ตอนที่ 50 ........เหมือนกัน
-ปอนด์-
ไอ้ตุลย์กลับบ้านไปตั้งแต่เย็นวันศุกร์ บอกไว้ว่าจะกลับวันอาทิตย์ พอนึกขึ้นได้ว่า จะได้ไปร้องเพลงโดยที่ไม่มีมันไปเฝ้าให้ต้องระแวงหน้าระวังหลังก็รู้สึกดีไม่น้อย แต่ครั้นต้องกลับมานอนคนเดียวที่ห้อง ผมกลับรู้สึกเหงาอย่างประหลาด จึงตัดสินใจชวนจุ๊บจิ๊บไปเที่ยวด้วยกันคืนวันเสาร์ตามสัญญาที่เคยให้ไว้ ทั้งยังไม่ต้องกลับไปเหงาที่ห้องคนเดียวอีกต่างหาก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเห็นๆ
นี่ก็ใกล้วันลอยกระทงเข้าไปทุกที ทำให้ผมและกลุ่มมีนัดซ้อมดนตรีที่ชมรมตอนสุดสัปดาห์ ซึ่งตอนนี้หลายๆ อย่างก็เข้าที่เข้าทางและกำลังไปได้สวย หลังจากพักทานข้าวกลางวันของวันเสาร์ ผมและเคลียร์กลับมาที่ห้องชมรมก่อนเป็นคู่แรก ผมไม่มีอะไรทำจึงหยิบกีตาร์ขึ้นมาเกลาเล่นๆ เป็นเพลง พูดไม่ค่อยเก่ง ที่ไอ้ตุลย์เคยร้องเมื่อวันที่เราตกลงคบกัน....
“อะไรเนี่ย... แทนที่จะซ้อมเพลงประกวด กลับเล่นเพลงอะไรก็ไม่รู้ เก่าจัง” เสียงเคลียร์หยอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“ก็คนอื่นๆ ยังไม่มาเลยลองเล่นเพลงอื่นคลายเครียด แต่ถึงเพลงนี้จะเก่า ปอนด์ว่าก็ยังเพราะอยู่นะ”
“เออ...จะว่าเพราะก็เพราะอยู่หรอก แต่เพลงใหม่ก็เพราะนะ ที่เพิ่งทำออกมาอ่ะ พูดไม่ค่อยถูก เหมือนเป็นเพลงแก้กันเลย”
“พูดไม่ค่อยถูกเหรอ...” ผมทวนซ้ำ จะว่าไปก็เป็นเพลงที่มีความหมายดีเหมือนกันนะ
“อื้อ.... เอากีตาร์มาสิ เดี๋ยวจะเล่นให้ แล้วปอนด์ร้องนะ” เคลียร์บอกแล้วถือวิสาสะดึงกีตาร์จากมือผมไปแล้วดีดท่อนอินโทรอย่างตั้งใจและออกมาไพเราะมากจนผมอดทึ่งไม่ได้ ทั้งควิลและเคลียร์ต่างเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านการเล่นดนตรีพอๆ กันเลย สำหรับผมที่ว่าชอบกีตาร์มากแต่ก็ยังเล่นได้ไม่ดีเท่า...
