"ที่หนึ่ง" : END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ที่หนึ่ง" : END  (อ่าน 193565 ครั้ง)

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #360 เมื่อ01-04-2016 19:27:37 »

   เอาจริงคือถ้าลองไปถามเพื่อนสมัยมัธยมแต่ละคนว่ารู้เรื่องที่แบล็คกับไวท์มีน้องอีกคนหรือไม่ ร้อยทั้งร้อยคงทำหน้าตกใจกลับมา เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกเราเห็นมาโดยตลอดว่าฝาแฝดอยู่ด้วยกันอย่างนั้นไม่เคยมีใครอื่น แล้วการที่น้องชายอีกคนบอกว่าไม่มีพี่มีน้องนั่นมันไม่แปลกประหลาดไปหน่อยเหรอ

   แล้วก็ไม่ชอบเท่าไหร่ที่ต้องกลายมาเป็นเหยื่อในความขัดแย้งของพี่น้องบ้านนี้ หรือผมควรจะย้อนไปถึงเรื่องว่าเรานิยามว่าพวกเขาเป็น 'พี่น้อง' กันรึเปล่า ผมเป็นลูกคนเดียวที่ไม่เคยสัมผัสชีวิตที่มีพี่หรือน้อง พวกลูกพี่ลูกน้องส่วนใหญ่ก็กระจายไปเรียนที่ห่างไกลกันจนแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน จะว่าอย่างนั้นอย่างนี้ก็เถอะ ถ้าได้ไปนั่งอยู่บนโต๊ะทานอาหารเดียวกับผมวันนั้นก็ต้องเข้าใจได้ว่าบ้านนี้แม่งไม่ลงรอยกันมากแค่ไหน

   "ขึ้นไปอยู่กับโรมที"

   แบล็คพูดสั้นๆ แค่นั้น เขาใช้สายตาสั่งให้ผมทำตามโดยไม่ให้ผมได้มีโอกาสค้านหรือแย้งอะไรทั้งสิ้น เลยต้องรีบพาตัวเองออกมาจากส่วนของห้องทานข้าว ผ่านห้องนั่งเล่นแล้วถึงจะเจอทางขึ้นไปชั้นสอง ผมก้าวยาวๆ ให้สามารถข้ามขั้นบันไดขึ้นไปได้เร็วกว่าเดิม ตอนที่หักเลี้ยวจะขึ้นไปก็มองลงมาเห็นชั้นวางรูปภาพขนาดใหญ่ ชั่วขณะหนึ่งผมเหมือนคิดออกแล้วแล้วว่าสิ่งที่ทำให้ผมสะกิดใจในภาพพวกนั้นคืออะไร

   ภารกิจหลักที่ยังไม่ได้รับการสะสางให้สำเร็จบอกให้ผมหักใจลงไปพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเอง แล้วคือบอกให้ไปอยู่กับโรมโดยที่ไม่บอกว่าน้องอยู่ไหนเนี่ยนะ บนชั้นสองของบ้านมีอยู่หลายห้องเลยล่ะ แล้วแต่ละห้องก็ไม่มีอะไรที่ช่วยบ่งบอกได้เลยว่าเจ้าของห้องคือใครกันแน่ ผมเลยเลือกเปิดมั่วๆ เข้าไปในห้องที่มีแสงสว่างลอดออกมาจากปลายประตู

   ห้องแรกที่ผมเข้าไปที่เปิดไฟสว่างเอาไว้ แต่ไม่มีใครอยู่ในนั้น ดูจากรสนิยมการจัดห้องในโทนสีครึ้มหม่นรวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่น้อยชิ้นแล้วคงหนีไม่พ้นห้องของเกรย์ มันโล่งเสียจนขนาดของชิ้นเล็กที่อยู่บนหัวเตียงสามารถเด่นขึ้นมาได้ มันเป็นตุ๊กตาสีน้ำตาลขนาดไม่ใหญ่มาก คุ้นว่าเคยเห็นอยู่ตามร้านขายเครื่องเขียนบางแห่ง เมื่อที่นี่ไม่มีสิ่งที่ผมต้องการแเล้วเลยก้าวถอยหลังกลับมาปิดประตูห้องไว้ตามเดิม

   กว่าจะเจอน้องจริงๆ ก็ห้องที่สาม น้องที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้นห้อง เอาแต่จ้องมองมือว่างเปล่าของตัวเองแล้วก็พูดออกมาว่ามีเลือด ยิ่งนัยน์ตาเต็มไปด้วยหยดน้ำที่กลิ้งเต็มไปหมดมันทำใจผมวูบโหวง ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนั้นควรทำอะไรบ้าง ได้แต่ปลอบใจเขาว่ามันไม่มีเลือดอย่างที่เขากำลังหวาดกลัวอยู่ น้องเอาแต่ส่ายหน้าปฎิเสธคำขอของผม ยืนกรานว่ามันมีอยู่ไม่ยอมลดราวาศอก

   ท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับว่าตัวเองไม่อาจทนอยู่ในนสถานะอย่างนี้ต่อไปได้อีก และแผลขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าอกคือการเล่าเรื่องที่ดีที่สุด

   ...คุณรู้อะไรเกี่ยวกับคนชื่อ 'โรม' บ้าง?

   "ไม่เคยรู้อะไรเลย"

   นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกจริง ในแง่มุมหนึ่งผมว่าผมรู้จักเขาในทุกเรื่อง แต่พอมาตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่ามันมีอะไรอีกมากที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ราชาเคยเตือนผมไว้ก่อนแล้ว คนดูที่เห็นทุกอย่างแต่ไม่สามารถเล่าเรื่องออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา

   สิ่งที่เคยฝันกลายเป็นความจริง และความจริงกลายเป็นการเฉลยความฝัน

   ทุกคำไม่ต่างอะไรกับที่เคยฝันถึง ผมถึงเกลียดความฝันของตัวเองไง สุดท้ายแล้วต่อให้หนีมันมากแค่ไหนผมก็ต้องเจอมันอยู่ดี ทุกอย่างเป็นการรีรันที่ผมไม่ได้ต้องการสักนิด

   มองตัวพยัญชนะภาษาอังกฤษที่มีความหมายกับผมมากเสียเหลือเกิน มองอยู่อย่างนั้นหวังว่ามันจะช่วยให้คำตอบที่ผมต้องการได้ว่าผมควรจะหยุดหรือไปต่อ คราวนี้โรมให้ผมเลือกเอง ต่อให้ผมเคยบอกเขาไว้แล้วว่าผมจะยอมหยุดทันทีที่เขาต้องการให้เรื่องนี้จบลง

   จนท้ายที่สุดความฝันของผมก็เป็นจริงในทุกฉาก

   ให้ตอบตามจริงว่าเพราะอะไรถึงเลือกที่จะหยุด มันคงไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการที่รู้สึกไร้ทางไปต่อ พอคิดถึงคำที่เพื่อนตัวเองเคยพูดไว้เรื่องว่าเราอยู่ในสถานะอะไรแล้วมันก็ยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่ผมต้องการมันไม่มีทางเป็นไปได้ รอบข้างตัวโรมเต็มไปด้วยความลับมากจนเกินไป ทั้งครอบครัวที่ไม่ควรเรียกว่าครอบครัว ยังไม่รวมแผลเป็นตรงหน้าอกนั่นอีก ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามันเคยเป็นแผลใหญ่มาก่อน

   มันอาจเป็นอย่างที่น้องพูด

   การที่เราหยุดมันคงดีที่สุด


 
   การเจอกันของเราครั้งแรกหลังจากที่ผมเดินออกมาเป็นอะไรที่โคตรแย่ น้องเป็นคนที่แสดงออกทางสีหน้าเยอะโดยเฉพาะเวลาที่กำลังทุกข์ใจอยู่ และมันฉายออกมาชัดบนหน้าของเขาตอนที่เห็นว่าผมยืนอยู่ไม่ไกลออกไป ทั้งที่ทางเดินที่ผมกำลังยืนอยู่มันใกล้กับทางเข้าห้องเรียนภาคเช้ามาก แต่สิ่งที่น้องทำก็คือการเลี่ยงไปเดินอ้อมอีกฝั่งโดยไร้ประโยชน์

   ตอนที่ต้องเก็บของคืนให้น้องนั่นก็เจ็บปวดพอกัน สิ่งของที่ปะปนกันไปจนเป็นภาพชินตาว่าจะต้องวางไว้เป็นคู่ถูกลบออกครึ่งหนึ่งในทุกพื้นที่ ข้างของของโรมไม่ได้เยอะแยะอะไรมาก ห้องไม่ได้ดูโล่งอะไรหลังจากเก็บชองเสร็จ แปลกที่กลับรู้สึกใจหายเสียเหลือกัน

   แน่สิ ก็ผมเอา 'หัวใจ' ของตัวเองเก็บลงไปกับสิ่งของพวกนั้นด้วย

   ช่วงหลังมานี้ผมนั่งเรียนกับเขาทุกคาบ พอวันนี้ผมเปลี่ยนไปนั่งกับเพื่อนคนอื่นแล้วมันก็มีคนคันปากอยากจะถามออกมาเยอะอยู่เหมือนกัน ผมอาจจะยังมีโชคดีหลงเหลืออยู่บ้างที่น้องโรมจัดการปิดปากทุกคนที่พร้อมสอดรู้สอดเห็นให้เงียบปากไป ตั้งใจใช้สมาธิกับการเรียนจนกระทั่งมีคนสะกิดบอกว่าโรมเดินออกไปแล้ว พอหันไปตรงที่ประจำด้านหลังห้องก็พบว่าไม่มีใครนั่งอยู่แล้ว

   ตุ๊กตาตัวม่วงยังคงทักทายผมทุกครั้งที่กลับมาถึงห้อง ผมไม่ชอบของอะไรพวกนี้มากหรอก คิดแล้วก็แค้นใจราชาที่แกล้งกันได้ลงคอ มีอย่างที่ไหนมาบอกว่าน้องโรมอยากได้ตุ๊กตาอย่างนี้ แล้วต้องสีส้มด้วย ผมไปหาที่สยามไม่มีก็ต้องถ่อไปถึงสาขาศรีนครินทร์โน่น

   รูปถ่ายในวันที่เจอเกรย์ครั้งแรกถูกวางไว้บนหัวเตียงอย่างนั้น มันไม่ได้แย่อย่างที่น้องโรมคิดเอาไว้หรอก ผมกลับชอบมันมากเสียด้วยซ้ำ ตลกที่โรมสไตล์อยู่อย่างนั้นไม่เคยคิดจะเปลี่ยน น้องไม่รู้หรอกว่าตัวเองเวลายิ้มแล้วมันทำให้โลกของผมเป็นสีสว่างมากแค่ไหน

   ต่างจากไฟของห้องฝั่งตรงข้ามไม่เคยสว่างอีกเลย

   จากการสืบเสาะพบว่าน้องกลับไปนอนที่บ้านแล้ว มันยิ่งทำให้เราได้เจอกันน้อยลงไปกว่าเดิมอีกมาก เมื่อก่อนวันๆ หนึ่งผมหมดเวลาไปกับการนั่งมองเขาจากอีกฝั่งของตึกนานพอดู เห็นเขาเดินไปมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ส่วนมากจะนั่งก้มหน้าอยู่กับเกมส์บนมือถืออย่างนั้น ไม่ค่อยเห็นว่าจะดูทีวีหรือว่าทำอะไรอย่างอื่นมากเท่าไหร่ จะยอมออกจากห้องก็ต่อเมื่อมีคนมาลากให้ออกไปเท่านั้น

   "เขาเป็นที่หนึ่งไม่ได้อยู่แล้ว พอใจรึยัง!!"

   ถึงจะทำใจมาตั้งนานแล้ว แต่พอได้ยินจากปากของโรมเองมันก็เจ็บปวดไม่ใช่เล่น

   เกรย์ไปดักเจอผมที่คณะไม่ต่างจากวันนั้น ส่วนที่ต่างก็คงเป็นคนที่เขาต้องการมาพบในครั้งนี้คือผมไม่ใช่โรมอีกต่อไป  มันก็แค่คำชวนง่ายๆ ว่าไปช่วยไปกับเขาหน่อยได้ไหม ซึ่งผมก็ว่าดีเหมือนกันที่อย่างน้อยผมก็จะได้รู้ว่าเขาเข้ามาแทรกอย่างนี้ไปเพื่ออะไร

   สำหรับผมแล้วเกรย์น่ากลัวคนละแบบกับพี่ชายของเขา แบล็คต้องสร้างความน่าสะพรึงกลัวไว้เพื่อยืนหยัดให้ได้ถึงความเป็นราชา แต่ว่าเกรย์เป็นความน่ากลัวในจิตใจที่ดูดำมืดยิ่งกว่าพี่เสียอีก เขาดูเป็นคนที่เก็บอะไรไว้ในใจมากมายจนเกือบล้น แต่ก็กลบทุกอย่างไว้ด้วยการยิ้มที่ไม่ควรเรียกว่ายิ้มอย่างนั้น เขาชอบทำเหมือนว่าตัวเองเป็นตัวร้าย...ที่ต้องเป็น

   ที่บอกว่ารู้หมด ท้ายสุดแล้วก็ไม่ได้รู้ทุกอย่างขนาดนั้นหรอก อย่างง่ายที่สุดเลยคือผมมั่นใจว่าเกรย์คือคนในรูปที่ถ่ายกันสี่คน เรื่องสีเสื้อก็เป็นอันเคลียร์ไปเพราะชัดเจนจากชื่ออยู่แล้ว ส่วนที่ไม่รู้ก็คงเป็นเรื่องราวบาดหมางระหว่างพวกเขานี่แหละ ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรและระดับความร้ายแรงมันอยู่ตรงไหน

   "ผมรู้อยู่แล้วว่า 'ลัจ' คือที่หนึ่งของโรม"

   อย่างน้อยก็คือบอกให้เกรย์รู้ว่าเลิกเอาผมเข้าไปเกี่ยวได้แล้ว สองก็คือจะได้ไม่ต้องค้างคากันอีก ให้น้องได้รู้เหตุผลที่แท้จริงของทุกสิ่งที่ผมทำลงไป

   น้องที่ผมรู้จักมาตลอดไม่ใช่คนขี้แง โรมเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลาไม่เคยเปลี่ยนแม้จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่เพียงไหนก็ตาม สีหน้าของเขาในตอนนั้นเล่นเอาหัวใจหยุดเต้นไปวูบหนึ่ง ความปวดร้าวที่ส่งผ่านมาถึงมันมากเกินที่จะทนไหว จนผมต้องรีบหันหลังกลับไม่ให้เห็นอีก

   เพราะถ้าลองเห็นมันอีกแค่เศษวินาที ผมคงไม่มีทางเก็บความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไปเหมือนกัน


 
   เดินเล่นฆ่าเวลาอยู่แถวนั้นจนคาดคะเนได้ว่าพวกเขาคงกลับไปหมดแล้วจึงเดินย้อนกลับไปยังทางที่จอดรถเอาไว้ เห็นฟ้ามืดอย่างนี้แล้วก็อดห่วงตุ๊กตาที่ตากเอาไว้ที่คอนโดไม่ได้ คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้ากลับไปแล้วเจอมันเปียกแฉะอยู่ตรงระเบียง

   "แย่ล่ะ..."

   ความตั้งใจทั้งหมดก็ถูกทำลายลงเมื่อผมเห็นว่ามีร่างของใครอีกคนกำลังยืนหันรีหันขวางอยู่หน้ารถ ดูจากท่าทางแล้วนั่นไม่ใช่การดูลาดเลาเพื่อมาลักขโมยอะไรหรอก ถ้าดักรอผมอยู่ล่ะก็ไม่แน่

   ก่นด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้จักหาที่จอดรถที่ดีกว่านี้ ผมมาที่นี่เป็นครั้งแรกเลยไม่รู้ที่ทางมากเท่าไหร่เลยจอดๆ ไปเท่าที่มันจะเอื้ออำนวย มีเรื่องแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งก็คือการเดินตามหาจุดฝังของลัจไม่ได้ยากอย่างที่กลัวไว้ ผมเดินตามใจเพียงแค่แป๊บเดียวก็เจอแล้ว อย่างกับเธอต้องการให้ผมเจอไวๆ อย่างไรอย่างนั้น

   โรมรู้อยู่แล้วล่ะว่านั่นคือรถของผม แล้วนั่นก็หมายความว่าเขารู้แล้วว่าผมอยู่ที่นี่ด้วย เขาทำท่าเหมือนจะเคาะกระจกอยู่หลายรอบ พอใกล้จะถึงเคาะได้แล้วก็หุบกลับลงไปอยู่ข้างตัวเสียอย่างนั้น น้องเปลี่ยนเป็นวิ่งไปมาแถวนั้นหลายต่อหลายรอบ ร่างที่ปกติก็ผอมอยู่แล้วยิ่งพอมาได้เห็นชัดๆ วันนี้ก็รู้เลยว่ามันควรเปลี่ยนไปเรียกว่าซูบ ผมยาวที่ผมเคยบอกว่าชอบก็สั้นลงจนน่ากลัว เห็นตาของเขาแดงขึ้นเรื่อยๆ และมีครั้งหนึ่งที่เขาใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งเสีย

   ถึงแม้ไม่ได้ยินเสียง ริมฝีปากที่กำลังสั่นระริกนั่นก็พูดออกมาอยู่แค่คำเดียว

   ได้แต่ห้ามตัวเองไว้ไม่ให้ใจอ่อนเดินออกไปหา ในเมื่อเป็นผมเองที่เลือกเดินจากมาก็ต้องทำให้ได้อย่างที่พูดไว้ ต่อให้ต้องรั้งตัวเองให้ซ่อนอยู่อย่างนี้ต่อไปก็ตาม มันเป็นภาพที่อยากจะเบือนหน้าหนี จากที่เดินไปด้วยระยะปกติโรมก็ก้าวขาช้าลงไปทุกที
นี่มันคือสิ่งที่ผมต้องการแน่เหรอ?

   ท้องฟ้ายิ่งร้องเตือนให้ระวัง เสื้อของผมเริ่มมีหยดน้ำกระทบจนกลายเป็นวงที่แผ่กระจายอยู่ทั่วไป พะวงแต่คนตัวเล็กที่ไม่ชอบออกกำลังกายว่าจะตามหาผมไปอีกนานแค่ไหน เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก

   "ที่หนึ่ง!"

   ขนาดคิดว่าแอบมิดชิดแล้วก็ยังโดนจับได้ ผมผละออกไปจากต้นไม้ใหญ่ที่ใช้บังตัวเองไว้ ก้าวยาวๆ ไปอีกทางหนึ่งโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะพาผมไปที่ไหนกันแน่ ไม่กล้าที่จะหันกลับไปมองว่าโรมยังคงตามผมอยู่หรือเปล่า จนคิดว่ามันไกลพอสมควรแล้วถึงเหลียวหลังมามองว่าตอนนี้น้องอยู่ตรงไหน

   "..."

