บทที่ 21
สำคัญที่การกระทำ
กึก กึกๆ
เสียงเท้าที่เดินวกไปวนมารอบที่เท่าไหร่ไม่มีผู้ใดนับนั้นดูกระวนกระวายเป็นที่หนึ่ง เจ้าของเสียงฝีเท่าที่น่ารำคาญหาใช่ผู้ใดหากแต่เป็นเหอจี๋ข้ารับใช้ที่กังวลทุกรายละเอียดยิบย่อยไปหมด
“ข้ามองเจ้าเดินเหินไปมาจนปวดหัวมัวตาปรานีข้าบ้างเถิด ดูท่าพื้นเรือนจะเป็นรอยทางเพราะการเดินของเจ้า”ผู้ที่เท้าคางมองความวิตกกังวลของเหอจี๋เป็นทู่จึที่กัดแผ่นแป้งเคี้ยวอย่างไม่แยแสสถานการณ์
“จะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไร เซียวโม่โฉวกลับมาจากผาพลิกชะตาแล้ว”
“แล้วไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรืออย่างไร เจ้าถึงกระวนกระวายใจเช่นนั้น”
“เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่าทำเป็นพูดดี”
“ข้าไม่รู้เจ้าก็อธิบาย ยากเย็นตรงไหน”
“ข้าไม่มีทางพูด”เหอจี๋เม้มปากแน่นสนิทยอมหยุดเดินไปมาในเรือนเสี้ยวจันทราและหย่อนตัวลงนั่งเสียที หากแต่สายตากลับยังชะเง้อมองออกนอกประตูเรือนในหัวครุ่นคิด
ผิดกับเหอจี๋ที่ก้มมองแผ่นแป้งครู่หนึ่งแววตาซุกซนแปรเปลี่ยนเป็นกังวลใจ ราวกับรับรู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นแต่แสร้งไม่รู้ พยายามปกปิดความรู้สึกผ่านท่าทีสนุกสนานไม่สนต่อความรู้สึกผู้ใด หากแต่ในใจลึกแล้วกลับผูกพันต่อผู้ที่ติดตามมาอยู่มาก
การที่เซียวโม่โฉวกลับมาได้นั้นเป็นเรื่องน่ายินดีก็จริง หากแต่ก็เกือบจะทำให้หลี่รั่วถงต้องกระโดดลงไปเพราะอีกฝ่ายใช้เวลานานราวกับไม่หวนกลับ หากแต่โชคดีที่เซียวโม่โฉวผุดขึ้นจากแม่น้ำในผาพลิกชะตาเสียก่อน และตอนนี้ก็กำลังพักฟื้น ครั้นตื่นขึ้นมาแล้วนั่นคือสิ่งที่น่าเป็นห่วง ทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่รับรู้จนกระจ่างแจ้ง ความรู้สึกของเซียวโม่โฉวจะเป็นอย่างไรนั้นคือสิ่งที่ชวนกังวล
สวรรค์ท่านคงลงโทษพวกเขามามากพอแล้ว ได้โปรดเมตตาพวกเขาทั้งสองด้วยเถิด
คำกล่าวภาวนาดังขึ้นในใจของเหอจี๋ หวังให้ต่อแต่นี้มีแต่เรื่องน่ายินดีมากกว่าต้องมากล่าวลากันอีกครั้ง
เรือนหลัก
“สีหน้าเจ้าไม่สู้ดี เจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกข้าได้”
“ไม่ต้อง ขอบใจท่านมากที่เมตตาต่อข้า”คำพูดคำจาที่ดูห่างเหินราวกับมิใช่เซียวโม่โฉวคนก่อนหน้า
หลี่รั่วถงรู้ดีว่าด้วยเหตุอันใด สังเกตได้จากมือขาวที่จับกุมกันเหนียวแน่น ความกังวลที่ฉายชัดทางสีหน้า สายตาที่มองมายังหลี่รั่วถงมีบางอย่างเคลือบแคลงอยู่ในใจ สิ่งนั้นหลี่รั่วถงเข้าใจดีว่าต้องใช้เวลาที่จะปรับตัวกับความรู้สึกที่ราวกับอัดแน่นเข้าไปในความทรงจำราวกับมิใช่ตัวตนของตนเอง
“เจ้าดูเปลี่ยนไปราวกับคนละคนครั้งกลับมาจากที่แห่งนั้น”
