อพี่หมอไว้ไม่ยอมปล่อย เมื่อเห็นผมเงียบพี่หมอก็เงียบด้วย เออจริงสิ ถ้าไปกับพี่หมอพี่ซันคงไม่กล้าไล่ผมออกมาแน่ เสี่ยงต่อการโดนด่านิดหน่อยดีกว่ากลับไปแล้วนอนไม่หลับล่ะวะ แล้วก็ถ้าพี่มันถามค่อยบอกว่ามากับพี่หมอก็แล้วกัน
“เอ่อ พี่หมอผมขอตามกลับไปที่คอนโดด้วยได้ไหมครับ?” ผมถาม พี่หมอทำสีหน้าแปลกใจ ผมเลยส่งยิ้มประจบไปให้
“แล้วเพื่อนเราล่ะ” พี่หมอถาม
เออว่ะ ลืม!!!
ผมหันขวับไปส่งยิ้มแหยๆ ให้กับทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“คือ...พอดีเรามีธุระด่วนต้องไปทำกับพี่หมออ่ะ คือแบบว่ามันเป็นธุระที่ด่วน ด่วนมากๆ เนมไปกินข้าวกับไอ้ตี๋กันสองคนก็แล้วกันนะ แหะ ๆ ขอโทษด้วย ไว้วันหลังเราจะไปให้ตี๋เลี้ยงข้าว ไปล่ะ!” ผมรีบหันไปพูดกับเนม ก่อนจะเหมารวมเองเสร็จสรรพว่าครั้งหน้าไอ้ตี๋จะเป็นเจ้ามือ เจ้าตัวทำหน้าตาเลิ่กลั่กเหมือนคิดไม่ทัน ผมยิ้มขำแล้วสะกิดแขนพี่หมอให้เดินออกมาทันที
“เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะบีทส์” พี่หมอหันมาพูดหันผมพลางหัวเราะขำๆ ผมหันไปยิ้มเขินๆ ก่อนจะก้าวตามไปขึ้นรถกับพี่หมอ
ผมนั่งรถมากับพี่หมอ โดยแวะซื้อของกินกับผลไม้ติดมือมาด้วย ตอนนี้ยืนอยู่หน้าห้องพี่ซันแล้วครับ พี่หมอกำลังไขกุญแจห้องอยู่ สนิทกันน่าดูเลยมีกุญแจสำรองด้วย ได้ยินเสียงดังกริ๊ก ใจผมสั่นระรัวทันที พี่หมอหันมาพยักหน้าให้ผมแล้วเปิดประตูเข้าไปก่อนเป็นคนแรก
เชี่ย!!
เปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหม!?!!!!