   น้องหยุดอยู่กับที่ ควานหาอะไรบางอย่างในอากาศที่ว่างเปล่าอยู่สักพักใหญ่ จนร่างนั้นโงนเงนคล้ายกำลังจะล้มลง ตัวของผมก็พุ่งออกไปรองรับร่างบางเบานั้นไว้ทันก่อนที่น้องจะกระแทกกับพื้นยางมะตอย

   หยาดฝนเริ่มตกกระทบร่างของเราทั้งคู่ไม่มีหยุด ผมกอดเขาไว้แน่นด้วยความหวาดกลัวว่ามันจะแย่แค่ไหนถ้าผมเข้ามารับไว้ไม่ทัน ...ถ้าเมื่อกี้ผมวิ่งเข้ามาช้าอีกนิด หรือว่าถ้าผมไม่หันมามองเลย

   "ที่...ห..."

   มือของโรมเอื้อมมาจับเสื้อของผมไว้แน่น เสียงเกือบเป็นการพึมพำเรียกชื่อของผมซ้ำไปมา

   "น้องโรม?"

   เขย่าตัวของเขานิดหน่อยดูว่ายังพอดีสติอยู่บ้างไหม จากภายนอกที่ผมเห็นบวกกับนิสัยที่หัวรั้นอยู่แล้วผมคิดว่าคนตัวเล็กกว่าคงหมดสติจากความเหนื่อยล้าไปแล้ว ผมประคองน้องไว้ในวงแขน ตั้งใจว่าจะพาไปหาที่หลบฝนเสียก่อนค่อยว่ากันต่อ

   ดูเหมือนว่าความต้องการของผมจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ

   สิ่งที่คิดไม่อาจเป็นจริงได้เนื่องจากกำแพงมนุษย์ที่ขวางไว้ไม่ให้ไปไหน เห็นพวกเขาทุกคนยืนเรียงกันอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่แบล็ค ไวท์ นิช แล้วก็เน็ท พวกเขาอยู่ในร่มที่คอยกันสายน้ำที่รดลงมาอย่างต่อเนื่อง ร่มที่ผมเห็นนานแล้วว่ามันกางอยู่บริเวณนั้นอยู่ก่อนแล้ว

   "ขอบคุณที่ช่วยดูแลนะครับ เดี๋ยวต่อจากนี้เราจะดูแลคนของเราต่อเอง"

   สีดำยื่นมือออกมา และผมปฏิเสธด้วยการกระชับคนที่อยู่ในอ้อมกอดให้แน่นเข้าไปอีก "ทำอย่างนี้...ทำไม"

   ตั้งแต่เรื่องที่ยอมปล่อยให้ผมเข้ามาอยู่ในวงเวียนนี้ ยอมให้เรื่องราวหลายอย่างเกิดขึ้นโดยไม่คิดเข้ามาขวาง ยอม...ทั้งที่รู้ว่าโรมจะเลือกใคร

   สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง เสียงหยดน้ำที่กระทบลงพื้นแบบไร้จังหวะกลายเป็นทำนองเฉพาะตัว ในม่านฝนผมต้องหรี่ตาลงเพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปแทรก ผู้ชายที่ยิ่งยศตรงนี้ยังหยัดยืนอยู่ตรงนั้นไม่ต่างจากคนอื่น

   พวกเขากลายเป็นใครที่ผมไม่รู้จักไปแล้วจริงๆ

   "...เคยได้ยินที่เขาว่า 'ไม่เคยมีใครชนะคนตาย' ไหม?"

   ท่ามกลางเสียงร้องคำรามของท้องฟ้า ผมกลับได้ยินมันชัดเจน

   "ก็แค่อยากลองพิสูจน์ดูก็เท่านั้นเอง"

[End : ที่หนึ่ง]


***
   สวัสดีวันแรกของเดือนเมษาค่ะ วันโกหกแต่มาอัพจริงนะคะ (ฮา)
   เดี๋ยวขออนุญาตหลบมุมก่อน คิดว่าพี่แบล็คน่าจะโดนเยอะอยู่ (หัวเราะ) อย่าทำร้ายพี่เลยนะ พี่น่ารักจะตายไป
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #361 เมื่อ01-04-2016 20:27:03 »


ที่หนึ่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ฮึก แกจะเป็นพระเอกที่รันทดเกินไปแล้วนะ!!
กรีดร้องน้ำตานองเต็มหน้าดราม่าจนหัวใจปวดร้าว ฮึกฮืออออออออ
แต่คือเรื่องนี้ปมมันเยอะเกินไปจริงๆนะ มีทั้งเรื่องลัจ เรื่องความไวท์กับเวลที่ยังไม่เครียล์กันให้เรียบร้อย เรื่องคำพูดของเกรย์ เรื่องความสัมพันธ์แปลกๆในบ้าน เรื่องแผลของโรม ไหนจะประวัติน้องโรมที่ตอนแรกก็เหมือนนายเอกตาใสธรรมดา แต่จู่ๆเรื่องราวก็ดันพลิกกระดานจนน่ากลัวอีก โอยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!
อ่านไปอ่านมาก็รู้สึกปวดหัว อืมมมมมม เราไม่ได้จะบอกให้เปลี่ยนหรืออะไรหรอกนะ แค่อยากจะเม้นให้รับรู้ความเห็นส่วนตัวของเรา ว่าจริงๆแล้ว ถ้าเรื่องมันมีแค่ปมที่โรมหลงรักลัจ ลัจตาย ไวท์เศร้าที่(เหมือนจะ)เป็นต้นเหตุให้ลัจตายก็เลยหนีออกจากบ้านไปเจอเวล จากนั้นทุกคนก็ไปตามไวท์กลับมา แล้วโรมก็ใช้ชีวิตมาถึงปัจจุบันโดยที่ยังมีลัจอยู่ในใจ จากนั้นที่หนึ่งก็เข้ามาจีบโรม เราว่าแค่นี้ก็สามารถแต่งฉากดราม่าได้ไม่หวาดไม่ไหวแล้ว แต่เรื่องนี้เหมือนจะพยายามดราม่าแล้วก็ทำให้มันดูซับซ้อนซ่อนเงื่อนไปด้วยกัน ซึ่งถ้าย้อนไปอ่านบทนำใหม่นี่เรารู้สึกว่ามันออกแนว หนังคนละม้วน นิยายคนละเรื่อง อะไรประมาณนั้นเลยแหล่ะ...
ตอนแรกๆเรารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องมุ้งมิ้งแล้วก็ค่อนข้างจะเบาๆ(ถ้าไม่นับปมไวท์กับเวลอ่านะ) พอมาปัจจุบันนี่แบบ นี่มันอะไรกันฟะ... ไอ่คนนู้นก็โผล่ ไอ่คนนี้ก็มีเรื่อง ใจคอจะอยู่กันแบบธรรมดาๆไม่ได้เลยใช่ม้ายยย อะไรทำนองนั้น - -;)

ออฟไลน์ GMJeam

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #362 เมื่อ01-04-2016 20:33:03 »

อย่างนี้ต้องโดนนะแบล็คอ่ะ

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #363 เมื่อ01-04-2016 20:58:27 »

ปมเยอะมากอ่ะ ไม่เคลียร์ซักเรื่องเลย
สงสารที่หนึ่ง  :hao5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #364 เมื่อ01-04-2016 22:51:38 »

อ่านแล้วงงๆ นิดหน่อย
แต่ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีนะน้องโรม ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #365 เมื่อ02-04-2016 03:50:43 »

ควรจะคิดเรื่องไหนก่อนดี

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #366 เมื่อ02-04-2016 06:58:47 »

 :pig4:  :pig4:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #367 เมื่อ02-04-2016 09:44:49 »


"ก็แค่อยากลองพิสูจน์ดูก็เท่านั้น" ประโยคนี้ใครพูด!! ที่หนึ่งบอกได้ยินชัดเจน!!

ถ้าเป็นพี่ๆ คนใดคนหนึ่ง จะหมายถึงต้องการให้น้องโรมหลุดพ้น ไม่ยึดติด เลิกยึดติดกับลัจที่จากไปแล้ว?
พี่บางคนเลยเปิดทางให้ แต่น้องโรมเองเป็นตัวแปร เกรย์ด้วย
ที่หนึ่งเลิกสู้ ทำตามที่น้องโรมบอก ไปไม่สุด เลยเอาน้องคืน
แบบนี้หรือเปล่า?

ถ้าเป็นที่หนึ่งพูด ก็รีบจัดโลดเลย พูดไปเลยว่ารัก น้องโรมน่ะยิ่งกว่ารักที่หนึ่ง
ไม่ต้องกั๊กแล้วที่หนึ่งเอ๋ย


ที่หนึ่งก็คือที่หนึ่ง
บางคนอาจมีที่หนึ่งได้หลายคน
บางคนเป็นที่หนึ่งได้ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
ที่หนึ่งเป็นปัจจุบันค่ะ

รอๆ รีบมานะคะ สนุกมาก
ขอบคุณจริงๆ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #368 เมื่อ02-04-2016 10:35:25 »

โอ๊ยยย เครียดดดดด

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #369 เมื่อ02-04-2016 12:12:02 »

สงสารที่หนึ่ง :mew2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
« ตอบ #369 เมื่อ: 02-04-2016 12:12:02 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nnewy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #370 เมื่อ02-04-2016 17:34:23 »

เอาที่หนึ่งกลับมาให้น้องโรมเลยย

ออฟไลน์ Lonelyนู๋โรนลี่

  • ฉุด กระชาก ลากถู พาเข้า.....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #371 เมื่อ03-04-2016 01:39:45 »

ทำขนาดนี้ไม่สงสารที่หนึ่งที่เป็นแค่หมาก ก็สงสารน้องโรมบ้างเหอะที่เป็นหมาก(อ้อมๆ)เหมือนกัน
มาถึงขนาดนี้แล้ว เราก็ยังอยากเชียร์ให้ที่หนึ่งถอยห่างออกมาอยู่ดี อย่าเข้าไปอีกเลย ครอบครัวนี้มันแปลกทุกคนเลย
เหมือนทุกคนไม่พร้อมต้อนรับใครเข้ามาอยู่แล้ว ที่หนึ่งควรอยู่ที่ของที่หนึ่งเหอะ
ให้โรมออกมาเอง ไม่ก็ เป็นเส้นขนานกันต่อไป ไม่ต้องรักกันก็ได้ เป็นความทรงจำดีๆปนขมๆก็ได้
เซ็งพี่น้องครอบครัวนี้มากๆ

ออฟไลน์ kung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #372 เมื่อ03-04-2016 09:51:16 »

ต่อให้เป็นที่หนึ่งที่ไหนๆมาก็ตาม แต่บ้านคนแปลกๆบ้านนั้นที่หนึ่งคงไม่มีวันเป็นที่หนึ่งได้อะ โรมก็ดูอ่อน พี่น้องบ้านโรมก็ดูประสาทๆ เราว่าเขียนแฟนให้ที่หนึ่งใหม่จะง่ายกว่ารอพวกบ้านโรมคลายปมนะ บอกจริงๆเราโคตรมึนอะ555  :katai5: :katai1:

ออฟไลน์ w-for-winnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #373 เมื่อ04-04-2016 12:08:13 »


"ก็แค่อยากลองพิสูจน์ดูก็เท่านั้น" ประโยคนี้ใครพูด!! ที่หนึ่งบอกได้ยินชัดเจน!!

ถ้าเป็นพี่ๆ คนใดคนหนึ่ง จะหมายถึงต้องการให้น้องโรมหลุดพ้น ไม่ยึดติด เลิกยึดติดกับลัจที่จากไปแล้ว?
พี่บางคนเลยเปิดทางให้ แต่น้องโรมเองเป็นตัวแปร เกรย์ด้วย
ที่หนึ่งเลิกสู้ ทำตามที่น้องโรมบอก ไปไม่สุด เลยเอาน้องคืน
แบบนี้หรือเปล่า?

ถ้าเป็นที่หนึ่งพูด ก็รีบจัดโลดเลย พูดไปเลยว่ารัก น้องโรมน่ะยิ่งกว่ารักที่หนึ่ง
ไม่ต้องกั๊กแล้วที่หนึ่งเอ๋ย


ตามเท่าที่เราเข้าใจนะ คนที่พูดคือแบล็คค่ะ และไม่น่าจะหมายถึงต้องการให้น้องโรมหลุดพ้น ไม่ยึดติด เลิกยึดติดกับลัจที่จากไป

แบล็คถามที่หนึ่งว่า "...เคยได้ยินที่เขาว่า 'ไม่เคยมีใครชนะคนตาย' ไหม? ก็แค่อยากลองพิสูจน์ดูก็เท่านั้นเอง"
(สองประโยคนี้แบล็คน่าจะพูดต่อกัน แต่มี Narrative จากมุมมองของที่หนึ่งมากั้น)

ก่อนหน้านี้ที่หนึ่งถามแบล็คว่า "ทำอย่างนี้...ทำไม" ทำไมถึงให้ที่หนึ่งเข้าใกล้โรม ไม่ห้ามจีบโรมทั้งๆที่รู้ว่าโรมมีลัจเป็นที่หนึ่งในใจตลอด แบล็คเลยตอบกลับมาว่าอยากพิสูจน์ว่าที่หนึ่งจะไม่มีวันมาแทนลัจ ("คนตาย") จริงๆใช่หรือไม่

คนเขียนน่าจะยังอยู่โหมดดาร์คค่ะ 55555 เช่นเดียวกับแบล็ค
หรือคนเขียนจะเป็นแบล็คหว่า ชอบทิ้งปมไว้ปล่อยให้คนอ่านสงสัยต่อไป 5555
คงต้องรอน้องโรมฟื้นมาก่อนแล้วค่อยรอดูว่าโรมจะยังลังเลเรื่องที่หนึ่งต่อหรือไม่
แต่เราก็คิดนะว่าที่โรมคงรักที่หนึ่งเข้าแล้ว แต่คงติดที่ว่าลัจยังเป็นเรื่องฝังใจอยู่ เป็นรักที่ไม่ได้เอ่ยไป อาจจะจะเคยให้สัญญากับตัวเองหรือกับใครว่าจะไม่ให้ใครมาแทนที่ลัจ (เดาจากบทสนทนาระหว่างโรมและเกรย์เอานะ)
แต่ก็นะ คงจะยังสรุปอะไรไม่ได้จนกว่าคนเขียนจะมาเฉลยปมระหว่างเกรย์และโรม รอยแผลของโรม แล้วที่ว่าทำไมโรมถึงถูกเรียกว่าผู้เสียสละ ทำไมพี่ๆถึงไม่อยากให้เกิดเหตุ'ซ้ำ' แต่กว่าจะเฉลยหมดก็คงจบเรื่องพอดี 5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2016 13:26:33 โดย w-for-winnie »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
«ตอบ #374 เมื่อ06-04-2016 19:05:27 »

บทที่ 25
 
   ปวดหัวจนไม่อยากจะขยับตัวไปไหน เปลือกตาหนักอึ้งจนต้องใช้แรงมากกว่าปกติในการคลี่มันออกให้แสงจากภายนอกลอดเข้ามากระทบ ผมอยากจะขยับร่างกายให้ได้มากกว่านี้อยู่หรอก ติดที่ว่าตอนนี้สิ่งที่เป็นของผมจริงๆ มันมีแค่ความคิดเท่านั้น ร่างกายถูกตัดขาดจากส่วนการรับคำสั่งอย่างสิ้นเชิง

   ครั่นเนื้อครั่นตัวไปเสียหมด อยากจะฝืนสู้สิ่งที่กำลังเจอขนาดไหนก็ทำได้มากที่สุดแค่ครางฮือในลำคอ ต่อมาอีกพักใหญ่ถึงรู้สึกได้ว่าแผ่นเจลไร้ความเย็นที่อยู่ตรงบริเวณหน้าถูกดึงออก แทนที่ด้วยผ้าชุบน้ำเย็นทั่วหน้าจนสะอาด คงมีใครมาเช็ดเอาความร้อนที่สะสมอยู่ข้างในจนแทบจะหลอมละลายนี่ออกไป

   คลายคิ้วที่เข้ามาชิดกันได้หน่อยตอนที่รู้สึกความอบอุ่นตรงบริเวณฝ่ามือ มือของใครบางคนคอยจับมันไว้อย่างนั้นให้รู้ตรงนี้ไม่ได้มีผมอยู่ลำพัง

   "หนึ่ง..."

   ชื่อที่อยากเรียกมากที่สุด

   "อย่าไปไหนนะ..."

   ช่วยรับคำขอของผมได้หรือเปล่า

 

   โรคเยื่อจมูกและลำคออักเสบเฉียบพลัน

   เรียกง่ายๆ ก็ไข้หวัด

   ถ้าอยากจะลองสัมผัสประสบการณ์นอนซมร่วมสัปดาห์อย่างที่ผมกำลังเจออยู่ก็แค่ไม่ดูแลตัวเองจนภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่เต็มที่แล้วยังพาตัวเองไปตากฝน ผลสุดท้ายเลยได้เป็นง่อยอยู่บนเตียงโดยมีพยาบาลส่วนตัวจำนวนมากเกินพอดี

   อย่ามองผมอย่างนั้น ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากเป็นหวัดหรอก

   "ไม่มีไข้แล้วล่ะ"

   ปรอทวัดไข้แบบดิจิตอลถูกยื่นมาให้ผมดู เลขสามสิบกว่าองศากำลังแสดงความยินดีกับผมเนื่องในโอกาสที่หลุดออกจากวงจรคนป่วยได้อย่างสมบูรณ์ นี่ยังดีที่มาเป็นหนักขนาดนี้ช่วงปิดเทอม ถ้าเป็นตอนเปิดเทอมคงวุ่นวายพิลึก คิดภาพคนเดินเข้าออกห้องของผมเป็นว่าเล่นแล้วนั่นมันความโกลาหลของแท้

   "งั้นออกไปข้างนอกได้แล้วใช่ไหม"

   "ไม่ได้ เพิ่งฟื้นไข้เอง" นี่คือพยาบาลหมายเลขหนึ่ง ช่วงแรกที่อาการหนักก็เห็นแต่นิชคอยอยู่ใกล้ตลอดเวลา จะตื่นจะหลับก็ได้ยินแต่เสียงเขาวนเวียนอยู่รอบตัว

   "เบื่อแล้ว"

   "น้องโรม"

   "เมื่อวานเน็ทมาก็เอาแต่นั่งเล่นเกมส์"

   พยาบาลหมายเลขสองไม่สมควรเรียกว่าพยาบาล อย่างดีที่สุดคือคนเยี่ยมไข้ที่มาสร้างความเดือดร้อนเสียมากกว่า เน็ทเอาแต่ชวนผมเล่นเกมส์อยู่ทั้งวันไม่ได้ดูเลยว่าผมเพิ่งฟื้นขึ้นเอง พอจะนอนก็ไม่ให้นอนบอกว่านอนมามากพอแล้ว จนต้องยอมเล่นด้วยไปได้สักพักคนชวนที่เล่นแพ้ติดต่อกันสี่ตารวดก็โยนจอยทิ้งแล้วก็ไปดูทีวีแทนอีก

   "อยากลองให้เน็ทเช็ดตัวให้เหรอ?"

