ขอบคุณมากๆๆ ครับสำหรับทุก ๆ กำลังใจ ที่ยังคงมีให้ตลอด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามแล้ว ยังไงผมก็ยังไม่เปลี่ยนแนวการเขียนหรอกครับ บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นยังไง ช่วยติดตามด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างมาก มาต่อกันดีก่าเนอะ
+++++++++++++
วันนี้เป็นแรกครับ ก็ยังไม่เรียนอะไรมาก ก็แค่ๆๆแนะนำรายวิชา และก็ปล่อยให้เด็กๆๆนั่งคุยกัน ไอ้พวกนี้ก็คุยกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา เหมือนวันพบญาติยังไงไม่รู้ บ้างก็มีเดินมาวนๆๆ แถวโต๊ะผม เอาไม้มาแหย่บ้าง มาให้อาหารบ้าง เอ้ย ไม่ใช่ มาคุย มาถามชื่อไรเงี้ย พอรู้ว่าผมชื่อมะขามก็แอบขำ และก็เยอะเหมือนกันที่ปล่อยฮากันอย่างไม่เกรงใจ ส่วนไอ้ลิงก็ออกจะภูมิใจมีเพื่อนชื่อมะขามอย่าผม
พอถึงตอนเย็นผมก็กำลังจะเก็บของเพื่อที่จะได้กลับบ้าน แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนๆๆ วิ่งเข้าไปมุงดูกันที่ทีวีจอใหญ่หน้าห้อง ซึ่งผมสังเกตมาตั้งแต่เช้าแล้วว่ามันมีอยู่ทุกห้องเลยนิหน่า เอ๊ะ หรือว่าโรงเรียนนี้เปิดการ์ตูนให้เด็กดูด้วย อิอิ ดีจัง ผมจึงวิ่งไปดูด้วย
แต่เมื่อทีวีเปิดฉาย แทนที่จะเป็นการ์ตูนหรือละคร กับเป็นตาลุงแก่ๆๆ ออกมาพูดถึงกฎระเบียบต่างๆๆในโรงเรียน คาดว่าคงจะเป็นอาจารย์ใหญ่ ผมก็เลยไม่สนใจ เตรียมตัวจะกลับบ้าน จนไอ้ลิงมันดึงเอาไว้
“เฮ้ย อย่าพึ่งกลับ เดี๋ยวมีของเด็ด”
“ของเด็ดอะไรหรอ”
“เอ้า นี่นายไม่รู้หรอว่าโรงเรียนเรามีชมรมวิทยุโทรทัศน์ด้วย แล้วไอ้พวกนี้มันทรงอิทธิพลจะตาย เดี๋ยวหลังจากอาจารย์ใหญ่พูดจบแล้ว ก็จะมีรายการคั่นของชมพรมพวกนี้แหละ”
“หรอ”
สักพักนึงหลังจากที่อาจารย์ใหญ่พูดจบแล้วว จอทีวีก็เปลี่ยนเป็นสีดำ พร้อมกับตัวอักษรสีแดงขึ้นมาว่า “สะเก็ดโรงเรียน” คุ้นๆๆ วะ คงเหมือนกับสะเก็ดข่าวอะมั้ง
หลังจากนั้นก็เป็นภาพเด็กนักเรียน 4 คน ซึ่งไอ้ลิงบอกว่า นี่แหละสมาชิกขั้นเทพในชมรมวิทยุโทรทัศน์ ใครๆๆเขาก็อยากเข้าชมรมนี้จะตาย แต่ไม่มีใครเข้าใดเลยสักคน
“เฮ้ยยยยยย นั่นมันไอ้...ไอ้พ่อเทวดาเมื่อเช้านิหว่า” ผมร้องเสียงหลงหลังจากเห็นไอ้พ่อเทวดาที่ชนผมเมื่อเช้าแนะนำตัวก่อนจะพากล้องวิ่งไปรอบๆๆโรงเรียน
“หุหุ ใช่ ก็ไอ้คนที่แบกนายมาเมื่อเช้าอะ”
“ชื่ออะไรหรอ”
“โมบาย”
“โมบายหรอ นายนั่นชื่อโมบายนะหรอ คนอะไรชื่อยังกะผู้หญิง” ความคิดผมยังไมทันตกสะเก็ด เสียงพ่อเทวดา หรือนายโมบาย ก็ดังขึ้นในจอทีวี
