68
เที่ยวนครสวรรค์ & ดูดาว
[เอก...☼]
ღ
ღ
ตอนนี้พวกเรามารวมตัวกันอยู่ที่ผืนแผ่นดินของจังหวัดนครสวรรค์แล้วครับ
นครสวรรค์ ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีพืชผักและผลไม้ส่งออกจำนวนมาก และหนึ่งในสวนผลไม้ขนาดใหญ่ของที่นี่ก็มีครอบครัวของไอ้กิ๊ฟเป็นเจ้าของ
ที่นี่อากาศดีอย่าบอกใคร ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป
ผมกวาดมองไปรอบ ๆ เพื่อชื่นชมความงามของสวนผลไม้รอบด้าน ก่อนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกกวาดเก็บเอาความสดชื่นเข้าไป
แต่มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าทริปครั้งนี้ จะมีแค่ผมกับเพื่อน ๆ และไอ้ตัวเล็ก ไม่ใช่ใครคนนอกมาร่วมด้วยแบบนี้
ผมกวาดมองไปรอบ ๆ อีกที
ด้านซ้ายเป็นไอ้คุณชรินทร์ ด้านขวาเป็นไอ้อาร์ตกับไอ้อิฐ พวกทโมน รวมถึงพ่อแม่ผมเกาะกลุ่มกันอยู่
มากันยกครัวครับ
ทั้งพ่อแม่ผมและพ่อแม่ไอ้ตัวเล็ก สองครอบครัวเจอกันและทักทายกันแล้วตอนก่อนเดินทาง โดยมีสามทโมนเป็นตัวกลาง
จริง ๆ ผมไม่ได้กะจะพามายกครัวแบบนี้หรอก พอพวกทโมนมันรู้ว่าพวกผมจะมา เลยอ้อนขอตามมาด้วย ไอ้กิ๊ฟก็ไม่ว่าอะไร เพราะเคยไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกันมาแล้ว
พ่อกับแม่ผมอยากมาระลึกความหลังครับ พวกท่านเคยมาสวีทกันที่นี่ตอนสมัยจีบกันใหม่ ๆ
แต่ไอ้อาร์ตกับไอ้อิฐนี่ ไม่รู้ว่ามาเที่ยวด้วยเพราะมีเจตนาอะไร
ส่วนไอ้คุณชรินทร์ พอมันรู้ว่าไอ้ตัวเล็กจะมา เลยขอมาหาวิวใหม่ ๆ เพื่อถ่ายภาพด้วย โดยเฉพาะฟาร์มม้ากับสวนองุ่น
งานนี้คู่แข่งมากันครบ
ไม่รู้จะกันตัวไหนออกก่อนดี ซ้ายก็ไอ้คุณชรินทร์ ขวาก็ไอ้โอ๊ค หน้าก็ไอ้อาร์ต หลังก็ไอ้อิฐ ผมแทบจะเกาะไอ้ตัวเล็กไว้แน่นหนึบ
พอมาถึง พ่อกับแม่ไอ้กิ๊ฟก็พากันโกยลูกน้องนับสิบมาต้อนรับ แม่มันร้องไห้ใหญ่ เพราะมันไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว
“ดีไอ้น้อง”
พี่กิจ พี่ชายคนโตไอ้กิ๊ฟเดินมาตบหลังน้องมันดังป้าบ คนอื่นพากันย่นหน้าทำท่าเจ็บแทน แต่ดูไอ้กิ๊ฟจะไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย (ครอบครัวนี้เล่นแรงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วครับ)
“คนไหน แฟน”
พี่ก้อง พี่ชายคนรองชะโงกหน้ามองหาคนที่น่าจะเป็นแฟนมัน พี่ก้องมองหน้าพวกผมทุกคน แต่คุ้นหน้ากันดีครับ ก่อนมองไปยังกลุ่มคนหน้าใหม่อย่างไอ้เต้ย ไอ้ตัวเล็กแล้วก็ไอ้คุณชรินทร์
ไอ้เต้ยกับไอ้ตัวเล็กตัดทิ้งไปได้เลย เพราะไม่ใช่สเป็คของไอ้กิ๊ฟมัน ไอ้คุณชรินทร์เข้าข่ายหน่อย เพราะมันหล่อ เท่ ตัวสูง ผิวขาว หน้าลูกครึ่ง
“ไม่ใช่สามคนนั้นหรอกพี่ นู่นคนโน่น”
ไอ้มอมันบุ้ยหน้าไปยังรถตู้ที่มีใครบางคนกำลังมุดตัวออกมา พี่ก้องกับพี่กิจอ้าปากค้าง
ไม่แน่ใจว่าที่ค้าง เพราะเห็นว่าเป็นฝรั่งหรือเพราะความหล่อของมันกันแน่
“Hi, Nice to meet you I...”