   "ไม่อะ" ปฎิเสธกลับไปพลัน แม่งเคยเช็ดตัวให้ผมอยู่ครั้งนึง ไม่สิ มันคือการถลกเนื้อของผม บ้านไหนเขาสอนให้เช็ดตัวด้วยแรงมหาศาลขนาดนั้นกัน

   "แค่มันไม่ทำให้ป่วยเพิ่มก็ดีแล้วล่ะน่า"

   "งั้นขอออกไปเดินเล่นแถวนี้ไม่ได้เหรอ สวนข้างหลังก็ได้"

   "จนกว่าจะไม่มีไข้ชัวร์แล้วถึงให้ออกไปนะ"

   "นิชชช" ผมโอดครวญ "นี่กูแทบไม่ได้ลงไปชั้นล่างเลยด้วยซ้ำ"

   ตื่น กินยา หลับ เล่นในห้อง นอน โคตรหรรษาเลยชีวิตผม

   "ดีแล้ว เดี๋ยวไปติดคนอื่นล่ะยุ่ง"

   "มึงยังไม่ติดเลย"

   "กูเก่ง"

   สำหรับผมแล้วหนุ่มแว่นคนนี้เป็นคนที่พูดคำว่ากูเก่งได้อ้อนส้นตีนที่สุดแล้ว ไม่ได้เกลียดการลอยหน้าลอยตาหรือว่าการกระตุกยิ้มร้ายอย่างนั้นนะ ที่เกลียดที่สุดคือมันเป็นอย่างที่เขาพูดทุกประการ

   "นี่นิช"

   "ไม่ให้" ยังไม่ทันจะขออะไรเลยก็โดนตีกลับเสียแล้ว

   "ให้กูพูดก่อนไหม?"

   "ไม่อะ"

   "...กูไม่หายไปหรอกน่า" ผมอาจจะคิดมากไปเอง และเพื่อให้ความกังวลใจนี้หมดไปผมถึงพูดออกไป "เหนื่อย ไม่ทำอย่างนั้นแล้ว"

   ดักคอพวกที่ให้การดูแลที่ใกล้ชิดและมากจนเกินพอดี จะมีอะไรนอกจากเรื่องที่พวกเขากำลังกลัวว่าทุกอย่างจะซ้ำรอยเดิมอีกล่ะ 

   "..."

   "รอบนี้ไม่ไปไหนแล้วจริงๆ"

   ย้ำลงไปอีกครั้งว่ามันจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นอีก พวกเขาจะไม่ต้องเหนื่อยเพราะน้องสุดท้องที่เอาแต่ใจในทุกเรื่องอย่างผมอีก

   "ต่อให้มึงหลั่งเลือดสาบานกูก็ไม่ปล่อยให้ไปไหนหรอก" เขาดันแว่นขนาดใหญ่ของตัวเองขึ้นไปไว้บนสันจมูกตามเดิม "กูเคยเจ็บมาแล้วน้องโรม เข้าใจไหม"

   "...เข้าใจ" ยอมรับเสียงอ่อน หลุบตาลงต่ำหน่อยจะได้ไม่ต้องเห็นว่าเขากำลังดุผมด้วยสีหน้าแบบไหน

   "เพราะอย่างนั้นอย่าทำให้พวกกูห่วงเลยเนอะ"

   "อืม"

   "แต่คนที่เดินไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมาเป็นหวัดได้นี่ก็เก่งนะ แม่ง ตอนกูเจอมึงสภาพอย่างกับศพอะ"

   "ใครเจอกูคนแรกอะ?" เห็นช่องว่างที่จะได้สิ่งที่ต้องการในคำบอกเล่าของเขา ผมทำเป็นไม่สนใจอะไรมาก ยกแก้วน้ำที่วางไว้ข้างเตียงมาดื่มแก้กระหายโดยเหลือบตามองดูว่าปีศาจที่ได้ชื่อว่าควบคุมความรู้สึกได้ดีที่สุดจะทำหน้ายังไงกับการหลอกล่อของผม

   ต้องยอมรับเลยว่าเขายังคงคอนโทรลตัวเองได้ดีเช่นเคยจนผมแทบไม่เห็นข้อพิรุธ "...ก็กู คนอื่นด้วย"

   "ใช่เหรอนิช ...มึงคือคนแรกที่เจอกูแน่เหรอ"

   "..."

   "ไม่ใช่ที่..."

   "ซื้อหนังมาให้แล้วนะ บอกว่าอยากดูเรื่องนี้ไม่ใช่รึไง"

   คำว่า 'ที่หนึ่ง' หรืออะไรที่สามารถสื่อถึงเขาได้กลายเป็นคำต้องห้ามของทุกคนไปเสียแล้ว ถ้าผมพยายามวกกลับไปเรื่องนี้เมื่อไหร่ก็จะโดนตีมึนไปเสีย พิษไข้ที่รุมติดต่อกันหลายวันลบความทรงจำของผมในช่วงนั้นไปเกือบหมด ลืมตาตื่นแบบเต็มที่ครั้งแรกก็ในห้องนอนของตัวเองโดยมีพี่ชายคนโตนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ

   พยายามนึกว่าคนที่กอดผมไว้ตอนที่ไปเจอลัจเป็นเขาจริงหรือแค่คิดถึงมากจนเกิดภาพหลอน ไม่มีใครปฏิเสธ...แต่ก็ไม่ยอมเข้าประเด็นนี้เลยสักคน จนผมตัดสินด้วยตัวเองว่าวันนั้นผมเจอที่หนึ่งจริงๆ ...สัมผัสที่ผมได้รับมันคือของจริง

   ในถุงกระดาษใบเล็กมีกล่องดีวีดีของหนังที่ออกจากโรงมาพักใหญ่แล้วอยู่สองสามเรื่อง ผมหยิบมันออกมาไล่ดูทีละแผ่น มีแต่อนิเมชั่นหลอกเด็กทั้งนั้นเลย ไปบอกตอนไหนกันว่าอยากดูน่ะ

   เห ในถุงยังมีอะไรอีก?

   กระดาษขนาดนามบัตรเคลือบแข็งอย่างดีในมือของผมเขียนรายละเอียดของงานสักอย่างที่ลงท้ายด้วยคอนเสิร์ต ตรงราคาเขียนไว้ว่าวีไอพีหรา ชื่อของวงดนตรีที่ไม่คุ้นเลยถามออกไป

   "อะไรอะ"

   "ไปเที่ยวกัน"

   "เที่ยว?"

   "ที่เคยชวนไว้ไง ไปดูพี่เล่นดนตรีไหม"

   "ยังเล่นอยู่เหรอ?" ไหนเขาบอกว่าจะเล่นแค่ไม่กี่เดือนไง

   "อ่าฮะ จะพาไปเจอเจ้านายด้วย อยากจะขอบคุณเรื่องของขวัญไม่ใช่เหรอ"

   ของขวัญชิ้นใหญ่จนเกือบหาที่วางไม่ได้ เปิดมาแล้วลมแทบจับว่านี่มันคือการคว้าอะไรได้มั่วๆ ก็ใส่มานี่หว่า มันมีทั้งหนังสืออ่านนอกเวลา ปากกาหมึกซึมแท่งสวย สมุดจดลายแปลกตา แผ่นซีดีเพลงวงดนตรีที่ผมไม่รู้จัก ตุ๊กตาตัวเล็กแบบเป็นเซต ขนมจุกจิกอีกเพียบ โคตรจับฉ่ายของแท้

   ก็ตั้งใจว่าจะโวยวายกับนิชอยู่หรอกนะ ไม่รู้ว่านี่ตั้งใจหรือว่าไปพลาดตรงกระบวนการไหนมันเลยมีใบเสร็จติดมาด้วยอยู่ที่ก้นกล่อง ไล่ดูตามลิสต์รายการที่พอรวมกันแล้วได้เฉียดครึ่งหมื่นแล้วขนลุกชอบกล ปกติของที่นิชให้จะเป็นของที่คำนวณเป็นราคาไม่ได้อย่างรูปวาด พอได้ของที่มันมีมูลค่าผมล่ะไปต่อไม่ถูกเลย

   "อืม ก็อยากอยู่"

   "งั้นก็ไปกัน เดี๋ยวจะได้จองห้องไว้ให้"

   ผมอยากปฎิเสธออกไปใจจะขาด อดด่าตัวเองไม่ได้ที่จนป่านนี้ก็ยังดื้อกับนิชไม่ออก เห็นเขายิ้มรอคอยคำตอบของผมอย่างใจจดใจจ่อก็เลยทำได้แค่ยอมตอบรับไป


 
   ชั้นสองของร้านคือพื้นที่วีไอพีที่กั้นไว้เป็นสัดส่วนชัดเจน ผมเท้าแขนกับราวเหล็กที่ตั้งไว้ป้องกันอันตราย มองลงไปยังพื้นที่กว้างด้านล่างที่เริ่มมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ ผมไม่รู้จักวงดนตรีที่พี่นิชไปเล่นให้ ก็ตอนแรกเห็นบอกว่าทำแค่ชั่วคราวเลยคิดว่าไม่ต้องไปสนใจให้รกสมอง กลายเป็นว่าจนตอนนี้ผ่านมาได้เกือบครึ่งปีแล้วเขาก็ยังคงยึดอาชีพเสริมนี้อยู่เลย

   เอาความจริงจากใจแล้วผมไม่ได้อยากออกมาพบเจอบรรยากาศอะไรอย่างนี้หรอกนะ ยอมนอนโง่ๆ อยู่ในห้อง พิจารณาการเข้าออกของลมหายใจให้หมดวันหนึ่งยังจะดีเสียกว่า เพียงแค่เคยพูดไปแล้วว่าจะมาดูเมื่อครั้งไปรับน้องตอนนั้น ก็เลยต้องยอมมา... แบบที่ยังไม่ได้ชวนที่หนึ่งมาด้วยเลย

   "อีกนิดนึงก็จะหล่นลงไปแล้วสัตว์ ยืนดีๆ หน่อย"

   โดนดึงคอเสื้อจนมันรั้งมารัดช่วงลำคอ ผมส่งตาขวางไปให้เพื่อนที่คงไม่สามารถใช้สามัญสำนึกอย่างคนอื่นทั่วไปได้ว่าวิธีการอย่างนั้นมันมีแต่เพิ่มความบาดแผล ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด

   "ยังจะมาทำหน้าเหวี่ยงใส่กูอีก" เน็ทแม่งเข้าวัยทองแล้วแน่เลยถึงลงมือรุนแรงกว่าทุกที "มาเที่ยวก็เอนจอยหน่อยดิ"

   "นี่เรียกว่าเที่ยว?"

   "มึงกำลังคิดว่าเรากำลังจะสวดมนต์ข้ามปีกันเหรอ"

   เอาจริงนะ อย่างเขานี่แค่ท่องนะโมสามจบได้รึเปล่าเถอะ มองเจ้าชายที่บอกว่ากำลังจะไปสวดมนต์หัวจรดเท้า กางเกงยีนส์ตัวเก่งกับเสื้อยืดสีขาวขนาดพอดีตัว เห็นสร้อยเงินเส้นยาวที่ติดตัวตลอดเวลาห้อยลงมาเป็นเครื่องประดับ เน็ทหน้าตาดีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากก็ดึงดูดสายตาผู้คนได้มากมายเสมอ

   "ไม่ต้องวิจารณ์กูในใจ ถึงมึงเพิ่งหายไข้กูก็บวกมึงได้นะ"

   "มึงเป็นคนดีมาได้ตั้งหลายวันแล้วก็เป็นต่ออีกหน่อยดิ"

   "ไม่อะ อย่างกูเหมาะกับบทผู้ร้ายอย่างนี้นี่แหละ"

   "เรื่องมึง"

   ขี้เกียจคุยกับคนที่พูดไม่รู้เรื่องแล้ว นอกจากผมกับเน็ทแล้วยังมีอีกคนนั่งอยู่ตรงโซฟาขนาดใหญ่ลึกเข้าไปในห้องกั้น ไวท์นั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้นไม่ต่างจากตอนที่อยู่บ้าน เธอยกโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดอะไรไม่ยอมหยุด สังคมก้มหน้านี่มันมีข้อดีก็วันนี้แหละ ได้เห็นสีขาวทำอะไรที่มันแตกต่างออกไปบ้าง

   ส่วนแบล็คขอตัวไปสูบบุหรี่ตั้งแต่เจอป้ายที่เขียนว่าสโมคกิ้งโซนแล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาหาเพื่อนฝูงเสียที ผมไม่ชอบที่เพื่อนทำร้ายร่างกายตัวเองอย่างนั้น บอกให้เลิกเท่าไหร่ก็แค่ยักไหล่ขึ้นอย่างคนไม่สนใจโลก อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนประเภทไหนที่จะมายันกับราชาได้ ตอนนี้มองไปทางไหนก็ไม่เห็นผู้กล้าที่จะขึ้นไปต่อกรกับคนบนบัลลังก์ได้สักคน คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าคนประเภทไหนที่จะทำอะไรอย่างนั้นได้

   จากนั้นไม่นานไฟของร้านก็หรี่ลงต้อนรับวงดนตรีใต้ดินที่จะมาบรรเลงในค่ำคืนนี้ เสียงเชียร์กระหึ่มอย่างที่ผมต้องยกมือขึ้นมาปิดหูของตัวเองทันที ไม่ว่าเมื่อไหร่เสียงดังก็เข้ากับไม่ได้ผมสักที

   ผู้ชายสองคนแรกที่ก้าวขึ้นมาบนเวทีไม่ใช่พี่ชายของผม ผมมองตามทั้งคู่เข้าไปประจำที่ของตนเองเรียบร้อยแล้วถึงหันไปทางข้างเวที รอคอยการปรากฎตัวของหนุ่มแว่นร่างผอมบางอย่างใจจดใจจ่อ ในความมืดสลัวผมเห็นชายคนหนึ่งคล้ายกับคนที่กำลังรออยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำกำลังคุยอะไรกับคนดูแลข้างเวทีนิดหน่อยถึงเดินขึ้นมาบนเวที

   คนบนเวทีไม่เหมือนกับพี่นิชที่ผมรู้จักเลยสักนิด พี่ชายของผมในชุดแปลกตาโชว์ผิวขาวอย่างคนไม่ชอบออกแดดชัดเมื่อแสงสปอตไลท์ส่องลงมา คงอยู่ในความสนใจของใครหลายคนจากเสียงร้องต้อนรับยามประกาศชื่อ เขายิ้มรับเสียงทักทายด้วยความคุ้นเคย ไม้กลองในมือควงไปมาเป็นการวอร์มอย่างที่ชอบทำ

   หนุ่มแว่นเงยหน้าขึ้นมาตรงที่ผมยืนอยู่ พอเห็นว่าผมประจำที่พร้อมแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างให้ โบกมือไปมาอยู่ครู่ใหญ่จึงลดมือลง ผมเลยชูนิ้วเป็นตัววีคืนไปให้

   "หืม?"

   จากที่กำลังพูดคุยกันผ่านภาษามืออยู่นั้น พี่ชายของผมถูกร่างของใครอีกคนบังไว้จนมิด ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มาพร้อมกับทรงผมแปลก มองไกลๆ เลยเห็นไม่ค่อยชัดว่าส่วนที่เขาตัดจนสั้นกุดนั้นมีรอยไถแบบไหน ผมมองทั้งคู่คุยอะไรกันอยู่หลายประโยค ถึงได้เห็นหน้าของเขาชัดๆ เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้ามาทางผม

   เค้าหน้าแบบที่เห็นปราดเดียวก็รู้ว่าต้องมีเลือดของชนชาติอื่นปนอยู่ไม่มากก็น้อยผสมกันจนลงตัว ให้พูดแบบสั้นๆ ที่สุดก็หล่อ คนในวงของนิชไม่เชิงว่าน่ากลัว... แค่มองมาที่ผมแปลกๆ จนต้องแอบหลบอยู่หลังเน็ทเพื่อความปลอดภัยในชีวิต

   "ซวยแน่น้องโรม พี่นิชสุดที่รักเล่นมึงล่ะ"

   "ทำไมเขามองมาที่กูอย่างนั้นอะมึง"

   "หึ...ไม่น่าถาม"

   รอว่าเขาจะพูดอะไรต่อ จนแล้วจนรอดเน็ทก็ไม่ยอมปริปากอีกจนกระทั่งเสียงของนักร้องนำดังผ่านไมค์ไปทั่วบริเวณนั้น เสียงทุ้มต่ำที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักกลายเป็นเสียงที่ลงตัวเมื่อผสมเข้ากับเครื่องดนตรีชนิดอื่น แม้ตอนนี้จะเพิ่งผ่านมาแค่ครึ่งเพลงแรกผมก็พอเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรวงของเขาถึงมีคนมารอชมการแสดงแน่นขนัดอย่างนี้ การเล่นดนตรีไม่ใช่แค่ว่าคุณเล่นได้เก่งแค่ไหน แต่มันรวมถึงคุณบรรเลงเสียงที่แตกต่างให้ผสานกันได้มากแค่ไหนด้วย

   สายตาของผมมองตรงไปเพียงพื้นที่หลังกลองขนาดใหญ่ นิชยังคงเท่เมื่อขยับตัวไปตามจังหวะของเพลงอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยนไป แว่นสายตาขนาดใหญ่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการลงจังหวะบนเครื่องตีสักนิด เหมือนมีมนต์สะกดไม่ให้ละสายตาไปที่ไหน

   "เชี่ย โคตรมันส์" จอมหวงพูดกับผมพลางปาดเหงื่อที่ไหลเต็มข้างขมับ ก็สมควรอยู่หรอกเล่นทั้งร้องทั้งเต้นแบบจัดเต็มขนาดนั้น เก็บกดจากโปรเจคมากไปไหน "นี่มึงกับกูยืนอยู่ข้างกันตลอดเวลาจริงเหรอวะ"

   ในขณะที่ผมไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยการออกสเต็ป ถึงเพลงจะเพราะขนาดไหนมันก็เป็นเพลงใต้ดินที่ผมไม่รู้จักอยู่ดี ทำได้แค่โยกหัวเบาๆ ตามไปก็เท่านั้นเอง "กูหรือไวท์ น่าจะเป็นใครล่ะ"

   "ยอกย้อนกูเหรอสัตว์" เจอฝ่ามือพิฆาตกลางหลังอีกที "แม่งกวนตีนกูเกินไปล่ะเดี๋ยวนี้"

   "จะได้อยู่กับมึงรอดไง เรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน"

   "ถามกูยังว่าอยากอยู่รึเปล่า?"