ชะตากรรมช่างโหดร้ายต่อทั้งสองยิ่งนัก เมื่อเวลานี้มาถึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าจะต้องเงยหน้ารับเรื่องราวที่ถูกลิขิตไว้จากเบื้องบน แม้ยามนี้เซียวโม่โฉวจะรับรู้ทุกอย่างหากแต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าหัวใจของเซียวโม่โฉวกำลังคิดสิ่งใดอยู่ การเผชิญเรื่องจริงที่เจ็บปวดนำความสะเทือนใจมาให้บุรุษหนุ่มไม่น้อย รับเรื่องราวได้มากมายแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเซียวโม่โฉว
“ข้านึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะน่าตกใจถึงเพียงนี้ ท่านมอบชีวิตใหม่ให้ข้า บิดามารดาแท้แล้วมิใช่ผู้ให้กำเนิด ความโหดร้ายที่พวกเขาไม่เคยมองเห็นข้าเป็นลูกในไส้ หมดประโยชน์ก็ไม่เหลียวแล.....ชะตากรรมเช่นนี้ช่างน่าตลกสิ้นดี”รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าทว่าดวงตาเคลือบคลอไปด้วยความโศกเศร้า ยามหวนคิดถึงอดีตหัวใจก็ราวบีบคั้นเสียจนแทบแหลก
หลี่รั่วถงทราบดีว่าความเจ็บปวดที่เซียวโม่โฉวต้องเผชิญเพราะตนเป็นผู้ยึดติด เห็นแก่ตัว หากไม่คิดต้องการให้เหยว่ถิงกลับมา คงไม่ทำให้ผู้ที่ผจญกับโชคชะตาอย่างเซียวโม่โฉวต้องเจ็บช้ำ
“ข้าจะไม่โทษโพยผู้ใด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพราะข้าที่ยึดติดต่อเจ้า ความรักของข้าที่มีต่อเจ้ากำลังทำร้ายคนที่ข้ารักอย่างไม่รู้ตัว เซียวโม่โฉว เจ้าจะโกรธข้าก็ไม่เป็นไรนั่นคือสิ่งที่เจ้าพึงกระทำด้วยเพราะคนผิดคือข้า เจ้าต้องการคำตอบใช่หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเก็บร่างมนุษย์ของเจ้าไว้.....”
“เพราะเหตุใด? ”
“นั่นก็เพราะ...”หลี่รั่วถงสบตาเซียวโม่โฉว หวั่นใจอยู่ลึกๆ ชั่งใจอยู่นานก่อนจะพูดออกมา “ข้าต้องการจะคืนชีพของเจ้าอีกครั้ง”
เมื่อได้ฟังเซียวโม่โฉวก็ถึงกับนิ่งค้าง ความคิดของคนผู้นี้ซับซ้อนเกินกว่าที่บุรุษหนุ่มจะคิดได้นัก
“เซียวโม่โฉว ในเมื่อเจ้ารับรู้ทุกเรื่องราวแล้ว ได้โปรดกลับมาอยู่กับข้าเถิด”
ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยร้องขอออกมาอย่างวิงวอนด้วยหัวใจของผู้ที่เฝ้ารอมานานแสนนาน สีหน้าที่ไม่ลดละความตั้งใจไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายความหวังที่มีเพียงหนึ่งลงได้
“แม้อดีตชาติข้าเคยเป็นอิสตรีที่ท่านรัก แต่ทว่าข้าในตอนนี้มิใช่เหยว่ถิงอีกต่อไปแล้ว ตริตรองหัวใจของท่านให้ดีเถิด ผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าท่านในยามนี้เป็นเพียงเซียวโม่โฉวบุรุษที่หาได้มีสิ่งใดโดดเด่นไม่ หาได้เทียบเคียงใดๆ กับนางที่ท่านรักอย่างหมดหัวใจได้.....ได้โปรดเลิกใช้สายตาของท่านที่มองมายังข้าคล้ายว่าข้าเป็นนางด้วยเถิด”
น้ำเสียงที่สั่นเครือทนข่มความเจ็บปวดเอ่ยในสิ่งที่อยู่ในใจออกมาราวกับผิดหวังนัก
“.....”
