ต่อๆ
“วอก ตื่นเร็ว หิวละเนี่ย ออกไปซื้ออะไรมาให้กินแก้แฮ้งหน่อยไป”
เออ เจริญเถอะพ่อคุณ เช้ามาก็ใช้เลยนะ
“สรุปหิวหรือแฮ้งแน่มึง” ผมส่งเสียงอู้อี้ไป ขณะที่ยังนอนคว่ำหน้ากอดหมอนอย่างเดิม
“สองอย่างเลย ปวดหัวชิบหาย” ตื่นมาแม่งก็บ่น....
“มึงปวดหัวแต่กูปวดตูด สัด!”
“อะ....ฮ่า ฮ่าฮ่า” แล้วมันก็หัวเราะลั่น เคลื่อนตัวมานอนทับผมซะเฉยๆ
“อ้อ...งั้นเหรอ... งั้นสงสัยมึงจะอาการหนักกว่า” มันสรุปด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนผมนึกหมั่นไส้ แล้วอีกอย่างตื่นแล้วจะลุกไปไหนก็ไป ไม่งั้นก็นอนดีๆ ไม่จำเป็นต้องมาทับกันแบบนี้ซะหน่อย
“เขยิบไปดิหนัก จะทับหลังกูทำซากอะไรเนี่ย” ผมไหวไหล่ แต่มันไม่ยอมกระดิกเลยให้ตาย
“ไม่รู้ก็กูชอบ.....”
แม่ม.....แกล้งกันชัดๆ แล้วจะให้นอนต่อไปยังไงไหว อึดอัด หายใจไม่ออก....
เกือบเที่ยง...... กว่าเราสองคนจะยุรยาตรออกจากห้องได้ ไอ้ตุลย์ไม่ได้พาผมไปไหนไกล เพียงแต่ลงหลักปักฐานทานข้าวหมูแดงแถวๆ นั้น
“พรุ่งนี้สอบแล้วนะ ได้อ่านหนังสือบ้างหรือยัง” ผมชะงัก เพราะลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“ยังแหงๆ กูก็มัวแต่ยุ่งเรื่องมึง ก็ยังเหมือนกัน วันนี้กูคงไม่ได้กลับไปนอนด้วยนะ กลับไปอ่านหนังสือที่บ้านน่าจะมีสมาธิมากกว่า”
“เรื่องของมึงเหอะ”
“เหอะ.... ทำเป็นไม่สนใจ อย่าให้รู้นะ ว่าแอบคิดถึงกูจนนอนไม่หลับอีก”
เฮ้ย..... !! เอาที่ไหนมาพูด ผมสะดุ้งเฮือกเงยหน้าขึ้นจ้องหน้ามันตาโต
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นอ่ะ แทงใจดำเหรอ?”
“เปล่า แค่หมั่นไส้พวกหลงตัวเอง....”
“กูก็หมั่นไส้พวกปากไม่ตรงกับใจเหมือนกัน....ปากบอกว่าไม่ แต่ร่างกายกลับเชิญชวนสุดฤธิ์ จนกูสับสนไปหมดแล้วว่าควรจะเดินหน้าหรือว่าถอยหลังดี” เอ่อ....เดี๋ยวสิ ไอ้ที่มันพูดมานี่หมายถึงผมใช่ไหม?
“ไอ้เชี่ยตุลย์ นี่เมื่อวานมึงแกล้งเมาใช่ไหม” ผมชี้หน้าด่ามัน หน้าแดงก่ำด้วยความโมโห
“มึงจะบ้าเหรอ? แกล้งเมาอะไรล่ะ นี่กูยังไม่หายปวดหัวเลย แดกไปตั้งหลายกลม”
“งั้นมึงจำเรื่องเมื่อคืนได้หมดทุกอย่างหรือเปล่าล่ะ”
“ได้บ้างไม่ได้บ้าง บางอย่างชัดเจน บางอย่างเลือนราง มึงจะถามถึงเรื่องไหนล่ะ”
“ก็เรื่อง....” เรื่องที่มึงบอกมึงรักกูไงไอ้ควาย “กะ...ก็.....เรื่องที่มึงบอกกูหน้าห้องน้ำไง...” ผมติดอ่างไปแล้ว ใจเต้นโครมครามเมื่อมองหน้ามันทำหน้าครุ่นคิด.......
