วันนี้เอาตอนสั้นไปอ่านก่อนก็แล้วกันนะครับ ตอนนี้ผมเองก็เป็นโรคสมองตีบตันครับ คิดเรื่องไม่ออก เอาไว้ให้ผมหาแรงบันดาลใจใหม่ได้ก่อน จะมายาวเหมือนปกติ
ขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ
จากใจ ต้น-ไผ่
ผมจะทำอย่างไรดีตอนนี้ไอ้เฟคมันเดินเข้ามาในร้านแล้ว แค่มองหน้าผมก็รู้แล้วว่ามันโกรธมากแค่ไหน โอ๊ยผมอยากตายทำไมวันนี้เป็นวันที่ผมต้องมาเจอเรื่องซวยๆ อย่างนี้ด้วย
“พี่เฟคจะไปไหน”
ผมรีบเรียกมันไว้ก่อนที่มันจะเดินผ่านหน้าผมไป ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะทำอะไรหรือพูดอะไรออกมาถ้าไปเจอกับเพื่อนๆ ของผม แต่ทำไมเหมือนมันจะรู้การเคลื่อนไหวทุกอย่างของผมเลย ไอ้นี้มันมีหูทิพย์ตาทิพย์หรือเปล่านะ
“ก็จะไปเจอคนที่มึงมาด้วยนะซิ มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไร แต่ผมมากับเพื่อนๆ นะไม่ได้มากับคนอื่น”
ผมรีบบอกความจริงกับมันไปว่ามากับใครผมกลัวว่ามันจะอาระวาดกับเพื่อนๆ ของผมเพราะความเข้าใจผิด และความเอาแต่ใจของตัวมันเอง
“กูรู้แล้วว่ามึงมากับใคร มึงถึงยืนเถียงกูอยู่อย่างนี้ได้ไง ถ้ามึงมากับคนอื่นมึงโดนไปแล้ว แล้วก็พากูไปรู้จักกับเพื่อนมึงหน่อยซิ จะไม่แนะนำเพื่อนเขยให้เพื่อนรู้จักหน่อยหรือไง”
ผมว่าแล้วไอ้นี่มันต้องมาแปลกๆ จะให้ผมแนะนำมันเนี๊ยนะ ให้ผมตายไปเสียยังดีกว่า ไม่รู้ว่ามันมาอารมณ์ไหนกันแน่
“เร็วๆ อย่าให้อารมณ์เสีย”
เสียงมันเร่งผมขึ้นมาอีกเพราะผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่
สุดท้ายผมก็ต้องยอมพามันเข้าไปในห้องเพื่อเจอกับเพื่อนๆ ผม ผมรู้สึกอึดอัดใจว่าจะแนะนำมันว่าเป็นอะไรกับผม จะให้ผมบอกอย่างที่มันบอกเหรอ ไม่มีวัน แต่พอถึงเวลาจริงไอ้เฟคมันก็รีบแนะนำตัวเอง ว่ามันเป็นพี่ที่รู้จักกันกับผมแล้วตามมาเที่ยวด้วย
ไอ้เฟคมันก็ยิ้มหน้าบานกับเพื่อนๆ ของผมไม่เหมือนตอนที่อยู่กับผมสองคน ทำหน้าอย่างกับยักษ์ ไม่เคยยิ้มให้ผมสักครั้งเลย มันเฟคสมกับชื่อมันจริงๆ ขนาดไอ้อ้นยังไปคุยกับมันดี หัวเราะกันเสียงดังเสียด้วย ไม่รู้จะถูกใจอะไรกันนักหนา
มันสองคนถูกใจกันมากขนาดไอ้เฟคพูดออกมาว่าขอเป็นคนจ่ายค่าอาหารและค่าห้องทั้งหมดเอง แค่นั้นแหละไอ้อ้นก็แทบจะอุ้มมันแล้วคุยกันเสียอย่างกับรู้จักกันมาเป็นสิบปี ถ้ามึงรู้ว่ามันร้ายขนาดไหนมึงจะพูดไม่ออกไอ้อ้น