   "ถึงมึงไม่อยากกูก็จะเกาะอยู่อย่างนี้แหละ"

   "เดี๋ยวๆ ช่วยเข้าใจอะไรใหม่หน่อย กูอยู่กับมึงตลอดไปไม่ได้หรอกนะน้องโรม" เน็ทจับไหล่ผมไว้ บังคับให้ผมหันมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ "สักวันหนึ่งเราก็ต้องเดินไปตามทางของตัวเอง จะต้องมีใครสักคนที่เข้ามาอยู่กับมึงแทนพวกกู เหมือนที่กูก็จะต้องไปดูแลคนของกูเหมือนกัน"

   "มึง..."

   "ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว เวลาที่พวกกูเห็นเหมือนกันว่าน้องเล็กที่พวกกูเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเอ๋อโง่ๆ จะต้องเดินเองโดยที่ไม่มีใครหนุนหลังแล้ว มึงต้องทำให้ได้ เข้าใจใช่ป่ะ"

   เขาพูดเรื่องที่เข้าใจยากออกมาด้วยเสียงจริงจังอย่างที่ผมไม่กล้าตัดมุกใดๆ เน็ทไม่เคยพูดอะไรอย่างนี้ เขาเป็นสายโวยวายไว้ก่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

   เหมือนเขากำลังบอกใบ้อะไรผมอยู่

   "..."

   "แม่ง สงสัยแดกเยอะไป มึงไม่ต้องสนใจที่กูเพ้อเจ้อหรอก"

   มาเฉไฉเวลานี้คงไม่ทันแล้วล่ะมั้ง ผมเหล่มองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ยังคงกองไว้เต็มโต๊ะ มีพร่องไปก็แค่ไม่มีขวดเท่านั้น คอทองแดงอย่างเขาไม่มีทางเมาง่ายๆ อย่างนี้หรอก

   มันเป็นช่วงพักเบรคระหว่างการแสดง ที่ไม่ควรจะมีอะไรมากไปกว่าการพูดคุยกันตามประสา กลับไปมองพื้นที่ด้านล่างที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่กลุ่มผมสีต่างๆ กระจายตัวอยู่ทั่วไป ตอนนี้คนที่กำลังคุยกับผู้ชมอยู่คือมือคีย์บอร์ด ส่วนนักร้องนำเดินไปคุยกับพี่นิชไม่ต่างอะไรกับก่อนเริ่มการแสดง หรือว่าพี่ชายผมจะเล่นผิดจังหวะ ไม่น่ามั้ง

   เดี๋ยวนะ...ผมไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม?

   ภาพเคลื่อนไหวเกิดขึ้นเร็วจนกลัวว่าถ้ากระพริบตาไปอาจพลาดโมเมนท์สำคัญ ผมอ้าปากค้างมองเจ้านายของนิชโน้มตัวลงไปจับปลายคางของพี่ชายผมไว้ ประกบริมฝีปากตามลงไปแบบไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว จุมพิตดูดดื่มยาวนานที่เล่นเอาหน้าผมร้อนไปทั้งแถบ

   "นะ...เน็ท" เรียกชื่อของคนข้างตัวพลางตะกุยแขนเสื้อ ผมไม่กล้าขยับเปลือกตาเข้าหากันจนกระทั่งเสียงโห่ร้องหายไปพร้อมกับการผละตัวออกของคนที่ยืนค้ำหัวอยู่

   "คนจริงสัตว์ๆ"

   "ทำไมเขาทำอย่างนั้นกับนิช?"

   "ก็นั่นผัวมันไง"

   ผมเบิกตากว้างตอนที่ได้ยินคำนั้นออกจากปากของเพื่อนสนิท ในเวลาเดียวกันแบล็คก็เป็นตัวละครเสริมที่โผล่เข้ามาได้ถูกจังหวะพอดี "เดี๋ยวมันได้ยินล่ะมึงจะโดนฆ่า"

   นี่ก็คนไม่แคร์อะไรสักอย่างบนโลกใบนี้ "ไม่ใช่ความจริงหรือไงล่ะ"

   "นั่นไม่ใช่เจ้านายของนิชเหรอ?"

   "เจ้านาย ผัว แฟน คนที่ขายวิญญาณให้ปีศาจ มึงอยากเรียกอะไรก็เชิญ"

   หันไปขอคำอธิบายที่ดีกว่านี้จากแบล็ค เขาคงเห็นว่าถ้าให้เน็ทพูดต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้คงไม่เข้าหัวผม "นั่นแฟนนิช คบกันมาพักใหญ่แล้ว"

   "ทำไมกูไม่รู้"

   "มึงสนอะไรนอกจากที่หนึ่งด้วยหรือไง?"

   "..."

   หลังจากที่คำนี้กลายเป็นคำต้องห้ามมาพักใหญ่เน็ทก็โพล่งชื่อของเขามากลางวง ผมนิ่งไประหว่างมองเพื่อนทั้งสองสลับกันไปมา

   "ถ้ามึงสนสักหน่อยมึงก็จะรู้น้องโรม นิชก็ไม่เคยปิดมึง ในเฟสนี่โคตรจะเปิดเผยอะ"

   โลกโซเชียลไม่เคยเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตของผมอยู่แล้ว และมันยิ่งไม่มีผลมากขึ้นเมื่อมีเขาเข้ามา...

   "ไม่เห็นนิชบอกเลย" เรื่องแบบนี้มันควรมีการประกาศให้รับทราบโดยทั่วกันหน่อยไม่ใช่หรือไง

   "แล้วทำไมมันต้องบอกมึง?"

   "ก็กูเป็นเพื่อนมันนะ"

   "แล้วเพื่อนอย่างกูมึงเคยเล่าเรื่องที่หนึ่งให้ฟังป่ะ?"

   ชื่อของที่หนึ่งกลับมาอีกครั้งเร็วกว่าที่คิดไว้

   "มันไม่เหมือนกัน..." เรื่องของผมกับเขามันไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น ไม่เหมือนที่นิชกำลังคบใครอีกคนอยู่อย่างนี้

   "ไม่เหมือนตรงไหน บอกกูมาดิ"

   ตรงที่ผมกับที่หนึ่งไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมควรจะพูดมันได้เต็มปาก แต่ความเจ็บตรงรอยแผลมันมากจนไม่กล้าพูดออกไป

   เราไม่ได้เป็นอะไรกัน...ใช่ มันเป็นอย่างนั้น

   "มึงมันน่าหมั่นไส้น้องโรม มึงโชคดีกว่าคนอื่นแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครมาเสือกเรื่องที่หนึ่งกับมึงอะ"

   "..."

   "ถ้ามึงรู้ว่ากว่านิชแม่งจะมาถึงจุดนี้ต้องเจออะไรมาบ้างนะ มึงจะขอบคุณพวกกูที่คอยซัพพอร์ตมึงตลอด" ผมไม่รู้เลยว่าเขาหมายความถึงเรื่องอะไร นิชไปทำอะไรมา "ถึงมันจะดูจู้จี้จุกจิกเรื่องนี้ก็เถอะ มันไม่เคยห้ามเพราะว่าที่หนึ่งเป็นผู้ชาย...มันห้ามเพราะรู้ว่ามึงจะรักมากไป"

   ไม่ชอบเลยที่เขาแสดงออกผ่านสีหน้ามากมายอย่างที่กำลังเป็นอยู่ นัยน์ตารีสวยที่มักดูร้ายกาจอยู่เป็นนิจเผยความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ข้างในจนสิ้น "เหมือนตอนลัจไง..."

   ผมรักลัจ แต่ผมไม่รู้ว่าตัวเองรักที่หนึ่งหรือเปล่า

   ความรู้สึกที่ผมมีให้เขามันไม่เหมือนกับที่ผมเคยให้นางฟ้า เพราะอย่างนั้นมันไม่ควรเรียกว่ารัก

   "เลิกคุยเรื่องเครียดๆ ได้แล้ว งานกร่อยหมด" กรรมการในครั้งนี้ชื่อแบล็ค ผมย่นจมูกยามได้กลิ่นยาสูบที่ลอยมาตามทิศทางของลม กลิ่นที่แรงจนคิดว่าไม่น่าจบที่มวนแรก "ไปสนุกให้เต็มที่เถอะ กูอุตส่าห์เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว"

   เพลงครึ่งหลังทวีความเร้าใจจนผมกลัวใจว่าฟลอร์ข้างล่างจะถล่มลงไป อุณหภูมิที่สูงขึ้นของร่างกายมนุษย์ด้านล่างส่งขึ้นมาถึงบริเวณที่ผมยังคงยืนมองเหม่อไปทั่ว

   น่าเบื่อ

   ไม่ชอบที่แบบนี้เลย ทำไมวัยรุ่นถึงชอบพื้นที่แออัดแบบนี้กันนะ ผมไม่เห็นว่ามันจะช่วยให้ผ่อนคลายตรงไหน ผมไม่มีอะไรทำขนาดที่ว่าต้องมาสอดส่องหาว่าด้านล่างมีอะไรที่เจริญหูเจริญตาหรือน่าตื่นตาตื่นใจหรือไม่ ตรงแถวหน้าเวทีมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังตั้งใจฟังเต็มที่ ถัดออกมาหน่อยก็เป็นพวกที่มาเพื่อสร้างโลกส่วนตัวขึ้น ส่วนคนที่ยืนติดเสาก็เอาแต่ยืนนิ่งอย่างกับกำลังฟังเพลงคลาสสิคของบีโธเฟ่น

   ...

   ไม่จริงน่า มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้สิ


***
ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
«ตอบ #375 เมื่อ06-04-2016 19:23:52 »

   ท่ามกลางผู้คนนับร้อย ผู้ชายที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นสะกดสายตาของผมไม่ให้เบนไปที่อื่นได้ ในความมืดผมมองเห็นสีผมของเขาได้ไม่ชัดเจนนัก มีเพียงใบหน้าเสี้ยวที่สะท้อนจากแสงไฟบอกผมว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคล้ายกับที่หนึ่งเสียเหลือเกิน เหมือนไปหมด ทั้งทรงผมแล้วก็โครงหน้า ความเครียดที่ผสมกับความตกตะลึงมากพอที่จะให้ผมระบายความเครียดด้วยการกำราวเหล็กไว้แน่น

   ราวกับว่าคนตรงนั้นรู้ว่าผมกำลังมองเขาอยู่จากด้านบน ยามที่เงยหน้าขึ้นมาจนสบสายตากับผมนั้นมันทำลายความสงสัยของผมจนหมดสิ้นไป

   ผู้ชายตรงนั้นคือที่หนึ่ง

   ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครละสายตาไปไหน เราสองคนยืนนิ่งอยู่กลางฝูงชนที่กำลังขยับร่างกายอย่างบ้าคลั่ง เสียงดังที่อื้ออึงอยู่ในขณะนี้ไม่อาจสู้เสียงหัวใจที่กำลังเต้นดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นการแสดงความยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้ง

   อยากจะกระโดดลงไปจากตรงนี้ด้วยซ้ำ เพียงแต่สิ่งที่ทำได้จริงคือต้องกัดปากห้ามไม่ให้ความรู้สึกของตัวเองแสดงออกไป

   ...ห้ามลืมว่าเราไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว

   ตักตวงความสุขชั่วคราวจนพอใจ ริมฝีปากบางสวยของเขายกมุมขึ้นน้อยๆ ก่อนทั้งร่างจะกลืนหายไปกับกลุ่มคน ไม่นะ...

   "เน็ท เดี๋ยวกูมา"

   "จะไปไหน" เน็ทมือไวกว่าขาของผม เขาจับแขนผมไว้แน่นไม่ให้ไปไกลกว่านั้นได้ "อีกสองเพลงก็จบแล้ว อยู่ด้วยกันก่อน"

   "ลงไปข้างล่าง แป๊บนึง"

   ถ้ารีบลงไปตอนนี้น่าจะยังพอหาเจอ เขาหาง่ายจะตายไป

   "ข้างล่าง? คนเยอะแยะมึงจะไปเบียดทำซากอะไร"

   "เออน่า เดี๋ยวมา"

   "ไม่ต้องไป อยู่กับกูนี่แหละ"

   สะบัดออกด้วยแรงที่มากแค่ไหนก็ไม่สะเทือน พี่ชายที่แรงเยอะกว่าผมหลายเท่าเพิ่มแรงแขนอีกจนผมนิ่วหน้า "ปล่อยกูเน็ท!"

   "มึงก็บอกกูมาสิว่าจะไปไหน"

   "ที่หนึ่งอยู่ข้างล่าง!"

   "แล้วมึงจะไปหามันทำไม!!"

   ระดับเสียงที่เราสองคนใช้ค่อยๆ ไต่ระดับความดังขึ้นไปเรื่อยๆ และมันอาจจะขึ้นไปสูงได้มากกว่านี้อีกถ้าเขาไม่ถามอย่างนั้นออกมา

   "..."

   "ตอบกูมาสิ!"

   ผมสับสนจนทำอะไรไม่ถูก คิดออกแค่ว่าถ้าไม่รีบตอบตอนนี้ผมอาจไม่ได้เจอที่หนึ่งอีกแล้ว ทางเลือกสุดท้ายคือการขอความช่วยเหลือจากอีกคนที่ผมมั่นใจว่าเขาคอยสนับสนุนผมอยู่ตลอดเวลา

   "อย่าปล่อยมัน"

   "แบล็ค!" ประกาศิตสุดท้ายมาจากราชาผู้ทรงศักดิ์ ผมฉุนกึกจนเผลอตะคอกใส่หน้าของเขา เอาอีกแล้ว อย่างนี้อีกแล้ว ชอบสั่งอย่างกับว่าเป็นเจ้าของชีวิตของผม

   "ถ้าไม่คุยกันด้วยเหตุผลดีๆ ก็อยู่ตรงนี้ไป"

   "แต่..."

   แต่ถ้าผมไม่ไปตอนนี้มันอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว

   "มึงต้องชัดเจนกว่านี้ได้แล้ว ที่กูบอกให้เลิกลังเลมึงไม่เคยทำมันได้เลย" ท่ามกลางแสงสีของไฟยามราตรี ภายในใจของผมกลับไร้ซึ่งแสงสว่างไปสู่ทางออก "นี่คือโอกาสสุดท้ายของมึง ตอบกูมาเดี๋ยวนี้ มึงจะลงไปหาที่หนึ่งทำไม"

   "สาม"

   ตัวเลขแค่สามตัวกับเวลาที่อาจไม่ถึงหนึ่งนาทีคือข้อจำกัดที่ผมกำลังต้องเจอ เหตุผลกับความรู้สึกแก่งแย่งกันเพื่อเป็นคำตอบสุดท้ายก่อนจะออกจากปากของผมไป

   "สอง"

   ผมจะลงไปหาเขาทำไม

   ผมอยากเจอคนที่อยู่ต่างมิติกันแล้วไปทำไม

   "หนึ่ง"

   หึ ไม่เห็นต้องถาม

   เหตุผลเดียวของผมคือตัวเลขสุดท้ายนั่นไง

 

   ตอนเข้ามาผมอาจมาไวเกินไปหน่อย ด้านล่างเลยยังไม่ค่อยมีลูกค้าเข้ามาจับจองพื้นที่มากอย่างตอนนี้ ส่วนช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเป็นจุดพีคมันเลยคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาลอย่างที่ผมหาจุดเดิมที่เห็นเขาเมื่อกี้ไม่เจอด้วยซ้ำ

   ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศกระจายตัวไปทั่ว แต่ใบหน้าของผมกลับเต็มไปด้วยรอยเหงื่อจากการวิ่งซอกแซกตามหาเขาคนนั้น ความสูงของผมที่ไม่ได้มากมายอะไรนักเมื่อรวมเข้ากับความมืดของสถานที่แล้วยิ่งเป็นการยากที่จะตามหาคนเพียงหนึ่ง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ยอมหยุดตามหา

   กลัว...กลัวว่าถ้าคราวนี้ยอมแพ้ไปสิ่งที่ต้องการก็จะหลุดมือไปตลอดกาล

   คราวนี้ผมไม่ขอให้ใครช่วย คำของแบล็คที่เคยบอกไว้เมื่อนานมาแล้วอาจตรงใจของผมมากที่สุดตอนนี้ ถ้าจะเจอ...ยังไงก็เจอ อย่างน้อยครั้งนี้ขอให้ผมได้ทำตามสิ่งที่ต้องการอย่างเต็มที่ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น

   "ขอโทษนะครับ"

   พูดคำนี้มาเป็นสิบๆ รอบ ผมแทรกตัวเข้าไปในทุกพื้นที่เท่าที่จะทำได้ ร้านนี้มีความกว้างมากพอสมควรจนเริ่มคิดได้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำมันไร้ประโยชน์สิ้นดี

   ตลกดีนะ

   ในวันนั้นผมเป็นคนให้เขาไป

   แล้วในวันนี้ผมก็กลับมาวิ่งตามหาเขาเสียเอง

   ตอนที่ว่างๆ ก็เคยนับอยู่เหมือนกันว่าช่วงเวลาที่เราได้รู้จักกันจริงๆ มันก็เพียงแค่ห้าหกเดือนเท่านั้น เทียบไม่ได้เลยกับเพื่อนคนอื่นของผมที่รู้จักกันมานานนับสิบปี ทำไมผมถึงได้รู้สึกผูกพันกับที่หนึ่งได้ขนาดนี้

   เดินวนไปมาอย่างนั้นจนขาเริ่มล้า ร่างกายที่เพิ่งหายไข้มาได้ไม่เท่าไหร่ประท้วงโดยการหอบหนักๆ เรียกออกซิเจนเข้าไปแลกเปลี่ยนข้างใน กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผสมกับกลิ่นเครื่องหอมจากตัวคนฉุนจนน่าเวียนหัว แย่ที่สุดคือเสียงดนตรีที่ยังไม่ยอมหยุดบรรเลงง่ายๆ

   ปวดหัว อยากจะล้มตัวลงเสียตรงนี้ เรื่องราวที่คล้ายว่าเคยเจอมาแล้วทำให้ผมเกิดคำถามขึ้นมาว่าถ้าผมล้มไปอีกครั้งเขาจะมาหาเหมือนเดิมหรือเปล่า

   "...เพ้อเจ้อแล้วน้องโรม"

   สะบัดหัวไล่ความคิดล้านแปดไป ผมเขย่งตัวขึ้นให้เห็นบรรยากาศโดยรอบมากขึ้นอีกหน่อย ถ้าเขาอยู่แถวนี้จริงผมมั่นใจว่าผมจะได้เจอ ที่หนึ่งไม่เคยหลุดออกไปจากสายตาของผมได้หรอก ยกเว้นว่าเขาเองนั่นแหละที่จงใจเลี่ยงตัวให้หายออกไปเอง

   กวาดตาซ้ายขวาจนทั่วก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ หัวใจหล่นวูบไปตามร่างกายที่ลดตัวลงมาอยู่ระดับเดิม พอคิดให้ดีๆ แล้วมันก็ไม่น่าจะเจอกันได้หรอก ที่นี่ทั้งกว้างแล้วคนก็เยอะเสียแทบจะเหยียบกันตาย

   ทำอะไรงี่เง่าไปได้ คิดว่าทุกอย่างจะง่ายอย่างที่คิดไว้ตลอดอย่างนั้นเหรอไง...

