-29-
วันและเวลายังคงเดินไปอย่างเที่ยงตรงแม้จะเกิดเหตุการณ์พลิกผันขึ้นแล้ว โลกยังคงหมุนไปอย่างเรียบง่ายไม่เร่งหรือลดความเร็วไปกว่าปกติ อย่างไรเสีย 1 วันก็ยังคงมี 24 ชั่วโมงไม่บิดเบือนไปจากความเป็นจริงเพื่อใครบางคนหรือบางกลุ่ม ถึงอย่างนั้น คนบางคนก็อยากให้เวลาเดินช้าลงและคนบางคน...ก็อยากให้เวลาเดินเร็วขึ้นอีกหลายเท่า เช่นผู้ชายคนนี้ เซินหยู่
หากนับแต่เซินเฟยหายตัวไป เวลาก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ จนเกือบจะครบกำหนด 3 เดือนแล้ว มีบางกระแสข่าวที่บ่งว่าเซินเฟยปรากฏตัวในสถานที่ต่าง ๆ ทว่าเมื่อเขาส่งคนลงไปตรวจสอบกลับพบว่าเป็นข่าวเท็จเท่านั้น แต่เพื่อความไม่ประมาท เขายังคงสั่งให้คนของเขาคอยตรวจตราชายฝั่งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่ามีใครหรืออะไรขึ้นมาจากทะเลจะต้องส่งหลักฐานให้เขาตรวจสอบทันที และอะไรก็ตามที่มีแนวโน้มว่าจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเซินเฟยก็จะมีคำสั่งให้กำจัดทิ้งอย่างเร่งด่วนและเงียบเชียบ
ถึงอย่างนั้นแล้วตำแหน่งของเขาก็ยังไม่มั่นคง เพราะนอกจากเขาแล้วก็ยังมีคนอีกหลายคนที่เล็งตำแหน่งนี้ไว้เช่นกัน อีกทั้งมติทางกลุ่มได้ออกมาแล้วว่า เนื่องจากกรณีนี้เป็นกรณีพิเศษจึงต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม เนื่องจากเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่จูเชว่ไม่มีทายาทสายตรงอีกทั้งยังไม่ทิ้งพินัยกรรมใด ๆ เอาไว้ ด้วยเหตุนี้ ในการคัดเลือกผู้นำคนต่อไป ทางกลุ่มจะใช้การประชุมเพื่อเฟ้นหาคนที่เหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ ใครก็ตามที่สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มได้มากที่สุดและไม่ทำให้รากฐานสั่นคลอน
เซินหยู่ได้รับรู้ในตอนที่มีคนนำเรื่องนี้มาแจ้งว่าจะทำตัวกร่างอยู่อย่างเดิมไม่ได้อีกต่อไป เขาปรับเปลี่ยนจากหน้าเป็นหลังมืออย่างทันที
เริ่มจากการหันมาทำดีกับหวางซิงมากขึ้น ไม่เอาแต่กลั้นแกล้งดังที่แคยทำในตอนแรก เขายกโต๊ะคืนให้แก่ชายหนุ่มอีกทั้งยังให้เข้ามานั่งในห้องประธานได้ มีสิทธิเข้าออกได้ตามต้องการ และไม่บีบคั้นอีกฝ่ายอีกต่อไป ทั้งนี้เพราะหวางซิงเป็นหัวแรงใหญ่ที่จะยืนยันความเหมาะสมของเขากับที่ประชุมเนื่องจากเป็นคนใกล้ชิดที่เซินเฟยทิ้งเอาไว้ให้เขา คนอื่น ๆ ที่ไม่มีหวางซิงก็ต้องลงแรงมากหน่อย ส่วนเขาแค่เอาใจหวางซิงให้มาก รอให้อีกฝ่ายยอมโอนอ่อนให้ก็เพียงพอที่จะเข้าตากรรมการบ้างแล้ว
ด้วยเหตุนั้น ตลอดระยะเวลาเดือนเศษนับแต่ได้รับเงื่อนไขจากกลุ่ม หวางซิงจึงไม่รู้สึกแปลกใจที่ตนเองถูกปฏิบัติต่างจากเดิม คนของเซินหยู่ทุกคนนอบน้อมต่อเขาราวกับเป็นเจ้านายอีกคน เขาสามารถยื่นมือเข้าไปจัดการกับทุกแผนกได้โดยไม่มีใครขัดขวาง อีกทั้งเซินหยู่ก็ไม่แสดงอารมณ์โมโหร้ายกับเขาทั้งที่ถูกแขวะไปเสียมาก
นอกจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้ เซินหยู่ยังมักอาศัยเวลาว่างในบริษัทไปกับการเยี่ยมเยียนหัวหน้ากลุ่มต่าง ๆ ในเขต แน่นอนว่าหวางซิงไม่ได้ติดตามไปด้วยเพราะเซินหยู่ให้เหตุผลว่าเป็นการพูดคุยอย่างลับ ๆ ในเวลาอย่างนี้ถึงหวางซิงจะไม่ต้องเดินทางไปฟังด้วยตัวเองก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าเป็นการเสนอผลประโยชน์เพื่อแลกกับเสียงสนับสนุนอย่างแน่นอน เพราะนอกจากหัวหน้ากลุ่มในเขตพื้นที่แล้ว เซินหยู่ยังเดินทางไปดูความเป็นอยู่ของญาติ ๆ ในสายรองของตระกูลเซิน ในสายตาคนอื่น ๆ อาจมองว่าเซินหยู่พยายามปรับปรุงตัว แต่สำหรับหวางซิงกลับมองว่าเซินหยู่กำลังทำตัวเหมือนนักการเมืองที่กำลังออกหาเสียงเสียมากกว่า ลองอีกฝ่ายได้ขึ้นเป็นใหญ่เมื่อไหร่ อย่าว่ากระทั่งเขาเลย ทุกคนที่อีกฝ่ายทำดีด้วยจะต้องถูกรีดผลประโยชน์คืนอย่างสาสมแน่นอน
แต่สถานการณ์ที่พลิกผันอย่างนี้ก็ใช่ว่าหวางซิงจะไม่ได้ประโยชน์ เพราะเขาได้รับอนุญาตที่จะออกไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แม้จะไม่สามารถติดต่อกับใครเป็นการส่วนตัวได้ก็ตามที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกหัวหน้ากลุ่มและผู้บริหาร เมื่อใดก็ตามที่หวางซิงมีทีท่าจะติดต่อกับคนเหล่านี้ เซินหยู่จะต้องส่งคนมาจับตาดูเสียทุกทีไป กระนั้น เขาก็สามารถติดต่อกับคนนอกได้โดยไม่มีใครรบกวน และมู่อี้จิงคือคนที่หวางซิงให้ความไว้ใจในการติดต่อด้วยมากที่สุด แน่นอนว่าเขาจะไม่ได้รับข่าวใด ๆ กลับมาเนื่องจากมู่อี้จิงต้องการความแน่ใจว่าจะไม่มีคนของเซินหยู่รู้เรื่องที่เซินเฟยกำลังดำเนินการ กระนั้นแค่เพียงมีคนให้ปรึกษา แม้จะอึดอัดใจที่ไม่ได้รับรู้ความคืบหน้าของแผนการแต่ก็ไม่อัดอั้นกับเรื่องรอบตัวของตัวเองมากนัก อีกทั้งยังอาจเป็นข่าวสารที่มีประโยชน์ต่อเซินเฟยด้วย
ตลอดระยะเวลาเดือนกว่ามานี้ หวางซิงไม่ได้พบหน้าเซินเฟยหรือกระทั่งได้ยินเสียงเลยสักครั้งเดียว ทั้งที่คิดว่าเมื่อเซินเฟยกลับมาแล้วจะได้กลับไปอยู่เคียงข้างเช่นเดิม ทว่าหลังจากห่างร้างกันไปหนึ่งเดือนโดยไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร พอได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเขาก็ถูกสั่งห้ามพบอีกครั้ง ตอนนี้ระยะเวลาก็ผ่านไปนานแล้ว หวางซิงรู้ว่าตนเองต้องอดทนแต่ก็ยังอดน้อยใจไม่ได้
“เหลือเวลาอีกอาทิตย์เดียวเท่านั้น.....” หวางซิงเปรยขึ้นมาเหมือนไม่มีความหมายอะไร แต่มู่อี้จิงรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังหมายความถึงช่วงกำหนดสามเดือนที่จะมีการแต่งตั้งจูเชว่คนใหม่
“งานที่บริษัทยุ่งหรือครับ?” มู่อี้จิงถามกลับเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจ
“ถ้าเป็นตอนนี้คนยุ่งคงมีแต่ผมนี่แหละครับ คุณเซินหยู่ออกไปข้างนอกทุกวันไม่ค่อยเข้าบริษัทเท่าไหร่ งานภายในผมเลยต้องจัดการเองแทบทั้งหมด”
มู่อี้จิงทำความเข้าใจความกลัดกลุ้มของหวางซิงได้ไม่ยาก เพราะเมื่อเซินเฟยกลับมาแล้วฐานะของหวางซิงจึงเปลี่ยนไป จากปกติเขาอาจแกล้งปล่อยปละละเลยงานให้เซินหยู่กลับมาสะสางเองได้ แต่เมื่อรู้แน่ว่าเซินเฟยจะกลับมา หวางซิงจึงต้องพยายามทำงานแทนให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เซินเฟยต้องรับภาระที่พ่อตนเองทิ้งเอาไว้
แต่ช่วงนี้เองเซินเฟยก็ใช่จะสบาย เพราะต้องดำเนินแผนการตามที่เขาได้ข้อมูลมาอย่างลับ ๆ การ์ด 4 คน ฉู่เหวินจือที่เพิ่งถอดเฝือกไป ตัวเขาเอง และเซินเฟยต่างก็หัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้น ทั้งยังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ จากสายตาของเซินหยู่อีกจึงเหนื่อยเป็นเท่าตัว จบงานนี้เขาต้องคิดค่าตอบแทนหนัก ๆ หน่อยเสียแล้ว เล่นใช้งานกันจนเทียบได้กับปริมาณงานในฐานะสายสืบของกรมตำรวจรวมกัน 4 เดือนแบบนี้
“ดูเหมือนว่าจะเป็นไปด้วยดีนะครับ” หวางซิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง มู่อี้จิงจึงพยักหน้า
“คุณเริ่มสังเกตเห็นแล้วหรือ?”
“ครับ.....แต่คุณเซินหยู่ยังไม่รู้” ประโยคหลังหวางซิงลดเสียงลงเล็กน้อย “ผมเองก็พยายามปกปิดอยู่”
มู่อี้จิงพยักหน้า เรื่องนี้เซินเฟยคงจะพอใจที่จะได้ฟังอยู่ ซึ่งก็นับว่าพวกเขาทำงานได้ไม่เสียเปล่า เหลือก็แต่ช่วงเวลาที่เซินเฟยจะลงมือเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นภายในวันหรือสองวันนี้ เพราะเวลากำลังงวดลงเรื่อย ๆ ถึงการดำเนินการจะดูเชื่องช้าแต่ความจริงแล้วเซินเฟยเองก็กำลังร้อนใจอยู่มากเหมือนกัน
ตัวเซินหยู่ นอกจากจะหันมาทำดีกับคนในแล้ว ยังทำดีกับภรรยา หลี่จวี๋เหม่ย มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะสภาพอารมณ์ที่เป็นไปในทางบวกนั่นเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเวลาค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้ความเป็นจริงอย่างที่ฝันไว้ และคนในก็เริ่มยอมรับเขามากขึ้นแล้ว ทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองจะได้ดำรงตำแหน่งต่อไปอย่างแน่นอน
“กลับมาแล้วหรือคะ?” หลี่จวี๋เหม่ยรีบออกไปต้อนรับสามี เธอดูซูบผอมและอมทุกข์มากกว่าเก่าหลังจากที่ได้ข่าวการหายตัวไปของเซินเฟย กระนั้นเธอก็ไม่อาจแสดงความตรมเศร้าออกมาให้สามีเห็นได้ ด้วยรู้ดีว่าเซินหยู่ไม่ต้องการจะรู้สึกถึงตัวตนของเซินเฟยไปมากกว่านี้ เวลานี้เซินหยู่เองก็ประพฤติตัวดีขึ้น เธอจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียขึ้นมาอีก ด้วยเหตุนั้นจึงทำได้เพียงเก็บความทุกข์ในฐานะแม่ไว้ในใจเพียงผู้เดียวโดยไม่อาจพูดให้ใครรับฟังได้
“กลับมาแล้ว” เซินหยู่ว่าแล้วเดินเข้าไปสวมกอดภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก “วันนี้มีอะไรกินบ้าง? บ้านที่ฉันไปหาวันนี้ภรรยาเขาทำอาหารรสชาติย่ำแย่จริง ๆ เธอเก่งกว่าเยอะเลยล่ะ”
“งั้นหรือคะ?” หลี่จวี๋เหม่ยหัวเราะแกน ๆ เธอไม่ค่อยชินกับพฤติกรรมแบบใหม่ของสามีสักเท่าไหร่ “วันนี้ฉันเตรียมของไว้เยอะเพราะเห็นคุณบ่นเหนื่อยมาหลายวัน แล้วก็ยังมีของหวานที่คุณชอบด้วย”
“งั้นก็ดีน่ะสิ ไปกินข้าวกินปลากันเถอะ เธอซูบผอมไปขนาดนี้กอดไม่เต็มโอบเอาเสียเลย” เซินหยู่บ่นพลางหัวเราะก่อนจะพยุงภรรยาของตนเข้าไปในห้องอาหารซึ่งหลี่จวี๋เหม่ยจัดโต๊ะรอเอาไว้อย่างพรักพร้อมตามหน้าที่ของเธอที่กระทำมาหลายปี แม้ว่าจะมีแต่ปีหลัง ๆ นี้ที่เซินหยู่กินข้าวที่บ้านบ่อยครั้งขึ้นกว่าเดิมจากที่ปกติจะออกไปกินกับเพื่อนหรือลูกค้าที่ร้านอาหารอยู่เสมอ
เซินหยู่นั่งลงแล้วตักอาหารเช้าปากพลางเอ่ยชมรสชาติที่หลี่จวี๋เหม่ยบรรจงปรุงแต่งอย่างที่อีกฝ่ายชื่นชอบ
“ที่บริษัทเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ตอนนี้กำลังไปได้สวยเลยล่ะ นี่จวี๋เหม่ย เธอรู้ไหมว่าพวกผู้บริหารให้ความเชื่อถือฉันมากขึ้นแล้วนะ แถมพวกหัวหน้ากลุ่มก็ดูจะสนับสนุนฉันอยู่หลายคน ยังไงตำแหน่งจูเชว่ก็ไม่พ้นฉันอย่างแน่นอน” เซินหยู่พูดอย่างมั่นอกมั่นใจ กระนั้นหลี่จวี๋เหม่ยกลับรู้สึกใจคอไม่ดีอย่างไรชอบกล เพราะอะไร ๆ ก็ดูลงตัวไปเสียหมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะเข้าหาใครก็ยากลำบากไปหมดแท้ ๆ
“อีกเดี๋ยวเธอจะได้เป็นนายหญิงใหญ่แล้ว หัดทำหน้าทำตาให้มันสดชื่นหน่อยสิ แต่งหน้าแต่งตาเสียบ้าง แล้วก็เดี๋ยวฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ดีไหม เธอไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกเท่าไหร่ก็เลยไม่มีชุดสวย ๆ เลยนี่นะ”
ฟังคำสามีแล้ว หลี่จวี๋เหม่ยก็แย้มรอยยิ้มฝืน ๆ
นับแค่แต่งเข้ามาในบ้านหลังนี้ อย่างว่าแต่เสื้อผ้าเลย กระทั่งเครื่องสำอางค์ก็ยังไม่มีโอกาสได้ซื้อได้ใช้เสียด้วยซ้ำ เธอถูกบังคับให้อยู่แต่ในบ้าน การสมาคมกับคนข้างบ้านก็ไม่มี ตอนไปประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนของเซินเฟยก็ได้แค่ใช้เครื่องสำอางค์เก่าที่ซื้อมาตอนก่อนจะแต่งงานตบแค่ผาด ๆ เท่านั้น ในสายตาของคนทั่วไปเธอจึงเป็นผู้หญิงที่ดูมืดมนไร้ชีวิตชีวาและไม่มีใครอยากจะคบค้าด้วยมากนัก
“ฉันคงไม่เหมาะกับของสวยงามแบบนั้นหรอกค่ะ” เธอว่าพลางกินข้าวต่อไปเงียบ ๆ
“พูดแบบนี้อีกแล้ว! ต่อไปเธอจะเป็นนายหญิงของตระกูลนะ ต้องมีหน้ามีตาในสังคม จะทำตัวโทรม ๆ อยู่บ้านได้ยังไงกัน ดูอย่างนายหญิงคนก่อนสิ เฮอะ! แต่งตัวจัดขนาดนั้น” เซินหยู่พาดพิงไปถึงซากุระซึ่งตอนนี้ได้ข่าวว่ากลายเป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จระดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น ได้ออกข่าวเป็นระยะ ๆ นับแต่กลับไปรับมรดกก้อนโตจากพ่อที่สิ้นบุญไป “ช่างเถอะ เดี๋ยวพอฉันได้เป็นจูเชว่เธอก็จะสุขสบาย ถึงตอนนั้นคงรู้จักแต่งตัวให้ดูดีขึ้นเองนั่นแหละนะ” เขาตัดบทเช่นนั้นเพราะไม่อยากขุ่นใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
หลี่จวี๋เหม่ยได้แต่ทอดถอดใจในอก ไม่รู้ว่าควรจะบอกความกังวลใจให้สามีรู้ดีหรือไม่ แต่ในที่สุดแล้วเธอก็ทำได้เพียงเก็บเอาไว้อย่างเงียบ ๆ เช่นทุกเรื่องที่ผ่านมาและผ่านไป
เมื่อเสร็จสิ้นมื้ออาหาร เซินหยู่ก็จะเดินไปเปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลาหรือไม่ก็จะอ่านหนังสือพิมพ์ หลี่จวี๋เหม่ยก็จะทำหน้าที่เก็บล้างภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้แล้ว ส่วนอาหารที่ยังไม่หมดก็จะเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้อุ่นกินตอนกลางวันที่สามีออกไปทำงาน แต่พอเปิดตู้เย็น เธอก็พบกับของหวานหลายอย่างซึ่งใส่ไว้จนแทบจะเต็มตู้ เธอมองของเหล่านั้นด้วยสายตาโศกเศร้า นึกถึงช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เธอวาดหวังว่าเธอกับลูกชายจะได้กลับมาเป็นครอบครัวอย่างปกติอีกครั้ง ทว่าความหวังนั้นกลับแตกสลายไม่มีชิ้นดี ถึงอย่างนั้น เธอก็เหมือนว่ายังทำใจไม่ได้จึงยังคงทำขนมหวานทุกอาทิตย์ทั้งที่ไม่มีคนที่จะมอบให้
ชุดนี้เองก็คงจะต้องเก็บทิ้งแล้ว....