แล้วแฟนไอ้กิ๊ฟก็สปีคไฟแลบแนะนำตัวกับพวกพี่ ๆ มัน มือไม้ก็จับคนนู้นทีคนนี้ทีเขย่าขึ้นลงยกใหญ่ มันคงตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“นี่เนี่ยนะ”
พี่ก้องชี้นิ้วใส่หน้าฝรั่ง (มึงมีมารยาทมากเลยเหอะ)
ไอ้กิ๊ฟพยักหน้า
พ่อกับแม่ที่ยืนทักทายผู้ใหญ่สองบ้านอยู่รีบเดินเข้ามาดูทันที
“โอ้ คนนี้นี่เอง”
พ่อแม่พากันน้ำตาเล็ดจับมือฝรั่งเขย่าขึ้นลงใหญ่
งานนี้ฝรั่งงงครับ
ไอ้กิ๊ฟมันเลยบอกว่าสองคนนี้เป็นพ่อกับแม่มันเอง ฝรั่งเลยรีบยกมือไหว้ปลก ๆ เหมือนพระวัดเส้าหลินไหว้คู่ต่อสู้
ไอ้กิ๊ฟมันเล่าให้ฟังว่า ตอนแรกเดวิดไม่ได้อยากมาเที่ยวเมืองไทยหรอก พอดีเพื่อนมันตีตั๋วลงให้ผิดประเทศ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เลยเที่ยว ๆ ไม่ให้เสียเวลา
มาอาทิตย์หนึ่ง วันนั้นมันจะกลับอยู่แล้ว ดันมาเจอไอ้กิ๊ฟในเวอร์ชั่นหญิงจ๋าเข้าให้ พ่อท่านเลยเดินดุ่ม ๆ เข้ามาทักแบบไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน หลังจากนั้น มันก็ตีตั๋วกลับมาเมืองไทยใหม่ เพื่อมาจีบไอ้กิ๊ฟมันโดยเฉพาะ
ปัจจุบันก็อย่างที่เห็น
มันพยายามเรียนรู้ความเป็นไทยทุกอย่าง ก็อย่างว่าแหละนะ มารักกับคนไทยก็ต้องทำอย่างนี้แหละ
พอพวกเราแนะนำตัวกันคร่าว ๆ ให้รู้ว่าใครเป็นใคร มีฐานะอะไร โดยตรงกับโดยอ้อมกับไอ้กิ๊ฟมันยังไง พ่อกับแม่ก็พาพวกเราไปที่พัก
บ้านมันเป็นบ้านเรือนไทยครับ เรือนไทยแท้แบบดั่งเดิมเลย ไม้สักทั้งหลัง ไม่รู้หลังนี้กี่สิบล้าน มีหนังมาถ่ายทำกันหลายเรื่องแล้ว
เราเคยไปเที่ยวสวนของไอ้กิ๊ฟกันมาก่อน แต่เป็นที่ใต้ซะส่วนใหญ่ ที่นี่เป็นที่ล่าสุดที่พ่อมาบุกเบิก และคงจะปักหลักปักฐานอยู่ที่นี่แหละ ที่เหลือก็ให้ญาติ ๆ ดูแลไป
เดวิดตาโตยืนมองตัวบ้านด้วยความชื่นชม และไม่ต้องพูดถึงไอ้ตัวเล็กเลย มาถึงมันก็เดินลิ่วยกกล้องถ่ายรูปไม่หยุด ทิ้งพ่อกับแม่ไว้ให้พวกทโมนดูแล
ผมพูดคุยกับผู้ใหญ่อยู่สักพัก ก็ลาท่านไปเดินตามไอ้ตัวเล็ก ต้องรีบหน่อย เดี๋ยวมีใครมาซิวมันไปอีก
เดินยังไม่ทันถึงตัว ไอ้คุณชรินทร์ก็เข้าประชิดตัวตัดหน้าผมไปก่อน
ไอ้ตัวเล็กยิ้มรับแก้มบาน แล้วพวกมันสองคนก็พากันเดินถ่ายรูปคู่กันไป
ผมเลือกที่จะก้าวช้า ๆ เดินตามอยู่ห่าง ๆ ไม่ให้พวกมันรู้ตัว
ที่ผมไม่เข้าไปแทรก เพราะผมรู้ว่าช่วงเวลาแบบนี้ มันคงต้องการความเป็นส่วนตัวและอยู่กับคนที่มันนับถือมากกว่า
ถึงผมจะหึง แต่ผมก็เรียนรู้ที่จะเข้าใจและไม่เข้าไปก้าวก่ายมันเกินความจำเป็น โดยเฉพาะเรื่องการถ่ายรูปที่มันรักหรือเรื่องพ่อกับแม่มัน