   จากมุมนี้เห็นข้างเวทีได้ชัดอยู่พอสมควร ผมมองชายร่างสูงบนเวทีผู้มีฐานะเป็น 'คนที่ขายวิญญาณให้ปีศาจ' สลับกับตัวปีศาจที่ทำสัญญากับมนุษย์ ได้ยินเสียงเขาบอกว่านี่เป็นเพลงสุดท้ายแล้วก่อนจะหันไปหานิชที่เตรียมเริ่มจังหวะแรก สายตากับรอยยิ้มที่ส่งไปให้พี่ชายของผมนั้นมันหวานเสียจนความรู้สึกน้อยใจทั้งหมดหายวับไปกับตา กลายเป็นความยินดีที่ได้รู้ว่าพี่ชายของผมได้เจอตำแหน่งที่หนึ่งของตัวเอง

   ...ที่หนึ่งและที่เดียว

   แทบจะไม่มีการแข่งขันไหนที่มีผู้ชนะสองคนร่วมกัน พื้นที่ตรงนั้นมันมีไว้ให้เพียงคนๆ เดียวได้ยืนหยัด เพราะอย่างนั้นเลยต้องเลือก ว่าจะให้ใครได้อยู่บนนั้น

   และผมก็ได้เลือกไปแล้ว

   เพลงช้า เบา เสียงของนักร้องนำไม่ได้หวานจับใจอะไรขนาดนั้น สิ่งที่ทำให้คนฟังต่างเคลิ้มตามไปคือความรู้สึกที่เขาต้องการจะส่งมาให้ทุกคนได้รับรู้ ผมโยกหัวไปตามจังหวะเพลง ล่องลอยไปกับทำนองเฉพาะตัวของวง ย้อนคิดไปถึงทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น

   "..."

   กลิ่นน้ำหอมที่เคยคุ้นลอยแล่นเข้ามาในโสตประสาท ผมชะงักค้างอยู่ตรงนั้น รับรู้ได้ว่าด้านหลังของตัวเองมีใครอีกคนเข้ามาใกล้ มันไม่ได้ถึงขนาดแนบชิดที่จะได้รับไออุ่นจากร่างกาย แต่แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่แยกกันเดินอย่างเราสองคน ผมปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีการหันหลังกลับไปมองว่าคนด้านหลังคือคนเดียวกับที่กำลังตามหาหรือไม่

   ผมมั่นใจว่าที่หนึ่งอยู่กับผมตรงนี้

   ท่ามกลางเสียงเพลงที่ยังคงเล่นตามทำนองต่อไปไม่มีหยุด เราสองคนเงียบแล้วดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองหวานซึ้งและผมก็ยังเป็นน้องเล็กที่กลัวทุกอย่าง ทุกความกล้าที่จะดื้อแพ่งกับเหล่าพี่คนอื่นหายวับไปกับตา สิ่งที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะทำตอนที่เจอเขาอีกครั้งถูกพับเก็บไปจนหมด ผมทำไม่ได้แม้กระทั่งแอบจับมือกันใต้โต๊ะอย่างที่เคยทำ

   ผมอาจไม่มีเหตุผลที่ดีพอให้กับการกระทำของตัวเอง มันดูย้อนแย้งที่ผมตามหาเขาแทบแย่แต่พอได้เจอแล้วกลับไม่ไขว่คว้ามันเอาไว้ในมือ คงเป็นเพราะข้อเท็จจริงหนึ่งข้อที่ผมห้ามลืมมันไป ในวันนี้ทางเดินของเรามันไกลเกินกว่าจะเดินย้อนกลับไป ที่หนึ่งควรจะเดินต่อไปบนเส้นทางของตัวเอง ทางเดินโรยกลีบกุหลาบที่เหมาะกับเขา ต่างจากผมที่ยังคงยืนลังเลอยู่ตรงทางแยกมาโดยตลอด

   จนคิดว่าแค่ได้ยืนอยู่ข้างกันอย่างนี้มันก็ดีแค่ไหน

   "ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะที่หนึ่ง"

   ในความเงียบหลังท่อนสุดท้ายจบ ผมชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนที่จะมีเสียงจอแจของฝูงชน ไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่าคำนี้ เขาคือคนที่เข้ามาทำให้โลกใบเล็กของผมกว้างขึ้นมาหน่อย ที่เห็นชัดที่สุดคือเขาทำให้ผมกล้าเดินต่อ ถึงแม้จะเป็นการวิ่งในลู่ก็ตามที เขาเข้ามาปลดผมให้หลุดออกจากโซ่ที่พันตัวเองเอาไว้ ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองต้องอยู่ต่อไปให้ได้ไม่ว่าอดีตที่ผ่านมาก็เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง

   และไม่รอให้มีสิ่งใดโต้ตอบกลับมา ผมรีบเดินออกมาจากบริเวณนั้นโดยไม่แม้จะหันกลับมามองภาพด้านหลัง ต่อจากนี้ไปจะไม่มีการเห็นแผ่นหลังของเขาเดินจากผมไปอีกแล้ว

   ผมอาจใช้เวลาตามหาที่หนึ่งไม่นาน แต่พอรวมถึงช่วงเวลาที่ผมหนีไปทำใจอยู่นาน่ในห้องน้ำด้วยแล้วมันก็ปาไปเกือบสองชั่วโมงได้ อย่างน้อยตอนที่กลับไปก็ไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าตาของตัวเองแดงแค่ไหน หวิดจะร้องไห้ออกมาตั้งหลายรอบดีที่ว่าเก็บมันไว้ได้

   เวลาที่ปาไปตีสองกว่าแล้วถ้าไม่ใช่ลูกค้าวีไอพีจริงๆ คงโดนไล่ตะเพิด ผมลืมของทุกอย่างไว้บนห้องเลยไม่ชัวร์ว่าที่ตัวเองหายไปอย่างนี้จะมีใครโทรตามหรือเปล่า เดินลัดเลาะตามทางขึ้นมาส่วนของชั้นสอง ไฟที่ส่องสว่างพ้นออกจากตัวห้องมีเพียงไม่กี่ช่วง รวมถึงห้องที่ผมขึ้นมาตั้งแต่แรกด้วย หายไปนานอย่างนี้ต้องโดนบ่นหูชาแหง

   "..."

   มือที่จับลูกบิดค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อเห็นผ่านกระจกขนาดเล็กว่าสมาชิกในห้องมันมีมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น ที่เด่นที่สุดคงไม่พ้นชายตัวสูงเกือบเท่าแบล็ค เรือนผมที่คราวก่อนเป็นสีเทาคราวนี้มันจางลงไปกลายเป็นเกือบบลอนด์

   ณธาม

   รวมถึงอีกคนที่อยู่ถัดไปคือชายตัวเล็ก ผอมบางอย่างคนที่ไม่ใส่ใจดูแลตัวเองอย่างเกรย์

   ทำไมสองคนนั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้

   "รีบคุยกันเถอะ ป่านนี้น้องโรมคงอยู่กับที่หนึ่งแล้ว"

   ประตูที่ปิดไม่สนิทเลยได้ยินเสียงที่ลอดออกมาชัดเจน เมื่อได้ยินชื่อของตัวเองจากปากของแบล็คผมเลยรีบปล่อยมือที่จับกลอนประตูออก เบี่ยงตัวออกมาอยู่ด้านข้างให้ไม่มีใครเห็น พวกเขาจะคุยเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงต้องคุยตอนที่ไม่มีผมอยู่ด้วย

   "ปกป้องจังเลยนะ" พี่น้องชื่อสีคนที่สามหยัน

   "กูต้องดูแลน้องทุกคนให้เท่ากัน เรื่องไหนที่ไม่เกี่ยวกับน้องกูก็ไม่เอามาพูด"

   "ไม่เกี่ยวหรือไม่อยากให้รู้กันแน่?" ขนาดได้ยินแค่เสียงผมยังหายใจติดขัดได้ "เอาแต่ปกปิดอยู่อย่างนั้น คิดเหรอว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ น่ะแบล็ค"

   "ตามหลักแล้วมึงเป็นน้องกู ช่วยเรียกให้ถูกด้วย"

   "ตามหลักแล้วผมต้องเป็นลูกคนเดียว" สีเทาโต้กลับอย่างไม่ลดละ "ตามหลักแล้วผมไม่ควรต้องนับคนอย่างพวกคุณเป็นคนรู้จักเลยด้วยซ้ำ"

   บาดแผลที่ลบไม่ออกในหัวใจของพวกเราทุกคนถูกกระตุ้นขึ้นมาด้วยคำพูดนั้น แผลเป็นมันมีความหมายตรงตามตัว แผลที่ยังคง 'เป็น' อยู่ราวกับร่างกายไม่อาจทำการสมานได้ด้วยตัวเอง

   "อย่านอกประเด็น เรากำลังพูดเรื่องที่มึงเอาที่หนึ่งเข้าเกี่ยวในเรื่องที่ควรเป็นของพวกเราต่างหาก"

   "เรื่องของพวกเราคืออะไรอย่างนั้นเหรอครับ? ใช่เรื่องที่มีบางคนแย่งทุกอย่างไปจากผมหรือเปล่า คุณก็เรียนทางด้านกฎหมายอยู่ไม่ใช่เหรอ? ...ช่วยบอกผมหน่อยว่าถ้าผมอยากได้ความยุติธรรมกลับมาผมควรไปหาจากที่ไหนดี?"

   สิ่งที่ดูเป็นความเท่าเทียมสำหรับคนหนึ่ง อาจเป็นการเลือกปฎิบัติสำหรับคนที่สอง

   ความยุติธรรมคือสิ่งที่ไม่มีจริง

   "ไม่มีใครเคยแย่งอะไรไปจากมึงเกรย์"

   "พูดออกมาได้เต็มปากดี"

   "อย่ามาเรียกร้องทั้งที่มึงไม่รู้ความจริงอะไรเลย"

   "ยังมีอะไรที่ผมไม่รู้อีกเหรอ ...นี่ เอาตามตรงนะ เอาเวลานี้กลับไปเลี้ยงน้องให้เป็นเด็กโง่ที่ไม่เคยรู้อะไรต่อไปดีกว่ามั้ง" วัตถุบางอย่างตกสู่พื้นเสียงดัง ผมอยากจะขยับตัวไปดูเหตุการณ์ข้างในที่เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน ติดตรงที่ผมกลัวว่าทุกคนจะรู้ว่าผมอยู่ด้วยน่ะสิ "แต่พวกคุณก็เก็บความลับเก่งจริงๆ นะ แค่เรื่องของผมกับลัจทุกวันนี้โรมยังไม่เคยสะกิดใจเลย"

   เมื่อกี้เกรย์เรียกชื่อลัจใช่ไหม ผมไม่ได้หูฝาดไปเองใช่ไหมว่าสองคนนั้นรู้จักกัน

   "มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยสนธยา"

   "แล้วความจริงที่ว่าคืออะไรล่ะ! หรือจะบอกว่าที่แม่ตายไม่ใช่เพราะมันหรือไง!!" เสียงของเขาที่ตะโกนก้องไปทั่วห้องมันส่งออกมาถึงข้างนอกด้วย ผมสะดุ้งเฮือกยามนึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในคืนนั้น "..แค่นั้นมันไม่พอใช่ไหม ทำไมมันต้องเอาลัจไปจากผมอีกคนด้วย!!"

   !

   ส่วนประโยคที่สองคือการแทงซ้ำในตำแหน่งเดิม แรงโน้มถ่วงแถวนี้มันคงมากกว่าปกติจนดึงทั้งร่างของผมให้ทรุดลงไปตรงนั้นโดยไม่มีเวลาได้พยุงตัวเองเอาไว้

   ยกมือขึ้นจับหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง เสียงหัวใจที่ยังคงเต้นต่อไปไม่มีหยุดพักคล้ายกับเสียงเข็มของนาฬิกาที่คอยบอกผมว่าทุกอย่างมันยังคงต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่าผมจะอยากหยุดเวลาหรือคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องในจินตนาการก็ไม่อาจจะทำได้

   "เรื่องแม่สองไม่ใช่เพราะโรม เรื่องลัจก็เหมือนกัน..."

   "แล้วเพราะใครล่ะครับ คุณรึเปล่ารัตติกาล" ท้ายเสียงแห้งผากจนไร้ชีวิตจิตใจ "ก็คุณเป็นคนฆ่าแม่เพื่อปกป้องมันนี่นา..."

   "...!"

   "ถ้ามันไม่นัดลัจวันนั้น...ลัจก็คงไม่ตาย"

   นั่นมันเรื่องอะไรกัน ไม่ใช่เพราะผมสักหน่อย

   "ใครกันแน่ที่พานางฟ้าไปตาย"

   เวลแทรกขึ้นมากลางสนามอารมณ์ที่ไม่มีที่ท่าว่าจะดับลงง่ายๆ "ว่าอย่างนั้นไหมซิน"

   "..."

   ขอโทษที่สอดนะ แต่พอดีเห็นพูดกันเรื่องความจริงอะไรล้านแปดแล้วเพิ่งนึกได้ว่าผมก็รู้อะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน" เสียงที่ผมคิดว่ามีวิธีการพูดที่คล้ายกับของไวท์ไม่ยอมหยุดอธิบาย "บางเรื่องที่ผมรู้...พวกคุณคงไม่รู้กันเลยด้วยซ้ำ"

   "..."

   "ใช่ไหมซิน 'ความจริง' ที่คุณหนีมาน่ะ"

   "...หยุดนะ" นั่นคือคำแรกคือลอดออกมาจากปากของสีขาว

   "ได้เวลาพูดความจริงแล้ว มันหมดเวลาที่คุณจะหนีแล้ว" ลมหายใจของผมขาดช่วงไปหลังจากได้ยินคำบอกเล่าที่ไม่เคยรู้มาก่อน เรื่องที่จะเปลี่ยนทุกความเข้าใจเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้วให้กลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำที่ไร้ค่า

   "บอกไปสิว่าลัจไม่รู้เรื่องที่นัดวันนั้นเลยด้วยซ้ำ ก็คุณเลือกที่จะให้ลัจไปเรียนต่อกับเกรย์อย่างที่ตั้งใจไว้นี่นา"

   "เวลา!"

   เสียงกรีดร้องนั้นหยุดการเคลื่อนที่ของเวลาลง


***
   ปั่นเสร็จเร็วที่สุดเท่าที่เคยพิมพ์มาเลยค่ะ มาถึงตอนนี้คิดว่าได้เคลียร์ปมใหญ่ออกได้นิดหน่อยแล้วค่ะ (หัวเราะแห้งๆ)
   ที่หนึ่งน่าสงสารเนอะ สำหรับเจ้าแล้วน้องโรมก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ยังคงมีความซับซ้อนทางความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเองค่ะ ยังตัดสินใจเองไม่ได้ ยังเอาหลายๆ อย่างมาผสมกันจนเป็นคนที่ดูโลเลตลอดเวลา อย่าเพิ่งเกลียดน้องกันเลยนะคะ อย่าเพิ่งเกลียดพี่ๆ ด้วยเลยนะ (ร้องไห้)
   ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็นนะคะ (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ puengmimsweety

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
«ตอบ #376 เมื่อ06-04-2016 19:33:33 »

โอ๊ยยยยย ค้างงงงงงงงง ฮือ อออ สงสารน้องโรม

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
«ตอบ #377 เมื่อ06-04-2016 19:52:08 »

โอ๊ยยยยย น้องโรม!!!
ซับซ้อนเหมือนพี่ๆ เลย
เฮ้อ!!!


ปั่นต่อเลยค่ะ ปมจะได้เคลียร์ออกเยอะๆ
คิดถึงที่หนึ่ง #ที่หนึ่ง
 :ling2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
«ตอบ #378 เมื่อ06-04-2016 21:33:58 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
«ตอบ #379 เมื่อ06-04-2016 22:03:51 »

งงงงงงงงง มันคืออัลไลฟระ รำคาญอิโรมมากจริงๆ ทำไมงี่เง่าแบบนี้ ถ้าเรื่องจริงที่หนึ่งคงมีเมียใหม่ไปนานแล้วละ บ้านอิโรมเป็นคนจริงๆใช่มั้ย ทำไมดูหลอนๆกลวงๆทุกคนเลย ไปโรงบาลบ้าดีกว่ามั้ย #อินี่ก็อินจริงจัง #ทีมที่หนึ่งว้อยยยย และนี่สำหรับอิโรม>> :z6: :angry2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
« ตอบ #379 เมื่อ: 06-04-2016 22:03:51 »





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
«ตอบ #380 เมื่อ06-04-2016 22:27:46 »

รออ่านอย่างเดียวนาทีนี้

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
«ตอบ #381 เมื่อ06-04-2016 22:35:54 »

งง หนักมาก สรุป ที่หนึ่งใช่พระเอกมั้ย ????