“ฮะ... เรื่องอะไรวะ จำไม่เห็นได้เลย”
ครืด....... เสียงเก้าอี้เลื่อน และผมยืนขึ้นทันทีทั้งที่ยังกินไม่อิ่ม ลุกขึ้นเดินออกจากร้านไปลิ่วๆ
“อ้าว เฮ้ย มึงจะไปไหน....”
เชี่ย!!!!! กูว่าแล้ว...ว่ามันต้องเป็นแบบนี้
ก็รู้อยู่ว่าแม่งเมา แค่พูดไปเพราะมันเมา แล้วจะไปเอาอะไรกับมัน
คิดได้อย่างนั้นแล้ว...แต่ทำไมมันก็ยังไม่หายหงุดหงิดซะทีวะ.......
.
.
.
ต่อให้เราไม่รู้จักกัน.... แต่ถ้ามีใครมาสารภาพรักล่ะก็ เราจะคิดเรื่องของใครคนนั้นไปเป็นวันๆ เพราะฉะนั้น การที่ผมนอยด์แดกแบบนี้ ไม่ได้เป็นเพราะว่าผมน้อยใจที่มันลืมว่ามันพูดอะไรกับผม หรือผิดหวังที่มันพูดอะไรออกมาพล่อยๆ ยามเมื่อขาดสติจนทำให้ผมแอบดีใจเก้อ ไม่ได้หงุดหงิดเพราะผมเองก็รู้สึกกับมันแบบนั้น ไม่เลย ไม่เลยสักนิดเดียว
“เฮ้ย...มึงงอนอะไร” ผมเดินหน้าหงิกไปตามทางข้างถนน เป็นเส้นทางที่จะกลับหอ ต่อให้คิดว่าไม่ไกลมาก แต่ก็คงใช้เวลาสักสิบนาทีได้กว่าจะเดินถึง แถมแดดก็ร้อนเชียวก็มันจะเที่ยงแล้วนี่....ไอ้ตุลย์ขับรถคันโตตามมาง้อ แต่ขับช้าแบบนั้น รถมันก็ได้ล้มพอดี มันเลยเปลี่ยนเป็นเข็นรถตาม
“เลิกงอน แล้วมาขึ้นรถได้แล้ว...รู้ไหม แมนๆ เค้าไม่งอนกันแบบนี้ นี่น่ะ ตุ๊ดชัดๆ”
“สัด ใครตุ๊ด เดี๋ยวกูค่อยคว่ำ” ผมตอบกลับยังเดินต่ออีก
“มึงอย่ามาขู่ใช้ความรุนแรงในครอบครัวดิวะ เห็นไหมกูกลัวจนหางจุกตูดละเนี่ย...” มันทำท่ากลัวได้กวนตีนสุดอ่ะ
“เชี่ย...!”
