บทพิเศษ 1 : In the first place (1)
"สวัสดี"
"สวัสดีครับ...นั่นคุณอัคนีรึเปล่า? "
น้ำเสียงทุ้มต่ำสั่นเครือน้อยๆ ลอดผ่านสัญญาณโทรศัพท์มา แม้ฟังดูแล้ว...เจ้าของน้ำเสียงเช่นนี้ คงเป็นชายร่างกายใหญ่โตและอุดมไปด้วยมัดกล้าม แต่ปลายสายที่ได้ฟัง ก็ยังอดอมยิ้มไม่ได้อยู่ดี
ทำไมมันช่างฟังดู…น่ารักอะไรอย่างนี้"อยากคุยกับอัคนีคนไหนล่ะภาส"
"ฮะฮะ คนไหนก็ได้ ขอแค่เป็นคนที่รักภาสก็พอ"
"อุก...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...! "อัคนีคนที่รักภาสกรยกมือขึ้นปิดปากแล้วระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าชายร่างยักษ์พร้อมด้วยใบหน้าที่มักเต็มไปด้วยโทสะอย่างภาสกร จะสามารถพูดอะไรที่มันฟังดูพิลึกได้ถึงเพียงนี้
"เพลิงอย่าหัวเราะสิ"
"ฮ่าฮ่าฮ่า...ขอโทษๆ เพลิงแค่รู้สึกว่ามันน่ารักดี"
"อือ"คนโทรเข้าค้อนเสียงมาเบาๆ แต่อัคนีก็ยังคงได้ยิน เขาพยายามฝืนยิ้มสุดชีวิต แล้วกดข่มเสียงให้ปกติที่สุด เพื่อไม่ให้คนรักที่ปลายสายต้องรู้สึกเขินอายไปมากกว่านี้
"ภาสมีอะไรรึเปล่า โทรมาแต่เช้า"
"ภาสออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ...เผื่อเพลิงอยากรู้"
"ได้รับของเยี่ยมจากเพลิงแล้วใช่ไหม"
"ได้แล้ว เก็บไว้ในห้องของเราเนี่ย"
ไม่ว่าจะพยายามฝืนอย่างไร อัคนีก็ไม่สามารถหุบยิ้มลงได้เลย เขารู้ทุกความเคลื่อนไหวของภาสกรดี ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นคราวก่อน ไม่ว่าภาสกรจะไปที่ไหน ทำอะไร คุยกับใคร อัคนีก็ล่วงรู้หมด แม้เจ้าตัวจะบอกตัวเองว่านั่นคือการเฝ้าระวังอันตรายให้ภาสกร แต่ลึกๆ แล้วใครจะรู้ อัคนีไม่ไว้ใจนางพยาบาลสุดเซ็กซี่ของที่นั่นซะมากกว่า
"เมื่อไหร่เพลิงจะมาอยู่ด้วยกันสักที"
"ภาส...เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะ"
"ภาสคิดถึงเพลิงจะตายอยู่แล้ว"
"รอภาสหายดีจริงๆ ก่อน แล้วเราค่อยเจอกัน"
เป็นเช่นทุกวัน กับประโยควนซ้ำของภาสกรตั้งแต่ที่ทั้งคู่ต้องแยกจากกันในวันนั้น...