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
«ตอบ #382 เมื่อ06-04-2016 23:04:29 »

ที่หนึ่งหาเมียใหม่เถอะ เลิกข้องเกี่ยวกับตระกูลนี้เถอะ นายควรไปตามทางของคนธรรมดาอย่าไปยุ่งกับครอบครัวที่ทำตัวอย่างเทพเจ้าเลย คนธรรมดาอย่างเราและนายไม่มีวันเข้าใจหรอก เรามึนไปหมด และโรมโลกไม่ได้หมุนรอบตัวนายนะแอดมิทตัวเองซะ ท่าทางจะเป็นเอามาก  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Lonelyนู๋โรนลี่

  • ฉุด กระชาก ลากถู พาเข้า.....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
«ตอบ #383 เมื่อ07-04-2016 14:07:27 »

สุดท้ายก็ยังเชียร์ให้ที่หนึ่งไปหาคนอื่นเหอะ
นี่ขนาดโรมเลือกแล้วนะ ยังไม่กล้าทำอะไรเลย คิดดู โลเลมาก
ต่อไปพอมีเรื่องอะไรเข้าหน่อย โรมก็จะโลเลอีก ที่หนึ่งก็จะเจ็บปวด
แกมันคนไม่มั่นคง ที่หนึ่งออกมาเหอะ
ส่วนความซับซ้อนของตระกูลนี้
บอกเลย เราไม่โอเค ประคบประหงมโรมจนขาดความมั่นใจ อ่อนแอเกินไป อยู่แบบนี้ต่อไปเถอะะะะ
ปล.อยากอ่านคู่คนขายวิญญาณให้ปิศาจอ่าาาา  ดูจะแซ่บ จะมั่น จะแมน จะเด็ดขาดกว่ากันเยอะเลออออออ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
«ตอบ #384 เมื่อ07-04-2016 18:49:05 »

รอตอนต่อไปนะคะ :L2:

ออฟไลน์ nnewy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
«ตอบ #385 เมื่อ08-04-2016 00:33:23 »

น้องโรมสู้ๆนะะะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
«ตอบ #386 เมื่อ10-04-2016 15:14:13 »

บทที่ 26

[Side : เวลา]

   เวลา น. ชั่วขณะความยาวนานที่มีอยู่หรือเป็นอยู่ โดยนิยมกกำหนดขึ้นเป็นครู่ คราว วัน เดือน ปี

   "โทษที ห้องรกหน่อยนะ"

   "ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย"

   มันไม่ได้รกอย่างที่เขาบอก ก็แค่ว่าดูแล้วรู้ว่ามีคนอยู่อาศัยในห้องนี้เพิ่ม การจัดวางของมีบางสิ่งที่ไม่ใช่รสนิยมการจัดห้องของเขา อย่างเช่นรองเท้าหลายแบบที่คนละไซส์กัน ถุงขนมจำนวนมาก รวมถึงตุ๊กตาที่เพิ่มขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้สองตัวบนโซฟา

   เป็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันบ่อย แถมการเจอแต่ละครั้งก็ชอบมาพร้อมกับปัญหาเสียอีก เทอมนี้เราเรียนวิชาเลือกตัวเดียวกัน แล้วมันมีงานคู่ที่ต่างฝ่ายต่างลืมไปว่าต้องส่งในคาบต่อไป เลยต้องถ่อมาช่วยกันทำตอนห้าทุ่มกว่าเพราะต่อจากนี้ไม่มีช่วงว่างที่ตรงกันอีกแล้ว

   ที่หนึ่งไม่เคยหวงห้อง การมารอบนี้นี่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ได้มานั่งคุยเล็กๆ น้อยๆ แลกเปลี่ยนชีวิตกัน เป็นที่หนึ่งเล่าเรื่องตัวเองเก้าสิบเก้าเปอร์เซนต์ ส่วนอีกหนึ่งคือผมนั่งฟังไปเรื่อย

   เขาเคลียร์ข้าวของบนโต๊ะตัวเล็กหน้าโซฟาเพื่อให้มีพื้นที่ในการทำงาน ผมวางโน๊ตบุ๊คของตัวเองลงบนโต๊ะ จัดการเปิดโปรแกรมต่างๆ ที่จำเป็นต่อการหาข้อมูลจนครบ รอจนที่หนึ่งกลับมาจากพื้นที่ส่วนห้องครัวขนาดเล็กพร้อมกับของกินเล่นนิดหน่อยถึงเริ่มทำงานกันจริงจัง

   "เที่ยงคืนแล้วยังจะกินอีก"

   "จะได้ไม่หลับไง"

   "งั้นขอแค่น้ำเปล่าสักแก้วแล้วกัน"

   เคยมาหลายครั้งแล้วผมเลยเดินไปหยิบสิ่งที่ต้องการเอง ปริมาณสิ่งของที่เพิ่มมากขึ้นในทุกพื้นที่เป็นส่วนเสริมความคิดเรื่องที่ว่ามีคนอื่นอาศัยอยู่กับเขาด้วย ผมเปิดตู้บิลท์อินขนาดกำลังดีที่อยู่เหนืออ่างล้างจาน หยิบสิ่งที่ต้องการมาไว้ในมือแล้วปิดเสีย

   "...ที่หนึ่ง มานี่หน่อย"

   ไม่ใช่ว่าหาอะไรไม่เจอ แต่ตอนที่มองออกไปยังส่วนลานซักล้างแล้วภาพที่ฉายอยู่ในตาของผมตอนนี้คือห้องฝั่งตรงข้ามที่ปิดไฟในห้องจนหมดให้เหลือเพียงประกายดาวที่พร่างพราวลอดออกมา ...ไม่ต่างจากความสวยงามที่เกิดขึ้นในคืนนั้น

   "น้ำหมดเหรอ?"

   "รู้จักห้องฝั่งตรงข้ามรึเปล่า" ไม่ตอบเขา ผมแค่ชี้ไปทางประกายแสงแวววาว มันเป็นการถามแบบหว่านแหมากพอควร เตรียมใจไว้ได้เลยว่าจะต้องผิดหวัง

   "ฝั่งตรงข้าม? อ้อ รู้จัก ทำไมเหรอ?"

   ที่หนึ่งนี่จะเครือข่ายกว้างไกลไปไหนนะ "ใคร?"

   "น้องโรม ที่วันนั้นมาห้องแล้วเจออะ"

   อ้อ เด็กน้อยของพวกนั้น น้องเล็กที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรกับใครเขาเลย ผมไม่ได้ไม่ชอบผู้ชายที่ชื่อโรมหรอก ถ้าหมายถึงในกรณีที่ผมมีตัวเลือกแค่ผู้ชายสี่คนวันนั้นน่ะนะ เขาไม่ค่อยต่างจากครั้งเดียวที่ผมเจอ ดูป่วยซีดแล้วก็ไม่น่าสนใจ จากการสังเกตบวกกับเรื่องที่เธอเคยเล่าผมสรุปให้กับตัวเองได้ว่าเขาก็เป็นแค่เด็กที่เกือบจะโตแล้ว ติดที่ว่ามีพี่พวกนั้นคอยโอ๋มากจนเกินไป

   แล้วยิ่งเก็บไว้มากเท่าไหร่นั่นแหละที่น่ากลัว

   "มีอะไรรึเปล่า?"

   "ไฟ..." ดวงดาวที่เธอชี้นิ้วไล่เรียงให้ผมฟังว่ามันชื่ออะไรบ้าง "สวยดี"

   "โอ๊ะ วันนี้ไวท์เปิดเร็วแฮะ"

   "ไวท์? ไหนบอกว่าห้องโรม"

   ความสนใจทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่ชื่อของเธอทันที

   "ตอนนี้ไวท์อยู่ ห้องต่อไปนั่นก็ห้องแบล็ค มันเล่ามีตัวน่ารำคาญมายุ่งอยู่เลยต้องดูแลเป็นพิเศษ ตอนนี้น้องโรมก็เลยมาอยู่ด้วย"

   'ตัวน่ารำคาญ' ที่ว่าคงไม่พ้นผมหรอก

   งั้นอีกหนึ่งชีวิตนี่ก็คือน้องเล็กคนนั้นสินะ

   "อ้อ เข้าใจล่ะ"

   "เห็นเปิดประจำแหละ เที่ยงคืนตีหนึ่งอะไรอย่างนี้ นอนดึกจะตายไป"

   "...ยังไม่ยอมนอนอีกเหรอ" พึมพำกับตัวเอง ที่หนึ่งคงไม่รู้ว่านี่คือเวลาปกติ ไม่มีคำว่านอนดึกสำหรับซิน

   "พูดกับฉันหรือเปล่า?"

   "ไม่ ไม่เกี่ยว"

   เธอยังเหมือนเดิม...

   กลับมาประจำอยู่ตรงหน้างานของตัวเอง ผมกับที่หนึ่งต่างพุ่งสมาธิไปยังงานที่ตัวเองได้รับมอบหมาย มีเสียงเพลงจากเครื่องของเขาที่เล่นซ้ำอยู่เพียงเดียวช่วยขับกล่อมให้การทำงานมีความผ่อนคลายมากขึ้นหน่อย สงสัยคงจะชอบเพลงนี้มาก

   "จะว่าไปนายกับไวท์ก็คล้ายกันนะ"

   ระหว่างที่ผมกำลังตรวจสอบความถูกต้องของรายงานเป็นครั้งสุดท้ายผู้ชายที่เป็นที่หนึ่งก็เปรยขึ้นมา "เหรอ"

   "ก็คิดว่าถ้าไม่เหมือนหรือคล้ายกันก็ไม่น่าจะลากไปถ่ายรูปได้"

   เขายังคงติดใจเรื่องนี้อยู่สินะ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ที่หนึ่งไม่ใช่คนอ่านยาก คงคิดว่ารูปนั้นมันเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาไม่นานล่ะสิ

   "อย่างเรื่องเสื้อผ้าก็เหมือนกัน ใส่แต่โทนพวกนี้"

   "บางคนเขาใส่ไว้อาลัย" ก็เลยใส่เป็นเพื่อนด้วย ให้เธอไม่ต้องจมอยู่ในกองความคิดนั้นอยู่คนเดียวไม่ไปไหน ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจขนาดนี้หรอก แค่เปิดตู้อีกทีก็เห็นแต่โทนสีทะมึนอย่างนี้อยู่เต็มตู้ไปหมด

   "ไหนบอกว่าไม่ได้ใส่ไว้อาลัยให้ใครไง"

   "ก็บอกว่าบางคน ไม่ได้บอกว่าตัวเองสักหน่อย"

   "อ้อ เรื่องที่ชอบดาวก็เหมือนกัน ไวท์เรียนเอกดาราศาสตร์นี่ น่าจะคุยกันสนุก"

   นิ้วของอีกฝ่ายชี้มาที่หน้าจอเดสก์ท็อปของผม มันเป็นรูปพื้นหลังที่เต็มไปด้วยประกายดาวสีเงินเต็มผืนท้องฟ้าสีดำสนิท เป็นรูปที่ชอบที่สุดจากทริปเมื่อสี่เดือนที่แล้ว

   ผมไม่เคยชอบดวงดาว ไม่คิดจะชอบมันด้วย มันก็แค่ก้อนหินที่ลอยไปมาตามแรงดึงดูดประหลาดเป็นรอบชัดเจน หรือไม่ก็ลอยแบบไร้ทิศทางรอวันที่จะตกลงมา ที่ผมถ่ายมันจนกลายเป็นผลงานหลักก็แค่ผมไม่ชอบถ่ายรูปคน มันมีองค์ประกอบเสริมที่บังคับไม่ได้มากเกินไป ไม่เหมือนกับการถ่ายธรรมชาติหรือสิ่งไร้ชีวิต

   ...โกหกไปอย่างนั้น

   แค่อยากถ่ายเก็บไว้ให้รู้ว่าในระหว่างที่เธอแหงนมองท้องฟ้าอยู่ที่ไหนสักแห่งผมเองก็กำลังมองมันอยู่ไม่ต่างกัน จนตอนนี้ก็ปาไปกี่อัลบั้มแล้วก็ไม่รู้ มากที่สุดคงไม่พ้นดวงดาวที่เคยบอกว่าอิจฉานั่นแหละ

   "ไว้จะลองดูนะ"

   "แต่อย่างเรื่องการพูดจะไม่เหมือนกันเท่าไหร่"

   "ใครพูดเหมือนกันบ้าง?"

   "ก็ใช่อยู่ แต่มันก็คล้ายแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายยังไง"

   "งั้นก็อธิบายช่วงสรุปของรายงานไป"

   โชว์หน้าปัดนาฬิกาข้อมือเรือนใหญ่ให้เห็นว่าตอนนี้ปาไปเกือบตีสองแล้ว สั่งให้ทำงานต่อไปจะได้ไม่ต้องมานั่งเปรียบเทียบผมกับซินอีก ชักจะง่วงแล้วล่ะ

   แล้วเธอคนนั้นเคยง่วงกับใครเขาบ้างหรือเปล่า

   นอกหน้าต่างยังปรากฎไฟสีจางอยู่ ตอนนี้ก็คงนั่งจดอะไรลงไปสมุดอยู่อย่างเดิม หรือไม่ก็แหงนมองดาวบนฟ้าอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน ผมได้คำตอบแล้วว่าเครื่องจำลองท้องฟ้าหายไปไหน เพราะของที่ซินคืนไว้ให้ผมมีแค่นาฬิกากับของอีกสองสามอย่าง หาเจ้าสิ่งนี้มากเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ นี่เท่ากับว่าในช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่กับผมแล้วเธอแทบไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปเลย

   ดาวที่ส่องสว่างมากที่สุดชัดอยู่ในความทรงจำ ไม่ต่างอะไรกับคำบอกเล่าตำนานความเป็นมาของแสงสีสวยบนท้องฟ้านั่นเลย

   จะมีตำนานไหนบ้าง...ที่อาร์เทมิสได้คู่กับโอไรออนอย่างที่หวังไว้

   ให้คนบาปไม่ต้องอยู่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
 


   ต่อให้เก็บรักษาของไว้ดีแค่ไหนมันก็ไม่อาจคงทนสู้การแปรเปลี่ยนของเวลาได้

   สมุดปกดำเล่มเดิมมีร่องรอยของการเก็บไว้เป็นเวลานาน ถ้าไม่นับว่าหน้าปกหมองลงไปนิดหน่อยแล้วก็มีเพิ่มเติมแค่ตรงหน้าแรกที่มีรอยขีดเขียนด้วยลายมือของผมอยู่

   SIN

   ชื่อที่ต่อให้เป็นเพียงเรื่องสมมุติก็ยังมีค่ามากมายสำหรับผม

   ปิดมันไว้อย่างเดิม หยิบมันใส่ถุงกระดาษที่วางไว้อยู่ข้างตัว ในนั้นมีนาฬิกาสีขาวเรือนเดิมกับที่เคยให้ไปเมื่อคราวนั้นนอนอยู่ ปากกาที่หมึกคงแห้งไปแล้ว รวมถึงรูปถ่ายด้านหลังที่ผมเกือบชอบมัน

   มันอยู่ที่ผมนานเกินไปแล้วล่ะ ต้องเอาไปคืนเสียที

   วันนี้ซินเรียนถึงแค่ตอนเที่ยง ปกติแล้วจะไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหนมากไปกว่ารอบมหาลัย เพียงแต่ช่วงนี้ที่พี่ชายเกิดอยากทำหน้าที่เป็นพวกขี้หวงเลยมาประกบติดจนผมไม่มีที่แทรกเข้าไป เอาเถอะ แค่มาให้เห็นหน้าว่าต่อให้เขาจะกลบมันไว้มากแค่ไหนผมก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกก็เท่านั้นอง

   กลายเป็นภาพที่คนทั้งเอกจะชินชาไปแล้วว่าผมชอบมานั่งรอเธออยู่อย่างนี้ในช่วงก่อนหมดคาบเรียน ต่อให้ซินจะเมินเฉยมากแค่ไหนผมก็ยังคงเรียกเธอว่าซินอยู่แบบเดิม ผมไม่เคยรู้จักคนที่ชื่อไวท์ มันมีแค่ซินเท่านั้นที่ผมรู้จัก

   วันนี้เป็นคาบเรียนในห้องใหญ่แล้วผมเองก็งดคลาสเช้าเลยมีที่ว่างให้ผมได้เข้ามานั่งปะปนด้วยง่ายหน่อย ซินไม่เคยมีเพื่อนคนอื่น ผมเห็นเธอนั่งอยู่คนเดียวเสมอไม่ว่าจะเป็นช่วงการเรียนหรือว่าพักเบรค ในสาขานี้ก็มีคนเรียนแค่ไม่กี่คนอยู่แล้วยิ่งเห็นชัดเวลาที่เธอแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว

   ถือวิสาสะลงมานั่งด้วย วันนี้ซินมาพร้อมเสื้อสีเทาเข้มตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นที่ดูแล้วไม่น่าช่วยสร้างความอบอุ่นให้ในห้องเรียนขั้วโลกอย่างนี้ได้ ผมเลยส่งแจ็คเกตยีนส์ของตัวเองไปให้ ความหวังดีของผมโดนตีกลับด้วยการที่เธอไม่แม้แต่จะหันมามองว่าคนข้างๆ จะยื่นของมาให้ทำไม คนบาปยังคงมองตรงไปยังสื่อการสอนในรูปแบบสไลด์หน้าห้อง ทำอย่างกับผมเป็นพวกคนล่องหนไม่มีตัวตนอะไรทำนองนั้น

   หลายคนแอบเรียกผมลับหลังว่าเวลผู้ลึกลับ ผมไม่ได้หลบซ่อนตัวอะไรขนาดนั้นสักหน่อย ก็แค่ไม่ชอบที่ต้องมาอยู่ในความสนใจของใครต่อใครก็เท่านั้นเอง ช่วงที่เข้ามหาวิทยาลัยมาใหม่ๆ ผมยังทำใจเรื่องของซินไม่ได้เลยขอบอกลาทุกกิจกรรมที่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น มีพี่หลายคนเข้ามาชักชวนให้ช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้คณะหน่อยได้ไหมแต่ก็โดนผมปฏิเสธกลับไปหมด ไม่รู้สุดท้ายกลายเป็นว่าผมใส่เสื้อไร้สีสันเพราะผมไว้อาลัยให้ความรักที่จากไปได้ยังไงก็ไม่รู้ เป็นตำนานความรักที่ประทับใจจนอยากขำออกมาดังๆ

   "ใส่ไว้ มันหนาว"

   ต่อให้ครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันมันผ่านมาสามปีแล้วก็ตามที เธอยังคงดื้อเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

   "ซิน..."

   สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปหน่อยก็คงเป็นเรื่องคำดุของผมไม่มีผลอะไรต่อเธออีกแล้วล่ะ ถ้าไม่ยอมรับไปดีๆ ผมก็คงต้องบังคับหน่อยแล้ว

   ช่องว่างระหว่างแถวไม่ได้มีมากเท่าไหร่ ผมแทรกตัวลงไปอย่างลำบากนิดหน่อยเพื่อก้มตัวลงไปคลุมช่วงขาอ่อนที่พ้นออกมาจากกางเกงขาสั้นให้โดยไม่รอคำอนุญาต อาการตกใจของเธอมีอยู่แค่ไม่ถึงสามวินาทีก่อนกลับไปเป็นซินคนเดิม ไม่ส่งคืน ไม่ขอบคุณ ยังคงมองข้ามผมไปอย่างนั้น

   จ้องหญิงผิวขาวซีดจดอะไรลงไปในสมุดเล่มใหญ่ไม่มีหยุด ผมนั่งพิจารณาเค้าหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิด เหมือนย้อนไปตอนที่เธอเอาแต่ก้มหน้าอยู่กับสมุดเล่มใหญ่คราวที่เรานั่งอยู่ตรงหน้าระเบียง ไม่มีอะไรต่างออกไป เวลาของเธอหยุดอยู่ที่ตรงนั้นเสมอมาสำหรับผม

   จนกระทั่งอาจารย์เลิกคลาส สมาชิกที่เหลือต่างเร่งรีบเก็บอุปกรณ์การเรียนของตัวเองลงกระเป๋า ผมหยิบถุงกระดาษที่ติดตัวมาตั้งแต่เช้าลงไปบนโต๊ะแทนที่สมุดและชีทเรียน

   คราวนี้เธอมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก่อนเปลี่ยนมาสบตากับผม

   นัยน์ตาที่มองตรงมามันแสดงออกชัดว่าผมไร้ความหมายแค่ไหนสำหรับเธอ

   ให้ตายเถอะ ผมเกลียดตาคู่นั้น เกลียดที่ต้องมารู้ว่าความว่างเปล่าในตาของเธอมันมาจากไหน

   "เอามาคืน" คงจะฝันอยู่ถ้าได้ยินเธอตอบกลับมาสักประโยค "นั่นของคุณ ไม่ใช่ของผม"

   อย่างน้อยก็อยากได้ยินเสียงแบบกราฟไร้โทนที่ไม่เคยได้ยินจากใครที่ไหนอีก และมันคงเป็นไปไม่ได้เมื่อเธอยังเป็นผู้หญิงที่สวมหน้ากากไร้ชีวิตอยู่เช่นเดิม

   "เวลาจะอยู่กับคุณเสมอ"

   เมื่อพูดสิ่งที่ต้องการออกไปทั้งหมดแล้วก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องอยู่ตรงนี้อีก ดีไม่ดีเดี๋ยวถ้าออกนอกห้องไปเจอพี่ชายเธออีกล่ะก็วันนี้คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว

   ผมเดินออกไปทางประตูหลังเพื่อความปลอดภัย ไม่เหลือบตากลับมามองว่าเธอหยิบของที่ผมให้หรือไม่

   เชื่อผมเถอะ ซินไม่มีทางวางมันทิ้งไว้หรอก

 

   "ช่วยฟังอะไรสักหน่อย...ได้ไหม"

   "ฟัง?"