“เอาน่า.... ไม่พอใจไร บอกมาดีกว่า กูมันลูกผู้ชายตัวจริงถ้ากูผิดก็ยอมรับผิด แต่มึงอย่ามาทำเป็นเงียบอมพนำ เหมือนปากอมควายแบบนี้ได้ไหม”
“เหี้ย!” ผมหยุดเดิน แล้วหันมามองหน้ามัน “คราวหลังนะ...ถ้ามึงไม่ได้คิดอะไร มึงอย่าพูด ถ้าพูดแล้วมึงจะลืมมึงก็ไม่ต้องสะเออะเห่าออกมา”
“มึงแคร์ด้วยเหรอ? ไอ้สิ่งที่กูพูดๆไป มึงเคยใส่ใจด้วยเหรอ? พูดทีไรก็เห็นฟังหูซ้ายทะลุหูขวา แถมยังแปลสารได้ห่วยแตกอีกต่างหาก ก็กูเมามันก็ต้องมีมึนกันบ้าง ลืมกันบ้าง ต้องใช้เวลารื้อฟื้น ถ้าไม่อยากรอมึงก็บอกมาว่ากูพูดอะไร แค่นั้นก็จบ อย่างน้อยถึงกูจะพูดอะไรออกไป ก็คงไม่โหดร้ายเหมือนใครบางคนแถวนี้หรอก คำก็ไม่รัก สองคำก็รักคนอื่น... ต่อให้มึงจะคิดอย่างนั้นจริงๆ มึงเก็บไว้บ้างก็ได้ บางอย่างที่มันบั่นทอนจิตใจ บางทีกูไม่อยากฟัง....” เสียงท้ายประโยคมันดูทอดเศร้าจนผมเองทำอะไรไม่ถูก มองหน้ามันที่เมินมองไปทางอื่นด้วยใบหน้านิ่งติดจะเครียด....
มันเงียบ...และผมก็เงียบ.... ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจเดินไปหยุดยืนข้างๆ รถมัน ยืนนิ่งจนมันขึ้นรถแล้วติดเครื่อง ผมจึงยกขาขึ้นซ้อนท้าย
ตุลย์ ไม่ได้พาผมกลับหอทันที แต่มันแวะที่ร้านสะดวกซื้อ แล้วกรอกเครื่องดื่มแก้แฮ้งลงไปอั้กๆ จนน้ำย้อยลงมาตรงขอบปาก ไอ้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันกินแล้วช่วยได้จริงไหม...
มันถามผมว่าจะซื้ออะไรกลับไปกินที่ห้องไหม ผมส่ายหน้าแล้วไม่ได้ตอบอะไร หลังจากนั้นเมื่อเราออกจากร้านนั้นมาได้ มันก็ขับรถวนรอบโลกมาจอดที่ตลาดนัดแห่งหนึ่ง....
“ซื้อเสบียงไปตุนเอาไว้กินคืนนี้” มันบอกแล้วเดินลิ่วเข้าไปในตลาดโดยไม่รอ
ผมค่อยๆ เดินทอดท่องเข้าไปเหมือนกันแต่เลือกจะไปอีกซอยไม่ได้เดินตามมัน
ที่จริงก็หิวอ่ะนะ เมื่อกลางวันก็กินข้าวไม่ทันหมดจานดี ที่ห้องก็ไม่มีอะไรซะด้วย ถึงจะปากแข็งเหมือนไม่สนใจ แต่ผมก็ซื้อของกินติดมือกลับไปหลายอย่าง เมื่อซื้อจนพอใจก็ได้ฤกษ์เดินกลับ แล้วขากลับนี่เองที่สายตากลับไปสะดุดกับของบางอย่างที่ห้อยอยู่ที่ร้านขายของกิ๊ฟชอบ
เมื่อมาถึงห้องผมก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลา ข้าวของที่ซื้อมาวางข้างเตียงยังไม่ได้เก็บเข้าที่ ได้ยินเสียงกุกกักจึงลืมตาขึ้นดูพบว่า ไอ้ตุลย์ช่วยหยิบของพวกนั้นยัดตู้เย็นอย่างมีน้ำใจ แต่แค่นั้นก็ยังไม่สามรถทำให้ผมเอ่ยปากขอบคุณออกไปได้อยู่ดี ดูเหมือนคำนั้นมันอยู่ในรากฟันซี่ที่ลึกสุดขั้ว...