'เมื่อไหร่เพลิงจะมาอยู่ด้วยกัน'...'คิดถึงเพลิง'...'มาเยี่ยมหน่อย'...และอื่นๆ อีกมากมาย
ที่ทำให้นายใหญ่แห่งเพลิงรัตติกาลมีหัวใจพองฟูอย่างไม่อาจห้ามปรามไหว คล้ายกับว่าโลกทั้งใบมีกลีบดอกไม้สีชมพูโรยโดยรอบในทุกที่ที่อัคนีเดินผ่านหลายวันหลังจากภาสกรออกจากโรงพยาบาล เขาก็โทรหาอัคนีทุกวัน บางวันก็หลายครั้ง จนคนงานยุ่งเริ่มหัวเสียขึ้นมาเล็กน้อย ระยะหลังๆ อัคนีจึงเริ่มไม่รับสายจากภาสกรสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากคุยกันแล้ว เขาก็แทบไม่มีสมาธิในการทำงานต่อเลย
"เพลิงยุ่งนะภาส เข้าใจเพลิงบ้างสิ...ก็เหมือนกับพี่ชายภาสนั่นแหละ ภาสว่าทวิชวันนึงยุ่งมากแค่ไหน เพลิงก็ยุ่งแบบนั้นแหละ"ประโยคสุดท้ายของเมื่อสองวันก่อน ภาสกรไม่โทรกลับมาหลังจากนั้น และอัคนีก็ไม่เคยเป็นฝ่ายโทรหาเขาก่อนเลยสักครั้งเช่นกัน ชายผู้มีกลีบดอกไม้โปรยไปตามทางในทุกๆ ที่ที่เดิน เริ่มมีอาการหงุดหงิดอย่างไม่รู้ตัว
"ฉันไม่เข้าใจ ทำไมสนามกอล์ฟของเราถึงรายได้ลดลงขนาดนี้!?! "อัคนีนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องประชุม ทุกคนสังเกตได้ว่า ตั้งแต่เริ่มประชุมมาได้ชั่วโมงกว่า ชายที่นั่งหัวโต๊ะไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังคงความเป็นมืออาชีพในการทำงานได้อยู่
"ฉันต้องการคำตอบไออุ่น...! "ลูกชายคนเล็กของศิขรินที่เกิดกับภรรยาคนแรก อายุ 32 ปี เติบโตขึ้นพร้อมร่างกายกำยำล่ำสัน ดั่งที่เจ้าตัวพยายามออกกำลังกายอย่างหนัก ชายหนุ่มนั่งข้างอัคนีและมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นเดียวกันกับเจ้าสำนัก โดยมีสายตาของเพลิงพระพายที่อยู่อีกฝั่งส่อแววช่วยเหลือ
ไออุ่นอธิบายถึงฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน และช่วงนี้มีพายุเข้าบ่อยครั้ง จำนวนสมาชิกของสนามกอล์ฟใจกลางเมือง ธุรกิจสาขาหนึ่งของเพลิงรัตติกาลจึงมียอดลดลง
"คุณเพลิง...ผมว่า"
"ไม่ต้องพูดพระพาย...! ถ้าเก่งจริง ก็หาทางอื่นเพิ่มยอดกำไรมาให้ได้"อัคนียังคงหันไปใส่อารมณ์กับไออุ่นเช่นเดิม และไออุ่นก็ลงมือจดอะไรบางอย่างลงในสมุดตรงหน้าอย่างเคร่งเครียดไปพร้อมๆ กัน
อัคนีส่งคนเข้าสอดแนมในปราสาทปักษาทมิฬหนักขึ้นเรื่อยๆ และสายก็ได้รายงานมาว่าช่วงนี้ภาสกรหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานของทวิช จะออกมาอีกทีก็ดึกดื่นแล้ว นั่นทำให้นายใหญ่ของเพลิงรัตติกาลยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
เขาตัดสินใจเป็นฝ่ายโทรหาภาสกร และได้คำตอบมาว่า
"...ก็เพลิงอยากให้ภาสรู้ว่าเพลิงยุ่งยังไง ภาสเลยมาช่วยงานแทนเยอะขึ้น แล้วก็มาดูการทำงานของแทนด้วย ภาสจะได้เข้าใจเพลิงมากขึ้น"
"..."
คำตอบง่ายๆ จากภาสกร ทำให้อัคนีแทบอยากร้องไห้ออกมา ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ มีเพียงเขาที่หงุดหงิดเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว ในขณะที่ภาสกรกำลังพยายามทำความเข้าใจในตัวคนรักให้มากขึ้น
"แล้วได้อะไรบ้าง? "
"ภาสไม่เข้าใจ...ว่าแทนดูแลทั้งหมดนี่ได้ไง ทั้งธุรกิจ ทั้งหุ้นส่วน ไหนจะต้องลงพื้นที่ไปคุยงานเองแทบทุกวัน พอกลับมาก็ต้องมานั่งเคลียร์เอกสารบนโต๊ะหลายกอง ไหนจะเรื่องปัญหายิบย่อย เรื่องข...."
"ภาสกร"
"หืม? ครับ"
"พรุ่งนี้เที่ยง ต้องเข้าไปเรียนรู้งานกับทวิชไหม? "
"ไป...แต่ก็ออกไปหาเพลิงได้"
"พรุ่งนี้เที่ยง ที่ เดอะ การ์เด้น ชั้น 3 มุมสีเขียว เพลิงจะฝากของไปกับพระพาย ภาสจำพระพายได้ใช่ไหม"
"อืม เพลิงไม่มาเองเหรอ"
"พรุ่งนี้เพลิงติดประชุมนัดสำคัญ อย่าสายนะ อย่าให้พระพายรอ"
"เข้าใจแล้ว...คิดถึงเพลิงนะ"
"...คิดถึงภาสเหมือนกัน"
บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น ชายผู้เต็มไปด้วยโทสะและความร้อนรนในอารมณ์คล้ายจะมีความหวังขึ้นมากับการนัดหมายของอัคนี แต่ใบหน้าฉายแววคึกคักนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งลง เมื่อคนที่จะได้พบคือเพลิงพระพาย
ภาสกรตื่นตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง แต่ถึงอย่างนั้น ทวิชที่นอนดึกกว่าเขา ก็ยังคงมาถึงห้องทำงานก่อนเขาจนได้ ภาสกรไม่ได้เพียงเข้าใจถึงความลำบากในหน้าที่ของอัคนี แต่กลับเข้าใจพี่ชายของเขามากขึ้นไปด้วย และนั่นยังรวมไปถึง ความอยากช่วยแบ่งเบาภาระของทวิชด้วยเช่นกัน
เมื่อช่วยทวิชเคลียร์งานให้ได้มากที่สุดเรียบร้อย ภาสกรก็รีบออกไปยังร้านอาหารชื่อดังในตัวเมืองและไปนั่งรอก่อนเวลานัดหมายโดยลำพัง
12:00 น.ณ เดอะ การ์เด้น ชั้น 3 มุมสีเขียวชายคนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่ง ผิวกายสองสีคล้ายคลึงกับพี่ชายของเขา ก็เดินเข้ามานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามของภาสกร มือน้อยๆ หยิบห่อผ้าสีทองวางไว้บนโต๊ะ แล้วค่อยๆ เคลื่อนมันไปไว้ตรงหน้าภาสกร
"คุณเพลิงฝากมาให้ครับ"
"อะไร...? "
ภาสกรเปิดห่อผ้า ก็พบกับป้ายทองคำแท้ สลักสัญลักษณ์เพลิงรัตติกาล และมีลายเซ็นของเจ้าสำนักประดับอยู่ด้านข้าง
"ตราผ่านทาง คุณเพลิงบอกว่าคุณต้องใช้มัน...สองทุ่มของวันนี้ เขาจะไปรอคุณ ในที่ที่พวกคุณพบกันเป็นครั้งแรก...รบกวนรักษาสิ่งนี้ไว้ให้ดีนะครับ เพราะมันมีเพียง 2 ชิ้นบนโลก"พูดจบ เพลิงพระพายก็ขอตัวออกมาทันที ปล่อยให้ชายงานยุ่งคนใหม่ของวงการ นั่งลูบไล้ป้ายทองคำนั้นด้วยแววตาเลื่อนลอย เมื่อนึกขึ้นได้กับสิ่งที่พระพายพูด ดวงใจก็เต้นแรงขึ้นมากะทันหัน อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาจะได้พบกับคนรักที่ไม่ได้พบหน้ากันมาเกือบเดือน...คิดถึงใจจะขาดอยู่แล้ว
ด้วยความลิงโลดในใจ ที่เจ้าตัวพยายามกดข่มไว้ ปรากฏออกมาเป็นการรับประทานอาหารที่ เดอะ การ์เด้น มากมายด้วยความเอร็ดอร่อยอย่างกับไม่เคยทานมาก่อน
เมื่อจัดการอาหารเลิศรสแปดอย่างบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ภาสกรก็กลับไปช่วยงานทวิชต่อ เขาเร่งเคลียร์งานออกไปให้ได้มากที่สุด จากนั้นจึงได้ขอตัวกลับเข้าห้องส่วนตัวเร็วขึ้นกว่าทุกวัน ทวิชผู้เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีขึ้นของน้องชายตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับอัคนี ก็ไม่มีอะไรที่พี่ชายอย่างเขาต้องห่วงอีกต่อไป
ท้องฟ้ามืดลงแล้ว และภาสกรใช้รถสีเขียวคันเก่าของเมฆาเพื่อขับออกจากปราสาทของตนมาเพียงลำพัง เกือบสิบปี ที่เขาไม่ได้เดินทางมายังถนนเส้นนี้ ถนนที่ลึกเข้าไปในแนวป่า เขาขับต่อไปเรื่อยๆ อีกสักพัก ก็พบกับรีสอร์ตใหญ่โตแห่งหนึ่งซึ่งถูกความเขียวขจีของพรรณไม้ปกคลุมไว้ เขาขับผ่านเข้าไปยังหน้าประตูทางเข้าแล้วโชว์ป้ายทองคำที่ได้รับมาจากเพลิงพระพาย
เพียงไม่นานที่กั้นบริเวณหน้าประตูก็เปิดให้รถของเขาผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ภาสกรขับรถตรงไปยังเรือนไม้ในความทรงจำ ที่บัดนี้ยังคงมีสภาพดี และถูกปรับเปลี่ยนให้ดูหรูหราขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อจอดรถในละแวกนั้นเรียบร้อย ชายวัย 36 ปี ก็ได้เดินลงมาจากรถมา เขาสังเกตได้ถึงความผิดปกติ เมื่อบริเวณนี้ไม่มีบอดิการ์ดเฝ้าอยู่เลยสักคน
สองขาก้าวเดินเข้าไปไปในเรือนไม้ผ่านทางประตูด้านหน้า ความเงียบเชียบเข้าปกคลุมทั่วทุกพื้นที่ในเรือนไม้งามหลังนี้ ภาสกรเดินไปเรื่อยๆ จนถึงทางเข้าห้องนอน ที่ยังคงมีม่านลูกปัดรูปผีเสื้อประดับบังตาไว้อยู่ เขาค่อยๆ แหวกม่านออก ดวงตาทอดมองไปยังเตียงนอนหลังใหญ่กลางห้อง ดังเช่นครั้งแรกที่เขาก้าวเข้ามาที่นี่
และเขา ก็ได้พบกับ...ชายคนหนึ่ง ซึ่งมีวงหน้างดงามอย่างถึงที่สุด นั่งพิงหัวเตียงในท่าสบาย แล้วทอดสายตามองมาที่เขาเช่นกันพร้อมรอยยิ้ม
"สวัสดี...ผู้บุกรุก"ตึกตักๆๆๆๆๆๆๆๆๆดวงจิตชายผู้บุกรุกคล้ายต้องมนต์สะกด สองขาเดินเข้าใกล้ความงามนั้นอย่างไม่รู้ตัว สองมือค่อยๆ แหวกม่านบางคลุมเตียงออก ภาสกรทิ้งตัวลงเบาๆ นั่งลงเคียงข้างเจ้าของเรือนไม้ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ สวมกอดแนบชิดจนอีกฝ่ายแทบหายใจไม่ออก
"ขอโทษที่ปล่อยให้รอนะ"
ภาสกรก้มลงสูดดมความหอมจากเส้นผมสลวย แล้วค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าลงมาประทับจูบแผ่วเบาบนหน้าผากกว้างของชายผู้เป็นที่รัก อัคนีซบหน้าลงบนอกแกร่งอีกครั้ง โดยมีมือของภาสกรที่ลูบไล้ไปตามร่างกายของตนอย่างไม่หยุด จากสัมผัสที่แผ่วเบาก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนภาสกรไม่สามารถทนทานได้ไหว เขาจับเสื้อเชิ้ตสีขาวของอัคนีดึงออกจนกระดุมหลุดกระเด็นไปทั่วบริเวณ
อัคนีที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับความหวานละมุนของบรรยากาศ สะดุ้งตัวตกใจ เมื่อจู่ๆ เสื้อทำงานของเขาก็ถูกกระชากออก ภาสกรมีแววตานิ่งค้างกับภาพตรงหน้า ด้านอัคนีปัดมือหนาออกจากเสื้อตน แล้วพยายามปิดบังร่างกายไม่ให้ภาสกรได้มองเห็นด้วยแววตาเจ็บปวด
"อย่ามองนะ...! "ผู้บุกรุกจับมือทั้งสองของอัคนีที่พยายามซ่อนกายไว้ใต้เสื้อเชิ้ตที่ขาดออกจากกัน แล้วค่อยๆ ใช้มืออัคนีดึงเสื้อที่ปิดบังกายออก และจ้องมองไปยังร่องรอยแผลเป็นมากมายที่เกิดจากฝีมือเขา
อัคนีปิดตาลงและค่อยๆ สะอื้นไห้ในลำคอเบาๆ เขาเจ็บปวดอย่างยิ่ง เมื่อภาสกรต้องได้เห็นภาพอันไม่น่ามองจากร่างกายของเขา อัคนีทราบดีว่าภาสกรชื่นชมในความงดงามของร่างกายเขาเป็นอย่างมาก และนั่นก็ทำให้ภาสกรตกหลุมรักเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ตลอดมาที่อัคนีไม่กล้าพบหน้าตรงๆ กับภาสกร เพราะแผลเหล่านี้ ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและทรมานใจเป็นอย่างมาก กลัวไปสารพัดว่าหากชายผู้เป็นที่รักได้เห็นเข้า เขาคงถูกคนคนนี้รังเกียจเอาเป็นแน่
"...ภาสขอโทษนะเพลิง"
ชายผู้ก่อเหตุ มีแววตาเศร้าหมองลงอย่างน่าเห็นใจ รวมไปถึงมือหนาที่จับมือของอัคนีไว้ก็เริ่มสั่นไหวไปตามดวงใจอันเจ็บปวด เขาปล่อยมืออัคนีออก แล้วลูบไล้ลงบนอกแกร่งและหน้าท้องของชายผู้กำลังหลับตา ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นน่ากลัวทั่วทั้งบริเวณ
เมื่อได้รับฟังคำขอโทษอย่างอ่อนโยนจากผู้ฝากรอยเอาไว้ อัคนีที่พยายามกดข่มให้ตนเองเข้มแข็ง ยิ่งไม่อาจหักห้ามความปวดใจของตนเอาไว้ได้ เขาร่ำไห้ออกมาหนักขึ้นกว่าเก่าแม้จะยังปิดตาอยู่
ภาสกรผละออกห่างจากร่างขาวนั้น และนั่นทำให้อัคนีเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม เขาไม่กล้าลืมตาขึ้นมา รับรู้ความจริงตรงหน้าได้ จนภาสกรที่ลุกออกไปนิ่งเงียบได้สักพัก อัคนีจึงลืมตาขึ้นมอง และพบว่า
บัดนี้ชายร่างยักษ์ผู้ที่บุกเข้ามาที่นี่ด้วยบัตรเชิญ กำลังนั่งคุกเข่าลงบนพื้นด้านหน้าตน ดวงตาคมมองนิ่งมายังอัคนี พร้อมกับน้ำใสที่ไหลออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะปาดทิ้ง เมื่ออัคนีเห็นภาพนั้นก็ขยับเข้าใกล้ ภาสกรจึงเอื้อมดึงมือของอัคนีมาประทับจูบลงไปอย่างแผ่วเบาทั้งน้ำตา
"ภาสขอโทษจริงๆ ที่ทำร้ายเพลิง ภาสเป็นคนโง่...อภัยให้ภาสด้วยนะ"
"ภาส...ไม่รังเกียจเหรอ ร่างกายเพลิงมันไม่ได้สวยงามแบบที่ภาสชอบแล้วนะ"
ภาสกรกุมมือนั้นไว้แน่น คล้ายพยายามบีบเพื่อคลายความเจ็บปวดในใจตน
"ภาสรักเพลิง...ด้วยทุกอย่างที่เป็นเพลิง ไม่ใช่เพราะร่างกายนี้ ต่อให้เพลิงจะไม่ได้อยู่ในร่างนี้ ถ้าภาสเจอเพลิง ภาสก็จะรักเพลิงอยู่ดี"อัคนีกุมหน้าอกตนเองที่มันกำลังคล้ายจะระเบิดออกมา ด้วยคำพูดหวานละมุนสุดทรงพลังของภาสกรเมื่อครู่ เขาขยับตัวลงนั่งบนพื้นข้างภาสกร แล้วซบศีรษะลงบนไหล่หนานั้น
"...เพลิงรักภาส"กึกคำบอกรักแผ่วเบาจากอัคนีด้วยอารมณ์หอมหวาน คือสิ่งที่ภาสกรรอมาเนิ่นนานถึงสิบปี เขาไม่อาจต่อสู้ห้ามปรามใจตนเองได้ต่อไปอีกแล้ว กายหนาเอื้อมตัวออกจากศีรษะของคนที่ซบลงมาด้านข้าง แล้วจับล็อกใบหน้าของอัคนีไว้ ส่งลิ้นสากเข้ากวาดต้อนทุกสัมผัสใบโพรงปากที่เขาฝันหามาโดยตลอด
อัคนีร้องครางในลำคอ ลิ้นหนาไล่เล็มดุนดันทุกส่วน ตั้งแต่เริ่มหยอกเย้ากับลิ้นนุ่มนิ่มของอัคนี และไล่ลามไปตามโพรงปากล่างบน ไรฟันทุกซี่แล้วผละออกเพื่อดูดลิ้นนุ่มนิ่มนั้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง สลับกับริมฝีปากล่างบนที่เริ่มบวมเจ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
"อืมมมม..."ภาสกรดุจดั่งชายไร้บ้านผู้หิวโหยแล้วพึ่งได้กินข้าวในรอบสามวัน เข้าดูดกลืนลิ้นของอัคนีอย่างเนิ่นนาน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าชายไร้บ้านจะพอใจได้สักที อัคนีโอบแขนไปรอบคอของภาสกร และนำเขาเดินมายังเตียงกว้าง จากนั้นอัคนีก็ล้มลงไปบนเตียงนุ่มโดยมีภาสกรตามมาประกบจูบดูดดื่มต่ออย่างเนิ่นนานไม่ขาดสาย
"อื้ออ...! "ชายด้านล่างประท้วงในลำคอเมื่อมือสากของภาสกรเริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายและจุดอ่อนไหวต่างๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ เขาลูบไล้ไปบนผิวขาวที่แม้จะประทับไปด้วยรอยแผลเป็น แต่เนื้อสัมผัสที่ขาวนวลเนียนนั้นก็ยังคงลื่นมืออยู่ ภาสกรลูบไล้และยังคงจูบดูดดื่มอยู่เนิ่นนานเกือบครึ่งชั่วโมง จนอัคนีที่ร่างกายมีสีแดงแล่นริ้วขึ้นทั่วร่างเริ่มทนไม่ไหว จนต้องเอ่ยปากออกไป
"ภ...ภาส จะทำแค่จูบจริงๆ เหรอ"ภาสกรที่ได้สติจากเสียงสั่นเครือที่กระซิบไม่ห่าง เขาดึงเสื้อและกางเกงของอัคนีจนหลุดออกหมด จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าของตนเองออกบ้าง แล้วเบียดกายเข้ากับชายผู้นอนหายใจรวยรินอยู่ใต้ร่างของตน
ชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้า ใบหู และลำคอแดงก่ำดั่งผื่นหนา จูบลงบนปากบางอย่างหิวโหยอีกครั้งแล้วผละออกไปดูดกลืนและไล่เลียบริเวณลำคออันหอมหวาน บริเวณที่เขาชื่นชอบมากที่สุดมาโดยตลอด แม้ว่าใจจะยังอยากไล่เล็มให้มากกว่านี้ แต่ดูท่าว่า หากยังไม่หยุดแล้วละก็ อัคนีคงได้หลอมละลายไปกับอ้อมแขนเขาอย่างแน่นอน และตอนในนี้ เขาเองก็อยากเอาใจอัคนีมากมายเหลือเกิน
-------------------------[ END ]---------------------------- คุณ cavalli ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ด้วยนะคะ : )คุณ Ice_Iris ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ด้วยนะคะ : )จบแล้วนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
แล้วพบกันใหม่ในภาคแยกคู่ต่อไปค่ะ อิอิ