   "เรื่องเล่าทั่วๆ ไป"

   เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความขมขื่น เธอชี้ไปยังผนังห้องด้านตรงข้ามกับเตียง มันก็ไม่ต่างจากส่วนอื่นของห้องที่มีจุดของแสงไฟกระทบอยู่บนวัตถุที่ไม่สามารถลอดผ่านไปได้ "นั่นกลุ่มดาวคนคู่ ดาวประจำราศีเมถุน"

   ผมมองไม่ออกหรอกว่ามันคือดาวดวงไหน ทำเออออเข้าใจไปอย่างนั้นไม่ให้เธอขาดช่วงการเล่า "แล้ว...?"

   "ที่จริงจะมีดวงที่สว่างอยู่แค่สองดวง คือพอลลักซ์กับคาสเตอร์" ได้ยินแค่ชื่อก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องไม่พ้นฟังตำนานกรีกเพิ่มอีกเรื่องแหง "เป็นฝาแฝดกัน คนนึงเป็นเทพ อีกคนเป็นมนุษย์"

   "หือ?"

   "หนังสือเขียนมาอย่างนั้น สองคนนี้เป็นฝาแฝดที่เก่งมากแต่โดนญาติหักหลัง ไปแก้แค้นจนชนะสุดท้ายเหลือคาสเตอร์คนเดียวเพราะเป็นอมตะ ส่วนอีกคนตายระหว่างการต่อสู้"

   "ไม่แฟร์เลยแฮะ" คารวะหัวครีเอตของคนสมัยก่อนจริงๆ

   "ฉันมีน้องอยู่สองคน"

   ท่ามกลางดวงดาวที่พร่างพราว เธอเปลี่ยนประเด็นที่ต้องการจะเล่าไปเสียอย่างนั้น

   "น้องต่างสายเลือด กับน้องนอกสายเลือด"

   "ขอคำอธิบายเพิ่ม" สกิลของผมในการทำความเข้าใจวิธีการพูดของซินยังต้องการการเรียนรู้อีกมาก

   "น้อง...ร่วมพ่อ กับน้องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย เป็นฝาแฝดที่ไม่ต่างอะไรกับดาวคนคู่"

   น้องที่ไม่เกี่ยวอะไรกันเลยนี่เรียกว่าน้องได้ด้วยเหรอ? ผมเกิดคำถามนี้ในใจแต่ก็ยังเก็บมันไว้ก่อน เดี๋ยวคงมีข้อมูลอื่นที่ช่วยให้เรื่องราวมันเข้าใจได้มากขึ้น

   "น้องที่บอกว่าตัวเองเป็นแฝดกับอีกคน ตอนแรกเป็นเพื่อนสมัยเด็กอายุห่างจากเราเกือบปี ฉันเลยไม่เคยมองว่านั่นคือเพื่อน...แต่นั่นคือน้องสำหรับฉัน"

   ราวกับว่าเธออ่านใจของผมได้ เพราะคำเล่าต่อมาช่วยอธิบายคำถามของผมจนหมด จะสรุปอีกครั้งก็คือประมาณว่าซินมีน้องร่วมพ่อคนหนึ่ง ส่วนอีกคนที่เป็นนอกสายเลือดก็คงเป็นเพื่อนสมัยเด็กอะไรนั่น ที่กลายมาเป็นคู่แฝดกัน เป็นการเล่นพ่อแม่พี่น้องที่ล้ำกว่าที่ผมเคยเล่นเยอะ

   "มีพ่อ ...แล้วก็มีแม่สอง"

   แม่สอง ชื่อนี้ออกมาเมื่อครั้งตอนที่ยังอยู่ตรงระเบียง

   "ครอบครัวก็ต้องประกอบด้วยพ่อแม่ลูกใช่ไหมล่ะ ฉันก็เข้าใจอย่างนั้นมาตลอด ครูก็สอนมาอย่างนั้นตั้งแต่เล็ก ฉันรักทุกคนในครอบครัว ...แต่ฉันไม่เคยรู้ว่าแม่สองไม่เคยรักฉันเลย"

   "ไม่หรอก...มีแม่ที่ไหนไม่รักลูกของตัวเองด้วยหรือไง"

   "เพราะเขาไม่ใช่แม่ของฉัน" การบอกเล่าด้วยเสียงโทนเดียวมีแต่ความว่างเปล่า เธอเริ่มอธิบายต่อหลังจากที่พาส่วนจิตกลับมาจากห้วงอวกาศที่แสนกว้างใหญ่ "แม่สองไม่ได้หมายความว่าแม่มีชื่อเล่นว่าสอง แต่มันหมายถึงเธอเป็นแม่คนที่สองของฉัน"

   "..."

   ผมเป็นลูกคนสุดท้องของบ้าน แล้วยังเป็นลูกหลงอีกต่างหาก ตอนนี้พี่ชายทั้งสองคนของผมต่างมีการงานที่มั่นคงเป็นของตัวเองกันหมดแล้ว แต่อย่างน้อยที่สุดแม่ของผมก็เป็นผู้หญิงที่อุ้มท้องผมมาเก้าเดือน

   "แม่คนที่สอง ...ทั้งที่ฉันไม่รู้จักแม่คนแรกเสียด้วยซ้ำไป"

   "ซิน..."

   "เห็นเขาว่ากันว่าพ่อรักกับแม่มาก่อน แต่ว่าต้องมาแต่งกับแม่สองเพราะว่าเป็นเรื่องธุรกิจ" เรื่องที่ดูเป็นนิยายน้ำเน่าในสมัยก่อน "แล้วพอแต่งไม่กี่เดือนแม่ก็เอาของขวัญแต่งงานมาให้ ...ฉันเอง"

   มองไม่ออกเลยว่าครอบครัวที่มีโครงสร้างแปลกประหลาดอย่างนี้จะอยู่ร่วมกันอย่างไร


***
มีต่อค่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
«ตอบ #387 เมื่อ10-04-2016 15:22:51 »


   "พ่อชอบพูดอยู่คำหนึ่ง...เป็นพี่ต้องดูแลน้อง " เธอเดินไปหยิบเครื่องจำลองท้องฟ้ามาไว้ใกล้ตัว จากดวงดาวที่กระจายไปทั่วห้องมันก็เหลือแค่เพียงบริเวณโดยรอบที่ผมนั่งอยู่ ปลายนิ้วเรียวสวยแตะไปตรงบริเวณหนึ่งของแผนที่ดวงดาว คงเป็นตรงที่เธอบอกว่ามันคือดาวคนคู่อะไรนั่น "ฉันจำคำนี้ได้ขึ้นใจเลยล่ะ ฉันเลยมีน้องอยู่สองคนให้ดูแลตั้งแต่เด็ก"

   นึกภาพเธอตอนเป็นเด็กน้อยไม่ค่อยออก อาจจะสดใสมากกว่านี้ รวมถึงเป็นพี่สาวแสนร่าเริงของน้องชายทั้งสองคน ถ้าลองได้เห็นตอนยิ้มแล้วคงเป็นพระอาทิตย์ที่สว่างสดใสอยู่พอควรแน่นอน

   "น้องคนเล็กที่กลายมาเป็นคนในครอบครัวเพราะบ้านของเขาต้องเดินทางบ่อย บางทีก็ฝากน้องไว้ที่โรงเรียนเป็นสัปดาห์เลยล่ะ พวกเราเข้ากันได้ดีเลยอาสาช่วยดูแลมาตลอด"

   เพื่อนที่กลายเป็นน้องไปอย่างสมบูรณ์สินะ ยิ่งห่างกับเกือบปีอย่างนี้เหมาะกับการเป็นน้องเข้าไปใหญ่

   "ดูแลจนกระทั่งวันนี้...เมื่อสิบสองปีที่แล้ว"

   ผมคิดถึงปฎิทินที่ถูกฉีกขาดจนไร้เค้าเดิม

   "วันนั้นเป็นตอนที่พ่อออกไปทำอะไรสักอย่างนอกบ้าน ฉันกับน้องเล็กกำลังเล่นซ่อนแอบกันอยู่ในห้อง แม่สองเข้ามาหาฉันตามปกติ ฉันเลยถามออกไปว่า 'แม่มาจุ๊บฝันดีเหรอคะ' แล้วเธอก็ยิ้มให้พร้อมเล็งปลายปืนมาหา"

   "..."

   นี่มันคือเรื่องที่เธอต้องเจอมาจริงๆ อย่างนั้นเหรอ เรื่องที่เต็มไปด้วยความมืดมนอย่างนี้คือสิ่งที่ผู้หญิงตัวบางคนนี้ต้องเจอมาจริงหรือไม่ แม่เลี้ยงที่อำมหิตพอที่จะสังหารเด็กที่ได้ชื่อว่าลูกของตัวเอง

   ซินเป็นของขวัญที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องการมาตั้งแต่ต้น

   "น้องวิ่งออกมาจากที่ซ่อน คงตั้งใจจะมาสวัสดีแม่สอง" เสียงของเธอจะขาดหายเป็นช่วง โดยเฉพาะคราวนี้ที่ผมเห็นร่างของเธอสั่นกว่าปกติจนต้องยกมือขึ้นกอดแขนตัวเองเอาไว้ "จังหวะเดียวกับที่แม่ลั่นไก"

   "...!"

   "เสียงปืนดังมาก ดังจนไม่ได้ยินเสียงอะไรข้างตัวอีก น้องล้มลงตรงหน้าฉันเลือดไหลออกมาไม่มีหยุด ฉันตกใจจนไม่รู้จะทำอะไรต่อ สับสนจนทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงของพ่อพูดคำที่ชอบสอน ต้องดูแลน้องให้ได้ ต้องปกป้องน้องให้ได้..."

   บ้าชะมัด ผมคิดฉากต่อไปออกได้อย่างเดียว

   "ในบ้านมีปืนอยู่เยอะ รวมถึงหนึ่งกระบอกที่ฉันเพิ่งแอบหยิบจากห้องนั่งเล่นมาไว้ในห้องตัวเอง แม่จะยิงน้องซ้ำ...ฉันเลยต้องทำอะไรสักอย่าง"

   หล่อนก้มลงมองฝ่ามือบอบบางของตัวเอง มือขาวซีดที่ผมเห็นรอยเลือดเปรอะเต็มไปหมด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน บ้านที่ไหนมีปืนเก็บไว้เยอะแยะอย่างนั้นด้วยเหรอ

   "มือนี้คือมือที่ฆ่าแม่สอง" เสียงเรียบเย็นชา คล้ายว่ากำลังเล่าเรื่องธรรมดาให้ฟัง "...ฉันฆ่าแม่เลี้ยงของตัวเอง"

   'ก็คุณเป็นคนฆ่าแม่เพื่อปกป้องมันนี่นา...'

   นี่...ให้แม่สอง

   บุหรี่จำนวนสิบสองตัว แทนจำนวนปีที่เธอต้องอยู่ในวังวนนี้ไม่ไปไหน

   ไม่มีข้อกังขาใดอีกให้คำอธิบายว่าทำไมเธอถึงมีความคุ้นเคยกับของอันตรายชิ้นนั้น ทำไมเธอถึงบอกว่าต้องฝึกไว้ไม่ให้กลัวอีก ภาพที่โผล่เข้ามาในหัวเวลานี้คือเด็กอายุหกขวบที่ต้องทำอย่างนั้นเพื่อปกป้องอีกหนึ่งชีวิต

   ...

   ให้สาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็ได้ ผมคิดว่าในชีวิตนี้คงไม่เจอเรื่องไหนที่สะเทือนใจได้เท่านี้อีกแล้ว

   "น้องต้องนอนอยู่ในห้องพักฟื้นเป็นสัปดาห์ เพราะกระสุนเฉียดตรงหัวใจไปแค่นิดเดียว ทำได้แค่เฝ้าน้องไว้ รอว่าเมื่อไหร่น้องจะตื่นมาคุยกับฉันได้อีก ...ฉันบอกพ่อไว้ สาบานไว้ว่าถ้าน้องตื่นมาคราวนี้จะดูแลให้ดี ไม่ให้มีเหตุการณ์อย่างนั้น"

   "..."

   "สุดท้ายน้องก็ฟื้น คราวนี้ฉันยืนกรานว่ายังไงน้องต้องอยู่กับฉัน จะไม่มีใครทำอะไรเขาได้ ...จนพ่อต้องยอมไปต่อรองให้น้องมาอยู่กับเรา ทำสัญญารับเป็นลูกบุญธรรม พ่อเองก็บอกว่าเป็นความผิดของพ่อที่ทำให้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ถ้าพ่ออยู่บ้านวันนั้นมันก็คงไม่บานปลายอย่างนี้..."

   ร่างที่เริ่มสั่นสะอื้นอีกครั้งบอกให้ผมทำในสิ่งที่ควรทำ ผมดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน โอบกอดแก้วเจียระไนที่แสนเปราะบางนั้นไว้ ลูบผมยาวสีเคลือบเป็นการปลอบประโลมไปในตัว

   "ตั้งแต่วันนั้นเราสัญญากัน เราจะดูแลน้องให้ดีที่สุดไม่ว่าจากใครก็ตาม น้องไม่ควรจะได้รับอะไรอย่างนั้นอีก"

   เราที่ว่าคงหมายความถึงผู้ชายพวกนั้น กลุ่มคนที่คอยปกป้องเด็กน้อยไว้

   กลิ่นน้ำหอมหวานติดจมูก ชั่ววูบหนึ่งเกิดความคิดว่าถ้าการหนีของเราจบลงแล้วผมคงคิดถึงกลิ่นหอมนี้มากเหลือเกิน จากร่างที่สั่นเล็กน้อยเริ่มหายใจแรงขึ้น ใจผมวูบไปถึงตาตุ่มแล้วตอนนั้น ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรที่จะเป็นการแสดงความห่วงใยที่ดูไม่ละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัว สุดท้ายแล้วเราก็ยังไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกันขนาดนั้นอยู่ดี

   "หลังจากที่แม่สองตาย ต่อให้คนในบ้านพยายามปิดมันไว้แค่ไหนก็เถอะ สุดท้ายน้องก็รู้ว่าที่แม่สองตายมันเกิดขึ้นเพราะฉัน เราก็เลยแตกหักกันไปเลย ความสัมพันธ์ของเราไม่เชิงว่าไม่ดีหรอก แต่ถ้าไม่ยุ่งเกี่ยวกันได้ก็ดีกว่าอะไรอย่างนั้น พอมัธยมต้นน้องก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำ"

   น่าจะไม่ใช่น้องคนเล็ก ตอนนี้เธอคงเล่าไปถึงน้องอีกคนหนึ่ง...น้องที่มีสายเลือดร่วมกันเพียงครึ่งเดียว

   ผมเคยเจ็บตัวจากอุบัติเหตุมาหลายครั้งนะ หลายครั้งที่ขนาดรวมกันแล้วผมว่ามันยังได้ไม่ถึงศูนย์จุดศูนย์หนึ่งของความเจ็บปวดที่เธอต้องได้รับเลย

   "น้องที่ฉันเคยมีสอง ตอนนี้เหลือแค่หนึ่ง"

   เป็นเหมือนตำแหน่งดวงดาวที่เธอบอก ฝาแฝดที่เหลือเพียงหนึ่งคน ตอนแรกผมคิดว่านั่นคงหมดเรื่องที่เธออยากเล่าให้ฟังแล้ว ผมถึงเตรียมจะโน้มน้าวให้เธอเลิกคิดมาก

   "ลัจ เข้ามาอยู่ในวงเวียนนี้"

   เธอคงไม่รู้ตัวว่าหลุดชื่อของตัวละครออกมา

   "เข้ามาตอนชั้นมัธยมสาม ตอนที่พวกเราเริ่มชินกับการที่ไม่มีน้องอยู่แล้ว ลัจไม่เหมือนใคร ลัจสวยงาม เป็นนางฟ้าที่ต่างกับฉันเหลือเกิน"

   "เราทุกคนแตกต่างกันอยู่แล้วน่าซิน"

   "กลุ่มของเราอยู่กันอย่างนั้น ไม่มีอะไรแปลกประหลาด จนกระทั่งช่วงปลายเทอมก่อนจบ..."

   ปลายเทอมอย่างนั้นเหรอ ก็เพิ่งผ่านมาได้ไม่นานล่ะสิ 

   "คนไม่นอนมักได้เห็นอะไรมากกว่าใคร ฉันก็เหมือนกัน ฉันบังเอิญไปรู้ว่าลัจชอบกับเกรย์..." เกรย์นี่ชื่อของน้องที่เธอพูดถึงหรือเปล่า น้องคนไหนกัน "มันเป็นตอนเช้าของวันเสาร์ แม่บ้านบอกว่าลัจมาถึงแล้ว ฉันเลยรีบลงไปหา...ลัจอยู่ตรงนั้น กำลังจูบกับเกรย์อยู่"

   มันชัดเจนว่าเขาสองคนอยู่ในสถานะไหน

   "ตกใจจนรีบวิ่งกลับขึ้นไปบนห้อง คุมสติตัวเองตั้งนานกว่าจะสงบ ลัจชอบมาที่บ้านตั้งแต่เช้า เคยคิดว่าคงเพราะอยู่บ้านแล้วไม่มีอะไรทำเลยมาหาพวกเรา ไม่เคยรู้เลยว่าที่จริงแล้วมาหาอีกคนต่างหาก ...ฉันตัดสินใจว่าจะคุยให้รู้เรื่อง แต่ตอนที่ลงมาอีกครั้งก็เหลือแค่ลัจคนเดียว" ย้อนคิดกลับไปถึงแชทระหว่างเราสองคน เค้นความทรงจำว่าซินเคยพูดอะไรเกี่ยวกับนางฟ้าคนนี้หรือเปล่า แล้วผมก็คิดไม่ออก

   "จากที่จะถามก็เหมือนโดนมือล่องหนมาปิดปากไว้ เห็นรอยยิ้มของเธอที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างนั้นแล้วมันก็ได้แต่เก็บเงียบ ถ้าลัจมีความสุขมันก็ดีแล้ว"

   "ผมก็คงทำอย่างนั้นเหมือนกัน..." อย่างที่ผมปล่อยให้เธอคนนั้นได้อยู่กับความรักของตัวเอง

   "วันนั้นลัจลืมเอาแฟ้มไปเรียนด้วย เธอเลยฝากของไว้ที่ฉัน ...มานึกขึ้นได้ก็ตอนอยู่บ้านแล้ว ก็แค่แยกว่าอันไหนของใคร ฉันถึงเห็นว่าในกองกระดาษมันมีบางสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่"

   "...?"