ฉันก็ไม่รู้ว่านานเท่าไร และก็ไม่รู้มาไกลแค่ไหน
หนทางที่เราสองคนเดินผ่านไป
รู้แค่ว่า ฉันนั้นไม่เคยบอกรู้แค่ว่า ฉันนั้นไม่เคยหลอก
ความรู้สึกนั้นถ้าจะบอก ไม่รู้ต้องพูดตอนไหน
ไม่รู้ว่าต้องคบกันไปกี่ปี ต้องมีเรื่องราวดีๆ มากมายเท่าไหร่
ถึงจะควรพูดมันออกไป คำสั้นๆ คำเดียวนี้…. “อ้าว.... ทำไมไม่ร้องต่ออ่ะ...” เขาถามและหยุดเล่นกีตาร์เมื่ออยู่ๆ ผมก็ หยุดร้อง ทั้งๆที่ เพลงังไปไม่ถึงไหน เลยด้วยซ้ำ ที่ผมไม่ได้ร้องต่อก็คงเพราะ เพลงนี้อาจจะไม่ใช่เพลงที่ผมสมควรร้องให้เคลียร์ฟังตอนนี้ คนที่ได้ฟังควรจะเป็นตุลย์ต่างหาก จึงไม่อยากร้องต่อ...แต่ถ้าตอบไปแบบนั้นคงทำให้อีกฝ่ายเสียใจ จึงได้แต่ยิ้มให้และแก้ตัวไปว่า
“เอ่อ.... โทษที อยู่ดีๆ ก็ลืมเนื้อร้องเฉยเลยอ่ะ”
“ซะงั้นน่ะ เพิ่งรู้ว่าเวลาปอนด์ร้องเพลงที่ร้าน นี่ต้องมีเนื้อร้องคาราโอเกะให้ด้วย”
“แหม ปอนด์ก็ร้องแค่เพลงที่ร้องได้ไง เพลงไหนร้องไม่ได้ ก็ดูเนื้อกันบ้าง”
“งั้นร้องเพลงอื่นป่าว ระหว่างรอ”
“อือ.... เพลงเก่าๆ หน่อยนะ เดี๋ยวนี้ปอนด์ไม่ค่อยได้ฟังเพลงออกใหม่เลยอ่ะ”
“จริงดิ โบราณนะเนี่ย..” แล้วเขาก็หัวเราะ
ตกค่ำ ผมแยกย้ายกับชมรมดนตรี และเคลียร์ชวนผมไปทานข้าวเย็น ผมปฏิเสธเพราะมีนัดกับจิ๊บไว้ก่อนแล้ว และเพราะอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้ผมไม่ได้ชวนเขาไปด้วยกัน... ผมกลับไปอาบน้ำแต่งตัวเสริมหล่อเตรียมออกเที่ยว แต่ยังไม่ทันได้ออกจากห้อง อดีตคู่แข่งก็โทรมา
“อื้อ.... ว่าไงมึง” ผมทักทายแบบกันเองสุดๆ เมื่อเห็นชื่อโต้งบนมือถือ
“อยู่ไหน ทำอะไรอยู่... วันนี้จะไปที่ร้านป่าว” มันกรอกคำถามมากมายลงมาจนผมขมวดคิ้วว่าจะอยากรู้อะไรเยอะแยะ
“หึ กำลังจะไปเที่ยวเนี่ย จะไปป่ะล่ะ”
“ไปสิ ที่ไหน...”
“ที่............อ่ะ แต่ถ้ามา มึงต้องเลี้ยงนะเว้ย....”
“ได้สิๆ แล้วเจอกัน” มันตอบรับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วชิงวางสายไป
ผมแสนจะขำตัวเองที่ออกปากชวนโต้งออกไปเที่ยวแทนที่จะเป็นเคลียร์ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะอยากชวนเขาไปด้วย แต่ส่วนหนึ่งผมกลัวใจตัวเองมากกว่า กลัวว่าถ้าสนิทชิดเชื้อกับเคลียร์มากไป ผมจะมานึกหวั่นไหวเสียใจที่เอ่ยปากขอคบกับไอ้ตุลย์หรือเปล่า... หรือแม้แต่ถ้าตุลย์มันมารู้เอาทีหลังว่าแอบไปไหนมาไหนกับเคลียร์นอกเหนือจากเรื่องการประกวด ผมได้นอนเป็นซากศพอย่างแน่นอน เอาเป็นว่าผมตัดไฟแต่ต้นลมไปเสียเลย โดยกันตัวเองออกมา ส่วนโต้ง ถ้าตัดเรื่องเคลียร์ออกไป โต้งก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีของผม และผมว่าจะบอกข่าวดีให้มันรู้อยู่พอดี เรื่องที่ว่านับจากนี้ผมจะเลิกกระทำตัวเป็นคู่แข่งหัวใจกับมันแล้วนะ แล้วถ้าสมมุติ สองคนนี้เกิดตกลงปลงใจกันไปจริง เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ๊งใช่มะ ความคิดสวยหรูไหลหลั่งออกมาเป็นสาย ทำเอาผมเดินออกจากห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
จุดนัดพบเป็นร้านเหล้าปั่นเล็กๆ มีตู้คาราโอเกะเด่นหรา ทันทีที่นั่งลง หนังสือเล่มโตถูกวางลงตรงหน้า ทีแรกผมผงะตกใจนึกว่าเมนูอาหาร ที่ไหนได้กลายเป็นลิสรายชื่อเพลง
“กินอะไรดีคะปอนด์” จุ๊บจิ๊บถาม ผมมองลิสรายชื่อเพลงอย่างชั่งใจว่านอกจากเหล้าปั่น ที่นี่ขายอาหารด้วยหรือเปล่า
“เค้ามีอะไรบ้างล่ะ ไม่เห็นมีเมนู...”