“ยามที่ข้ามีใจปฏิพัทธ์ต่อท่านข้ามิได้รู้สิ้นถึงชาติกำเนิดใด ไม่รู้แม้กระทั่งว่าข้าเป็นใครมาก่อน หากแต่เพราะรักด้วยหัวใจด้วยความรู้สึกของข้าที่เป็นเซียวโม่โฉวท่านั้น แต่ท่านมิใช่...ท่านมองข้าเพราะเห็นข้าเป็นเหยว่ถิง มิได้ยอมรับในตัวข้าที่เป็นเซียวโม่โฉวไม่ เช่นนั้นจะมีสิ่งใดสำคัญอีก”
น้ำตาอุ่นๆ ไหลรินเป็นสาย ความน้อยเนื้อต่ำใจในอกเอ่อล้นออกมาเกินจะเก็บไว้
“เจ้ากำลังเข้าใจข้าผิด ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นอย่างที่เจ้ากล่าวมา ตลอดระยะเวลาที่ข้ารอคอยเจ้า ข้าตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพียรพยายามบริกรรมคาถาด้วยดวงจิตที่มั่นคงเพื่อให้เจ้าคืนกลับมาแม้ต้องยอมแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม และต่อให้ข้าต้องไปคุกเข่าวิงวอนเพื่อขอโอกาสนี้ต่ออวี้หวงต้าตี้ข้าก็ย่อมทำได้ ฉะนั้น...ข้าไม่เคยยึดติดว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด เซียวโม่โฉวเจ้าอย่าได้เข้าใจข้าผิดและตีตนออกห่างจากข้าอีกเลย”
แววตาที่เคยกร้าวแกร่งบัดนี้อาบย้อมไปด้วยความเศร้าหมอง ยามหลี่รั่วถงทอดสายตามองดวงใจที่คล้ายหนีห่างความร้าวร้านก็พลันเกาะกุมหัวใจของหลี่รั่วถงให้เจ็บปวดนัก มืออุ่นที่เคยเข้มแข็งบัดนี้กลับคล้ายอ่อนแรงเข้าโอบประคองมือเล็กของบุรุษตรงหน้าให้เห็นใจ ถนอมสัมผัสที่จับกุมมาราวกับมันจะแตกสลายคามือ
“มิใช่เพราะข้ามองเจ้าเป็นเหยว่ถิงข้าจึงรัก แต่เพราะเจ้าเป็นดวงใจ เป็นทุกอย่างของข้าในชีวิต ไม่ว่าจะชาติภพใดที่พานพบและเจอะเจอ ใจของข้าก็ยังคงปรารถนาเคียงคู่กับเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”
“พอเถิด ข้าเหนื่อยเต็มทีแล้วกับทุกสิ่งที่ผ่านมา มันหนักหนาสำหรับข้าจนหัวใจของข้าทานทนแทบไม่ไหวแล้ว”มือขาวที่เย็นยะเยือกระคนสั่นเทาแกะมือตนเองออกจากฝ่ามือของหลี่รั่วถง สายตาไม่อาจมองร่างสูงสง่าตรงหน้าได้เต็มตา ด้วยแผลแห่งความเจ็บปวดที่เช่นไรก็ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ในประโยคเดียว
พูดตอนนี้ก็ราวกับแก้ตัวไปเสียทุกถ้อยคำ
“ท่านยังจำคำสัญญาของข้าที่เอ่ยไว้ต่อท่านได้หรือไม่? ”
“เจ้ากำลังหมายถึงเรื่องใด”
“ช่วยทำตามที่ข้าเคยให้คำมั่นต่อท่านด้วยเถิด”แววตาที่ทอดมองมายังหลี่รั่วถงช่างดูทุกข์ระทมเกินทน
“เจ้าต้องการจะหลอมวิญญาณ”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าควรจะทำ ข้ารักษาคำพูดที่เคยให้ไว้ต่อท่าน”
“ข้าไม่อาจทำได้”หลี่รั่วถงรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นครั้นได้ยินประโยคที่เซียวโม่โฉวกล่าวสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้อะไร
“ท่านจะทำเป็นลืมได้อย่างไร หากท่านไม่ทำเช่นนั้นท่านก็เหมือนทำร้ายจิตใจข้าอีกครั้ง”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการหลอมวิญญาณหมายถึงอะไร”ความคุกรุ่นของอารมณ์ไม่อาจทนเห็นความเย็นยะเยือกของจิตใจเซียวโม่โฉวได้อีก หลี่รั่วถงจึงประชิดตัวเข้าไปรั้งแขนถามเตือนสติแววตาถมึงทึง
“เหตุใดข้าจะไม่รู้”
“รู้แล้วเจ้ายังต้องการให้ข้าทำเช่นนั้นอีกหรือเซียวโม่โฉว ข้าจะทานทนมองเห็นเจ้าสลายหายไปได้อย่างไรกัน”
“...ข้าขอยืนยันคำเดิม หากท่านต้องการจะทำร้ายข้าด้วยการพยายามเปลี่ยนความคิดข้าก็ขัดขวางเสียเถิด แต่อย่างไรหัวใจข้าก็คงจะไม่เหมือนเดิมต่อไป”น้ำเสียงเรียบเอ่ยอย่างด้านชาเสียจนหลี่รั่วถงหวาดกลัวในคำพูดนั้น ต่อให้ร่างกายและพละกำลังจะเข้มแข็งเพียงใดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาชนะจิตใจผู้คนได้
แม้กระทั่งผู้ที่รักสุดดวงใจเช่นกัน
“หากเจ้าเลือกที่จะลงโทษข้าเช่นนั้น.....ข้าก็จะไม่ขัดขวางเจ้า”มือแกร่งที่บีบแขนเล็กไว้แน่นครั้นปล่อยออกให้อีกฝ่ายเป็นอิสระอย่างจำยอมน้ำตาเอ่อนองเต็มดวงใจ
พิภพแห่งหยาง
“ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์ ช่างเป็นคำกล่าวที่คู่ควรกับเจ้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ”หวางหรูอี้เป่านิ้วก้อยที่เพิ่งแคะใบหูตัวเองเบาๆ แล้วเหลือบตามองสหายที่แบกหน้าอมทุกข์มาเยี่ยมเยือนตนถึงบ้านเช่นนี้
“.....”