   "เอกสารเรื่องการเรียนต่อ ลัจกำลังจะไปเรียนต่อ...ที่เดียวกับที่เกรย์กำลังจะไป"

   งั้นเกรย์ก็ต้องเป็นคนที่ต้องสูญเสียแม่สองไป ที่เธอบอกว่าย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำ

   ความรัก...ทำได้ทุกอย่างจริงๆ

   "ฉันรีบไปหาเธอที่บ้าน ยื่นเอกสารที่แกะแล้วไปให้ รอว่าลัจจะตอบมาว่ายังไง ...อยากลองทายไหมว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ"

   "คงไม่ใช่ทะเลาะกันเสียงดังหรอกกันหรอก" แค่พูดให้เสียงดังเท่าที่คนปกติทำกันเธอยังทำไม่ได้เลย

   "...ลัจแค่ยิ้มที่ไม่ต้องปิดฉันอีกต่อไปแล้ว" หันมามองคนที่ซบอยู่ตรงบริเวณไหล่ว่าทำไมถึงหยุดพูดไปเสีย แสงไฟที่พอส่องสว่างช่วยให้ผมเห็นว่าเธอกำลังขยับมุมปากขึ้น มันคงเป็นความสุขที่ได้ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวในอดีต "ฉันก็พูดอะไรไม่ออก จะรู้สึกว่าโดนหักหลังก็ไม่ถึงขนาดนั้น เธอเคยพูดอยู่แล้วว่าอาจไม่ได้เรียนต่อที่ไทย"

   แต่คงไม่ได้คิดว่าจะไปเรียนต่อกับน้องที่ห่างเหินกันไปหรอก

   "แล้วลัจก็บอกว่า แต่ถ้าไม่อยากให้ไป ขอแค่ฉันพูดออกมา ทุกอย่างที่เราคุยกันอยู่ตอนนี้จะเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น"

   "อะไรนะ?"

   เสียงของซินเงียบหายไปนานหลังจากผมร้องออกมาเสียงหลงด้วยความตกใจ ผมว่าตัวเองก็เจอคนมาหลายแบบนะ แต่ไม่เคยเจอใครที่ดูแน่วแน่กับการตัดสินใจของตัวเองได้เท่าผู้หญิงชื่อลัจเลย

   "ถ้านายต้องตอบ จะตอบว่า?"

   แล้วก็กลายเป็นการโยนหน้าที่ในการตัดสินใจอันยากลำบากมาให้ผมเสียอีก ผมไม่รู้ว่าพวกเขาสนิทกันมากแค่ไหน แล้วสถานการณ์ที่เธอเจอมากับสิ่งที่ผมเคยเจอมันก็ไม่เหมือนกัน ถ้าผมต้องกลายเป็นคนชี้ขาดในเรื่องนี้...

   "ผมจะให้เธอไป"

   ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรั้งร่างกายเอาไว้ ถ้าหัวใจมันอยู่ไกลออกไปจนไม่อาจคว้ากลับมาได้

   "ฉันบอกว่า ไปซะลัจ ถ้าเธอใจดีพอ" แสงประกายที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตานั้นไม่อาจสู้กับความว่างเปล่าราวกับรัตติกาลนั้นได้เลย "อย่าใจร้าย...ด้วยการใจดีอีกเลย"

   "ใจร้าย?"

   "เพราะน้อง...ก็ชอบลัจเหมือนกัน"

   ...อย่าทำให้ต้องตกอยู่ในวังวนที่เรียกว่ารักอีกคนอย่างนั้นสินะ ผมมีบทเรียนว่าต่างคนต่างมี 'ความรัก' เป็นของตัวเอง และรักเป็นเรื่องของหัวใจเพียงสองดวงที่ตรงกัน ถ้ามีดวงที่สามมันจะต้องมีคนเสียใจ

   ไม่ต่างจากที่ผมเจอมา

   "หลังจากนั้นน้องมาคุยกับฉัน น้องอยากจะบอกลัจเรื่องที่ตัวเองแอบชอบอยู่ออกไป เขาขอให้ฉันช่วยนัดให้หน่อย ...และฉันก็ตกลงตามที่น้องขอ"

   มือที่ลูบหัวอยู่อย่างนั้นหยุดการกล่อมไปชั่วครู่ ผมก้มลงมองบางส่วนของใบหน้า หลุดปากถามออกไป "ทำอย่างนั้นทำไม?"

   "...จะไม่ขัดใจน้อง จะไม่ให้น้องต้องเจ็บอีก ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่าคราวนี้ฉันต้องปกป้องไว้ให้ได้ ไม่ว่าน้องคนไหนก็ตาม"

   "ผมไม่เรียกว่ามันเป็นการปกป้องนะ"

   ขัดใจจนต้องออกความเห็นของตัวเองออกมาในที่สุด ถ้าเป็นผมแล้วคงปล่อยให้สองคนนั้นได้ทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง ไม่ทำอะไรที่จะเป็นการเข้าไปแทรกกลางในเรื่องที่ตัวเองไม่มีสิทธิตัดสินใจหรอก

   "เพราะฉันไม่เอาเรื่องนี้ไปบอก ฉันทำเป็นลืมว่าตัวเองให้สัญญาอะไรไป ...เพื่อให้ลัจได้ไปอย่างที่ต้องการ"

   'บอกไปสิว่าลัจไม่รู้เรื่องที่นัดวันนั้นเลยด้วยซ้ำ ก็คุณเลือกที่จะให้ลัจไปเรียนต่อกับเกรย์อย่างที่ตั้งใจไว้นี่นา'

   "น้องออกบ้านไปตามปกติ ดูก็รู้ว่าเขารอคอยวันนี้มากแค่ไหน ...และมีแต่ฉันที่รู้ว่าต่อให้รอยังไงก็ไม่มีทางได้เจอ วันนั้นคือวันที่ลัจจะบินไปเรียนต่อ"

   ใครกันแน่ที่ใจร้ายนะ ซินอาจคิดว่าวิธีนี้มันจะดีที่สุด แต่ผมกลับมองว่าวิธีนี้จะไม่มีใครที่ไม่เจ็บปวดเลยสักคนเดียว

   "ไม่มีใครในกลุ่มรู้เรื่องนี้ เกรย์เองก็ไม่รู้เรื่องนี้ ลัจขอเป็นคนบอกเองตอนที่ถึงที่นู่นแล้ว" อยู่ดีๆ เสียงที่กลับไปเป็นโทนเสียงกลางก็เริ่มสั่นอีกครั้ง  "กระวนกระวายอยู่ที่บ้านตั้งแต่เช้า จนกระทั่งมีโทรศัพท์เข้า ...บอกสิ่งที่ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเกิดขึ้นจริง"

   หัวใจของผมเต้นเร็วขึ้นทุกที จนน่ากลัวว่าเธอจะได้ยินมัน

   "ลัจตายแล้ว"

   "..."

   แก้วเจียระไนเต็มไปด้วยรอยร้าวที่พร้อมจะแตกสลายอยู่ตลอดเวลา ต่อจากเรื่องของแม่ตัวเอง เธอยังต้องมารับรู้ถึงการจากไปของเพื่อนสนิทอีกอย่างนั้นเหรอ

   มันคือสิ่งที่เธอต้องชดใช้การจากทำลายชีวิตของแม่สองอย่างนั้นรึเปล่า

   "รถชนระหว่างเดินทาง..." เสียงเริ่มขาดห้วงเป็นช่วง จากที่เคยราบเรียบเป็นกราฟเส้นตรงก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวขึ้นเล็กน้อย "ถ้าวันนั้นฉันรั้งเธอไว้ ถ้าฉันไม่ให้เธอไป... ลัจก็จะไม่ต้องตายเพราะฉันอีกคน"

   ความสูญเสียที่วนเวียนอยู่รอบตัวของเธอมันมากเหลือเกิน ซินไม่ใช่คนบาปสำหรับผมอีกต่อไป ที่อยู่กับผมตอนนี้มันก็แค่ผู้หญิงที่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดจำนวนมหาศาลไว้คนเดียว

   "มันเป็นเรื่องที่ใครก็ควบคุมไม่ได้นะ"

   "สัญญาที่เคยให้ไว้ก็รักษาไม่ได้ ฉันเองที่แหละที่ทำร้ายน้องเอง ทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า"

   "...ไม่ใช่อย่างนั้น"

   "ก็แค่คนที่ไม่สามารถปกป้องใครไว้ได้เหมือนเดิมนั่นแหละ"

   เธอยกเครื่องจำลองขึ้นให้อยู่ระดับสายตา หมุนไปมาจนเจอสิ่งที่ต้องการ นิ้วมือที่เป็นสีสดขึ้นมาหน่อยยามสะท้อนกับแสงไฟกดปุ่มปิดลงหลังจากนั้นไม่นาน

   ไม่มีแล้วแสงดาวที่สวยงาม เหลือเพียงความมืดมิดที่มาพร้อมกับเสียงร่ำไห้


 
   ผมไม่คิดจะออกตามหาซินหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าการหนีของเราสิ้นสุดลงแล้ว ในเมื่อผมเป็นคนเสนอข้อตกลงนี้ไปเองก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ให้ได้
 
   มองไปตรงเสื้อสีขาวไม่มีลวดลายอะไรที่แขวนไว้ตรงหน้าตู้ มันเป็นเสื้อที่ร้านซักรีดเพิ่งส่งคืนมาให้พร้อมบอกว่าคราวที่แล้วส่งมาไม่ครบ ผมเลยต้องรับมันไว้อย่างเสียไม่ได้ เมื่อเรื่องของเราจบลงแล้วสิ่งที่ผมต้องทำคือปล่อยให้ทุกอย่างหายไปตามการเดินทางของเวลาที่ไม่เคยหยุด อะไรที่ไม่เกี่ยวข้องก็ควรจะลืมมันไปเสียให้หมด เป็นคนบอกเองว่าเราจะกลับไปเป็นคนไม่รู้จักกันก็ต้องทำให้ได้

   ทิ้งๆ ไปให้หมดเรื่องแล้วกัน

   เดินไปหยิบเสื้อตัวเดิมมาไว้ในมือ น้ำยาปรับผ้านุ่มของร้านไม่อาจกลบอีกกลิ่นที่ฝังลึกลงไปในเนื้อผ้า น้ำหอมที่ไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน ขวดเป็นแก้วสีใสทรงสี่เหลี่ยมที่เล่นลวดลายประหลาดตา เคยถามอยู่เหมือนกันแต่เธอแค่ส่ายหัวไปมา ไม่รู้หรือไม่อยากให้รู้ก็ไม่อาจคาดเดาได้

   "เอ๊ะ?"

   เพิ่งเห็นว่าตรงไม้แขวนเสื้อมีกระดาษแผ่นเกือบฝ่ามือพับครึ่งแล้วแม็กซ์ติดอยู่กับตัวโครงเหล็ก พินิจดูแล้วมันคือใบส่งซักทั่วไป ที่ต้องมีชื่อ รายละเอียดของเสื้อผ้าที่นำไปส่งซัก

   ...รวมถึงเบอร์โทรติดต่อกลับ

   ต่างคนต่างดูแลทรัพย์สินของตัวเอง ถึงผมจะส่งซักเหมือนกันแต่ก็ไม่เคยส่งไปพร้อมกัน อย่างผมเป็นลูกค้าประจำแบบรายปีไปเลยเพราะยังไงก็คงต้องอยู่ที่นี่อีกยาว ไม่เหมือนกับซินที่เป็นเพียงการอยู่อาศัยชั่วคราว

   กระดาษแผ่นเดียวกำลังทำร้ายผมอีกครั้ง ใบแรกก็กระดาษที่ถูกขย้ำทิ้งแทนการระบายอารมณ์ไปตอนที่ต้องยอมรับว่าคนที่เคยอยู่ด้วยกันหายตัวไปแล้ว แล้วตอนนี้ที่ผมเพิ่งตัดสินใจว่าจะลบความทรงจำทิ้งมันก็มีสิ่งอื่นมารั้งเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้

   ซินคงลืมนึกถึงเรื่องนี้

   ภาพตัดกลับมาก็เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ในมือของตัวเอง หน้าจอโชว์เลขสิบหลักที่ไม่ต่างจากในกระดาษหรา ก็อย่างนี้ตลอด บอกว่าจะไม่แต่ก็ทำ

   อย่างแย่ที่สุดก็แค่ได้ยินเสียงโอเปอเรเตอร์แล้วกันน่ะ

   กดปุ่มสีเขียวเพื่อโทรออก ผมยกเครื่องสี่เหลี่ยมขึ้นแนบหู ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นระหว่างรอให้สัญญาณต่อกันติดสงัดพอที่จะให้เสียงหัวใจของผมดังขึ้นมาแทนที่ มันคือความตื่นเต้นที่ไม่ได้เจอมานานแล้ว

   ได้ยินเสียงรอสายอยู่จนเกือบถอดใจก็มีคนรับ ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยปากออกไป

   "ไม่รู้ว่าคุณอยากจะได้ยินเสียงของผมอีกหรือเปล่า"

   "..."

   "แต่ช่วยฟังหน่อยแล้วกัน"

   "..."

   "ณธามรักซิน"

   ธาม...อ่านแบบอังกฤษได้ว่า Time ซึ่งก็คือชื่อเล่นของผม แม่บอกว่าธามในภาษาไทยมันคือผู้ยิ่งยศศักดิ์ได้เช่นกัน ที่เติมตัวหน้าก็เพราะว่ามันเป็นตัวอักษรแรกของทั้งพ่อแล้วก็แม่ ไว้จะลองกลับไปถามแม่แล้วกันว่าถ้ามันอยากจะเปลี่ยนชื่อจะได้ไหม ผมอยากเป็นเพียงเวลาที่จะอยู่กันเธอได้เสมอไปก็เท่านั้นเอง


 
   "เวลา!"

   มันคือสิ่งที่ผมต้องการให้มันออกมาจากปากของเธอมากที่สุด เพราะสิ่งนี้จะพิสูจน์ทุกข้อสันนิษฐานของผมว่าเธอไม่เคยลืมอะไรทั้งนั้น ชื่อเล่นแบบเต็มที่แทบนับนิ้วได้ว่ามีใครรู้บ้าง ตีกรอบที่ชัดที่สุดเลยคือคนในครอบครัว เพื่อนสมัยมัธยมยังแทบไม่มีใครรู้เลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงคนในมหาลัยที่เข้าใจกันหมดแล้วว่าผมชื่อเวล

   'ชื่อ' ที่แทบไม่มีใครรู้ ผมไม่เคยเล่าความเป็นมาของชื่อเวลให้ฟังว่ามันคือ 'เวลา' เบื่อที่ต้องมานั่งอธิบายอะไรไร้สาระที่ไม่มีผลกับชีวิต จะเวลหรือเวลามันก็คือผมคนเดียวเท่านั้น

   ...เหมือนเธอที่จะชื่อซินหรือไวท์ก็ไม่ต่างกัน

   อาจเป็นคนนอกของที่นี่ แต่ผมว่ามันหมดเวลาที่เธอจะมาเก็บทุกอย่างไว้กับตัวแล้วล่ะ อยากให้ผมเดาไหมว่าทำไหมเธอถึง 'แกล้งลืม' ทุกอย่าง มันไม่ใช่แค่เรื่องของผมอยู่แล้ว เราสามารถกลับไปเป็นคนที่ไม่รู้จักกันได้โดยไม่ต้องหาเรื่องให้ตัวเองขนาดนี้เลย ซินแค่อยากกลบความผิดของตัวเองเรื่องลัจลงไปด้วยก็เท่านั้น กลบไม่ให้ใครรู้ ให้ทุกบาปมันตกอยู่ที่เธอเพียงคนเดียวก็พอ

   นัยน์ตาที่เคยว่างเปล่าแปรเป็นความเจ็บปวด สิ่งที่เธอเฝ้าเก็บไว้มาตลอดกำลังโดนผมทำลายลงตอนนี้

   "จำกันได้แล้วเหรอซิน"

   "..."

   "...แล้วจำได้รึเปล่าว่าสิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดคือคนโกหกน่ะ"

   ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าคุณจะต้องไปชดใช้บาปทั้งหมดที่ไหน ผมจะไปกับคุณด้วยทุกที่เลยล่ะ

[End : เวลา]


***
   ทำลายสถิติการเขียนของตัวเองลงได้เรียบร้อยแล้วค่ะ (หัวเราะ) เป็นตอนที่เขียนได้ไวที่สุดเท่าที่เคยพิมพ์มาเลยล่ะ ด้วยความที่ไม่อยากให้มันค้างนานด้วยมั้งคะ ตอนนี้ก็จะเฉลยความสัมพันธ์ของบ้านนี้เรียบร้อยเกือบหมดแล้ว เหลือเก็บตกอีกนิดหน่อยก็ใกล้จะถึงตอนจบแล้วค่ะ เย้
   ถ้าพูดแล้วน้องโรมก็แค่ถูกดึงให้เข้ามาอยู่ในวังวนนี้ก็เท่านั้นเองค่ะ เป็นอะไรที่น้องไม่ได้เริ่ม แต่น้องก็ต้องข้องเกี่ยว ต้องเป็นตัวละครที่ให้พวกพี่ๆ คอยปกป้องไว้แค่นั้น ทุกคนมีเหตุผลให้การกระทำของตัวเองทั้งนั้นแหละค่ะ อยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจรับได้รึเปล่าว่า 'มนุษย์' ไม่มีทางเลือกได้เหมือนกันทุกคน (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ Jitsupa_milk

  • Just Milky('s) Way
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
«ตอบ #388 เมื่อ10-04-2016 16:26:34 »

เจ็บปวดอึดอัด

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
«ตอบ #389 เมื่อ10-04-2016 16:58:33 »

อ่านจบตอนนี้เหมือนกับเฉลยปมที่มีอยู่เหมือนกันนะ  :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด