wee แม้จะอยู่ใกล้แค่ไหน ถ้าหากเรารักคนนั้นแล้ว เขาจะอยู่ใกล้ๆในใจเราตลอดเวลา เชื่อปะ
shell คนเราก็มีทั้งส่วนดี ส่วนแย่ปะปนกันไป คงเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมสังคมหล่อหลอมมา
meemewkewkaw เค๊าป่าวน้า เรื่องมันไปเอง
*************************************
บทที่ 15
“เฮ้ย กฤษ ไปทานข้าวกัน” ชายคนนึงทักขึ้น
“อืม ไปเถอะวันนี้ท้องไม่ค่อยดี ไม่ค่อยอยากทานอะไรเท่าไหร่” ชายหนุ่มตอบ
“อ้าวหรอ เป็นอะไรมากก็ทานยานะ” ชายคนนั้นพูด ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนที่จะหันกลับมานั่งอย่างเหม่อลอยที่โต๊ะทำงาน ใจนึงเขาก็อยากกลับไปที่พิจิตรอีกครั้ง อีกใจนึงเขาก็กลัวจะทำใจไม่ได้ว่าเขาจะทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ล้วนแต่ชวนให้เขานึกถึงแต่อดีตที่ปวดร้าว...
ชาวบ้านจับชลาธลขังไว้ในกรงไม่ยอมให้ข้าวให้น้ำ ส่วนหลวงตายุทกับกฤษณาก็โดนคุมเข้มไม่ยอมให้ออกจากตัววัดเลย ขนาดว่าพ่อแม่ของกฤษณาเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าใกล้ด้วยซ้ำ
“โถ่เว้ย” กฤษณาบ่นเสียงดังอย่างเจ็บใจ เขาอยู่ได้แต่ในกุฏิเท่านั้น พ่อแม่ของเขาก็คอยส่งข้าวส่งน้ำให้ไม่ขาด แต่เขาก็ยังออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี
“เอ็งจะบ่นไปก็เท่านั้นแหละ” หลวงตายุทกล่าวพลางนั่งสมาธิอย่างใจเย็น
“หลวงตาจะไม่ให้บ่นได้ไงละครับ นี่เขากำลังจะฆ่าธลนะ” กฤษณาพูดอย่างร้อนรน ภาพที่ชลาธลโดนจับตัวไปยังคงชัดเจนในหัวของเขา ซ้ำร้ายเขาอยู่ในวัดกับหลวงตาแบบนี้เขาไม่มีสิทธิ์รู้ข่าวใดๆเลย
“หลวงตาคุยกับธลเขาได้ไหมละครับ” กฤษณาเสนอความคิดเห็น เพราะเขาจำได้ว่าหลวงตายุทมักจะเรียกชลาธลโดยที่เขาไม่ได้ยินเสียงอยู่บ่อยๆ หลวงตายุทส่ายหัว
“คาถาเรียกจระเข้นะมันใช้ได้แค่เรียกให้จระเข้มาหาเท่านั้นแหละ ไม่ได้คุยหรอก เพียงแต่ถ้าข้าใช้คาถาแรงมากๆก็เป็นสัญญาณบอกมันว่าเรื่องใหญ่เท่านั้นเอง” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาถอนหายใจยาวพลางทิ้งตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน
“เฮ้อ ทำไมธลเขาไม่หนีไปเลยนะ ปล่อยให้โดนจับง่ายๆแบบนั้นทำไมกัน” กฤษณาพูด หลวงตาส่ายหัว
“ก็เพราะว่าถ้าเขาหนีไปเฉยๆแบบนั้น คนที่จะซวยต่อมาไม่เอ็งก็ข้าไงละ” หลวงตายุทพูด กฤษณาสะดุ้งเล็กน้อย
“เขาจะหนีนะก็ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเขาหนีไปชาวบ้านก็จะสงสัยเราเพราะเราอยู่ใกล้กับไอ้ธลมากที่สุด ไอ้ธลมันรู้ถึงข้อนี้ดีมันถึงได้ยอมให้โดนจับไปง่ายๆแบบนั้นไงละ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้า
“งั้นที่ธลพูดแบบนั้นกับผม เพราะเขาไม่อยากให้ผมต้องลำบากใช่ไหมครับ” กฤษณาถาม หลวงตายุทพยักหน้า
“ข้าว่าเอ็งมองตามันก็รู้แล้วละมั้ง” หลวงตายุทพูดกึ่งแซว อันที่จริงกฤษณานั้นเข้าใจดีเสมอว่าที่ชลาธลพูดไปเพียงเพราะต้องการจะช่วยเหลือเขา