“โอ๊ย.. ก็มีทุกอย่างนั่นแหละ จะกินอะไรล่ะคะ...ส้มตำยังมีเลย...” จุ๊บจิ๊บบอก
จะให้กินส้มตำตอนนี้เนี่ยนะ? ไม่ดีม้างงง
“เอาข้าวเกรียบ หรือยำมากินรองท้องก่อนดีกว่า แล้วก็บลูฮาวายสักเหยือก ไว้เจ้ามือมาค่อยว่ากัน”
“เจ้ามือไหนคะ? นึกว่ามาแค่สองคน อย่าบอกนะว่าปอนด์ชวนตุลย์มาด้วย” คำถามมีแววตื่นเต้น นัยย์ตาเป็นประกายลิงโลด เห็นแล้วก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ไม่ให้ไอ้ตุลย์มา ไม่งั้นสงสัยจะถูกเพื่อนจิ๊บแทะโลมจนโดนบาทาแน่ ไอ้ตุลย์มันเก็บอารมณ์ไม่เก่งเสียด้วย
“เปล่า ชวนเพื่อนคณะวิด-ยามาด้วยน่ะ”
“หล่อป่าว....”
“ไว้เจอก็รู้....” ผมบอกแล้วยิ้ม...สร้างความตื่นเต้นให้เพื่อนสาวเข้าไปใหญ่
กว่าเจ้ามือ(ตัวจริง) จะมาถึง บลูฮาวาย(เหล้าปั่น) ก็พร่องไปครึ่งเหยือก กับข้าวนี่ ไม่ต้องพูดถึงหายวับไปกับตาราวกับเสิร์ฟจานเปล่ามาแต่แรก ผมรีบกวักมือกุลีกุจอเรียกโต้งให้มานั่งข้างๆ พร้อมแนะนำเสร็จสรรพ
“เฮ้ยนี่เพื่อนที่คณะกู ชื่อจุ๊บจิ๊บ เป็นผู้มีพระคุณของกูตลอดศก เพราะช่วยทำรายงาน และการบ้านแทนกูบ่อยมาก ส่วนนี่ โต้ง...เรียนวิดยา ปีเดียวกะเรา..”
“หวัดดีค่า....” เพื่อนจิ๊บเอ่ยและส่งสายตาหวานเจี๊ยบเหมือนอยากกินเพื่อนใหม่เข้าไปทั้งตัว
“หวัดดีครับ” โต้งหันไปกล่าวอย่างสุภาพสมกับภาพลักษณ์เกย์จ๋าของมันมาก
แหมนี่ผมไม่ได้ประชดเลยนะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็มันเป็นคนสูง ผอม เจ้าสำอางค์ เครื่องแต่งกายและทรงผมเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า กลิ่นโคโลญจ์หอมฟุ้ง เวลาเฉยๆ ก็ธรรมดานี่แหละ แต่อย่าให้โมโห วาจาจิกกัดร้อนแรงไม่แพ้ผู้หญิงเลย ไอ้นิสัยแบบนี้มันน่าจะเป็นรับมากกว่ารุกเนอะ แบบนี้แหละทำให้ตอนเจอกันครั้งแรกทำผมเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นรับเฉยเลย ส่วนมันเข้าใจว่าผมเป็นรับได้ยังไง ผมนี่ยังงง ก็ผมถึงจะเกย์ ก็เกย์แบบแมนๆ จริงป่ะ!!