ผมเดินตามเงียบ ๆ ปล่อยให้พวกมันถ่ายรูปกันไป บางครั้งพวกมันก็ถ่ายด้วยกัน บางครั้งก็ต่างคนต่างถ่าย บางครั้งไอ้คุณชรินทร์ก็เข้ามาแนะนำบ้าง บางครั้งไอ้ตัวเล็กก็เดินไปขอคำแนะนำบ้าง
เห็นมันยิ้มแล้วผมก็พลอยมีความสุขตามไปด้วย
“สนุกรึไง เดินตามเป็นเงาแบบนี้”
ผมหันไปมองคนถาม ก่อนหันกลับมามองจุดเดิมเมื่อรู้ว่าเป็นใคร
“ก็สนุกดี”
ผมตอบไม่ใส่ใจ
“ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคนคนนั้นกำลังจีบกายอยู่เนี่ยนะ”
ผมปรายตามองคนถาม
“ใช่ แต่รู้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรกาย…เหมือนที่นายเคยทำ”
มันหันมามองหน้า ไม่พูดหรือถามอะไรต่ออีก แล้วเราสองคนก็พากันเดินตามช่างภาพสองคนไปเงียบ ๆ แบบไม่มีเหตุผล วิชาตัวเบาของไอ้อาร์ตก็เก่งไม่แพ้ผมหรอก
สักพัก พวกมันทั้งคู่ก็หันมาเห็นพวกเรา
“อ้าว มากันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
ไอ้ตัวเล็กเดินยิ้มเข้ามาหา มันจำผมได้ เพราะชุดและสร้อยที่ใส่อยู่ ก่อนหันไปทางไอ้อาร์ต มันเอียงคอมองนิดหนึ่ง
คงกำลังคาดเดาอยู่ว่าเป็นใคร ระหว่างไอ้อาร์ตกับไอ้อิฐ
ตอนนี้ดูยากครับ เพราะหน้ามันหายช้ำแล้ว ที่สำคัญ พวกมันดันใส่ชุดมาเหมือนกันอีก
ไอ้ตัวเล็กหน้าเสียไปนิดตอนไอ้คนข้าง ๆ ผมส่งยิ้มพราวไปให้
“เอ่อ… ผมว่าพวกเราไปหาคนอื่น ๆ กันดีกว่า”
มันรีบชวน
ผมพยักหน้าก้าวเท้าเดินตาม ส่วนตัวมันเอง เดินเคียงไปกับไอ้คุณชรินทร์ที่ก้มหมุนภาพให้มันดูไปตลอดทาง
พวกเราเดินทางออกจากกรุงเทพกันบ่ายวันศุกร์ถึงนี่ราว ๆ สี่โมงเย็น มีเวลาให้เดินชมวิวกันอีกนิดหน่อย ก่อนพากันไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนตามอัธยาศัย
บ้านไอ้กิ๊ฟกว้างมาก แต่เอาไว้รับแขกซะส่วนใหญ่ ส่วนที่นอนกันจริง ๆ ก็นู้นครับ บ้านเล็กในสวน เหมือน ๆ บ้านใหญ่เอาไว้รับแขกหรือเอาไว้ให้เขามาถ่ายหนังกันมากกว่า
หกโมงตรงพวกเราทุกคนก็มารวมตัวกันอยู่กลางชานบ้านที่เปิดโล่งยื่นยาวออกไปด้าน นอกภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่สูงลิบกันแสงแดด ถ้ามีสายฝนโปรยปรายลงมาสักนิด ที่นี่คงจะสวยน่าดู กลางชาน มีโต๊ะอาหารคล้ายโต๊ะญี่ปุ่นเรียงกันอยู่สี่โต๊ะ ทุกโต๊ะมีอาหารจัดเรียงไว้จนเต็ม
รอบโต๊ะมีเบาะรองนั่งลายพื้น ๆ วางเรียงกันไว้ มีหมอนอิงแบบสามเหลี่ยมสูง ๆ รองหลังครบทุกที่นั่ง ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นท่านเจ้าคุณยังไงบอกไม่ถูก แถมยังมีคนงานหญิงสูงวัยใส่ผ้าถุงลายโบราณ ๆ มาคอยดูแลยกข้าวยกน้ำเสิร์ฟอีกต่างหาก