และแล้วก็ถึงเวลากลับบ้านใครบ้านมัน ตลอดระยะเวลาที่นั่งรถกลับมาที่ห้องของมัน ไอ้เฟคไม่พูดอะไรสักคำ มันได้แต่ทำหน้านิ่งๆ ไม่ยิ้มไม่หัวเราะเหมือนตอนที่อยู่ที่ร้าน ดีเมื่อมันไม่พูดผมก็ไม่พูด ถึงจะรู้สึกผิดนิดๆ ก็ตามที่ไม่ทำตามสัญญากับมัน
การเดินทางระหว่างที่ร้านมาที่คอนโดเหมือนระยะทางมันจะแสนไกล การที่คน คนนึงนิ่งเงียบ และอีกคนเฉยเมย มันก่อให้เกิดความอึดอัด เหมือนระหว่างผมกับมันกำลังเล่นเกมส์ที่เรียกว่าความอดทน ใครคนไหนจะทนได้มากกว่ากัน
ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไร แต่สิ่งนึงที่ผมคิดตอนนี้คือ ผมอยากหายไปจากตรงนี้เหลือเกิน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กลับมาถึงห้องต่างคนต่างอยู่ ไม่มีใครยอมพูดออกมาก่อน จนกระทั้งตอนเช้ามันก็ไปส่งผมตามปกติด แต่มันก็ยังทำหน้านิ่งไม่ยอมพูดอยู่เหมือนเดิม
ก่อนลงรถมันก็ไม่พูดอะไร มันปล่อยให้ผมลงรถ ไม่ลีลามากเหมือนเมื่อวาน แต่พอผมเดินมาใกล้ถึงตึกขณะโทรศัพท์ของผมก็สั่นขึ้นมา คงจะมีข้อความเข้า ผมหยิบขึ้นมาดู ตอนเย็นจะมารับเลิกเรียนโทรบอกด้วย
ผมส่ายหน้ายังไงมันก็เป็นไอ้เฟคอยู่วันยังค่ำ แม้มันไม่ยอมพูดกับผม แต่มันก็ยังส่งข้อความมาสั่งผมอีก พอมาถึงโต๊ะประจำกลุ่มไอ้อ้นมันก็ถามถึงไอ้เฟคว่าเป็นใครแล้วผมรู้จักมันได้อย่างไง ผมก็ต้องโกหกมันไปอีกครั้ง หวังว่ามันคงจะไม่บาปมากหรอกนะ
วันนั้นทั้งวันผมเรียนไปอย่างหงอยๆ เหมือนขาดอะไรไปสักอย่างจนกระทั้งกลางวันตอนที่ผมจะลงจากตึกเพื่อไปที่โรงอาหารผมก็เจอกับขิงอีกครั้ง แต่มันก็ทำเฉยใส่ผม แต่ถ้าผมมองไม่ผิดผมว่า ผมเห็นหน้ามันแดง เหมือนคนที่โดนตบหรือต่อยมา แต่ผมจะไปสนใจมันทำไมล่ะ ก็เราเลิกกันแล้ว
แต่พอก้าวไปข้างหน้าได้อีกนิดเดียว ก็เจอเข้ากับติ๊นาซึ่งไอ้อ้นเองก็หลบไม่พ้น
“จ๊ะเอ๋.....พี่บีมจ๋า มีคนให้ติ๊นามาบอกให้พี่ไปหาหน่อย พี่เขารออยู่ที่หน้าคณะบัญชี”
วันนี้ติ๊นามันมาแปลกไม่ทักทายไอ้อ้นแต่ตรงมาที่ผมเลย แต่ข้อมูลที่ผมได้ยินมาจากมัน ก็ทำให้ผมแปลกใจอยู่เหมือนกัน ใครนะที่มาหาผม จนผมต้องถามติ๊นา
“ใครล่ะ...ติ๊นาที่มาหาพี่”
ติ๊นารีบส่ายงวง เอ๊ย..ไม่ใช้รียส่ายหน้าทันที
“ติ๊นาก็ไม่รู้จักหรอกพี่บีม ติ๊นารู้อย่างเดียว พี่เขาหล่อๆ เหมาะที่จะมาเป็นพ่อของลูกติ๊นามากเลย”
“ติ๊นาแกจะฝันมากไปแล้ว ใครจะกล้ามาผสมพันธ์กับแกห่ะ”
เสียงไอ้อ้นแทรกขึ้นมาทันที ไอ้สองตัวนี้เจอกันไม่ได้ต้องกัดกันทุกที แต่คราวนี้ติ๊นาไม่โต๊ตอบคงงอนกับไอ้อ้นเรื่องเลี้ยงข้าวนั้นเอง
“ขอบใจ...นะติ๊นาเดียวพี่ไปดูเอง”
“นั้นติ๊นาไปก่อนนะพี่บีม พี่แบงค์ พี่จู”
พูดจบติ๊นาก็สะบัดหน้าใส่ไอ้อ้นแล้วติ๊นาก็ไม่ยอมลาไอ้อ้นอีกด้วย
“ไอ้ติ๊นานี่มันกวนตีนกูขึ้นทุกวันเลยนะนี่ ทำเป็นงอน แล้วดูมันทำดิแบงค์ กูจะตัดมันออกจากความเป็นน้อง”
มันพูดจบมันก็สะบัดหัวไปมาอย่างไม่ถูกใจ แต่ผมว่ามันสองคนพี่น้องก็พอกัน ผมตัดสินไม่ถูกว่าใครผิดใครถูก ไอ้แบงค์เองก็คงรู้สึกอย่างเดียวกับผมแต่มันไม่กล้าพูด มันกลัวไอ้อ้นโกรธ มันได้แต่เอามือมาจับหัวไอ้อ้นลูบไปลูบมา
“แบงค์พวกมึงไปกินข้าวกันก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูไปดูก่อนว่าใครมาหา แปลกว่ะไม่โทรเข้ามา”
ผมบอกให้พวกไอ้แบงค์ไปทานข้าวกันก่อนเพราะผมไม่อยากให้พวกมันรอผม และอีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าใครมาหาผม และมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า
“กูไปเป็นเพื่อนมึงดีกว่าบีม”
ไอ้อ้นรีบเสนอตัวตามตูดผมไปทันที ผมรู้ว่ามันนะไม่ได้เป็นห่วงผมเท่าหรอกงานนี้ แต่ที่มันขอไปด้วยก็คือมันอยากรู้ว่าใครมาหาผมเท่านั้นแหละแล้วมันจะได้เอามาโม้ได้ แต่ถึงอย่างไงผมก็ให้มันตามไปด้วยไม่ได้หรอก ถ้ามันตามไปด้วยคนอื่นก็ต้องไปด้วย ไอ้อ้นมันเหมือนเป็นจุดรวมของเพื่อนๆ ถ้ามันพูดหรือทำอะไรก็ตามคนอื่นจะทำตามมันทุกอย่างรวมถึงผมด้วย
“ไม่ต้องเลยอ้นกูรู้มึงอยากไปทำไม”
“เบื่อว่ะพวกรู้ทัน ไม่ไปก็ได้”
แล้วมันก็เดินหน้าหงิกจากไป ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องไปเจอคนที่มาพบผม ผมเดินเลาะคณะของผมมาจนถึงคณะบัญชี ผมถึงได้เห็นว่าใครมาหาผม หนุ่มหล่อคนนั้นคือพี่กันต์นั้นเอง ว่าไปพี่กันต์ก็เงียบหายไปหลายวันแล้ว
ผมเดินไปหาพี่กันต์ พอพี่กันต์เห็หน้าผมแกก็ยิ้มให้ผมสุดท้ายผมก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถของพี่กันต์พี่กันต์บอกว่าจะพาไปทานข้าวข้างนอก ตอนแรกผมก็ไม่อยากไป ผมไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว แต่ผมก็ทนลูกอ้อนของพี่กันต์ไม่ไหว ผมเลยต้องยอม แต่ผมก็รู้สึกดีนะที่พี่กันต์มาอ้อนมาเอาใจผมอย่างนี้