“เจ้าช่างเลือกร้านสุราได้ดี ที่แห่งนี้มิสุราให้เจ้าแช่ได้ทั้งตัวยามที่เจ้าหาซึ่งความสบายใจมิได้ ข้าก็เห็นใจเจ้าอยู่หรอกแต่จะแก้ไขสิ่งใดได้เมื่อทุกอย่างมันกลับกลายเป็นเช่นนี้ ลำบากเจ้าแล้วสหายข้า”
หลี่รั่วถงมิได้สนใจคำพูดของหวางหรูอี้ มุ่งมั่นแต่กระดกสุราเข้าปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งที่จะเห็นจ้าวพิภพแห่งหยินเป็นเช่นนี้
“เจ้าเอาแต่ดื่มเช่นนี้หาได้เป็นหนทางแก้ปัญหา พูดความกลัดกลุ้มของเจ้าออกมาเถิดดีกว่าเก็บไว้ในใจทุกอย่าง”
“ข้าจะหลอมวิญญาณของเซียวโม่โฉว”เพียงประโยคสั่น ถึงกับทำให้หวางหรูอี้สำลักสุราที่เพิ่งกระดกเข้าปาก
“แค่กๆ จะเจ้าพูดเรื่องเพ้อเจ้ออะไร ไหนเจ้าเคยบอกกับข้าว่าจะนำดวงจิตของเซียวโม่โฉวกลับคืนร่างหลังจากที่คนผู้นั้นกลับมาจากผาพลิกชะตามิใช่หรือ แล้วไยเจ้าถึงพูดเรื่องน่ากลัวเช่นนี้ออกมาจากปากได้”
หวางหรูอี้คิดเพียงว่าหลี่รั่วถงทะเลาะเล็กๆ น้อยๆ กับเซียวโม่โฉวเรื่องอดีต แต่ไม่คิดว่าจะหนักหนาถึงขั้นนี้
“ข้าผิดเองที่คิดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย หากแต่แท้แล้วไม่มีสิ่งใดบังคับจิตใจของเซียวโม่โฉวได้ เพราะข้าโหดร้ายให้เขาผจญกับโชคชะตาที่แสนเจ็บปวดเพียงเพราะความต้องการของตนเอง ไม่คิดถึงจิตใจของเซียวโม่โฉวในภายภาคหน้า จะถูกเกลียดถูกชังน้ำหน้าก็คงไม่แปลก”
“ข้ายอมรับว่าเจ้ามันโหดร้าย แต่อย่างไรเรื่องหลอมวิญญาณก็มิควรเกิดขึ้น”
“ข้ารับปากเซียวโม่โฉวไว้แล้ว”
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร!”หวางหรูอี้ตาวาวขึ้นส่งเสียงดัง มิคิดว่าความใจเหี้ยมของหลี่รั่วถงจะเกินขีดจำกัดเช่นนี้
“นั่นเป็นความต้องการของเซียวโม่โฉว”
“แล้วเจ้าก็รับปากส่งๆ ไปเช่นนั้นหรือ”
“ข้าไม่มีทางเลือก”แววตาขุ่นเคืองตนเองมองจอกสุราในมือราวกับจะบีบให้แหลกละเอียด
“มิใช่ว่าเจ้าไม่มีทางเลือก เรื่องอื่นเจ้าฉลาดปราดเปรื่องนัก ไยเรื่องนี้ถึงได้ว่าง่ายเป็นแมวเชื่องไปได้ ตื่นเสียทีสหาย! เจ้ามีร่างอสูรเสือดำไยใจเล็กจ้อยเป็นแมวเสียแล้วเล่า”คนที่อารมณ์ขึ้นพุ่งพรวดด้วยความขัดใจแทบจะนั่งนิ่งไม่ติดเก้าอี้ หากแต่คนฟังก็ไม่ระรื่นหูในคำพูดของหวางหรูอี้ที่กล่าวเช่นนั้น สายตาดุดันจึงตวัดมองนัยน์ตาเขม้น
“เจ้าไม่รู้ความรู้สึกของข้าก็อย่าพูดพล่อยๆ ”
“เช่นนั้นเจ้าก็เชิญเสพสมความทุกข์ไปตราบชั่วชีวาวายของเจ้าก็แล้วกัน เจ้าสหายผู้โง่เขลา!”
ความเดือดดาลนำพาเจ้าของบ้านลุกพรวดขึ้นอย่างขัดใจ นึกไม่ถึงว่าหลี่รั่วถงจะไม่ฉลาดในเรื่องนี้เอาเสียเลย
พิภพแห่งหยิน
“เจ้าจะร้องไห้ไปไยเหอจี๋ ทั้งผมและไหล่ของข้าไม่มีที่จะซับน้ำตาของเจ้าแล้ว”น้ำตาที่หยดเผาะลงบนไหล่ของเซียวโม่โฉวขณะที่ยืนหวีผมให้ มือที่สั่นไม่อาจทำให้ผมเรียงเส้นได้แม้จะกล่าวว่ามีหวีอยู่ในมือก็ตามที
“ท่านตัดสินใจดีแล้วหรือขอรับที่จะทำเช่นนี้ แม้แต่ข้ายังรู้สึกเศร้าเสียใจ นายท่านคงจะเสียใจยิ่งกว่าข้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
“ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าอย่าได้พูดอะไรอีกเลย มาเถิดข้าจะสางผมเอง”
เซียวโม่โฉวมิใช่ว่าไร้หัวใจ หากแต่การที่ต้องทนอยู่เพื่อเป็นเหยว่ถิงนั้นช่างเจ็บปวดเสียยิ่งกว่า ยอมตัดชะตาต่อกันและเริ่มต้นชีวิตใหม่ไม่จมอยู่กับเรื่องราวเก่าๆ คงดีกว่านี้
เหนือแท่นศิลาฟ้าจรดโลหิต บรรยากาศที่มืดฟ้ามัวดินแลดูปั่นป่วนราวกับจิตใจของหลี่รั่วถงนัก สีหน้าและแววตาดูตรมทุกข์ทุกช่วงขณะหายใจ ไม่เคยมีคราใดที่ขึ้นมายังที่แห่งนี้แล้วรู้สึกเศร้าโศกมากมายเช่นนี้ ครั้นเห็นเซียวโม่โฉวที่เดินมาอย่างไม่ลังเลมิให้ตนต้องรอนานเช่นไรยังคงดูงดงามมิเปลี่ยนแปลง แต่ช่างน่าเศร้าที่จะมิได้เห็นดวงตาคู่สวยเช่นนี้อีกแล้ว
เจ้าของร่างโปร่งที่ก้าวเดินขึ้นมาด้วยความมั่นคงสีหน้าเรียบทว่านัยน์ตาวูบไหวข่มจิตใจอันแสนชอกช้ำไว้เบื้องหลัง ยามนี้ผู้ที่เดินนำทางมายังแท่นศิลาซึ่งใจกลางศิลามีหลุมดำขนาดใหญ่ภายในมีเงามืดดำเคลื่อนไหวปั่นป่วนดั่งมหาสมุทรคลั่งช่างน่ากลัว สถานที่แห่งนี้เรียกขานว่าบ่อหลอมวิญญาณ
ผู้มาส่งเซียวโม่โฉวคือเหอจี๋ ความรู้สึกนั้นทรมานจิตใจไม่ต่างจากส่งเซียวโม่โฉวเข้าสู่ลานประหาร ดังนั้นจึงไม่อาจหักห้ามน้ำตาที่เอ่อคลอให้หยุดไหลได้ ผู้รับใช้ที่ซื้อสัตย์ค้อมกายลงต่ำให้แก่หลี่รั่วถง และหันไปค้อมตัวอีกครั้งให้แก่เซียวโม่โฉวอย่างยากลำบากราวกับการอำลาที่ยากเกินทำใจ
น้ำตาที่ดูไร้ความหมายไม่อาจทำสิ่งใดได้เสียดแทงใจเหอจี๋ผู้นี้นัก
“เจ้ามาแล้วสินะ”ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำนิลยื่นฝ่ามือให้กับเซียวโม่โฉว ยามนี้ปฏิเสธมิได้ว่าตรงหน้าเป็นภาพที่สะเทือนใจยิ่งนัก
พบพานกันน้อยนิด จากกันเนิ่นนาน ราวแสงอัสดงที่ทิ้งไว้ให้ยลเพียงพริบตา ก่อนราตรีกาลจะมาเยือนและเลือนแสงตระการตาเหล่านั้นไป
“.....”อีกฝ่ายไม่พูดจาใดหากแต่ยอมวางมือลงบนฝ่ามือของหลี่รั่วถงได้อย่างเยือกเย็น แม้จะเป็นก้าวที่เชื่องช้าและยากยิ่งของหลี่รั่วถง หากแต่เป็นความตั้งใจที่จะได้ยื้อเวลาให้นานที่สุด
“ข้าอยากให้เจ้าลองคิดดูอีกครา ได้โปรดเถิด”น้ำเสียงที่วิงวอนกุมมือขาวที่เย็นเยียบราวกับจะหลั่งน้ำตา
