Chapter 15
พวกเด็กๆอยู่ที่คอนโดของกนธีล่วงเข้าวันที่สี่แล้ว หลังจากเคลียร์เรื่องวุ่นวายเรียบร้อย กนธีก็พาอินทัชออกจากห้องเช่า เก็บข้าวของที่มีน้อยนิดมากองไว้ในห้องโถงของเขาก่อน อีกไม่เกินสามวัน หลังจากเฟอร์นิเจอร์ของเอสบีเอาของมาส่งก็คงจะย้ายเข้าอพาร์ทเมนท์เก่าของศรัณย์ได้
กนธีสั่งรื้อข้าวของให้กลายเป็นห้องโล่ง ออกแบบและตกแต่งสไตล์มินิมอลโทนสีไม้อุ่นๆ สั่งทาสีผนังเป็นสีขาว ปูพื้นด้วยไม้ลามิเนต ซื้อเตียงเดี่ยวสองชั้นแบบรางเลื่อนมาวางไว้ชิดฝั่งหน้าต่าง ปลายเท้าเป็นโต๊ะหนังสือสำหรับเด็กๆ ถัดไปเป็นโซฟาเดี่ยวกับโต๊ะกลาง วางติดกับชุดโต๊ะกินข้าวขนาดเล็ก ฝั่งตรงข้ามโซฟาเป็นชุดวางทีวีกับชั้นหนังสือ
เดี๋ยวนี้พวกเฟอร์นิเจอร์จัดชุดขายกันเยอะแยะ พอรวมค่าตกแต่งห้องน้ำใหม่แล้วทั้งหมดก็ไม่ได้เป็นราคามากมายเลย หากวันไหนที่อินทัชไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาก็ยังเปิดให้นักศึกษารายอื่นๆเช่าต่อได้
อินทัชลาเรียนและลางานต่อเนื่องมาหลายวันเพราะเรื่องคดียาเสพติดที่ว่า หลังจากเคลียร์เรื่อง คืนนี้เด็กหนุ่มเลยจะกลับไปทำงานตามปกติ กนธีไม่ได้ไปนั่งคุยด้วยเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ถ้าวันไหนนึกอยากฟังเพลงก็จะแวะไปสักหน
ระหว่างนี้ วันที่อ้นกับอุ้มไปเรียน กนธีจะเป็นธุระคอยไปรับไปส่งให้ เรื่องบ้านที่พัทยาใต้ที่นัดลูกค้าไว้ เขาก็ขอเลื่อนออกไปอีกหน่อย นับว่ายังไม่ผิดแผนเสียทีเดียว
จิตใจของเด็กๆเข้ารูปเข้ารอยแล้ว เขาสอนว่ามันเป็นช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ไม่มีทางที่ท้องฟ้าจะสดใสเหมือนกันทุกวัน บางครั้งอาจจะมีพายุบ้าง มีลมแรงบ้าง วนเวียนกันไป แต่ท้ายที่สุด มันก็จะมีวันสงบเหมือนกัน
น้องอ้นยังคงอยากช่วยพี่โอ๊ตหาเงิน แต่อินทัชไม่เต็มใจที่จะให้น้องออกมาลำบาก แต่ถ้าเมื่อไรที่อ้นขึ้นชั้นมัธยม อินทัชจะยอมให้ไปทำงานพิเศษให้เป็นหลักแหล่ง ระหว่างนี้ กนธีช่วยหาทางออกง่ายๆให้เด็กชายก่อน
“เพาะผักขาย” เขานั่งยองๆลงพูดกับเด็ก ชูเมล็ดผักในซองขึ้นมาให้ดู “อ้นปลูกผัก พอโตแล้วก็เอาไปขายไงครับ”
อ้นฉีกยิ้ม จะว่าไปแล้ว ในห้องของพี่กุนต์ก็ปลูกผักหลายๆอย่างไว้ในพื้นที่จำกัด เพาะถั่วงอกกับผักบุ้งในตะกร้า เพาะเห็ดผ่านก้อนเชื้อในถุงพลาสติก เพาะต้นอ่อนทานตะวันของโปรดของพี่กุนต์ในกระบะ และยังมีการปลูกผักไฮโดรผ่านทางรางสีขาวตรงระเบียงด้วย ไม่นับรวมต้นพริก สมุนไพรไทยเล็กๆน้อยๆในกระถาง รวมทั้งหัวแครอทกับหัวไชเท้าที่พี่กุนต์ตัดและแช่น้ำเอาไว้ให้รากงอก
“อ้นอยากปลูกอะไรครับ”
“ต้นอ่อนทานตะวันครับ” อ้นยิ้มเขิน “อ้นจำได้ว่าพี่กุนต์ชอบกิน อ้นจะปลูกให้พี่กุนต์”
กนธีหัวเราะชอบใจ “ได้ๆ..พี่ตามใจอ้น แล้วพอมันโต อ้นก็เอามาขายให้พี่นะ พี่ไม่ไว้ใจคนอื่นปลูก เดี๋ยวฉีดยาฆ่าแมลง” เขาลูบหัวเด็ก “แล้วถ้ามันมีเยอะมาก พี่จะเอาไปฝากร้านสลัดของคนที่รู้จักกันขายให้ ดีไหม..”
อ้นพยักหน้ารับ เด็กน้อยรับเมล็ดทานตะวันจากพี่กุนต์ไปแกะซองและเริ่มต้นทำตามคลิปวีดีโอเรื่องการปลูกผักด้วยตนเอง ส่วนน้องอุ้มก็อยากช่วยพี่ๆหาเงินบ้าง พี่กุนต์เลยเสนองานเล็กๆให้ทำก็คือรดน้ำต้นไม้ที่ระเบียง ได้เงินค่าขนมต้นละยี่สิบบาท
“พี่กุนต์บอกแบบนั้น เดี๋ยวไอ้อุ้มมันก็หัวหมอ นับต้นอ่อนทานตะวันของพี่ทุกต้นหรอก” อินทัชส่ายหัว เขาเห็นไอ้แสบมันเพ่งกระบะเพาะตาเป็นประกาย กองนั้นนี่ได้เกือบร้อยต้นเลยนะ ถ้ามันไปนับถั่วงอกกับผักบุ้งอีก เป็นล่มจมกัน
กนธีหัวเราะ “เอาต้นใหญ่ๆนะครับ เดี๋ยวพี่ล้มละลาย”
วันนี้เป็นวันหยุด ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า อินทัชเลยชวนอีกฝ่ายไปหาซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมาทำมื้อเที่ยงเพราะต้องอาศัยคีย์การ์ดกับลายนิ้วมือกนธีในการผ่านเข้าออก เขาไม่ได้ทำอาหารเก่งนักหรอก แต่บางอย่างก็ทำได้อร่อยพอตัว สมัยอยู่น่าน เขาต้องเป็นคนหาอาหารให้น้องกิน จะซื้อเขาบ่อยๆก็สิ้นเปลือง เลยอาศัยทำเป็นหม้อใหญ่กินได้หลายวันแทน
“ผมทำน้ำพริกปลาทูเป็น พี่กุนต์กินเผ็ดได้ใช่ไหม” เขาเอาผักสดมาเยอะแยะ
“กินได้ ชอบมากด้วย” กนธียิ้ม วันนี้เขามีนัดกับหมอบีช่วงบ่ายเลยว่างตอนเช้าเหมือนกัน “ให้พี่ช่วยอะไรไหม”
อินทัชขอยืมผ้ากันเปื้อนอีกฝ่ายมาใช้ เขาไม่ปฏิเสธที่พี่กุนต์จะมาเป็นผู้ช่วย
“ลวกผักให้หน่อยได้ไหมครับ เหยาะเกลือลงไปด้วยจะได้สีสดๆ”
คนที่ชอบพังครัวอย่างกนธีพยักหน้ารับ ลงมือต้มน้ำและเอาเกลือป่นใส่ ระหว่างนั้นก็ยืนมองพ่อครัวจำเป็นเอาครกหินใบน้อยที่เขาซื้อจากอ่างศิลามาใช้ ครัวในคอนโดเป็นแพนทรี ไม่เหมาะกับการทำอาหารหนักๆหรือควันเยอะ อินทัชเลยเอาครกลงไปวางกับพื้น หาผ้ามารองไม่ให้หน้ากระเบื้องเป็นรอย
“เอาพริกกี่เม็ดดีพี่”
“สาม..หรือสี่ก็ได้” เขายื่นตะกร้าเครื่องตำให้ “พี่ชอบกินปลาทู..เมี่ยงปลาทูก็ชอบ”
“ผมทำอร่อยนะ” เด็กหนุ่มลงไปนั่งขัดสมาธิ
กนธีกลั้นยิ้ม มองอินทัชตำพริกด้วยท่าทางขะมักเขม้น จะว่าน่าเอ็นดูก็ใช่ แต่ถ้าถามหาความเท่..เรียกว่าติดลบ แต่อย่างไรก็ตาม..นับว่าเมนูนี้น่าดึงดูดกว่าเอ้กเบเนดิกต์ของไอ้ไผ่ เขากินมื้อเช้าแบบนั้นมานานจนจะอาเจียนเป็นไข่อยู่แล้ว
“หัวเราะอะไรพี่กุนต์” อินทัชเงยหน้ามอง
“เปล่า แค่คิดถึงน้องชายนิดหน่อย” เขาเอาที่คีบสแตนเลสหนีบกะหล่ำปลี กระเจี๊ยบ และผักบุ้งลงไปในน้ำร้อน
“คุณพสิษฐ์น่ะหรือ” เขารู้ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ว่าเป็นพี่เป็นน้องกันตอนที่ฝ่ายนั้นมาว่าจ้าง แต่ไม่รู้ลึกไปกว่านั้นว่ามีสายเลือดฝั่งไหนร่วมกันหรือเปล่า “ผมว่าหน้าตาเขาออกแนวลูกครึ่งฝรั่งนะ”
“เจ้าไผ่เป็นลูกของอาพี่ แม่ไทย พ่อออสเตรีย แต่ออกมาเป็นพสิษฐ์..ครึ่งผีครึ่งคน”
เจ้าของชื่อที่อยู่ห่างออกไปอีกหลายสิบกิโลจามสามครั้งติด
อินทัชหัวเราะ เพราะมัวแต่ฟังพี่กุนต์ เขาเลยลืมเอามือป้องพริก มันกระเด็นขึ้นมาโดนตา “แสบ..”
“อ้าว..รีบมาล้างเร็ว” กนธีหลีกทางให้ เขาช่วยเปิดน้ำที่ซิงค์ล้างจาน “อย่าขยี้นะ”
เด็กหนุ่มเอามือรองแล้ววักขึ้นมาล้าง ลืมตาในน้ำอีกครั้งก็รู้สึกว่าพอจะทุเลาได้บ้าง
“ขอดูหน่อย” เจ้าของห้องดันตัวอีกฝ่ายไปแถวแสงไฟ หยิบเอาแว่นสายตามาใส่ “ก้มลงมาที พี่เตี้ยกว่าโอ๊ต”
ร่างสูงโน้มหน้าลงใกล้อย่างเชื่อฟัง กนธีขยับเข้าไปหา ใช้ปลายนิ้วที่ล้างแล้วแตะแถวเปลือกตาอีกฝ่าย อินทัชยืนนิ่ง หลุบตามองคนเบื้องหน้า เขาเผลอกลั้นลมหายใจเมื่อสบเข้ากับแก้มที่เคย ‘หอม’ ไปฟอดใหญ่เมื่อครั้งก่อน
แป้งท็อปคันทรีน่ะ..หอมดี
แต่ว่าแป้งจริงๆมันก็แค่หอม..ไม่ได้ ‘นิ่ม’ เสียหน่อย
กนธีรู้สึกร้อนวูบแบบแปลกๆเมื่อเห็นนัยน์ตาสีเข้มจ้องเขาเงียบเชียบ ชายหนุ่มละมือออก เกาแถวหัวคิ้วอย่างเก้กัง ความรู้สึกทำอะไรไม่ถูกแบบนี้..มันเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อไรกันนะ
“มันแดงหรือเปล่าครับ” อินทัชถาม
“ก็..ปกติดี” เขาตอบ ถอดแว่นออกวางบนเคาน์เตอร์ เสมองไปทางอื่นเมื่ออีกคนยังยืนเฉย
“ผมไม่เคยเห็นพี่ใส่แว่น” คนตัวสูงกว่ามองเลนส์ที่สะท้อนกับแสง “สายตาสั้นเท่าไรครับ”
“พี่น่ะหรือ” กนธีหันนิ้วโป้งชี้ตัวเอง “สายตายาวต่างหาก..สายตาสั้นมันของคนอายุน้อย พี่แก่แล้ว ปลายปีนี้ก็สี่สิบเต็ม”
อินทัชหลุดยิ้ม เห็นรอยบุ๋มข้างแก้ม และกนธีก็มองเพลิน
เสียงน้ำเดือดปุดๆ คนรับหน้าที่ลวกผักดันทำผักเละไปเสียแล้ว
“โธ่..” พ่อครัวแสนห่วยบ่นงึม “โจ๊กผัก”
“ยังกินได้ครับ แค่เสียวิตามินไปนิดหน่อย” อินทัชหลุดขำ เขาคีบผักลวกที่เปื่อยจนคอพับคออ่อนขึ้นมาแช่น้ำเย็น จะได้ไม่สุกไปมากกว่านี้ “เอาไว้ครั้งหน้าผมจะทำคะน้าฮ่องกงราดน้ำมันหอยให้พี่นะ”
“พี่ชอบกินผักคะน้า..”
“ผมจำได้” เขาเรียงกะหล่ำปลีใส่จาน “ตอนเจอกันครั้งแรก พี่สั่งผัดคะน้า ไม่ใส่เนื้อสัตว์”
กนธีนิ่งไป คำพูดประโยคสั้นๆ แต่กลับทำให้เขาใจเต้นแรง
อินทัชไม่ได้พูดจาโอ้โลม ใช้คำหวาน หรือพูดเอาอกเอาใจอื่นใด และเขาก็ไม่ใช่คนที่ได้ยินคำพรรค์นั้นแล้วจะทำให้ไขว้เขวได้ เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรก..นับจากศรัณย์ ที่เขาฟังคำเหล่านี้แล้วทำให้รู้สึกอุ่นซ่านในใจขึ้นมา
มันคือคำพูดที่แสดงถึงความเอาใจใส่..โดยไม่ใช่การใส่ใจแบบจอมปลอมหรือขอไปที
ให้ตายเถอะวะ เขาคราง
..รู้สึกถูกใจเด็กคนนี้ขึ้นมาจริงๆแล้ว..
“พี่ต้องช่วยอะไรอีกไหม” กนธีถามแก้เก้อ
“ไม่เป็นไรครับ ไปนั่งเถอะ เดี๋ยวผมทำเสร็จแล้วจะยกออกไปให้”
เขาพยักหน้ารับ ออกไปนั่งรอในห้องรับแขก อ้นกับอุ้มเข้ามาดูทีวีเป็นเพื่อน กนธีชอบเปิดเรื่อง The Good Dinosaur ให้เด็กๆดู นอกจากจะสนุกแล้วยังได้ข้อคิดเล็กๆไว้สอนอีกด้วย
“พอถึงเวลาที่เหมาะสม ทุกคนก็จะมีรอยเท้าที่ยิ่งใหญ่เป็นของตัวเอง” เขาบอกน้องอ้นกับน้องอุ้ม ลูบหัวเล็กอย่างเอ็นดู “เพราะฉะนั้น ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆใช้ชีวิต เข้าใจไหมครับ”
มื้อเที่ยง พวกเขานั่งกินข้าวด้วยกัน นานมาแล้วที่กนธีไม่ได้สัมผัสกับความสุขแบบเรียบๆที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องซื้อหา รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะสดใส สีหน้าชอบอกชอบใจเวลาเล่าเรื่อง มุกตลกขำขันจากการ์ตูนที่ดู การผลัดกันตักอาหารให้แต่ละฝ่าย และกลิ่นหอมของอาหารทำสดใหม่ที่มาจากความเอาใจใส่ ทำให้เขาถึงกับยิ้มไม่หุบ
เขาเคยวาดฝันกับศรัณย์ ว่าถ้าใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสักพักแล้ว ถ้าอะไรๆอยู่ตัว เขาอยากจะขอรับลูกบุญธรรมมาสักคนสองคน หรือไม่ก็ฝากญาติอุ้มบุญให้ เขาอยากสัมผัสกับคำว่า ‘ครอบครัว’
..แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความฝันที่มาไม่ถึง..
ตอนนี้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างหากที่เป็นความจริง
..เพียงแต่ ‘ครอบครัว’ ตรงหน้านี้ ไม่ใช่ของเขา..
กนธีรู้สึกตันในลำคอจนต้องยกน้ำขึ้นดื่ม อาทิตย์หน้า เด็กๆก็ต้องย้ายออกไปแล้ว และเขาก็ต้องนั่งกินข้าวคนเดียวในห้องกว้างแต่ว่างเปล่าอีกครั้ง
..ความเหงาและอ้างว้างมันอยู่ที่ใจของเราจริงๆ..
“พี่อิ่มแล้วนะ” ชายหนุ่มวางช้อนส้อม น้ำพริกปลาทูฝีมืออินทัชอร่อยมาก ถึงผักที่เขาลวกจะเละเทะไปหน่อย แต่ก็ยังอร่อยอยู่ดี พอมีไข่เจียวโหระพาและแกงจืดเต้าหู้ไข่ร้อนๆแล้ว เขาเผลอกินไปถึงสองจานเลย
“พี่กุนต์มีนัดใช่ไหมครับ”
กนธีพยักหน้า เอาจานไปวางที่ซิ้งค์และเข้าห้องน้ำไปแปรงฟัน เขาแปรงทุกครั้งหลังอาหาร ถ้าอยากให้ฟันแท้อยู่ด้วยกันไปนานๆล่ะก็ มันต้องดูแลรักษากันหน่อย เขาอายุจะสี่สิบแล้ว ยังไม่เคยทำฟันปลอมสักซี่ มีอุดด้วยเรซินสีเหมือนฟันบ้าง แต่ยังไม่เคยเจอร้ายแรงขนาดต้องรักษารากหรือครอบฟัน
“พี่นัดจิตแพทย์เอาไว้” เขาบอกตามความเป็นจริง “เจอกันทุกอาทิตย์น่ะ”
อ้นฟังอย่างสงสัย “ทำไมพี่กุนต์ต้องไปหาจิตแพทย์ครับ จิตพี่กุนต์ไม่สบายหรือ”
“อ้น..เสียมารยาทนะเรา” อินทัชปราม
“ไม่เป็นไรหรอก” กนธีขบขัน คำถามซื่อๆแบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน “พี่กุนต์มีเรื่องในใจเยอะครับ เลยไปคุยกับคุณหมอ”
“อ้นเคยได้ยินเขาบอกว่าคนไปหาหมอจิต คือคนบ้า แต่พี่กุนต์ไม่ได้บ้านี่นา”
“เจ้าอ้น” พี่ชายคนโตดึงหูน้องจนยืด “พูดแบบนี้ได้ยังไง”
กนธีหัวเราะ โบกมือปัดๆ เขาหยิบเสื้อนอกมาคล้องแขนแล้วลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้า น้องอุ้มนั่งละเลียดเยลลี่ เลยไม่ได้สนใจเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกันนัก
“จิตแพทย์ไม่ได้รักษาแต่คนบ้านะครับ จิตแพทย์มีงานเยอะแยะ เพราะว่าคนทุกคนมีส่วนของร่างกาย แล้วก็จิตใจ ถ้าร่างกายป่วย เราก็ต้องหาหมอ แล้วถ้าจิตใจป่วย เราจะทิ้งมันได้ยังไง ถูกไหม”
อ้นพยักหน้าหงึกหงัก
“คุณหมอบีที่พี่กุนต์ไปหารักษามาเยอะแล้วครับ คนแก่นอนไม่หลับ คนหนุ่มสาวที่ซึมเศร้า วิตกกังวล บางคนก็มีอาการทางสมอง เห็นภาพหลอนต้องกินยา หรือคนอย่างพี่กุนต์ที่ไม่ได้เป็นโรคอะไร แต่มีเรื่องไม่สบายใจก็ไปหาได้เหมือนกัน เขาเรียกว่าเป็นการบำบัดทางจิตใจครับ มีทั้งแบบบำบัดเดี่ยว แล้วก็บำบัดกลุ่ม บางครั้งคนที่คุยด้วยก็เป็นจิตแพทย์ บางครั้งก็เป็นนักจิตวิทยา”
อ้นร้อง ‘อ๋อ’ เข้าใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด
“อย่างตอนที่อ้นไม่สบายใจ ร้องไห้ อ้นก็คุยกับนักจิตวิทยาได้นะ”
“หูย..เท่จัง”
กนธีขยี้หัวเด็ก “นั่นแหละครับ พี่กุนต์จะบอกว่าร่างกายคนเรามีวันอ่อนแอได้ จิตใจเราก็อ่อนแอได้เหมือนกัน ไม่เว้นว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นเรื่องธรรมดาของการใช้ชีวิตนะ ไม่มีใครไม่เจอปัญหาหรอกครับ”
อ้นตะเบ๊ะรับ พี่กุนต์อธิบายง่ายดี เอาไว้เวลามีหัวข้ออาชีพในอนาคต อ้นอาจจะเขียนลงไปในเรียงความว่าอยากเป็นจิตแพทย์ก็ได้
กนธียิ้มน้อยๆ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ประตู ฝากให้อินทัชช่วยดูแลห้อง เขากลับมาก่อนเวลาเข้างานของอีกฝ่ายอยู่แล้ว “พี่กลับมาแล้วจะขับไปส่ง ระหว่างนี้ก็นั่งเล่นกับน้องไปก่อนนะ ฝากด้วยครับ”
อินทัชกำลังจะปิดประตูตามหลังแต่แล้วก็นึกขึ้นได้ เรียกคนที่ก้าวออกไป “ตอนเย็นอยากกินอะไรครับ” ยังมีวัตถุดิบทำกับข้าวเหลืออยู่อีกเพียบ ระหว่างรอพี่กุนต์ เขาจะได้ทำให้
กนธีนิ่งคิด “ยำเห็ดเข็มทอง”
“โอเค”
“ต้มยำเห็ดนางฟ้า ผัดเห็ดฟางใส่แครอทกับหน่อไม้ฝรั่ง แล้วก็เห็ดหอมสดผัดน้ำมันหอย”
อินทัชขำ “อยากกินตระกูลเห็ดสินะ..ได้เลยครับ”
กนธีฝากเงินเอาไว้จำนวนสองพัน “อยากได้อะไรเพิ่มก็โทรบอกแม่บ้านให้เขาไปซื้อมาให้ก็ได้ เบอร์แปะอยู่ตรงตู้เย็น” บางทีเขาขี้เกียจจะออก ก็จ้างคนทำความสะอาดช่วยเป็นธุระให้
ร่างสูงพยักหน้ารับ มองตามแผ่นหลังอีกฝ่าย
“ขับรถดีๆนะพี่ แล้วก็..” เขายิ้มให้ “รีบกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันนะ”
ฟังแบบนี้แล้ว..ใจใครอีกคนก็ไหววูบขึ้นอีกจนได้
......
“ครั้งก่อนที่เจอกัน คุณพูดให้ผมฟังว่าคุณรู้สึกแย่กับตัวเอง เพราะคุณมองว่าตลอดเวลาที่คบหากับคนรัก คุณไม่เคยทำให้เขามีความสุข” นฤเบศร์เปิดเซซชั่นด้วยการทักทาย พูดคุยเรื่องทั่วไปสักพัก แล้วตามด้วยการทบทวนเนื้อหาก่อนหน้า
กนธีนั่งนิ่ง “ใช่ครับ ผมรู้สึกไม่ค่อยดี แล้วก็โทษตัวเองที่จัดการความสัมพันธ์ไม่ได้”
“คำว่าจัดการความสัมพันธ์ไม่ได้ของคุณคืออะไร”
“คือผมควบคุมมันไม่ได้ ทำให้มันไปตลอดรอดฝั่งไม่ได้ สามวันดี สี่วันไข้ ทะเลาะกันเรื่อย” เขาถอนหายใจ “ผมก็แค่คิดว่า..มันน่าจะมีความสุขสิ เราน่าจะหัวเราะ คุยกันได้ทุกเรื่อง เปิดใจกัน มีแต่รอยยิ้ม อะไรทำนองนี้”
นฤเบศร์พยักหน้า “แล้วในความเป็นจริง คุณมองว่าความสัมพันธ์ของคนทั่วไปเป็นยังไงครับ มันควบคุมให้มีแต่ความสุขอย่างที่คุณคิดได้ไหม”
กนธีหัวเราะเฝื่อน “เป็นไปไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องมีวันทะเลาะกันอยู่แล้ว”
“เวลาที่คู่รักทะเลาะกัน คุณมีความคิดเห็นว่ายังไง”
“มันก็มีทั้งข้อเสียกับข้อดีนะครับ” เขาคิด “ข้อเสีย มันก็รู้สึกแย่ทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว ส่วนข้อดี ก็คือหลังจากเลิกทะเลาะแล้วใจเย็นลง เราก็ได้เห็นมุมมองของอีกฝ่ายมากขึ้น อย่างศรัณย์..เขาเป็นคนไม่ค่อยพูดว่าเขาอึดอัดอะไร ผมเลยจัดการให้หมดทุกอย่าง พอเขาระเบิดลง ผมถึงจะรู้ว่า อ้อ..ที่ผ่านมาคิดแบบนี้เองสินะ”
“แปลว่า การทะเลาะกันของคู่รักก็ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่เสียทีเดียว ใช่ไหมครับ”
“ใช่..ไม่ได้มีแต่ข้อเสียครับ ถ้าเราผ่านไปได้ก็จะสามารถเข้าใจในตัวอีกฝ่ายมากขึ้น มองเห็นความแตกต่างของกันและกัน เปิดใจรับความคิดที่ต่างกันมากขึ้น..แค่ว่าต้องคุมอารมณ์ให้ดี ไม่ระเบิดใส่กัน ไม่ด่าหยาบๆ ขุดต้นตระกูลมาสรรเสริญ”
นฤเบศร์ยิ้ม “เอาไว้เราจะคุยเรื่องการจัดการกับอารมณ์ตอนหลัง จะรับรู้ยังไง จะแสดงออกยังไง จะลดระดับ ผ่อนคลาย ระบายมันยังไงโดยไม่ให้กลายเป็นการเก็บกดและสะสมเหมือนแม็กม่าใต้ภูเขาไฟที่รอวันปะทุ”
กนธีส่งเสียงตอบรับในลำคอ
“กลับมาเรื่องที่เราคุยกันเมื่อครู่ คุณคิดว่าพอจะสรุปความคิดของคุณตอนนี้ได้อย่างไรบ้าง”
“ผมคิดว่า..เราควบคุมความสัมพันธ์ให้เป็นอย่างที่เราต้องการตลอดไม่ได้ และถึงจะควบคุมไม่ได้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ตามธรรมชาติมันก็มีทั้งสุขและทุกข์ปนกัน ผลัดกันไป ผลัดกันมา ไม่มีอะไรถาวร จะทะเลาะกันบ้างก็เป็นเรื่องปกติ เพราะการใช้ชีวิตร่วมกันมันก็เหมือนลิ้นกับฟันนั่นแหละ”
“คุณเป็นผู้รับบริการที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดของตัวเองได้ไวมาก” นฤเบศร์ชม “กลับไปที่หัวข้อคราวที่แล้ว ตอนที่คุณบอกผมว่า คุณ ‘ไม่เคย’ ทำให้คุณศรัณย์มีความสุข ผมถามคุณว่า มีเหตุการณ์อะไรที่ช่วยสนับสนุนความคิดนั้นของคุณ คุณยังตอบผมทันทีไม่ได้ ผมเลยให้ไปคิดเป็นการบ้านมา แล้ววันนี้..”
กนธีก้มหน้าลง มองมือที่ประสานกันอยู่บนโต๊ะ “ก่อนหน้านี้ผมคิดว่า การทะเลาะกันคือเหตุการณ์ที่มาสนับสนุน แต่เอาเข้าจริง..มันก็ไม่ใช่ เพราะอย่างที่คุยกัน การทะเลาะเป็นเรื่องธรรมดา มันเลยไม่เกี่ยว”
“มีอย่างอื่นไหมครับ เหตุการณ์อะไรบ้างที่เป็นรูปธรรม”
ชายหนุ่มหลับตานิ่ง คิดใคร่ครวญหาช่วงเวลาที่เขามองว่า ศรัณย์ไม่มีความสุขเมื่อได้อยู่กับเขา
จะว่าไป ถึงจะทะเลาะกันเรื่อย แต่พวกเขาก็ผลัดกันง้องอน และกลับมาพบกันคนละครึ่งทางเสมอ ศรัณย์ไม่เคยมีคนอื่น ไม่เคยนอกใจ นอกกาย ไม่เคยคิดตีตัวออกห่าง แค่เว้นระยะในช่วงที่มีปัญหากัน แล้วก็กลับมาใหม่ ศรัณย์ไม่เคยพูดออกมาว่าเบื่อ ว่ารำคาญ ไม่เคยบอกว่าไม่มีความสุข กระทั่งบ้านหลังนั้นที่หมอนั่นซื้อไว้ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความคิดที่จะขอเลิกรากัน แต่เป็นความคิดที่อยากจะขอร่วมชีวิตกับเขา และขอเป็นผู้นำครอบครัวของเราต่างหาก
“คำตอบก็คือ..ผมคิดไปเอง ตัดสินไปเองทั้งนั้น..” ไม่มีอะไรจะมายืนยันได้สักอย่าง มันเป็นแค่ความฟุ้งซ่าน ปะติดปะต่อเรื่องราวโดยไร้หลักฐานแล้วดึงเข้ามาหาตัวเอง โทษแต่ตัวเองมานานจนจมอยู่กับบ่อโคลนที่ขุดขึ้นกับมือ
..เขาก้าวลงไป ดำดิ่งอยู่ในความรู้สึกผิดที่สร้างขึ้น โดยไม่มีใครผลักเขาลงไปสักคน..
“วงจรความทุกข์ของคุณ ก็คือความคิด” นฤเบศร์ยิ้มจาง “เมื่อคุณคิด มันจะส่งผลต่ออารมณ์และการกระทำของคุณ ดังนั้นถ้าเราเปลี่ยนแปลงความคิดตรงนั้นได้ อารมณ์และการกระทำของคุณก็จะเปลี่ยนเช่นกัน”
“แปลว่าผมต้องคิดใหม่ใช่ไหมคุณหมอ” กนธีถาม
“ใช่ครับ..และผมก็จะเป็นผู้ช่วยที่เดินไปพร้อมๆกับคุณ จะไม่ตัดสิน จะไม่สั่ง ไม่วิจารณ์ ไม่บอกให้คุณทำตาม แต่จะกระตุ้นให้คุณได้คิด และหาทางออกได้เอง”
คนฟังยิ้ม “ผมเข้าใจแล้ว”
......
นฤเบศร์จบเซซชั่นการบำบัดครั้งนี้หลังเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เขาสรุปเนื้อหาที่คุยกัน และนัดเจอกันอีกครั้งอาทิตย์หน้า ความจริงก็คือ คุณกนธีเป็นผู้รับการบำบัดที่เข้าใจอะไรได้รวดเร็ว เปลี่ยนแปลงแนวคิดของตัวเองไปสู่รูปแบบที่ดีได้ไวกว่าคนอื่น
“ขอบคุณคุณหมอมาก” กนธีคล้องเสื้อนอกไว้ที่แขน เขาเดินออกมาจากห้องตรวจโดยมีอีกฝ่ายตามมาส่งที่ประตู “อันที่จริง ถ้าไม่ติดสถานะของหมอกับคนไข้ ผมก็อยากจะขอเลี้ยงกาแฟสักหน่อย”
นฤเบศร์หัวเราะ เขามีขอบเขตระหว่างสองฝั่งที่ต้องรักษา ถ้าเขาสนิทกับคุณกนธีมากกว่านี้สักหน่อย เขาก็คงไม่รับเคสเหมือนกัน มีข้อควรระวังระหว่างผู้บำบัดกับผู้รับบริการที่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด หรือลึกซึ้งต่อกันมาก่อน แต่ว่าเขากับอีกฝ่ายแค่เจอกันครั้งเดียวในรูปแบบเพื่อน เลยยังพอจะอะลุ้มอล่วยได้อยู่
“แล้วเจอกันครั้งหน้านะครับ”
กนธียิ้มรับ รู้สึกว่าคุณหมอเป็นคนน่ารักดี ตอนนั้นเขาเองก็เสียมารยาทที่ทำเพิกเฉย ไม่น่าเชื่อว่าเคยไปดูหนังด้วยกันครั้งหนึ่ง กลับมาเจอกันอีกครั้งจะกลายเป็นคนไข้ของอีกฝ่ายไปเสียได้
เขาเดินออกมาจากแผนกจิตเวชในโรงพยาบาลเอกชน บางคนก็มองแปลกๆ แต่เขาไม่สนใจหรอก ตอนอยู่ต่างประเทศ คนที่มีฐานะมักจะมีจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาประจำครอบครัวกันทั้งนั้น เป็นเรื่องปกติ สามัญธรรมดา ไม่มีใครมาตีตราว่ามาจิตเวชแล้วต้องเป็นบ้าไปเสียทุกคน แต่ถึงประสาทหลอนขึ้นมาจริงๆแล้วจะแปลกอย่างไร มันเป็นเรื่องของสารเคมีในสมองที่แปรปรวน ก็ต้องกินยาเหมือนป่วยทางกายนั่นแหละ
กนธีมองนาฬิกาข้อมือ เพิ่งจะบ่ายสองกว่า เขาคิดว่าจะแวะห้าง ซื้อนมกล่องกับของขบเคี้ยวที่ไม่มีโซเดียมมาตุนไว้ในคอนโด ตอนที่นั่งดูการ์ตูนกับเด็กๆจะได้มีอะไรกิน
มีสายแปลกๆโทรเข้ามาตอนเข้าลงมาที่ลานจอดรถ เขารับสาย คิดว่าคงจะเป็นลูกค้ารายใหม่
‘สวัสดีครับ..ไม่ทราบว่าใช่คุณกนธี สิงหนาทหรือเปล่า’
“ใช่ครับ” เขาสตาร์ทรถ เปลี่ยนมาใส่บลูทูธ “จากไหนครับ”
‘ผมเอง..’ ปลายสายพูดเสียงนุ่ม ‘ไผทครับ..เราเคยเจอกันตอนที่น้องของคุณขับรถชนวัวผม’
กนธีร้อง ‘อ๋อ’ ในใจ..
ไอ้ตึ๋งหนืดของเจ้าไผ่ เขาเกือบหลุดหัวเราะ แต่ยังตั้งสติทัน
“คุณไผท..” เขากลั้นขำ “เป็นยังไงบ้างครับ ขอโทษจริงๆ ผมไม่ได้โทรไปเลย”
‘ผมหรือ..สบายดีครับ เรื่อยๆตามสภาพ’
..เปล่า..เขาถามถึงสุขภาพของแม่วัวต่างหาก..
กนธีถอยรถออกจากที่จอด นึกภาพโคบาลหนุ่มวิ่งไล่วัวไปทั่วไร่
“อ๋อ..ครับ ดีใจที่คุณสบายดี เอ่อ..หวังว่าน้องชายผมจะจัดการเรื่องนั้นเรียบร้อยแล้วนะ”
เต้าของวัวคุณ..คงหายตันแล้วใช่ไหม เขาอยากถามแบบนี้ แต่ต้องอุบเอาไว้
‘เรียบร้อยแล้วครับ ต้องขอบคุณมากที่ช่วยเป็นธุระให้’
“โทรมาหาผม มีอะไรอยากให้รับใช้หรือเปล่าครับ บอกมาได้เลยนะ”
หรือว่าจะขายไร่ที่อยู่ติดกัน? เขาโอเคอยู่แล้ว ไหนๆเขาก็ยกที่ดินของตัวเองให้เจ้าไผ่ไปแล้ว ได้ที่ดินคุณไผทมาจะได้ขยายอาณาเขต แล้วก็เอามาขายต่อ ฟันกำไรจากน้องชายตัวเอ้เสียเลย
‘โธ่..พูดอะไรอย่างนั้นครับ ผมไม่กล้าใช้คุณหรอก’ ปลายสายว่า ‘พอดีนึกขึ้นได้ว่าคุณรู้จักที่ทางเยอะ ผมเพิ่งซื้อกิจการร้านอาหารในกรุงเทพมาจากคนรู้จัก ทีนี้เกิดอยากได้คอนโดสักห้องเวลาลงจากปากช่องมาดูร้าน เลยมาขอคำแนะนำครับ’
“เรื่องแค่นี้เอง ผมยินดีเสมอ คุณอยากได้ที่ไหนล่ะ”
‘ผมอยากได้คอนโดริมน้ำ ร้านอาหารที่ได้มาเป็นที่ริมน้ำอยู่แถวเจริญกรุง..ผมเลยอยากได้ห้องใกล้ๆกัน จะได้ประหยัดค่าเดินทางน่ะ’ ทางนั้นว่า ‘สเปคที่อยากได้เป็นห้องมือหนึ่ง ขนาดสองห้องนอน สองห้องน้ำ มีห้องกลางกับส่วนรับแขก มีพื้นที่ครัว ขอห้องริมตัวอาคาร เห็นวิวแม่น้ำแล้วก็มีระเบียงกว้างๆด้วยครับ’
กนธีพยักหน้าอยู่คนเดียว “ให้ราคาสูงสุดเท่าไรครับ”
‘สองแสน’
คนฟังแทบจะเหยียบเบรค “ส..สองแสน?” เอาห้องเก็บของไปก่อนไหมพี่
‘ฮ่าๆๆ ผมเล่นมุกน่ะครับ โธ่..ผมรู้ราคาคอนโดริมน้ำอยู่หรอกน่า’
“ฮ่ะๆๆ” กนธีหัวเราะเฝื่อนๆ ผสมโรงไปด้วยอีกคน “ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ ระดับคุณไผทนี่ สิบล้านกำลังสวย..หรือน้อยไปครับ สักสิบห้าล้านดีไหม”
‘ห๊ะ?’ จากนั้น..ปลายสายก็เงียบไปครึ่งนาที
“ผมเล่นมุกน่ะครับ” ชายหนุ่มหัวเราะคึ่กๆ “เอาเป็นว่า บอกราคาที่รับได้มาเลยครับ ผมจะหาให้”
‘ไม่เกินสองล้านครับ ผมเชื่อว่าของถูกและดียังมีในโลก’
กนธีอยากเอาหัวโขกพวงมาลัยเหลือเกิน คอนโดริมน้ำแถวเจริญกรุงแบบสองห้องนอนในราคาไม่เกินสองล้าน? ช่วงหลายปีที่ผ่าน ราคาขายคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยาในแถบที่นิยมถูกปรับขึ้นไปกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้เปิดตัวตารางเมตรละแสนกว่าทั้งนั้น แล้วเขาจะไปหาจากไหนมาให้ล่ะนี่
“เอาเป็นว่า..ผมจะพยายามนะครับ คุณใช้เบอร์นี้ใช่ไหม แล้วถ้าคืบหน้ายังไง ผมจะโทรหานะ”
‘ขอบคุณมากครับ’ แล้วอีกฝ่ายก็วางสายไป
เขาโยนมือถือไปไว้บนเบาะด้านข้าง ตบหัวตัวเองเรียกสติปุๆ
..นี่ไม่ใช่ทะเลเรียกพี่แล้ว..
..แต่เป็นเดดซีเรียกพ่อต่างหาก!..
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]