“เจ้ามือมาแล้ว กินไรสั่งเลยครับ ไอ้กระผมจะได้ รับกุศลส่วนบุญบารมี อิ่มหมีพีมันตามไปด้วย” ผมรีบเชียร์
“อะไร นี่มึงกะชวนกูมาออกตังจริงเหรอเนี่ย” แหม ยังมีหน้ามาทำหน้าฉงน
“แน่สิ ไม่งั้นจะชวนมาทำส้นตึกอะไรล่ะ” ผมมันคนดี ตรงไปตรงมา ไม่เคยหลอกลวงเพื่อนอยู่แล้วล่ะครับ พามาหลอกแดกก็บอกกันตามตรง ไม่มีกั๊ก
“แล้วนี่กินอะไร ไม่สั่งเหล้าอ่ะ”
“นี่งาย เหล้าปั่น...อร่อย” ผมว่า จริงๆ ก็อร่อยนะ เหล้าก็อยากกินอยู่แต่เอาไว้ก่อน
“กินเป็นผู้หญิงไปได้ ถามเขามีเบียร์ไหม หรือไม่ก็แบล็กสักขวด”
“จิ๊บๆ สั่งทีสิ” ผมหันไปโบ้ย พอดีไม่ใช่เจ้ามือและร้านนี้ไม่ใช่ริมทางถิ่นผม เลยออกจะหน้าบาง
“แล้วมึงกินข้าวเย็นมาหรือยัง”
“ยังเลย มึง...” ผมรีบบอก ไม่นับรวมว่าผมซัดยำกับข้าวเกรียบจนหมดไปแล้วน่ะนะ
“เยี่ยม... งั้น เอากับข้าวสักสองสามอย่างแล้วกัน ไม่งั้นพุงทะลุแน่...” นี่เป็นประโยคบอกเล่าเพราะไม่ได้รอความเห็น มันหันไปสั่งกับข้าวที่สาวสวยที่รับออเดอร์แอลกอฮอล์จากจิ๊บอย่างเป็นงานเป็นการ
ผมอยากจะกอดรัดฟัดเหวี่ยง จับไอ้โต้งมาดูดปากสักจ๊วบสองจ๊วบข้อหาที่มันช่างทำตัวได้ถูกอกถูกใจไปหมด ถ้าตัดเรื่องความรักออกไป แม่งเป็นเพื่อนที่น่าคบสุดๆ อย่างที่ผมเคยบอกเลยใช่ไหม... ความรวยเอย ความใจดีเอย ประกอบรวมออกมาเป็นไอ้โต้ง... สปอตชิบเป๋ง อ้อ.... ไม่ใช่ว่าไอ้ตุลย์ ไม่สปอร์ตหรอกนะ แค่ว่ามันไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดมากขนาดนี้เท่านั้นเอง ซื้อของกินของดื่มมาทีไรมาถามเรื่องสุขภาพซ้ากกกคำ จัดมาแต่ไอ้ของที่ผมกินแล้วแพ้นี่แหละ....
หลังจาก เหล้ายาปลาทอด ต้มยำ และกับแกล้มอื่นๆ มาเสิร์ฟให้ผมตักกินจนอิ่มหนำ เรื่องเหล้าก็เป็นเรื่องรองไป ผมเดินไปหยอดเหรียญ 10 กดเพลงไปสองสามเพลงเป็นการเริ่มต้น ตอนเดินกลับมาที่โต๊ะเลือกไปนั่งที่ฝั่งจิ๊บ เพื่อจะมองจอทีวีฉายเนื้อเพลงคาราโอเกะให้ชัดขึ้น เมื่อขึ้นอินโทรเพลงที่ขอ เพื่อนสาวรีบหันไปขอไมค์ลอยจากพนักงานให้โดยไว กลัวจะพลาดท่อนแรก ผมกรอกเสียงนุ่มทุ้มลงไมค์อย่างไพเราะ จนเรียกเสียงปรบมือลั่นร้าน
“อยู่ริมทางร้องเพลงได้เงินดีๆ ไม่ชอบ ดันออกมาเสียตังค์ร้องที่อื่นซะงั้น” เสียงไอ้โต้งเหน็บแนมมา เมื่อผมหยุดร้องเพลงแล้ว
“ร้องเป็นงานกับร้องสนุกๆ ไม่เหมือนกันนะเว้ย แล้วก็ เอาแค่หอมปากหอมพอเท่านั้นแหละน่า เปลือง...”