“ถ้ากูไม่อยู่กวนใจ มึงอย่าลืมอ่านหนังสือบ้าง อาจารย์ที่ปรึกษาเค้าอุตส่าห์ฝากฝังกูไว้ อย่าให้กูเสียชื่อ” แหม...เรื่องแบบนั้นไม่ต้องงัดออกมาสั่งก็ได้เหอะ
“เรื่องของกู” ผมตอบด้วยน้ำเสียงกวนตีนหน่อย
“ต่อไปนี้กูจะถือว่า...เรื่องของมึงก็ถือเป็นเรื่องของกูเหมือนกัน เพราะงั้น ห้าม...สอบ...ตก.....”
ชิ...ผมแยกเขี้ยวใส่ในคำสั่งหินๆ นั้นทันที
“ถ้าตกแล้วจะทำไม?”
“เทอมหน้าจะมาช่วยติวให้สองต่อสอง บทเรียนโหดจนมึงไม่กล้าสอบตกแน่นอน..หึหึหึ” บอกเฉยๆ ก็ได้ไม่ต้องทำหน้าหื่นขนาดนั้น
“เชี่ย!” ผมด่ามันแล้วพลิกกายหันนอนตะแคง เป็นการตัดบทสนทนา
“อือ งั้นกูไปก่อนนะ มีอะไรโทรมาละกัน”
“อือ” ตอบอย่างขอไปที
“มีเบอร์ไหม เดี๋ยวกูเมมให้....”
“มี” รีบตอบก่อนที่มันจะควาญหาโทรศัพท์ผมให้วุ่นวาย
“งั้นกูกลับแล้วนะ”
“อือ”
“มึงนี่มันเย็นชาชิบเป๋ง”
“ห่า...มึงต่างหากที่เยอะ แค่จะกลับไปนอนบ้านแค่เนี้ย สั่งลาซะยาวอย่างกะผัวลาเมียไปเป็นทหารที่ภาคใต้ไปได้”
“ฮ่าๆ... ขนาดนั้น? งั้น เมียจ๋าดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ ผัวจะรักษาเนื้อรักษาตัวกลับมาหาเมียให้จงได้”
“สาดดดดดดดดดดด”
ผมด่าลากยาวตามเสียงหัวเราะของมันที่ดังก้องจนมันปิดประตูห้องลง
กึก!
เพียงแค่ประตูปิดลงดังกริ๊ก ผมก็เด้งตัวขึ้นจากเตียงแล้วเปิดประตูออกไปทันที
“เดี๋ยว.....”
เจ้ากระต่ายหันมาหา ใบหน้ามันยังมีรอยยิ้มค้างอยู่
“ว่าไง ยังไม่ทันไปไหนก็คิดถึงซะแล้วเหรอ?” มันถามด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
“เปล่าซะหน่อย” ผมตอบกลับด้วยเสียงเหวี่ยงๆ เดินเข้าไปหามัน
“ลืมให้” ผมบอกสั้นๆ ยื่นถุงหิ้วเล็กๆ ส่งให้มันไป มันหยิบถุงออกมาคว่ำเทใส่มือ พบว่ามันคือที่ห้อยมือถือรูปกระต่าย
“นี่มัน....” มันลากเสียงยาวอย่างข้องใจ
“ที่ห้อยโทรศัพท์” ผมบอกออกไป ไม่คิดว่ามันจะโง่ถึงขนาดไม่รู้จัก...ถึงต้องทำหน้าอึ้งเหมือนพบเจอของที่หายากบนโลกใบนี้
“ก็รู้ ว่าแต่เนื่องในโอกาสอะไร หรือว่าเกิดนึกละอายใจขึ้นมา...”
“ละอายใจพ่อง ของขวัญวันเกิดต่างหาก ลืมไปแล้วไง”
“เออ...จริง ขอบใจนะที่จำได้” มันยิ้ม เหมือนเป็นเรื่องใหญ่โต
“เพิ่งรู้เมื่อวาน ถ้าลืมก็บ้าแล้ว”
“ถ้าเป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่สำหรับมึงกูดีใจนะ” ผมยกมือเกาหัวเบาๆ ด้วยตอนนี้ไม่มั่นใจว่าถูกชมหรือถูกด่าอยู่กันแน่...