“สวัสดีครับ น้อง ๆ ทุกคน วันนี้พี่โมบายที่น่าร้ากกกกกกกกก ของทุกคน จะพาทัวร์รอบโรงเรียนฉลองเปิดเทอมใหม่กันนะครับ มาดูกันสิครับว่า วันนี้โรงเรียนเรามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ไปกันเลยครับ” จะอ้วก ชมตัวเองก็เป็นด้วย
และหลังจากที่พ่อเทวดาพูดจบแล้วนั้น ภาพก็ถูกตัดไปเป็นภาพบรรยากาศของโรงเรียนเมื่อตอนเช้า ดูจากมุมกล้องแล้ว ไอ้นี่มันมืออาชีพเหมือนกันนิหน่า
“ทำไมมันเก่งนักวะ”
“อ้อ พี่โมบายเขามีพ่อเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ชื่อดังเชียวนะเว้ย” ไอ้ลิงแส่รู่อีกหละ
กล้องถูกพาเดินไปรอบ ๆ โรงเรียน สันนิษฐานว่า คงเป็นคุณพี่เทวดา โมบายนั่นแหละที่เป็นคนถ่าย
เสียงหัวเราะคิกคัก ตะโกนเรียนชื่อ พี่โมบายคะ พี่โมบายขา ดังขึ้นไปทั่วระหว่างที่คุณพี่เทวดาแบกกล้องไป สงสัยจะฮอตไม่เบา
และอีกอย่างไอ้พี่โมบายนี่น่าจะมีคนรู้จักกันทั่วทั้งโรงเรียน ยกเว้นเด็ก ม 1 และเด็ก ม 4 บางคนที่ทำหน้าเอ๋อ ๆ ใส่กล้อง เป็นที่สนุกสนาน เสียงหัวเราะดังระงมขึ้นไปทั่วโรงเรียน เพราะภาพที่ถ่ายออกมานอกจากจะเป็นการสัมภาษณ์เด็กนักเรียนหลาย ๆ คนแล้ว ยังมีภาพแอบถ่ายที่ถ่ายตอนคนบางคนกำลังเผลอ เช่น เด็ก ม. 1 แอบร้องไห้ อยู่หน้าโรงเรียน เด็กบางคนเดินเอ๋อหาห้องตัวเองไม่เจอ ผมดูไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มขำ จนกระทั่ง..
.
“เฮ้ย...นี่มันกรูนิหว่า” ใช่แล้วครับ ภาพที่ผมเห็นเป็นภาพผมยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียน และที่อายไปกว่านั้นก็คือ ผมกำลังยืนคุยอยู่กับกระจกใบเล็ก ๆ ทำหน้าดัดจริตสุดฤทธิ์ ตายละหว่า
“เฮ้ย มะขาม นี่มันนายนิหว่า แล้วนั่นนายทำอะไรวะ” เออ กรูนิแหละ มีไรไหมวะ ตอนนี้ผมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ววววว เพื่อน ๆ ทุกคนในห้อง ต่างหันมามองผม และหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย และที่หนักไปกว่านั้น เสียงหัวเราะที่ดังที่สุดที่ผมเคยได้ยินมาจากห้องต่างๆ ทั่วโรงเรียน ทำให้ผมหน้าแดงแปร๊ด ร้อนผ่าวๆๆ เพราะความอาย แต่ยังไม่จบครับท่านผู้ชม ภาพของผมยังถูกถ่ายอย่างต่อเนื่องไปจนถึงที่กล้องมันวิ่งตามผมมา จนวิ่งเข้ามากระแทกผมจากด้านหลัง
ภาพตัดกลับมาเป็นภาพที่ผมลงไปคลุกฝุ่นอยู่บนพื้น แถมร้องไห้อีกต่างหาก หมดกันตรู ชีวิตอันเงียบสงบในโรงเรียนนี้ป่นปี้หมดแล้ว
หลังจากรายการสะเก็ดโรงเรียนจบลง แต่เรื่องราวของผมกับไม่จบลงง่าย ๆ หลายคนได้นำเรื่องราวของผมไปพูดไป Topic กลางวงสนทนาด้วยความสนุกสนาน ชิส์ ไม่ถึงตาเมิงบ้างให้มันรู้ไหม และที่สำคัญโดยเฉพาะเจ้าลิงตัวแสบของผม หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
ไอ้บร้า กรูอายนะเว้ย”
“นี่ไอ้มะขาม เมิงนึกว่าเมิงเป็นสโนไวท์หรอวะ” ไอ้ลิงครับ พูดไปขำไป
“สโนไวท์อะไรวะ”
“เอ้า ก็ กระจกวิเศษค่ะ ใครงามเลิศในปฐพีค่ะ” ไอ้ลิงดัดจริต ดัดเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบผม”
“ไอ้บร้า ถ้าเมิงยังล้อกรูอีกนะ กรูจะเลิกคบกะเมิง” ผมเริ่มโกรธมันจริง ๆ หละ ที่จริงอายมากว่า แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
“เมิง ช่วยกรูคิดหน่อยดิ กรูต้องทำไงวะ” ผมแอบตัดพ้อกับไอ้ลิงหลังจาที่เตะมันได้สองที
“ตอนนี้เมิงทำได้อย่างเดียววะ คือทำใจ ตอนนี้นะ เมิงดังไปทั่วโรงเรียนแล้วนะเว้ย”
“หา ขนาดนั้นเชียว” ผมไม่เชื่อหรอกว่าไอ้รายการบ้า ๆ นี้จะมีอิทธิ์พลขนาดนั้น
“ไม่ต้องหาหรอก จริงๆๆ กรูจะบอกให้ว่าไอ้รายการนี้นะ ฮิตมากเลยนะในโรงเรียน ใคร ๆ ก็อยากจะออกรายการนี้กันทั้งนั้น สมาชิกในรายการนี้อะ มีสี่คนด้วยกัน คนแรกก็พี่โมบาย คนที่สองก็คือ พี่หญิง ฉายาคุณหนูผู้เย่อหยิ่ง คนที่สามพี่หนุ่ม คนนี้เขาจะเฮฮา สนุกสนานมากๆๆ ส่วนคนที่สี่ตอนนี้เป็นดาราชื่อดังเลยวะ ก็พี่โอ้ไง พี่มาริโอ้ แกรู้จักป่าว นาน ๆ พี่เขาจะมาเรียนสักที
“หา โอริโอ้ หรอ โอ้ย กรูกินประจำ”
“ไอ้บร้า มาริโอ ไม่ใช่โอริโอ้ กรูจะบ้าตาย กรูไม่รู้จะด่าเมิงยังไงดี ไอ้ ไอ้ ไอ้บ้านนอกริสซึ่ม” คำด่าของมันผมจะต้องเจ็บไหมเนี่ย
“แต่เมิงไม่ต้องกลัว กรูจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้เมิงเอง ฮิฮิ” น่าน ยังมีหน้ามาล้อเลียนกรู ผมเลยสนองมันด้วยลูกตบจากผมไปหนึ่งป๊าบ มันเลยเงียบสมใจ
ตอนนี้ได้เวลาหลังเลิกเรียนแล้ว ไอ้ลิงมันหนีกลับไปก่อน บ้านมันมีคนขับรถ ต้องมารับกลับทุกวัน แต่มันบ่นว่ามันเหมือนนักโทษมากกว่า อยากนั่งรถเมล์บริการฟรีเมื่อประชาชนมัง แม่งล้อเลียนกรู
ระหว่างที่ผมเดินออกไปหน้าโรงเรียนเพื่อที่จะกลับบ้านของผมบ้าง ผมสัมผัสได้ถึงสายตานับร้อยคู่จับจ้องมาทางผม พร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักดังรอบโรงเรียน พอผมหันไป ป้าบบบบ ทุกคนก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในบัดดล แต่บางคนเปลี่ยนไม่ทัน ถึงกับกลั้นหัวเราะ กัดลิ้นตัวเองแทบขาด ผมเลยต้องรีบก้มหน้าก้มตาเดินให้เร็วที่สุด
“เฮ้ย นั่นมันไอ้เด็กสโนไวท์ เมื่อเช้านิหว่า” น่าน กรูว่าแล้วว่าไม่รอด เพราะว่าเสียงมันดังมาจากกลางวงบาสเก็ตบอล พอหันจะไปด่าสักหน่อย ก็ต้องรีบหุบปากแทบไม่ทัน เพราะมันเป็นรุ่นพี่ มอหกนิหว่า และที่สำคัญหนึ่งในนั้นหน้าคุ้นมากๆๆๆๆ ใช่แล้ว ไอ้พี่หนุ่ม หนึ่งในสมาชิกรายการเมื่อเช้าที่ทำให้เราต้องอับอายขายขี้หน้า
“จะกลับแล้วหรอจ๊ะ พ่อหนูสโนไวท์” เพื่อนไอ้เจ้าพี่หน่มทักผม เรียกเสียงหัวเราะได้ดังทั่วบริเวณ ไอ้ครั้นจะด่าก็ทำไมได้ ก็รีบสะบัดบ๊อบใส่ พร้อมก้มหน้าหงุดๆๆ เดินไปรอรถหน้าโรงเรียน แหม แต่พวกมันยังไม่เลิก ยังมีเสียงตะโกนแซวตามหลังมา
“พรุ้งนี้อย่าลืมกระจกวิเศษอีกนะจ๊ะ” พอพูดจบ เสียงหัวเราะดังมาอีกสองกระบุงใหญ่ ๆ
ไอ้พี่โมบาย นะเมิง แค้นนี้ต้องชำระ คอยดู โทษฐานที่มาทำลายความสงบของไอ้มะขามอย่างเรา
“เอ้า กลับมาแล้วหรอลูกมะขาม แหมอารมณ์ดีกลับมาเชียว” เสียงเจื้อแจ้วของคุณแม่ของผมทักผมขึ้น แต่ตาของท่านยังไม่ได้เงยขึ้นมาจากหนังสือนิยามเล่มละสามสิบห้าบาทที่ซื้อมาอ่าน เลยไม่สามารถแยกได้ว่าไอ้อาการอารมณ์ดีและอารมณ์เสียมันต่างกันยังไง
“วันนี้มีอะไรกินบ้างอะแม่ หิวใส้จะขาดอยู่แล้ว” ผมเข้าบ้านได้ก็โยนกระเป๋าหนังสือ ถุงเท้า รองเท้า กองไว้รวมกัน เดี๋ยวมาแยกอีกที ช่างมัน ตอนนี้หิวมากๆๆๆ จึงรีบเดินไปเปิดตู้เย็นดูหยิบนม ขนมปังขึ้นมาพร้อมเดินไปหน้าทีวีเปิดดูหนังที่ยืมมาแต่ยังดู เพราะดูทีไร หลับทุกที
“แม่เพิ่งหัดทอดไข่ได้อะจะ เดี๋ยวหยิบมาให้นะ ไม่ต้องรอพ่อเราหลอก ขานั้นกลับดึกนะวันนี้ เห็นบอกว่าจะมีประชุม”
“โอโห วันนี้คงเป็นบุญปากแหะ ได้กินไข่ทอดฝีมือแม่”
“เดี๋ยวโดน เป็นเด็กเป็นเล็กมาล้อเลียนผู้ใหญ่”
“สักพักนึง แม่ก็ยกจานไข่ทอดออกมาพร้อมกับข้าวสวยร้อน ๆ ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วค่อนข้างดูดีทีเดียว
“เป็นไง หน้ากินไหมจะ”
“อืม ของอย่างนี้ดูแต่ตาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลองกินด้วย” ผมพูดจบก็ใช้ช้อนตักไข่คำนึงขึ้นมาถือไว้เหนือปาก พร้อมกับสวดมนต์เพื่อขอพรให้อาหารมื้อนี้ผ่านไปด้วยดี อย่าท้องเสียเลยเถิด”
“อร่อยไหมจ๊ะ ลูก” แมถามผมเมื่อผมกลืนไข่ทอดลงไปหมดแล้ว
“ผ่าน” พอผมพูดจบ แม่ก็กระโดดขึ้นปรบมือดีใจเสมือนกับถูกเลขท้ายสามตัวตรง
“ผ่าน....ผ่านไปก่อน”พอพูดจบ ตัวแม่เหี่ยวลงบนเก้าอี้ทันใด เหมือนถูกเลขท้ายสามตัว แต่เจ้ามือไม่จ่าย
“แม่ นี่แม่ทำน้ำปลาหกใส่หรอ ทำไมมันเค็มยังงี้อะ”
“อ้าว แม่แค่ใส่ไปแค่หนึ่งช้องโต๊ะเอง”
“ช้อนไหนหรอ” สักพัก แม่ก็เดินเข้าไปในครัวพร้อมกับหยิบช้อนโต๊ะของแม่มา
“อ๊ากกกกกกก แม่ นี่มันทัพพี ไม่ใช่ช้อนโต๊ะ”
“เอ้า ก็แม่เห็นมันวางบนโต๊ะ แม่ก็นึกว่าเหมือนกัน”
“กำ!!!!”
สรุปว่าอาหารมื้อเย็นวันนี้ก็มีแค่นมกับขนมปังเช่นเคย หลังจากกินเสร็จก็ขึ้นห้อง อาบน้ำ และจัดตารางสอนสำหรับพรุ้งนี้ พอเปิดกระเป๋าเพื่อที่จะใส่สมุดลงไป ก็เหลือบไปเห็นเศษกระจกวิเศษกองอยู่ก้นกระเป๋า ความแค้นทั้งมวลที่สะสมมาก็ประทุขึ้นในทันใด
“แก้แค้น ใช่ ต้องแก้แค้น”