ผมโทรไปบอกไอ้อ้นว่าไม่ต้องรอผมให้พวกมันทานกันไปได้เลยแล้วเจอกันตอนบ่าย มันก็บ่นมาตามสายว่า ไม่รู้จักชวนมันบ้างเลย เสียความรู้สึก และอะไรอีกมากมาย นี่แหละครับความสามารถอีกอย่างของไอ้อ้น มันสามารถพูดให้ใครต่อใครรู้สึกผิดได้ที่ไม่สนใจมันเก่งมั้ยล่ะเพื่อนผม แต่พอผมบอกว่าจะซื้อขนมมาฝากมัน มันรีบเปลี่ยนคำพูดกับผมทันที
มันบอกว่าขอให้ทานข้าวให้อร่อยนะ แล้วอย่าลืมขนมของมันล่ะ แล้วมันก็วางสยไป
พอขึ้นมาบนรถพี่กันต์ก็โน้มตัวมาหอมแก้มผมทันที
“ทำอะไรนะพี่กันต์นี่มันในมหาลัยนะครับ”
ผมดุพี่กันต์ไป ถ้ามีใครเห็นแล้วเอาไปพูดผมจะเดือดร้อน
“ก็พี่คิดถึงน้องบีมจะแย่อยู่แล้ว นี่พอพี่ลงจากเครื่องพี่ก็ตรงมาหาบีมเลยนะ ดูหลังรถซิพี่ซื้อของมาฝากบีมเต็มเลย บีมอย่าโกรธพี่นะครับ”
ผมหันไปมองที่หลังรถก็มีกระเป๋าเสื้อผ้าของมันวางอยู่พร้อมกับถุงอะไรอีกก็ไม่รู้เยอะเยะไปหมดเป็นสิบถุงได้
“ครั้งหน้าไม่ต้องซื้อมาอีกแล้วนะครับ”
ผมบอกพี่กันต์ไป ผมไม่อยากได้อะไรจากพวกมันอีกเลยนอกจากอิสระภาพ ผมรู้ว่าของพวกนี่ถ้าผมรับมันมาผมจะต้องแลกอะไรกับมัน
“แต่พี่เต็มใจซื้อให้นะครับ”
แล้วพี่กันต์ก็ไม่ยอมให้ผมพูดอะไรอีกโดยการเอาปากของตัวเองมาปิดปากผมไว้ เมื่อมันทำจนสมใจมันแล้ว พี่กันต์ก็ปล่อยผมแล้วพาผมไปทานข้าวก่อนที่จะมาส่งผมที่มหาลัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ผมรีบลงจากรถอย่างรีบด่วนเพราะตอนนี้ผมสายไปแล้สิบนาที
แต่โชคก็เป็นของผม อาจารย์ยังไม่เข้าสอนผมเลยรอดตัวไป แต่ผมลืมหยิบขนมมาให้ไอ้อ้นนี่ซิแย่...มันงอนไม่ยอมพูดกับผมตลอดคาบเรียนนั้น
“อ้นกูขอโทษ...กูลืมจริงๆ”
แต่มันก็ไม่สนใจ จนอาจารย์เริ่มมองมาทางผม ผมจึงต้องเงียบไป จนหมดคาบเรียนตอนที่ผมออกมาจากห้องผมก็เจอพี่กันต์มันยืนยิ้มอยู่ที่หน้าห้องพร้อมกับขนมในมือ
“พี่เห็นบีมลืมเอาไว้บนรถ พี่เลยเอามาให้ครับ น้องบีมรับไว้ซิครับจะเอามาฝากเพื่อนไม่ใข่เหรอ”
พี่กันต์เรียกผมอีกครั้งเมื่อเห็นผมยืนเฉย ผมตกใจเหมือนกันไม่คิดว่าพี่กันต์มันจะมายืนรอผมเป็นชั่วโมงเพื่อเอาขนมมาให้ผมแค่นี้
“ครับ...ครับ”
ผมเดินไปรับขนมจากมือพี่กันต์มา
“แล้วของที่อยู่ในรถพี่จะเอาไปให้ตอนเย็นนะครับ พี่ไปก่อนล่ะ”
พี่กันต์เดินจากไป พร้อมกับคำถามที่เพื่อนๆ โดยเฉพาะไอ้อ้น ว่าพี่เขาเป็นใคร แล้วผมก็ต้องโกหกอีกครั้งว่าเขาเป็นใคร ตอนแรกไอ้อ้นมันก็สงสัยอย่างมาก แต่พอผมยืนขนมในถุงให้มัน มันก็เงียบทันที
แต่ผมกลับมาหนักใจอีกครั้ง นี่ผมมันผิดอะไรมากมายหรือเปล่าถึงต้องมาโกหกเพื่อนๆ ไปวันๆ อย่างนี้เขาเรียกว่า....อะไรกันนะ