“เฮ้อ ไม่เห็นต้องเป็นห่วงกันขนาดนี้เลยนี่นา ถ้าทนไม่ไหวก็หนีไปด้วยกันเลยก็สิ้นเรื่อง” กฤษณาพูด
“การหนีปัญหานะมันก็ง่ายอยู่หรอก แล้วพ่อแม่เอ็งละเขาจะคิดยังไง แล้วถ้าเอ็งหนีก็ต้องมีคนตามล่า เอ็งจะต้องหนีไปอีกนานแค่ไหนกัน” หลวงตายุทพูด กฤษณาได้แต่พยักหน้ารับ
“เอาเถอะ ข้าต้องยอมรับว่าไอ้ธลเปลี่ยนไปมากเพราะเอ็งจริงๆ ถ้าเป็นแต่ก่อนมันคงเงียบๆไม่คิดจะพูดอะไรหรอก” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาฟังพลางนึกภาพตามถึงครั้งแรกที่เขาไปเที่ยวกับชลาธล
“แฮะๆ ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งครับ” กฤษณาถ่อมตัว หลวงตายุทยิ้ม
“ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก ความรักยังไงก็เป็นสิ่งที่เข้มแข็งที่สุดอยู่ดี” หลวงตายุทพูด
“เฮ้ย ไอ้หนู แม่มึงเอาอาหารมาให้แล้ว” ชายคนนึงเดินถือถุงอาหารเข้ามาให้ กฤษณาเดินไปรับอย่างหน้าเซ็งๆ
“หลวงตาไม่หิวหรอครับ ผมไม่เห็นหลวงตากินข้าวเย็นเลย” กฤษณาพูด หลวงตายุทขมวดคิ้ว
“พระเขาไม่ฉันท์ตอนเย็นกัน นี่เอ็งไม่รู้จริงๆหรอ” หลวงตายุทพูด กฤษณาเกาหัวแกรกๆ
“เออ ใช่ ผมลืม” กฤษณาตอบ หลวงตายุทกรอกตาไปมา
“เออ ให้มันได้งี้สิ หัดตั้งใจเรียนกับเขาบ้าง เอาแต่เที่ยวเล่นประเดี๋ยวสอบตกขึ้นมาจะยุ่งกันใหญ่” หลวงตายุทเตือน กฤษณาพยักหน้าพลางยิ้มแห้งๆ
“งั้นผมไม่กินดีกว่า ทานไปก็ไม่อร่อย” กฤษณาตอบ หลวงตายุทส่ายหัว
“เอ็งเป็นพระหรือไงวะ เป็นเด็กเป็นเล็กกินๆเข้าไปเถอะจะได้โตไวๆ อีกอย่างถ้าเอ็งอยากจะช่วยไอ้ธลด้วยละก็” หลวงตายุทพูด กฤษณามองหน้า
“ช่วยธล” กฤษณาถามอย่างสงสัย
“คืนนี้ ข้าคงต้องพึ่งแรงเอ็งหน่อยละ” หลวงตายุทพูด กฤษณาตาโตขึ้นมา
“นะ นี่หลวงตา...”
“ชูว์ เบาๆสิ เดี๋ยวก็ความแตกกันพอดีหรอก” หลวงตายุทห้าม กฤษณาเอามือปิดปากเอาไว้ทันที
“คุยตอนนี้ไม่ค่อยสะดวก เอาไว้ข้าจะอธิบายให้ฟังทีหลัง” หลวงตายุทกระซิบ กฤษณาก็พยักหน้ารับ
“เอ้า กินข้าวไปเยอะๆ เดี๋ยวต้องใช้แรงอีก” หลวงตายุทกล่าว กฤษณายิ้ม
“ขอบคุณนะครับหลวงตา” กฤษณาพูด หลวงตายุทส่ายหัว
“ยังไม่รู้เลยจะได้ผลไหม ยังไม่ต้องรีบขอบคุณข้าไปหรอก” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ
“รอหน่อยนะธล เราจะไปช่วยนายแล้ว” กฤษณาคิดอย่างตื่นเต้น ตกเย็นวันนั้นหลวงตายุทพากฤษณาไปที่ห้องเก็บหอกสัตตะโลหะ
“ข้าจะให้เอ็งนั่งสมาธิอยู่ที่นี่จนกว่าจะเที่ยงคืน แล้วถึงตอนนั้นข้าจะอธิบายส่วนที่เหลือ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณานั้นยังไม่เข้าใจนักแต่เขาก็นั่งสมาธิตามที่หลวงตายุทกล่าวไว้ แต่อย่างไรก็ตามกฤษณาไม่สามารถจะตั้งสมาธิไว้ได้เลยเพราะในใจของเขามีแต่เรื่องของชลาธลอยู่เต็มไปหมด
“นั่งนิ่งๆสิ” หลวงตาดุ กฤษณาพยายามตั้งสมาธิไปที่ลมหายใจแต่ประเดี๋ยวประด๋าภาพของชลาธลก็ลอยเข้ามา กฤษณาเริ่มกระสับกระส่ายไปมา
“หลวงตาผมทำไม่ได้หรอก” กฤษณาพูด หลวงตาขมวดคิ้ว
“ถ้าเอ็งอยากจะช่วยไอ้ธลมัน เอ็งต้องทำให้ได้ ตั้งสมาธิเอาไว้” หลวงตากำชับอีก กฤษณาถอนหายใจเบาๆพลางพยายามตั้งสมาธิให้แน่วแน่ที่สุด เขาตั้งสมาธิไปที่ลมหายใจเข้าออก ทุกครั้งที่เขาหายใจเข้า เขาจะคิดว่า พุท และทุกครั้งที่หายใจออก เขาจะนึกว่า โธ กฤษณาตั้งจิตอย่างแน่วแน่เมื่อใดที่มีภาพของชลาธลลอยมาเขาจะพยายามกลับไปที่ลมหายใจอีกครั้ง
“เอาละ พอแล้ว” หลวงตายุทพูด กฤษณาลืมตาขึ้นเขามองเห็นหลวงตาถือเทียนเล่มนึงไว้ในมือ หลวงตายิ้ม
“ถ้าบอกว่าทำเพื่อไอ้ธลนี่เอ็งทำได้ทุกอย่างจริงๆ มาเถอะได้เวลาแล้ว” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้า แล้วหลวงตายุทก็เดินหันหลังไปที่ตู้หนังสือ หลวงตายุทวางเทียนไว้ข้างๆ
“มาช่วยข้าดันไอ้นี่ออกไปหน่อย” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาก็รี่เข้าไป หลวงตายุทและกฤษณาออกแรงพลักมันไป
“ครืดดด” เสียงตู้ที่ลากไปกับพื้นดังขึ้น กฤษณาสะดุ้งเล็กน้อย
“ไม่ต้องห่วงหรอก ยามมันแอบหลับอยู่” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
“พลักอีกนิดนึงนะ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้าพลางออกแรงพลักตู้ออกไปอีกราวๆครึ่งเมตร หลวงตายุมก้มลงพลางเอาเทียนส่งไปที่พื้น มือของหลวงตายุทก็ลูบไปตามพื้นอย่างช้าๆราวกับกำลังมองหาอะไรสักอย่างนึงอยู่
“เจอละ” หลวงตายุทร้อง เขาวางเชิงเทียนไว้ข้างกายพลางเอามือวางที่พื้นแล้วออกแรงดัน
“ครืดดดด” เสียงของพื้นห้องเลื่อนถอยออกไปปรากฏเป็นช่องลับ กฤษณามองดูตาค้างๆ
“นี่เป็นช่องลับที่ไอ้ไกรทำไว้เวลาหนีเมียมันมา ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีประโยชน์ตอนนี้” หลวงตายุทพูด พลางหันมาหากฤษณา
“เอาละ ฟังให้ดีนะ ข้าจะให้เอ็งเข้าไปช่วยไอ้ธลมัน ตอนนี้ไอ้ธลโดนจับมัดอยู่ที่สถานีตำรวจ เอ็งต้องหาทางเข้าไปหามันให้ได้ แล้วให้มันดื่มน้ำนี่ เอ็งก็ดื่มด้วย เสร็จแล้วบอกให้ไอ้ธลบอกข้า มันรู้ว่ต้องทำยังไง แล้วข้าจะเดินคาถานิทราสลายฝัน” หลวงตายุทกล่าวพลางส่งขวดน้ำให้กฤษณา กฤษณาทำสีหน้างง
“นิทราสลายฝัน” กฤษณาย้ำ หลวงตาพยักหน้า
“เป็นคาถาลบความทรงจำนะ มันจะทำให้ทุกคนในระแวกหลับและเมื่อตื่นขึ้นมาความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องที่ไอ้ธลเป็นจระเข้ก็จะหายไป แต่ถ้าใครดื่มน้ำมนต์นี้คาถาก็จะใช้ไม่ได้ผล” หลวงตายุทพูด กฤษณาทำตาลุกวาวทันที
“โห หลวงตาแล้วทำไมไม่ใช้แต่แรกละครับ” กฤษณาถาม หลวงตายุทส่ายหัว
“คาถานี้ต้องใช้เวลา และเวลาที่ดีที่สุดก็คือ สองยาม บวกกับต้องใช้ควันสมุนไพรด้วย การจะเตรียมตัวยาก็ต้องใช้เวลานานแล้ว ข้าเองก็คิดไว้เหมือนกันว่าถ้าสักวันเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นข้าคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง ข้าเลยให้ไอ้ธลไปเก็บสมุนไพรเอาไว้ ตอนนี้เห็นทีว่ามันจะไม่ใช่แค่รากไม้เก่าๆเสียแล้ว” หลวงตายุทพูด กฤษณาพยักหน้า
“รีบไปเถอะ ยังไงก็ระวังตัวด้วย แต่ข้ามั่นใจว่าเอ็งต้องทำได้” กฤษณาพยักหน้าพลางจะไต่ลงไปในช่อง
“เดินลงไปแล้วตรงไปเรื่อยๆนะ ถ้าเอ็งเห็นแสงนั้นคือทางออก” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ
“ไปเร็ว” หลวงตาสั่ง กฤษณาหย่อนตัวลงไปในช่องนั่นทันที เขามองทางข้างหน้านั้นแทบจะไม่เห็นเอาเลย กฤษณาเอามือกวาดไปรอบๆเขาก็ไม่พบอะไร กฤษณาสูดหายใจลึกก่อนจะเดินดุ่มๆไปตามทางเรื่องๆ เขาเดินพลางกวาดมือไปรอบๆ แล้วมือของเขาก็แตะกับอะไรบางอย่างเหมือนเป็นกำแพง กฤษณาตัดสินใจเดินเลียบไปตามกำแพงอย่างช้าๆ เขามองไม่เห็นทางข้างหน้าหรืออะไรทั้งนั้นเลย
“ไม่ได้ เราจะกลัวไม่ได้ ธลกำลังรอเราอยู่นะ” กฤษณาพูดพลางตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป เขาเดินไปสักพักเขาก็พบแสงเรืองๆอยู่ตรงหน้า กฤษณาไม่รอช้าเขารีบก้าวยาวไปยังแสงนั่น กฤษณาเงยหน้ามองขึ้นไป เขาก็พบกับตะแกรงเหล็กขวางเอาไว้ กฤษณาเอามือดันมันอย่างช้าๆ ตะแกรงก็ค่อยๆเปิดออก กฤษณาเอาขาถีบกำแพงพลางเอามือจับที่ขอบหลุมเอาไว้ เขาดันตัวเองขึ้นมาอย่างไม่ยากเย็นนัก กฤษณามองไปรอบๆตัวแล้วเขาก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่หลังวัดเรียบร้อยแล้ว กฤษณาไม่รอช้าเขาเดินก้มตัวอย่างเงียบกริบพลางมองไปรอบๆตัวอย่างระแวดระวัง ก่อนจะค่อยๆย่องออกจากบริเวณวัดไป สถานีตำรวจนั้นอยู่ไกลจากวัดไปพอสมควรเหมือนกัน แต่กฤษณาก็ไม่ได้ย่อท้อเขาพยายามรีบวิ่งไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ บางครั้งเขาก็ต้องคอยหลบคนที่เดินสวนไปมา แต่ความมืดนั้นก็พอจะช่วยอำพรางร่างของเขาได้บ้าง กฤษณาเดินดุ่มๆจนมาถึงสถานีตำรวจ ซึ่งเขาต้องตกใจเพราะมีคนยืนคุมทางเข้าอยู่อย่างหนาแน่น แถมโดยรอบยังมีสายสินจ์พันจนทั่ว กฤษณารู้สึกเป็นห่วงชลาธลขึ้นมาอย่างจับใจ
“รอก่อนนะธล เดี๋ยวเราจะหาทางช่วยนายให้ได้เลย” กฤษณาคิดอย่างมุ่งมั่นพลางมองไปรอบๆตัว เขาก็พบเศษกระป๋องน้ำ ถุงขนม เปลือกกล้วย แล้วกฤษณาก็ได้ความคิด เขาหยิบเอากระป๋องน้ำกับเปลือกกล้วยขึ้นมา กฤษณาจ้องไปที่ยามหน้าประตูคนนึงเขากำกระป๋องน้ำไว้แน่นแล้วเขาก็ขว้างไปสุดแรง
“โป้ก” กระป๋องน้ำหล่นใส่หัวของยามคนนั้นพอดี
“โอ๊ย ใครวะ” ยามคนนั้นร้อง
“มีอะไรวะ” ยามอีกคนร้องขึ้นบ้าง
“แม่ง ใครไม่รู้ขว้างขวดน้ำใส่กู” ยามคนเดิมบ่น
“เฮ้ ลุง เจ็บหรือเปล่า” กฤษณาร้องตะโกน ยามทั้งสองคนหันมาจ้องเขา
“เฮ้ย มึงขว้างกระป๋องใส่กูหรอวะ” ยามคนนั้นถามกลับ กฤษณาพยักหน้า
“ครับ แม่นไหมลุง” กฤษณายอกย้อน
“ปากดีนัก เดี๋ยวดูสิว่าถ้าปากแตกแล้วยังจะพูดอะไรได้อีกไหม” ยามสองคนนั้นไม่พูดปล่าวพลางวิ่งตรงเข้ามาหาทันที กฤษณายิ้มพลางโยนเปลือกกล้วยลงไปที่พื้น ยามสองคนมัวแต่มองไปที่กฤษณาจึงไม่ทันสังเกตเห็น ยามคนนึงเหยียบเข้าที่เปลือกกล้วย เขาลื่นล้มลงทันที มือก็คว้าชายเสื้อของเพื่อนเอาไว้ ฝ่ายอีกคนที่โดนคว้าเสื้อหน้าก็ทิ่มลงพื้นทันที คางของเขากระแทกพื้นสลบไสล ส่วนยามอีกคนก็หัวกระแทกกับพื้นไม่ได้สติเช่นเดียวกัน กฤษณายกมือเป็นเชิงขอโทษ
“อโหสินะลุง” กฤษณาพูดพลางรีบเข้าประตูไป พอเขาเข้าไป เขาก็รีบหลบข้างกำแพงทันที มีตำรวจเดินตรวจตราอยู่สองสามคนข้างใน กฤษณาใจเต้นแรง
“ช่วยด้วยค่าาา มีคนกำลังจะข่มขืน ช่วยด้วยค่าา” กฤษณาดัดเสียงให้แหลมสูงพลางร้องตะโกน ตำรวจสองสามคนนั้นได้ยินก็รีบวิ่งออกไปทันที กฤษณาก้มตัวหลบอยู่หลังประตูอย่างทันท่วงทีก่อนที่เขาจะรีบเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว สถานีตำรวจไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่การจะตามหาชลาธลนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย
“แล้วจะเริ่มจากไหนก่อนดีเนี่ย” กฤษณาถามตัวเองอย่างสับสน แต่พลันเขาก็เหลือบไปเห็นห้องข้องนึงที่มีเชือกผูกระโยงระยางเอาไว้ กฤษณาแทบไม่ต้องคิดเลยว่านั่นต้องเป็นที่ที่เขาจับชลาธลไว้แน่ๆ กฤษณาเดินตรงไปยังห้องขังนั่น กฤษณาแทบจะหยุดหายใจ ชลาธลโดนจับขึงห้อยต่องแต่ง บาดแผลโดนเขี่ยนเต็มร่างของเขาไปหมด เลือดไหลซิบๆเป็นทางตามตัว ใบหน้าเขียวช้ำจากการโดนทำร้าย แถมเนื้อตัวของเขายังมีรอยไหม้เป็นด่างดวงทั่วตัวไปหมด
“ธล” กฤษณาพูดพลางน้ำตาจะไหล ชลาธลค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ
“กะ กฤษ” ชลาธลพูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง กฤษณารีบเข้าไปประชิดลูกกรงทันที
“ธล นี่ มันทำอะไรกับนายเนี่ย” กฤษณาพูด ชลาธลแทบจะไม่เชื่อสายตาว่ากฤษณานั้นอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“กะ กฤษ นะ นาย แค่ก แค่ก” ชลาธลไอแห้งๆ กฤษณาเขย่าลูกกรง
“บ้าเอ้ย นายพังมันออกมาได้ไหม” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัว
“มะ ไม่ได้ มันลงอาคมแปลกๆไว้” ชลาธลพูด กฤษณาเริ่มเอาเท้าทีบลูกกรงเสียดังเคร้งๆ
“นะ นายมาทำอะไรที่นี่นะ” ชลาธลถาม
“มาช่วยนายไง จริงสิ นายบอกหลวงตาทีว่าเราเจอนายแล้ว” กฤษณาพูด
“กฤษ ระวัง” ชลาธลร้อง กฤษณาหันหลังกลับไป ชายคนนึงต่อยกฤษณาเข้าที่ท้องเต็มแรง กฤษณาจุกจนพูดอะไรไม่ออก เขาก้มลงตัวคดคุดคู้ก่อนที่จะสลบไป
“เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน...” เสียงโหร้องเซ็งแซ่ดังขึ้น กฤษณาค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วเขาก็พบว่าเขาไม่ได้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้ว กฤษณาพยายามขยับตัวแต่ร่างของเขาก็ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา กฤษณามองไปรอบๆ แล้วเขาก็พบยามคนนึงที่หัวของเขาปูดบวม กฤษณาจำหน้าเขาได้ดี เขาคือยามที่กฤษณาปากระป๋องใส่นั่นเอง
“ตื่นแล้วหรอไอ้หนู” ยามคนนั้นพูดเสียงน่าสะพรึงกลัว กฤษณากลืนน้ำลายเล็กน้อยพลางมองไปตรงหน้า เขาพบร่างของชลาธลโดนมัดอยู่กับเสา ที่ใต้ขาของเขามีฟางกองไว้สุมหนา
“เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน...” เสียงของคนดูที่มุงอยู่รอบๆโห่ร้องกึกก้อง
“ธล” กฤษณาร้องตะโกน
“แม่งหนังเหนียวชิบ มีดดาบอะไรก็ฆ่ามันไม่ตายสักที หมอเลยบอกว่าต้องเผา” ยามคนนั้นพูด กฤษณาเริ่มดิ้นไปมา
“ปล่อยนะ” กฤษณาคำราม ยามคนนั้นกลับยิ้มแสยะให้
“มึงดูมันตายจากตรงนี้นะดีแล้วละ” ยามคนนั้นพูด กฤษณากัดฟันแน่น
“ทำไมต้องทำกับเขาแบบนั้นด้วยละ เขาไม่เคยทำอะไรผิดนี่นา” กฤษณาแย้ง
“ไม่ผิดหรอ มันเป็นจระเข้นะ มึงยังไม่เคยเห็นสิ จระเข้ที่มันกินคนเป็นๆนะ สัตว์อย่างมันนะไม่มีหัวใจหรอก มันเลือกแต่จะกินอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเราไม่ฆ่ามัน มันนั่นแหละที่จะฆ่าเรา” ยามคนนั้นตอบกลับมา
“แล้วถ้ามันไม่ฆ่าเราละ เราจะยังต้องฆ่ามันอีกหรอก” กฤษณาย้อนอีก
“มันก็ต้องตัดไฟแต่โคนต้นลมสิ” ยามคนนั้นตอบ กฤษณากัดฟันแน่น
“มัน...” กฤษณายังไม่ทันพูดอะไรก็มีเสียงนึงดังขึ้นมา
“ขอร้องละคะ” กฤษณาหันไปมอง จิ๋วยืนอยู่ตรงหน้าของชลาธล กฤษณาตาค้างเล็กน้อย
“เขาไม่เคยทำอะไรไม่ดีไม่ใช่หรอคะ แล้วทำไมเราต้องทำกับเขาแบบนี้ด้วย” จิ๋วพูด
“ก็มันเป็นจระเข้ มันจะมากินลูกหลานเรา” ชายคนนึงร้อง
“แล้วทีเราเอาหนังลูกหลานจระเข้มาทำกระเป๋าบ้าง เอาเนื้อมันมากินนี่มันต่างกันไหมละคะ” จิ๋วย้อน
“แต่มันทำร้ายมนุษย์” หญิงคนนึงตอบ
“แล้วที่เราทำอยู่นี่เขาเรียกว่าอะไรคะ ไม่ใช่ทำร้ายเหมือนกันหรอ” จิ๋วแย้งอีก
“เราก็แค่ป้องกันตัว” ชายอีกคนพูดบ้าง
“ป้องกันตัวจากอะไรคะ ฉันก็ไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไรให้ใครเดือดร้อนเลยนี่คะ” จิ๋วพูดอีก
“เราจะไว้ใจมันได้ยังไงละ เดี๋ยวมันก็อาละวาดขึ้นมา” หญิงคนนึงพูดขึ้น
“ฉันไม่คิดหรอกคะว่าเขาจะทำแบบนั้น” จิ๋วพูด
“เธอมีอะไรเป็นหลักฐานละ” ยามข้างตัวกฤษณาตะโกนถาม
“ทุกคนก็เห็นนี่คะ เขามีแรงมากพอที่จะยกจระเข้ตัวใหญ่นั่นปลิวกระเด็นออกไปได้ แล้วประสาอะไรกับคนตัวเล็กๆอย่างเราจะสู้ได้ แต่เขาก็ไม่คิดจะคัดขืน ฉันถามหน่อยเถอะคะ ตอนที่คุณๆจับเขามาเนี่ย เขาดิ้นบ้างไหม เขาอาละวาดบ้างไหม เท่าที่ฉันเห็นก็คือเขาเดินตามพวกคุณไปอย่างเงียบๆ ขนาดว่าเขาโดนจับมัดขนาดนี้ ถ้าเขาจะกระชากเชือกให้ขาดเขาก็ทำได้ทำไมเขาไม่ทำ เคยคิดบ้างไหมคะ” จิ๋วพูด ผู้คนเริ่มซุบซิบนินทา
“แค่เพราะเขาเป็นจระเข้ ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเป็นคนไม่ดีนี่คะ ขนาดมนุษย์อย่างเรายังมีทั้งคนดีและไม่ดีเลย ฉันเองก็ว่าสัตว์อื่นๆมันก็ไม่ต่างกันหรอกคะ เขาช่วยชีวิตฉันไว้จากจระเข้ตัวนั้น สำหรับฉันแล้วเขาคือผู้มีพระคุณนะคะ” จิ๋วตอบ พลันก็มีร่างของชายหญิงสองคนเดินเข้ามา
“ผมคือ พ่อแม่ของเธอนะครับ คือ ผมอยากจะขอร้องให้ปล่อยตัวเขาไปเถอะนะครับ เขาช่วยชีวิตลูกสาวเราไว้ แล้วเราจะฆ่าเขาเพียงเพราะเขาไม่เหมือนกับคนอื่น มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรอครับ” พ่อของจิ๋วพูดขึ้น คนที่ยืนมุงล้อมต่างมีสีหน้าสลด
“ตะ แต่ถ้ามันเกิดอาละวาดขึ้นมาใครจะรับผิดชอบละ” ชายคนนึงถาม
“ข้าเอง” เสียงของหลวงตายุทดังขึ้น ทุกคนหันกลับไปมอง กฤษณาตาค้างเล็กน้อยเพราะคนที่พาหลวงตายุทมาก็คือพ่อแม่ของเขานั่นเอง
“ไอ้ธลนะ มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ข้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ และมันเองก็ช่วยข้าจัดการเรื่องจระเข้ตั้งหลายต่อหลายครั้ง ทั้งตอนที่ไอ้เข้มันบุกขึ้นฝั่งเมื่อสิบกว่าปีก่อนก็ได้มันช่วยดูแลให้ เท่าที่ข้ารู้มามันไม่เคยก่อเรื่องอะไรและข้าก็ไม่คิดว่ามันจะทำด้วย อย่างที่สีกากล่าวนั่นแหละ ถ้ามันคิดจะทำนะ มันทำไปนานแล้ว” หลวงตาพูด ผู้คนเริ่มมีสีหน้าสลดลง ยามข้างตัวของกฤษณาลุกขึ้นพลางเดินไปที่ชลาธล เขาคุกเข่าลงพลางหยิบเอามีดพกออกมา
“ฉั๊วะ” เขาตัดเชือกที่มัดร่างของชลาธลออก ชลาธลลงมาคุกเข่าที่พื้นพลางมองหน้า
“ขอบคุณนะ ที่ช่วยฉันกับพ่อจากจระเข้นะ” ชายคนนั้นพูด
“ตอนฉันเด็กๆ ฉันกับพ่อไปล่องเรือ แต่แล้วก็มีจระเข้เข้ามาจู่โจม ตอนแรกฉันก็คิดว่าคงไม่รอดแต่แล้วก็มีเงานึงโพล่เข้ามาไล่จระเข้นั่นไป ตอนแรกพ่อฉันบอกว่าคงเป็นเทวดามาช่วยไว้ ตอนนั้นฉันก็เชื่ออย่างนั้น แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วละว่าเทวดาองค์นั้นอยู่ที่นี่เอง” ยามคนนั้นตอบพลางยกมือไหว้ชลาธล
“ฉันมัวแต่คิดมองหาแต่เทวดาที่มีรัศมีสีทองล้อมกาย จนลืมมองรัศมีสีทองในใจของเธอ ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ” ชายคนนั้นพูด ชลาธลอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก
“อะ อืม คือ...” ชลาธลพูดอะไรไม่ออก เขามองไปที่กฤษณาที่โดนมัดเอาไว้ ชลาธลเดินพยุงร่างอันสะบักสะบอมของเขาไปหากฤษณา ผู้คนต่างหลีกทางให้เขา ชลาธลเดินเข้าไปใกล้พลางคุกเข่าลง แรงของเขาแทบไม่มีเหลือเขาซุกลงที่ไหล่ของกฤษณา
“นาย เป็นอะไรหรือเปล่า” ชลาธลถาม กฤษณาถึงกับอดหัวเราะไม่ได้
“เราต่างหากที่น่าจะถามคำถามนั้นนะ นายนี่จะห่วงคนอื่นไปถึงไหนกัน” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มเล็กน้อย
“เราไม่เป็นไรหรอก สิ่งเดียวที่จะทำให้เราเจ็บปวดคือน้ำตาของนายนะ” กฤษณาพูดแก้มแดงๆ ชลาธลยิ้ม
“เราก็ห่วงแต่นายคนเดียวนั่นแหละ” ชลาธลพูด กฤษณายิ้มพลางเอียงคอไปซบที่ศีรษะของชลาธล ความอบอุ่นนี้เหมือนเขาห่างจากมันมานานเหลือเกิน ตกเย็นวันนั้นผู้คนต่างจัดงานเลี้ยงขอโทษให้กับชลาธล แต่จะว่าไปก็เหมือนกับเลี้ยงกันเองเสียมากกว่าเพราะชลาธลนั้นกินเนื้อไม่ได้นั่นเอง
“ขอบใจเธอมากเลยนะที่ช่วยฉันไว้” จิ๋วกล่าว ชลาธลยิ้มเขินๆ
“เราเองก็ขอบใจเธอนะ ที่ช่วย” ชลาธลตอบ กฤษณาเอาศอกกระทุ้งเอวของชลาธลเบาๆ
“เห็นมะ บอกแล้วว่าถ้านายไม่กลัวเสียอย่างใครๆก็อยากจะเป็นเพื่อนนาย” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มเขินๆ
“เป็นไงบ้างไอ้ธล” หลวงตายุทเดินเข้ามาถาม ชลาธลและคนอื่นๆต่างยกมือไหว้
“ครับ ก็แผลจากพวกอาคมของหมอผีมันยังไม่หายเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เจ็บมากแล้วละครับ” ชลาธลตอบ หลวงตาก็พยักหน้า
“จิ๋วจ๊ะ กลับบ้านได้แล้วลูก” เสียงของหญิงสาวดังมา จิ๋วหันไปตะโกนรับ
“คะแม่” เธอตอบพลางหันกลับมาทางเพื่อนของเธอ
“ไว้พรุ่งนี้เจอกันนะ” จิ๋วพูด
“เออ วันเสาร์นี้ว่างไหม” กฤษณาถาม จิ๋วก็พยักหน้า
“อืม เดี๋ยวจะพาเที่ยว” กฤษณาตอบ จิ๋วยิ้มรับ
“จ้า แล้วคุยกันนะ” จิ๋วพูดพลางรีบวิ่งกลับไปหาแม่ของเธอ หลวงตายุทหันมาทางกฤษณาและชลาธล
“เอาละ ทีนี้ดื่มน้ำนั่นซะ” หลวงตาพูด กฤษณาขมวดคิ้ว
“น้ำอะไรหรอหลวงตา” กฤษณาถาม
“ก็น้ำมนต์ไง คืนนี้ข้าจะลงคาถานิทราสลายฝัน” หลวงตายุทพูด แต่กฤษณาขมวดคิ้ว
“ทำไมละครับ ก็ในเมื่อทุกคนเข้าใจหมดแล้วนี่ครับ” กฤษณาตอบ หลวงตายุทส่ายหัว
“เราไว้ใจไม่ได้หรอก อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้ จะมีกี่คนที่ไว้ใจได้กันเชียว” หลวงตายุทพูด ผมมองหน้าชลาธล นี่หมายความว่าเขาต้องกลับไปอยู่คนเดียวอีกแล้วอย่างนั้นหรือ
“แต่แบบนี้ธลเขาก็เหงาสิครับ” กฤษณาตอบ ชลาธลจับไหล่ของผมเอาไว้
“เราไม่เหงาหรอก เราก็มีนายอยู่ข้างๆแล้วไง” ชลาธลกล่าว กฤษณามองหน้าเขา
“เราจะไม่ทิ้งนายไปไหนเลยนะ เราสัญญา” กฤษณากล่าว ชลาธลกอดร่างของกฤษณาไว้อย่างแนบแน่น
“เรารู้ เราเองก็เชื่ออย่างนั้น” ชลาธลพูดกฤษณากอดร่างของชลาธลตอบกลับไป ความอบอุ่นที่เป็นของจริง และเหมือนจะบอกกับเขาว่าทั้งสองจะไม่มีวันแยกไปไหนเด็ดขาด
“ว่าแต่หลวงตา ทำไมผมต้องนั่งสมาธิด้วยละ มันมีผลต่อคาถาหรอครับ” กฤษณาถาม หลวงตายิ้ม
“เปล่าหรอก แค่ข้าอยากให้เอ็งนั่งเงียบๆเท่านั้นแหละ เพราะถ้าขืนปล่อยให้เอ็งคิดฟุ้งซ่านเดี๋ยวเอ็งก็สติแตกกันพอดี” หลวงตาพูด กฤษณายิ้มแห้งๆอย่างเขินอาย
“ก็คนมันเป็นห่วงนี่นา” กฤษณาพูดพลางเหลือบมองชลาธล สายตาที่จ้องประสานกัน แม้ไม่มีคำพูดใดๆแต่ทั้งสองก็สื่อใจถึงกันได้เสมอ...
ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเอาไว้พลางแหงนมองเพดาน มันเกือบยี่สิบปีแล้วที่เขาห่างจากคนที่เขารัก แม้ทุกวันนี้เขาก็ยังคงมีชลาธลอยู่ในใจไม่ลืม ชายหนุ่มตบแก้มตัวเอง
“เราต้องตั้งใจทำเรื่องตรงหน้าให้ดีที่สุด ตอนนี้เรามีครอบครัวแล้วนะ” ชายหนุ่มพูดพลางเตือนสติ แม้ว่าในใจลึกๆของเขานั้นจะยังไม่เคยลืมชลาธลเลยก็ตาม