ครอบครัวไอ้กิ๊ฟนั่งอยู่โต๊ะแรกสุด มีมัน แฟนมัน พ่อแม่ พี่ชายทั้งสอง ส่วนพี่ไหมเมียพี่กิจดูแลลูกอ่อนอยู่ที่บ้านเลยไม่ได้มาด้วย
ฝรั่งจ้อใหญ่ พูดได้น้ำไหลไฟดับ ดีที่คนในครอบครัวมันพูดภาษาอังกฤษกันได้ทุกคน เลยไม่มีปัญหา ครอบครัวนี้เป็นชาวสวนที่จบสูงกันทุกคนครับ พี่กิจกับพี่ก้องนี่ดีกรีเด็กนอกทั้งคู่ แล้วอีกอย่างครอบครัวมันทำสวนพ่วงด้วยธุรกิจโฮมสเตย์ด้วย ลูกค้าหลัก ๆ จึงเป็นชาวต่างชาติ
โต๊ะถัดมาเป็นพ่อแม่ผมกับพ่อแม่ไอ้ตัวเล็ก โดยมีพวกทโมนนั่งแทรกอยู่อีกที ส่วนโต๊ะที่สาม พวกเพื่อน ๆ ผมยึด มีไอ้มอ ไอ้โอม ไอ้ปิง ไอ้อิง ไอ้สาว ไอ้อ้อย
สามโต๊ะแรกเป็นโต๊ะเล็ก นั่งกันได้หกคนต่อโต๊ะ (ยกเว้นโต๊ะพ่อกับแม่ที่มีพวกทโมนมันแปลงร่างเป็นหนึ่งกลมกลืนนับไม่เคยถึงสาม) มีโต๊ะสุดท้ายที่ผมนั่งอยู่นี่แหละ ใหญ่สุดแล้ว
แล้วคุณเดาเอาสิครับ ว่าพวกที่เหลือ มีใครกันบ้าง
ผมนั่งคู่กับไอ้ตัวเล็ก ขนาบข้างมันด้วยไอ้คุณชรินทร์ ต่อด้วยไอ้เต้ย ไอ้เป้ ไอ้โอ๊คที่ปกติจะนั่งติดกับไอ้ปิง วันนี้มันก็มาร่วมโต๊ะด้วย ถัดจากมันก็ไอ้อิฐ และไอ้อาร์ตที่นั่งคู่กับผมอีกที
คู่แข่งครบครัน
“พวกคุณนี่หน้าตาเหมือนกันเด๊ะเลย”
ไอ้คุณชรินทร์มันมองพวกผมสามคนทึ่ง ๆ
“แล้วกายแยกออกไหมว่าใครเป็นใคร”
ไอ้ตัวเล็กส่ายหัวไปมา ทำหน้าเจื่อน ๆ ตักข้าวเข้าปาก
“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แค่หน้าตานะฮะ แต่ความรู้สึกเวลาอยู่ใกล้ คนละอารมณ์เลย”
ไอ้คุณชรินทร์ทำหน้าสงสัย
ผมก็สงสัย
และดูเหมือนทุกคนจะสงสัยเหมือนกันหมดเลย
“ยังไง”
มันถาม
“ก็…”
ไอ้ตัวเล็กมันนิ่งไปนาน ก่อนหน้าแดง แล้วพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ขยับตัวขยุกขยิก นั่งตัวตรง ๆ
“พี่เอกให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพระอาทิตย์ตอนกลางวัน ร้อนแรง เป็นแดดเปรี้ยง ๆ”
มันพูดซะผมเสีย
“ส่วนพี่อาร์ตคล้ายกับพระอาทิตย์ตอนกลางคืน ไม่เห็นแต่รู้ว่ามีอยู่ โผล่มาทีก็แสบผิวที”
อื้อหือ ดูมันพูดเข้า
“ส่วนพี่อิฐ เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตกหารครึ่งระหว่างพี่เอกกับพี่อาร์ตอีกที”
ทุกคนงงกับคำเปรียบมันครับ ยกเว้นไอ้คุณชรินทร์ที่พยักหน้าเข้าใจ มันมองพวกผมสามคนสลับกันไปมา
“ก็จริง”
ตรงไหนวะ
ไอ้ตอนแรกผมก็คิดว่าตัวเองเป็นพระอาทิตย์ยามเช้าหรือยามเย็นซะอีก ไหงกูกลายเป็นแดดเปรี้ยง ๆ ไปได้วะเนี่ย คนที่น่าจะเป็นแดดเปรี้ยง ๆ น่าจะเป็นไอ้อาร์ตมากกว่า