“ร้องอีกไหมล่ะ เดี๋ยวจะกดให้”
“ฮ้า ใจดีขนาดนั้นเชียว?” ผมแซว มันก็ไม่ตอบว่าอะไร
“เหอะน่า จะร้องหรือไม่ร้องล่ะ”
“ร้องก็ได้ เลือกเพลงที่มึงอยากฟังมาสิ”
มันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ตู้เพลง
“โอ๊ย.... ปอนด์ ....” เสียงที่ดังขึ้นอย่างเจ็บปวดของคนข้างๆ ทำให้รีบหันไปมอง
“อะไร ว่าไงจิ๊บ”
“หล่ออ่ะ เสป๊กเลยปอนด์ ช่วยหน่อยได้ไหมเนี่ย”
“อะ ชอบใครนะ ไอ้โต้งเนี่ยเหรอ” ผมทำหน้าเหวอ เมื่อสิ่งที่คาดไว้ เกิดเป็นจริงขึ้นมา...
“ใช่ ไหว้ล่ะ ช่วยจิ๊บหน่อย ได้สักครั้งจะไม่ลืมพระคุณเลย”
“เฮ้ย ไม่ดีมั้งจิ๊บ ปอนด์กลัวมันด่าอ่ะ...”
“เฮอะ!! ใจร้าย ไม่คิดแม้แต่จะช่วยเพื่อน” แล้วเพื่อนก็เบะหน้าน้อยอกน้อยใจจนผมละเหี่ย...
“ไม่ใช่ไม่อยากช่วย แต่.... เพื่อนปอนด์ มัน.... เอ้อ....”
“ปอนด์ยังไม่ได้ลองช่วยเลยด้วยซ้ำ” แล้วอีกฝ่ายก็ส่งเสียงกระซิกๆ มาอีก เวรกรรม.....
“โอเคก็ได้ เดี๋ยวพูดให้ แต่สำเร็จหรือเปล่า ไม่รู้นะ”
“จ้าๆ .... ขอบใจนะปอนด์” แล้วเธอก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่.... แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย
ผมถอนใจลึกๆ แล้วกลับไปนั่งข้างโต้งดังเดิมเมื่อมันเดินกลับมาที่โต๊ะ พลางกระซิบ
“เอ้อ... โต้ง คืองี้นะ.... เอ่อ... เอ่อ....” นึกคำพูดไม่ออกเลยให้ตายสิ!
“อะไรของมึง เอ่อๆ อ่าๆ อยู่ได้”
“คือแบบ คืองี้นะ .... คือจิ๊บอ่ะ เค้าชอบมึง...”
“เหรอ? แล้วไง” มันตอบเรียบๆ แบบไม่ใส่ใจ
“คือแบบ มึงสนใจจะ แบบ...”
“กูไม่ชอบกะเทย จบนะ” มันตอบเสียงเครียด ครับและแม่งก็ทำให้ผมโคตรเครียด เมื่อมองข้ามโต๊ะไปพบสายตาคาดหวังจากเพื่อน เหมือนจะบอกว่าปอนด์อย่าเพิ่งยอมแพ้ง่ายๆนะ
“โหยมึงจะไปรู้อะไร กะเทยนี่แหละ ของดีที่สุดในสามโลก มหัศจรรย์สุดๆ โดยเฉพาะจิ๊บนะ กูขอการันตีเลย ได้ลองละติดใจ”
“รู้ได้ไง ลองแล้ว?......” มันถามกะตอกผมให้หน้าหงาย แต่ผิดคาดครับ ผมยังหน้าตรงได้อยู่
“เออ ดิวะ ไม่เคยจะรู้ได้ไง” ผมตอบหน้าตาย ซึ่งทำเอาคนฟังทำหน้าอึ้ง... คงไม่คิดว่า ผมจะกินดะกินไม่เลือกขนาดนั้น ผมไม่ได้ขยายความว่านั่นมันสมัยโบราณกาล ตั้งแต่ผมเลิกกะควิลใหม่ๆ ไม่ว่าใครต่อใครผมก็ไม่แคร์ทั้งนั้นแหละ แต่ครั้นเมื่อเห็นท่าว่า จิ๊บเริ่มจะจริงจังผมก็ต้องรีบเบรคว่า ผมคงไม่ใช่คู่ตุนาหงันชั่วนิจนิรันด์ของใครได้ ให้กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม จิ๊บก็เข้าใจครับ ว่าคนเราก็ต้องมีอารมณ์เหงาๆ บ้าง เหมือนกัน เธอยินดีเป็นเพื่อน ดีกว่าจะเลิกคบหากันไปเลย
“ถ้าดีขนาดนั้นมึงก็เอาเองละกัน” มันตอบเสียงเรียบหันหน้าหนีไปทางอื่น
“ก็ วันนี้เค้าชอบมึง อยากเอากะมึงไม่ได้อยากเอากะกูไง โอเคป่ะ”
“ไม่โอเค กูไม่จำเป็นต้องเอากะใครเพราะแค่เค้าอยาก” เออ ก็จริงของมัน เถียงไม่ออกเลยแฮะ ผมถอนหายใจ ด้วยใบหน้าสลด
“แต่บางทีกูอาจจะไปก็ได้นะ ถ้าหาก....” แล้วแม่งก็ให้ความหวังผมขึ้นมาดื้อๆ
“ถ้าอะไรวะ?”
“ถ้ามึงไปด้วย....”
“ฮะ อะไรนะ...” คราวนี้ผมอ้าปากค้างอุทานออกมาเสียงดัง....
“กะเทยก็ผู้ชายนะ กูจะมั่นใจได้ไงว่าเค้าจะไม่เกิดอยากเสียบกูขึ้นมา อันตรายชิบ เพราะงั้น มึงต้องไปด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกัน...” ฟังทะแม่งๆ เนอะ ช่วยกันที่ว่านี่คือ จะให้ไปนั่งเฝ้า รอชมฉากรักของมันหรือไงเนี่ย ผมทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ กลุ้มจริงๆ
“มึงไม่ไป กูก็ไม่ไป เลิกพูด....” เชี่ยเอ๊ย..... เอาไงดีวะเนี่ย.....
“ก็ได้ ไปก็ไป.....”
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตอบตกลงอะไรแบบนั้นออกไปได้ยังไง แต่รู้สึกว่าทุกฝ่ายมีความสุขแฮปปี้กับมัน...
จุ๊บจิ๊บดีใจจนเนื้อเต้นที่จะลองเนื้อหนุ่มเจ้าสำอางค์อย่างไอ้โต้ง...
ส่วนผมจะได้แทนคุณเพื่อนสาวผู้อุปถัมป์ทุกเทอมอย่างสาสม
ไอ้โต้ง... ผู้ไม่เคยเนื้อกะเทยจะได้รับรู้รสชาติว่า ความอคติอาจจะทำให้มันพลาดของดีไป
ทั้งโต๊ะดูสนุกสนานกับการดื่มสุรา ซัดกับแกล้ม และฟังเพลงต่อไป....อย่างเปี่ยมสุข ฟังเหมือนจะดูดี แต่เอ๊ะ นี่ผมลืมอะไรไปอย่างหนึ่งหรือเปล่า อะไรสักอย่างที่.... ที่.....
ผมสะดุ้งเฮือก เมื่อบางอย่างที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง ผมรีบควักมือถือออกมาดู เป็นเบอร์ที่ไม่มีในเมมโมรี่โทรศัพท์ แต่อยู่ในเมมโมรี่ของผมเสมอ....
ผมนึกอะไรออกแล้ว.....ไอ้สิ่งที่ผมลืมคือ.... ไอ้ตุลย์!!!
ผมรีบเดินออกมายังหน้าร้าน....แล้วคิดคำแก้ตัวนับพัน....
“ฮัลโหล....”
“อยู่ไหน....” เสียงห้วนห้าวดังสวนมาทันที ผมไม่รู้ว่ามันไม่พอใจอะไรอยู่หรือเปล่าถึงเสียงนิ่งๆ หรือมันอาจจะเป็นเสียงปกติแต่ผมกลัวไปเองเพราะตัวเองมีเรื่องปิดบัง
“เอ่อ... เอ่อ....ออกมาซื้อของกินข้างนอก”
“แล้วเสียงเพลงอะไร ทำไมดังจัง....”
“ก็ ร้านข้าวเค้าเปิดเพลงอ่ะดิ ว่าแต่มึงแหละ โทรมามีไร” ผมเริ่มเปลี่ยนเรื่อง....
“กลับหอได้แล้ว กูรออยู่..”
“ฮะ ว่าไงนะ.... หอไหน หอกูเหรอ”
“ใช่น่ะสิ”
“เดี๋ยว ไหนว่ากลับพรุ่งนี้ แล้วทำไม.....”
“ไม่ต้องถามแล้ว.... กลับมา.... หากู..... เดี๋ยวนี้!!”
จบประโยคคำสั่ง ที่แสนเอาแต่ใจนั้น... ผมไม่ได้เดินเข้าไปในร้านเพื่อบอกลาโต้งกับจิ๊บ ไม่ได้ใส่ใจกับสัญญาที่ให้ไว้กับทั้งสองคน สิ่งที่ผมทำคือรีบคว้ามอเตอร์ไซค์แล้วบึ่งกลับมาที่หอตัวเองอย่างเร็วที่สุด....
รีบวิ่งขึ้นบันไดมาที่ชั้นสาม จนหอบแฮ่ก.....อยู่หน้าประตู แต่ไม่ทันได้หยิบกุญแจไข ร่างสูงใหญ่คุ้นตาที่ไม่ได้เจอกันไม่ถึง 30ชั่วโมงดีก็เปิดประตูออก วินาทีต่อมา อ้อมแขนแกร่งนั่นก็รวบคว้าร่างผมเข้าไปหาจนปะทะอกกว้าง ผมเงยหน้ามองมันทั้งที่ยังหายใจหอบ และมันก้มลงประทับจูบลงที่เปลือกตาเบาๆ
“ขอบใจ.... ที่รีบมา อยู่คนเดียวกูกลัวแทบแย่....” มันบอกด้วยเสียงเบา ดุจจะอ้อน
ผมหัวเราะในลำคออย่างขบขัน เมื่อคนตัวใหญ่เป็นยักษ์อย่างมันเอ่ยคำว่ากลัวออกมาได้
“คนอย่างมึงน่ะ กลัวอะไรด้วยเหรอ....” ผมถามอย่างหยอกล้อ...
“ต่อให้คนที่เข้มแข็งแค่ไหน ก็ไม่สามารถต่อสู้กับความรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยวได้ด้วยตัวคนเดียวหรอกนะ...” เจอประโยคนี้ปถึงกับจุก.... ทำให้ผมรีบสอดแขนเข้าไปรัดเอวของมันไว้แน่น....
“แล้วบอกได้หรือยัง ทำไมกลับมาวันนี้” ถามด้วยเสียงอ่อนๆ
“ก็คิดถึง...” คำสั้นๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถ้าไม่กอดมันให้แน่นกว่านี้อาจจะลอยไปถึงไหนๆ “เหตุผลที่กูรีบกลับมา....”
อืม.....
เหตุผลที่ผมรีบกลับมาก็เพราะ......
คิดถึง..... เหมือนกันTBC.
โอเค เลิกออกนอกลู่นอกทาง แล้วกลับสู่เนื้อเรื่องหลักกันได้แล้ว...
เดี๋ยวจะเข้าใจว่าทั้งเรื่อง มีกันอยู่แค่สองคน 555+
เคลียร์นี่มันตัวประกอบจริงๆ จะมี บทเด่นๆ อีกทีก็ท้ายๆ เรื่องนู่น 55+
พี่โต้ง พระเอกสุดที่รัก จากเรื่องน้องฐา แต่ขอบอกว่า เจ้าเล่ห์ ตัวร้าย แผนสูง จนเรียกว่าตัวโกงของเรื่องนี้เลย ยังมีบทที่พี่แกจะออกมาอีก รับรองได้ด่าพี่แกหนำใจแน่นอน
ปอนด์ ผู้ไม่ทันคน.... แต่กลับมาเร็วทันใจ
ตุลย์ ออกน้อยแต่ ..... ได้ใจกรรมการตลอดดดดดดด
ปล.อ่านแล้วมาเม้นท์ มาทักทายกันมั่งเหอะ เค้า เหงานะ