“อย่าได้ใจไป ไม่ได้ตั้งใจซื้อหรอกแค่บังเอิญเห็น เลยนึกถึงขึ้นมา”
“งั้นก็ขอบใจที่คิดถึง”
“ไม่ได้คิด.....”
“อ่าๆ ช่างเถอะ ใส่ให้หน่อย” มันว่า...พลางหยิบมือถือของมันออกมาจากกระเป๋าหลังแล้วส่งให้
“เรื่องสิ....” ผมตอบทันควัน
“น่า...ไหนๆ ก็ไหนๆละ” ผมจิ๊ปากเบาๆ แต่ก็ดึงมือถือมาติดที่ห้อยนั้นด้วยกิริยากระฟัดกระเฟียด
เออ ใช้เข้าไปนะมึง!
“เสร็จแล้วเอาไปดิ” ผมยื่นมือถือให้มันส่งๆ มันยื่นมือมารับโทรศัพท์ด้วยการกุมมือผมไว้ จนผมเหลือกตาใส่ มันถึงยอมปล่อยมือ....
“ให้มันได้แบบนี้สิ มึงนี่มันชอบทำให้กูประหลาดใจได้ตลอด มึงที่เป็นแบบนี้แหละที่ทำให้กูยอมแพ้ไม่ได้จริงๆ” ผมเงยหน้ามองมันอย่างค้นคว้าหาความหมาย....
“คนที่ปากไม่ตรงกับใจแบบมึง พอนึกจะทำอะไรน่ารักๆ ขึ้นมา ไม่น่าเชื่อว่าทำกูซึ้งชิบหายเลย”
“กะอีแค่ของชิ้นละยี่สิบบาททำเป็นดีอกดีใจไปได้ แล้วอย่างกูก็ไม่เหมาะกับคำว่าน่ารักด้วย หล่อสิ หล่อ....”
“ตามใจเถอะ ในสายตาคนอื่นมึงเป็นยังไงก็ สำหรับกู มึงน่ารักแล้วกัน ไหนๆ มาใกล้ๆ ซิ” มันไม่ได้พูดเปล่าดึงแขนผมเข้าไปหาอีกต่างหาก...
“จะทำเชี่ยอะไร....”
“อุตส่าห์หาของขวัญมาให้ทั้งที.... กูก็จะจูบขอบคุณไง”
“ไม่ต้อง.....” ผมโวย พร้อมเอามือยันคางที่มันโน้มลงมาหาทันที แต่พอมันดึงมือผมออก ปากมันก็ถึงมุมปากผมซะแล้ว.... ไหนก็ไหนๆ แล้วผมก็เลย.....หลับหูหลับตาให้มันจูบด้วยความไม่เต็มใจ
ไอ้ตุลย์มันถอนจูบออกไปแล้วแต่ไม่ได้ขยับไปไหน
“วอก.....มีคำๆ นึงที่กูคิดว่าจะไม่พูดให้มึงฟังอีกแล้ว.... แต่ถ้ามึงทำตัวน่ารักแบบนี้บ่อยๆ กูคงเผลอพูดอีกแน่ๆ”
หือ....คำไหน???
คำถามนั้นเด้งขึ้นมาเมื่อนึกอยู่ว่าประโยคนี้มันช่างคุ้น หัวใจมันก็เต้นตึกตักขึ้นมาเฉยๆ
ทั้งๆ ที่สงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไปอยู่ดี
จนอีกฝ่ายก้มลงมาข้างศรีษะแล้วพูดด้วยเสียงกระซิบอยู่ข้างหู แต่ดังก้องไปทั้งหัวใจ....
“วอก กูรักมึง”:::::::::::::::::::::::::::
TBC.