“แล้วพระอาทิตย์ตอนไหนน่ากลัวที่สุด”
มันถามต่อ
ไอ้ตัวเล็กทำท่าคิด
“พระอาทิตย์ยังไงก็คือพระอาทิตย์ มีทั้งคุณและโทษ น่ากลัวเท่ากัน แต่ก็ทำให้รู้สึกดีพอกัน”
ผมหวิวไปกับคำตอบมัน ถ้าอย่างนั้น มันก็สามารถชอบใครก็ได้งั้นสิ
“แต่ผมเกิดตอนพระอาทิตย์ตรงหัวพอดี ผมเลยชอบพระอาทิตย์ตอนกลางวันมากกว่า”
มันพูดเสียงเบา ก้มหน้าตักข้าวกิน
มันคงไม่ได้มองว่าทุกสายตา ยกเว้นไอ้เต้ยกับไอ้เป้มองมันกันหมด
ผมแทบหลุดยิ้ม แต่ก็เก็กหล่อเอาไว้ก่อน
หลังจากมื้อค่ำพวกเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะจะเริ่มเที่ยวกันจริง ๆ จัง ๆ ก็วันพรุ่งนี้
ผมเลือกที่จะออกมาเดินเล่นที่กลางชานบ้าน คนต่างจังหวัด สองสามทุ่มก็พากันปิดไฟเข้านอนแล้ว
ตอนนี้ก็เหมือนกัน
ดวงไฟทุกดวงปิดสนิท แต่มันไม่เป็นอุปสรรคในการเดินเล่นของผมแม้แต่น้อย เพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย ดวงจันทร์ที่เหมือนจะเต็มดวงส่องสว่างไปทั่วทุกพื้นที่ ทำให้มองเห็นทุกอย่างได้ไม่ต่างกับตอนกลางวัน
ผมเแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า บนนั้นเต็มไปด้วยดวงดาวดวงเล็ก ๆ โอบล้อมดวงเดือนดวงใหญ่เอาไว้ พรุ่งนี้วันพระ พวกเราตกลงจะตื่นไปวัดกันก่อน แล้วค่อยไปเที่ยวกันอีกที
รอบบ้านเงียบสนิท มีเพียงเสียงหวีดร้องเรไรของเหล่าสรรพสัตว์ยามค่ำคืน และเสียงเสียดสีของกิ่งไม้ที่กำลังไหวเอนยามต้องลม
ผมหลับตาลงเบา ๆ ปล่อยให้สายลมเย็น ๆ พัดผ่านผิวหน้าไป
ตอนนี้ทุกคนคงหลับกันไปหมดแล้ว รวมถึงไอ้ตัวเล็กด้วย มันแยกตัวไปหาพ่อกับแม่ตั้งแต่กินข้าวอิ่มแล้ว คงนอนกับพวกท่านเลย
ผมไม่รู้ว่าผมยืนมองพระจันทร์อยู่นานแค่ไหน กระทั่งอยู่ ๆ ก็มีมือขาว ๆ มาสวมกอดที่เอวจากทางด้านหลัง ผมก้มมองมือนั้น ก่อนหันไปมองเจ้าของมืออีกที
“กาย”
มันยิ้มน่ารักให้ผมที
“พี่คิดว่านายนอนไปแล้วซะอีก”
“ยังไม่ง่วง”
มันตอบ
ผมยิ้ม ดึงมันมาไว้ด้านหน้า แนบแผ่นหลังมันไว้ที่หน้าอกผม
“พี่ก็เหมือนกัน”
“พี่เอก”
มันเอี้ยวหน้ามามองผม ผมมองตอบ
“พี่ไม่โกรธใช่ไหม ที่ผมอยู่กับพี่เชนมากไป”
ผมยิ้ม ก้มจูบขมับมันเบา ๆ ที
“ไม่หรอก พี่เข้าใจ พี่รู้ว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของกาย แล้วอีกอย่าง…”
ผมหยุดคำพูดตัวเองไว้ ทาบมือไว้ยังตำแหน่งหัวใจมันเบา ๆ
“ถ้าสิ่งนี้ของกายยังอยู่กับพี่ ไม่ว่าตัวกายจะอยู่ที่ไหน พี่ก็มั่นใจว่ากายจะอยู่กับพี่ตลอด”
มันมองผมอึ้ง ๆ ก่อนส่งยิ้มหวานหยดมาให้
หวานมาก ๆ จนผมต้องก้มลงไปจูบมันเบา ๆ ที