หากแต่ประโยคนั้นกลับถูกก่อกวนขึ้นด้วยเสียงตะโกนโหวกแหวกมาจากด้านล่างแทนศิลาที่ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นมารบกวน ขณะนี้ด้านล่างจึงดูวุ่นวายไม่น้อย
“โม่โฉวววว! เจ้าไปข้าจะอยู่ที่นี่โดยที่ถูกเจ้าทิ้งไว้ได้อย่างไร แม้ข้าจะไม่เชื่อฟังเจ้า ดื้อรั้นไปบ้างแต่ข้าก็คงไม่มีความสุขหากเจ้าจะหนีข้าไป เช่นนั้นก็พาข้าไปด้วยเถิด!”เสียงเล็กที่โวยวายพยายามฝ่านายทวารที่เฝ้าคุ้มกันทางเข้าอย่างแน่นหนา หากทว่าเป็นคำสั่งของหลี่รั่วถงที่มิให้มีใครเข้ามาวุ่นวายทู่จึจึงไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาได้ ไม่นานก็ถูกจับโยนออกไปแต่มิได้ทำร้ายให้บาดเจ็บ
เสียงร้องขอให้พาไปด้วยดังไปถึงเซียวโม่โฉว แต่จะทำเช่นไรนอกเสียจากทำเป็นไม่ได้ยิน หากแต่ครานี้เป็นเหอจี๋เองที่ทนข่มเรื่องราวไม่ไหวจึงได้โพล่งออกมาเสียแทน
“ข้าอาจจะกลายเป็นผู้ที่ปากมากปากสว่างเสียซึ่งความเชื่อใจ แต่ถึงอย่างไรนายท่านคงไม่มีทางเอ่ยออกมา.....ข้ายอมถูกลงโทษหากสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จะช่วยท่านทั้งสองให้เข้าใจกันได้”ใบหน้าก้มงุดมือกำแน่นราวกับรวบรวมความกล้าก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของร่างขาวที่สวมใส่อาภรณ์สีเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง
สีขาวที่หมายถึงความบริสุทธิ์ สงบ หากแต่ก็เป็นสีที่นำพาความโศกศัลย์อาดูรให้กับความรู้สึกของผู้ที่มองเช่นกัน
“เจ้ากำลังจะพูดสิ่งใด”กายขาวผุดผาดที่พร้อมแล้วกับการจากลาหันมาหาเหอจี๋อีกทั้งเดินไปหา ทุกก้าวย่างเต็มไปด้วยความลังเลใจ ลึกแล้วหวาดกลัวเหลือเกินว่าจะมีสิ่งใดที่ตนต้องรับรู้ให้เจ็บปวดอีก
“ท่านอาจไม่รู้ว่า เหตุใดนายท่านจึงดูอ่อนแอ ผิดกับเมื่อก่อนที่ไม่ว่าจะต่อสู้กับผู้ใดก็ไม่เคยต้องบาดเจ็บ แต่เพราะความรักที่มีให้แก่ท่าน นายท่านยอมสละแม้กระทั่งไอพลังวิญญาณเพื่อเสริมส่งให้ท่านแข็งแรงขึ้น ข้ารู้ว่านายท่านมิได้บอกกล่าวเรื่องนี้แก่ผู้ใด แต่ข้าที่มองเห็นทุกอย่างเสมอมาไม่อาจทนได้ วิญญาณที่อ่อนแอเช่นท่านแม้แต่เหยียบใกล้ผาพลิกชะตาก็ไม่อาจทานทนต่อแรงอาฆาตที่อยู่เบื้องล่าง หากแต่ในกายของท่านครึ่งหนึ่งมีไอ้พลังวิญญาณของนายท่านอยู่จึงต้านทานได้ ท่านลองไตร่ตรองดูเถิดว่ายามที่ท่านอ่อนแอมีผู้ใดที่หยิบยื่นความเข้มแข็งนั้นให้”
“พอได้แล้วเหอจี๋!”เสียงกร้าวของหลี่รั่วถงกำราบ
“นายท่านพูดอะไรบ้างเถิดขอรับ อย่าทำร้ายจิตใจของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้เลย ฮึกๆ ข้าเพียงคนนอก แต่ไม่อาจมองพวกท่านก็แทบทนเจ็บปวดได้ไหว อย่าให้ความทิฐิเพียงน้อยนิดทำลายความรักที่งดงามเลยนะขอรับ”ผู้ที่เอ่ยออกมาหมดใจทรุดกาลลงโขกศีรษะลงกับพื้น
เซียวโม่โฉวได้ฟังเช่นนั้นถึงกับนิ่งค้างร่างกายราวกับแข็งทื่อไปเสียหมด นึกไปตามที่เหอจี๋กล่าวก็คล้ายว่าปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่น้อย อุบายที่ใช้ความเจ้าเล่ห์มอบจุมพิตให้ไม่รู้กี่ครั้งกี่คราความผ่าวร้อนภายหลังกลับเกิดกำลังเห็นทีจะเป็นไปในทางเช่นนั้น หากนึกย้อนไปก็ไม่มีคราใดที่หลี่รั่วถงปฏิบัติต่อตนราวกับสตรี หากแต่ยอมรับในอุปนิสัยที่ติดตัวข้ามาแต่กำเนิด โง่เขลาบ้าง ดื้อรั้นไปบ้าง เอาแต่ใจไปบ้าง ผิดพลาดบ้างก็มิเคยใส่ใจในเนื้อแท้ที่เป็นเพียงมนุษย์เดินดิน หาใช่เทพเซียนผู้ปราดเปรื่องบรรลุแก่นแท้ในชีวิต ยิ้ม หัวเราะ โกรธแค้น ขุ่นเคือง ริษยา ย่อมติดตัวเป็นธรรมดา
ไม่น่าให้อภัยที่สุดที่ตัวข้ากลับมองหลี่รั่วถงในมุมที่ข้าปรารถนาจะมองเพียงเท่านั้น นึกแต่เพียงว่าเขาทำร้ายจิตใจของข้าด้วยการหลอกลวง มิเคยมองย้อนกลับไปด้วยเหตุผลที่หนักแน่นว่าผู้ที่เจ็บปวดมิได้มีเพียงตัวข้าลำพัง
ความไม่เห็นใจของข้าริษยาตนเองในอดีตนั่นช่างน่าละอายใจนัก ต้องมานอนนับวันจากลาด้วยความคิดโง่เขลาด้วยน้อยเนื้อต่ำใจเอง ทั้งที่รู้แต่แสร้งปิดหูปิดตาไม่ยอมรับความรักของหลี่รั่วถง
ข้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่!
“ที่เหอจี๋กล่าวมา.....ท่านทำเช่นนั้นเพื่อข้าจริงหรือ”เซียวโม่โฉวก้าวไปหยุดต่อหน้าร่างสูงที่มิเคยกล่าวสิ่งใดออกจากปากถึงความจริงข้อนั้น เสียงแผ่วเอ่ยขึ้นปรารถนาคำตอบ
“ข้าไม่เคยต้องการนำเรื่องเหล่านั้นมาเป็นข้อต่อรองให้เจ้าเห็นใจข้า ด้วยข้ารักเจ้าและอยากให้เจ้ามองข้าในฐานะคนผู้หนึ่งที่จะแสดงออกต่อเจ้าด้วยการกระทำซึ่งหน้าก็เท่านั้น”
ครั้นได้ฟังคำตอบจากปากของหลี่รั่วถง ร่างโปร่งก็ถึงกับทรุดกายลงแทบพื้นสองมือกำแน่นสั่นเทิ้มร่ำไห้กับเรื่องราวตรงหน้า หากไม่มีผู้ใดเอ่ยปากบุรุษหนุ่มคงขาดสติดึงดันทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้นไปแล้ว
“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ”ร่างสูงย่อตัวลงพร้อมกับโอบกอดร่างกายที่สะอื้นไห้ตรงหน้า สองมือหนากอดแผ่นหลังที่สั่นไหว ราวกับประคับประคองดวงใจกลับคืนสู่อ้อมอก
เหอจี๋เห็นเช่นนั้นถึงกับต้องปาดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยยินดี พาตนเองออกมาไม่กีดขวางยกช่วงเวลาสำคัญให้นายทั้งสองได้ปรับความเข้าใจกันเสียด้วยดี
“ข้าเช่นกันที่ต้องขอโทษที่ดูถูกความรักของท่านโดยหารู้ไม่ว่าท่านเสียสละเพื่อคนโง่เช่นข้าเพียงใด”
“ไม่มีสิ่งใดที่ต้องขอโทษข้า เพียงเจ้ายอมอยู่กับข้าก็ไม่มีสิ่งใดที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
อีกผู้หนึ่งที่กระวีกระวาดเหาะเหินเดินทางมาเมื่อได้ข่าวจากเหอจี๋ว่าวันนี้หลี่รั่วถงจะหลอมวิญญาณเซียวโม่โฉวก็รีบร้อนมาเสียทันที หากแต่ดูเหมือนเหตุการณ์ทุกอย่างมิต้องกังวลแล้ว
“ท่านมาช้านะขอรับ”
“ข้ารีบแล้ว แต่ดูเหมือนคงมิต้องถึงมือข้า”
“แน่สิขอรับหากรอท่านป่านนี้นายท่านคงกระโดดตามลงไปในบ่อหลอมวิญญาณเสียแล้ว”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ยินดีหน่อยเล่า สีหน้าถึงได้ไม่แช่มชื่นเอาเสียเลย”
“อย่าลืมสิขอรับว่านายท่านยังมิได้คำตอบเลยว่าท่านเซียวโม่โฉวจะยอมให้นายท่านย้ายจิตวิญญาณกลับสู่ร่างหรือไม่ ข้าไม่อยากเดาใจผู้ใดอีก แค่นี้ใจข้าก็บางจนแทบขาดรอนๆ อยู่แล้ว”เหอจี๋ลูบอกตนเองคิ้วตกตาเศร้า
“เห้อ! อย่างน้อยนายท่านของเจ้าก็คงพอหายใจทางจมูกได้ข้างหนึ่งแล้ว โอ๊ะ! นี่ข้ารีบร้อนจนลืมสิ่งสำคัญไปหรือ”จู่ๆ มือที่ควานหาของบางอย่างข้างเอวก็ตาเบิกโพลง
“ข้าจะยกสุรามาให้ท่านเป็นการขอบคุณที่รีบร้อนมาให้ก็แล้วกันขอรับ”เหอจี๋มองหวางหรูอี้ที่แม้แต่แต่งกายก็ยังไม่เรียบร้อย ดูท่าคงจะรีบร้อนอย่างที่ปากว่าไม่มีโป้ปด
“เจ้านั้นช่างรู้ใจข้า ควรจะไปอยู่ที่พิภพแห่งหยางกับข้าดีกว่าทนเรื่องปวดหัวของหลี่รั่วถงอยู่ที่นี่ ว่าอย่างไรเล่า”หวางหรูอี้แสร้งชวนอย่างหยอกล้อ
“ไม่ขอรับ”
“หัวดื้อทั้งนายและบ่าวเสียจริง”ผู้ที่ขัดใจจิ๊ปากส่ายหน้าหน่าย ตระเตรียมจะออกเดินไปหากแต่ประหนึ่งถูกตัดหน้าด้วยบางอย่างที่พุ่งมาด้วยความเร็วผ่านหน้าไป
“เหอจี๋! เซียวโม่โฉวไม่เป็นไรใช่หรือไม่!”
“เจ้ากลับไปรอที่เรือนได้แล้ว หายห่วงแล้วล่ะ”
หวางหรูอี้เหลือบตามองทั้งสองที่พูดคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว อีกหนึ่งเป็นหนุ่มน้อยอายุอานามคงจะ 13 ปีในโลกมนุษย์ ส่วนสูงที่เสมออกของเหอจี๋วัดด้วยสายตา เพราะเห็นพุ่งเข้าไปกอดหน้าตาเหลอหลาก็คาดเดาไปว่า
“ผู้ใดกัน? บุตรชายของเจ้าหรือ”คำถามที่ถามออกไปถึงกับทำให้ทั้งสองเป็นอันผละออกจากกันเสียจนลืมตัว หากเป็นสหายฐานะเสมอกันคงกล่าวใส่หน้าไปแล้วว่า
‘บิดาท่านเถอะ!’
“มะมิใช่ขอรับ! ท่านได้โปรดอย่าเข้าใจผิด”เหอจี๋แก้ตัวปากสั่น หวางหรูอี้ขมวดคิ้ว
“เช่นนั้นแล้ว? ”
“ไม่ได้เป็นอะไรกันขอรับ ข้าขอตัว”กล่าวเสร็จคนถูกถามก็จ้ำอ้าวออกไปเสียอย่างนั้นเหลือเพียงปีศาจกระต่ายที่ยังคงอยู่
“เจ้าเป็นใครเล่า เหตุใดข้าจึงไม่คุ้นหน้า.....”หวางหรูอี้กล่าวขึ้นทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะพูดต่อ “เจ้าเป็นปีศาจหรอกหรือ”
“ข้าอยู่กับโม่โฉว มิใช่ลูกของเหอจี๋ อีกหน่อยข้าก็จะโตกว่าเจ้าปลานั่น อย่างไรคงจะให้ข้าเป็นลูกเสียมิได้”
“ดี ดี ข้าชอบคนตรงเช่นเจ้า เอาเถิดไปพูดคุยกับข้าแก้เบื่อหน่ายเสียหน่อยเถิด”ว่าแล้วทู่จึก็หลงกลหวางหรูอี้ไปอีกผู้หนึ่ง มิรู้ว่าจะถูกล้วงความลับหรือกลั่นแกล้งตามอุปนิสัยก็หามีผู้ใดคาดเดาได้
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
โดย หลานฮวา