ผมถอนริมฝีปากออก ยิ้มให้มันนิดหนึ่ง แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกที มันมองตามบ้าง
เมื่อกี้ผมชมจันทร์คนเดียว มันก็สวยดี แต่พอมีไอ้ตัวเล็กมาดูด้วย พระจันทร์ดูจะสวยขึ้นกว่าเดิมอีก
ยืนมองมานาน ผมเริ่มเมื่อย เลยเดินจูงมันไปนั่งบนเบาะข้างโต๊ะ จุดเดียวกับที่เรากินข้าวกันนั่นแหละ เพียงแต่ตอนนี้มันถูกเปลี่ยนมาเป็นโต๊ะขนาดสองคนนั่งแทน มีอยู่สามโต๊ะ โต๊ะหนึ่งห่างกันประมาณสองวา วางเบาะไว้โต๊ะละสองจุด พร้อมหมอนอิงท่านเจ้าคุณ(ผมเรียกงี้)
ผมเลือกนั่งโต๊ะกลางสุด ผมนั่งลงก่อน แล้วดึงไอ้ตัวเล็กมานั่งตรงหน้า แนบแผ่นหลังมันเข้ากับหน้าอกผม พิงหัวมันไว้ใกล้ซอกคอ แล้วเราสองคน ก็แหงนหน้าขึ้นมองดวงดาวด้านบนอีกที
สวยครับ สวยเอามาก ๆ
“โอ๊ะ!! ดาวตก”
ไอ้ตัวเล็กทำท่าตื่นเต้นตอนมีดวงดาวสีสวยพุ่งตกลงมา มันรีบหลับตาแล้วขออะไรบางอย่าง
ผมทำตามบ้าง
“พี่เอกขออะไร”
มันถามหลังจากขอพรเสร็จ
“ขอให้ได้อยู่กับกายตลอดไป”
มันอึ้งแล้วเงียบไปนาน
“แล้วกายล่ะ”
ผมถามกลับ ก้มจูบขมับมันไปที
“ขอให้ได้อยู่กับพี่เอกไปนาน ๆ”
ผมยิ้ม
“งานนี้ ดวงดาวคงต้องทำงานหนักแน่ ๆ”
มันหัวเราะ แล้วเราสองคนก็พากันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกที
“นี่ฉันง่วงแล้วนะ”
ได้ยินเสียงใครบางคนเดินบ่นหงุ๋งหงิ๋งออกมา
ผมหันไปมอง
อ๋อ เป็นแม่ของไอ้ตัวเล็กมันครับ ถูกพ่อลากออกมาอีกที
“โอ้ แอบมาสวีทกันอยู่นี้นี่เอง”
พ่อทัก เดินมาทิ้งตัวลงนั่งยังโต๊ะถัดไปด้านขวา พ่อดึงแม่ลงมานั่งด้วย จัดให้นั่งท่าเดียวกับไอ้ตัวเล็กนั่นแหละ แต่แม่ขืนใหญ่ สุดท้ายพ่อเลยจับหัวแม่กดไปซุกหน้าอกตัวเอง
ซาดิสม์วุ้ย
แม่ดิ้นใหญ่ พ่อรีบชี้ชวนให้แม่ดูดาว จนแม่ที่ดิ้น ๆ อยู่สงบลง
“เคราพ่อยาวเกินไปรึเปล่า”
ไอ้ตัวเล็กหันไปทักพ่อมัน
“อ้าว ยาวไปเหรอ ไว้เพลินไปหน่อย”
“ใช่ ยาวไป เป็นไร ๆ กำลังดี”
แม่ครับ เผลอพูด ก่อนเม้มปากแน่น แกคงเขิน
พวกเราพากันอมยิ้มขำ
“งั้นคุณก็ทำให้ผมหน่อยสิ ผมไม่รู้ระดับนี่นา”
รายนี้ได้ทีก็อ้อนใหญ่
“เรื่องไร เคราคุณ คุณก็ทำเองสิ”
“เอาน่าคุณ ช่วยผมหน่อย คุณอยากให้ลูกอายที่มีพ่อไม่หล่อรึไง”
น่าน เอาไอ้ตัวเล็กของผมไปอ้างอีก
แม่ทำสายตาประหลับประเหลือกใส่
“ได้ ๆ เพื่อลูกหรอกนะ แล้วพรุ่งนี้จะทำให้”
พ่อยิ้มแก้มบาน
ผมกับไอ้ตัวเล็ก พากันขำคิก แล้วผมก็จับมือไอ้ตัวเล็กมาลูบรอบ ๆ ปากตัวเองบ้าง
“อยากได้บ้างไหม”
ผมถาม มันรีบชักมือกลับ แต่ผมยังยึดจับมันไว้อยู่
“มะ ไม่ต้องก็ได้”
มันพูดเขิน ๆ
ท่าทางแบบนี้ สงสัยอยากลอง
ผมอมยิ้ม โอบเอวมันแน่น แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกที
“ก็ผมอยากดูดาว น่านะ มาเป็นเพื่อนหน่อย”
พวกเราทั้งหมดหันไปมองคู่ใหม่ที่เพิ่งเดินออกมา เป็นไอ้เต้ยครับ เดินลากพี่มันในสภาพหัวฟูออกมา สงสัยไอ้เป้จะหลับไปแล้วรอบหนึ่ง
“อ้าว พ่อแม่ พี่เอก มึง”
มันเรียกยกยวง เดินมาทิ้งตัวลงนั่งยังโต๊ะถัดไปด้านซ้ายมือผม มันดันให้พี่มันลงไปนั่ง แล้วตัวมันเองก็ลงไปนอนพิงอกพี่มันไว้อีกที
ไอ้เป้ทำหน้าระอา แต่ก็ยอมนอนนิ่ง ๆ ให้น้องมันพิง
ผมมองตามันนิดหนึ่ง มันพยักหน้าทีเดียวให้คลายใจว่ามันไม่เป็นไร
แล้วพวกเราก็พากันนั่งเงียบ แหงนหน้ามองดาวอีกที
“อยากเห็นดาวตกจัง”
ไอ้เต้ยมันพูดขึ้นมาลอย ๆ
“เมื่อกี้กูเห็นไปแล้ว”
ไอ้ตัวเล็กมันบอกคุย ๆ
“แล้วมึงได้ขอพรรึเปล่า”
“ขอ”
“ขออะไร”
“ไม่บอก”
“ชิ!”
แล้วมันก็ยกแขนพี่มันมากอด
ผมมองตาไอ้เป้อีกที มันยังนิ่งอยู่ครับ
“อยากนับดาวได้จัง”
แม่เปรยขึ้นมาอีกคน
“ก็นับเอาสิ นับสักวันละแถบ คิดว่าชั่วชีวิตนี้คงนับได้ครบ”
พ่อกวนกลับ แม่เลยตีเพี้ยะใส่แขนพ่อแรง
“แต่ก่อนไม่เห็นกวนแบบนี้เลย”
“โอ๊ยคุณ อันนั้นมันไอ้พัฒน์คนเก่า ไอ้พัฒน์คนใหม่ มันหล่อกว่า เท่กว่า รสนิยมดีกว่า นิสัยดีกว่า อะไร ๆ ก็ดีกว่าไปหมดแหละ หึ ๆ”
“แหวะ”
แม่เบ้หน้าทำท่าแหวะลงพื้น พ่อยังยิ้มแก้มบานเหมือนเดิม
อยู่ ๆ ก็มีดาวตกลงมาอีกดวง ผมไม่ได้ขอ เพราะเมื่อกี้ผมขอไปแล้ว แต่ไอ้ตัวเล็กมันขอ พ่อกับแม่ก็รีบขอกันใหญ่ พอ ๆ กับสองพี่น้องด้านข้าง
“ขออะไรไป”
ผมถามคนในอ้อมแขนอีกที
มันยืดตัวขึ้นมาเอามือป้องปากกระซิบข้างหู
“ขอให้พ่อกับแม่รักกันยิ่งกว่าเดิม”
ผมยิ้ม มองแม่ที่ยังกุมมือทำท่าขอพรอยู่ พ่ออมยิ้มมองแม่ใหญ่
ไอ้เต้ยก็ยังขออยู่
“ขออะไรไปคุณ”
พ่อถามหลังจากแม่ขอพรเสร็จ
“ขอให้ฉันสวยขึ้น”
พ่อหัวเราะหึ ๆ
“ผมก็ขอให้ผมหล่อขึ้น จนทำให้สาวรักสาวหลง โดยเฉพาะพวกสาว ๆ ที่ใจแข็ง ปากไม่ตรงกับใจอะไรทำนองนั้น”
พ่อขอยาวมากขอบอก แม่ค้อนใส่
“พี่เป้ขออะไร”
ไอ้เต้ยเงยหน้าถามพี่มัน
ไอ้เป้ก้มมองคนถาม ก่อนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วตอบ
“ขอเรื่องที่เป็นไปไม่ได้น่ะ”
“ผมก็เหมือนกัน”
ไอ้เต้ยบอกพี่มันเสียงเบา กระชับกอดแขนพี่มันแน่นขึ้น
ผมพอจะเดาออกว่าไอ้เป้มันขออะไร และผมก็ได้แต่หวัง ว่าคำขอนั้นจะเป็นจริงขึ้นมาสักวัน
แล้วพวกเราก็กลับมานั่งดูดาวกันเงียบ ๆ อีกที
“เสียงหัวใจพี่เต้นแรงจัง”
ไอ้ตัวเล็กบนตัวผมมันพูด
ผมก้มมอง
“ถ้าไม่เต้นก็แย่น่ะสิ”
ผมแซวกลับ
มันมองผมยิ้ม ๆ
“หัวใจคุณเต้นช้าแปลก ๆ นะ”
แม่พูดกับพ่อบ้าง
“อ้าว หัวใจเต้นช้าดีกว่าหัวใจเต้นเร็วนะคุณ”
พ่อท้วง ก่อนทำสายตากรุ้มกริ่มใส่
“แต่เสียงหัวใจคุณน่ะ เต้นเร็วผิดปกติ”
พ่อล้อ แม่รีบดีดตัวออก ทำท่าจะลุกหนี พ่อรีบรั้งกลับมาที่เดิมทันที
“ผมล้อเล่นน่าคุณ หึ ๆ”
“ของพี่เป้ก็เต้นแรง”
ไอ้เต้ยเอาบ้าง มันขยับพลิกตัวนั่งตะแคงข้าง แนบหูฟังเสียงหัวใจพี่มันดี ๆ
“เหมือนผมตอนนี้เลย”
แล้วมันก็เลื่อนมือไปจับหน้าอกมันเอง
ไอ้เป้ไม่ได้พูดโต้ตอบอะไร นอนนิ่ง ๆ ให้น้องมันฟังเสียงอยู่อย่างนั้น วงแขนที่เล็กกว่าวาดออกกว้างโอบรอบเอวใหญ่ไว้ ทอดดวงตามองดวงดาว ส่วนไอ้เป้ก็โอบเอวน้องมันไว้หลวม ๆ เหมือนกัน
ผมละสายตาจากภาพที่เห็นมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบน
เมื่อกี้ ผมก็น่าจะขอพรให้ไอ้เต้ยกับไอ้เป้มันบ้างนะ
พวกเรานั่งดูดาวกันไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าคนในอ้อมแขนผมนิ่งเงียบผิดปกติ ผมถึงได้ก้มมอง ไอ้ตัวเล็กเอียงหน้าแนบแก้มกับอกผม หลับตาพริ้ม ผ่อนลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
“หลับไปแล้ว”
พ่อพยักหน้ามาทางไอ้ตัวเล็กกลับไปยังคนในอ้อมแขนของตัวเอง
ผมยิ้ม หันไปมองอีกด้าน ไอ้เต้ยหลับไปแล้วเหมือนกัน
ผมหัวเราะหึ ๆ สงสัยจะสบายจัด เพราะนั่งพิงอกพวกเราอยู่ ในขณะคนเป็นเบาะรอง ต้องนั่งยันแขนอยู่ในท่าที่เกือบจะสบาย
พ่อตัดสินใจอุ้มแม่เข้านอน (นอนรวมกันกับคุณพ่อคุณแม่ผมครับ พวกทโมนก็อยู่ด้วย) ไอ้เป้ช้อนอุ้มน้องมันเดินเข้าห้องไปเหมือนกัน
ผมก้มมองไอ้ตัวเล็ก ก้มจูบขมับมันไปเบา ๆ ที ช้อนอุ้มมันไว้ในอ้อมแขน พามันเดินเข้าห้องตามสองพี่น้องไป
ไอ้เป้วางน้องมันเบามือบนฟูก แล้วมันก็ล้มตัวลงนอนเช่นกัน สองมือไอ้เต้ยยึดจับเสื้อพี่มันแน่นไม่ยอมปล่อย
แม้แต่ตอนหลับ มันก็ไม่คิดจะห่างพี่มันเลยสักนิด
ผมวางคนในอ้อมแขนตัวเองไว้บนฟูกข้างกัน เดินไปปิดไฟมาทิ้งตัวลงนอนกอดมัน
อุ่นดีครับ...
ตัวมันเล็ก แต่อบอุ่นยิ่งกว่าอะไร
ผมกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น และหวังว่าตื่นมา มันจะยังอยู่ในอ้อมแขนของผมเหมือนเดิม
_______________
to be con..
หายหัวไปนานเลย มาต่างจังหวัด คอมเสีย ส่งซ่อม เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆ เมื่อกี้ รับขวัญด้วยการอัพนิยายซะเลย >////<
ละมุนมากกก สำหรับตอนนี้
_________________________________
หนังสือ&ebook >>
https://goo.gl/FSOuuM