หญิงสาวมอบของหวานเหล่านั้นแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ไม่รู้ว่าขนมกี่ชิ้น เค้กกี่ก้อนที่เธอทำได้เพียงทิ้งไปอย่างเปล่า ๆ
หลี่จวี๋เหม่ยหยิบขนมจานหนึ่งออกมาจากตู้เย็น กลิ่นของมันชักไม่ดีแล้วเธอจึงเขี่ยลงถังขยะแล้วทิ้งจานลงในอ่างเตรียมล้างและทำเช่นนั้นกับอีกสองสามจานเพื่อเคลียร์ตู้เย็นให้โล่งพอจะใส่อาหารเย็นมื้อนี้ลงไปได้ ทุกการกระทำเป็นไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงเสียงช้อนสแตนเลสและจานกระเบื้องกระทบกันเท่านั้นที่ดังอยู่ในห้องครัว
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลี่จวี๋เหม่ยจึงหันมาจัดของหวานที่เตรียมให้สามีและนำออกไปให้เจ้าตัว เธอนั่งลงฝั่งตรงข้าม มองสามีกินของหวานแล้วก็อดจะนึกถึงเซินเฟยไม่ได้ เซินหยู่กรอกหูเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเซินเฟยตายไปแล้ว ถึงอย่างนั้นคนเป็นแม่ก็ยากจะทำใจรับอยู่ดี
“ฉันขอตัวขึ้นนอนก่อนนะคะ” หลี่จวี๋เหม่ยปลีกตัวจากไป ทิ้งให้เซินหยู่นั่งเล่นต่อไปเพียงลำพัง เขาตักขนมหวานเข้าปากพลางกระหยิ่มในใจเมื่อนับวันเวลาแล้วพบว่าอีกเพียงไม่ถึงสิบวัน สิ่งที่เขาต้องการก็จะวิ่งเข้ามาอยู่ในกำมือ และเมื่อถึงตอนนั้น เขาจะชี้นกก็เป็นนก ไม้ก็เป็นไม้
------------------->
สามวันต่อมา เซินหยู่ก็ยังคงเดินทางมาทำงานที่บริษัทตามปกติทว่าเขากลับรู้สึกถึงสายตาอันผิดแปลกจากบุคคลรอบข้าง อีกทั้งยังรู้สึกว่าคนคุ้นหน้าคุ้นตาหายไปหลายคน เขาคิดว่าคงจะคิดไปเองจึงรีบขึ้นไปยังห้องประธานเพื่อวางแผนว่าวันนี้จะไปนัดพบกับใคร ในช่วงโค้งสุดท้ายอย่างนี้เขาควรจะสนิทสนมกับคนที่มีผลต่อคะแนนเสียงให้มากไว้ โดยเฉพาะพวกผู้อาวุโสที่ไม่พอใจการดำรงตำแหน่งของเซินเฟยแต่เดิม
ทว่าเมื่อเขาเข้าไปถึงห้องประธาน คนสนิททั้งสองกลับทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อีกทั้งยังถือกระดาษปึกหนาไว้ในมือ
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยถามพลางมุ่นคิ้ว
“พวกผมรู้สึกแปลกมาหลายวันแล้วครับ อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าคนของเราหายหน้าหายตาไป ก็เลย....ไปขอรายชื่อจากฝ่ายบุคลากรมาตรวจสอบ....”
“แล้วยังไง?”
“ภายใน 2 สัปดาห์....คนของเราที่วางไว้ในแต่ละแผนกก็ถูกโยกย้ายออกไปจนเกือบหมดเลยครับ”
เซินหยู่ก้าวฉับ ๆ เข้าไปคว้าเอกสารรายชื่อพนักงานในบริษัทมาตรวจสอบ และพบว่าจริงดังว่า ตำแหน่งที่เขาเอาคนของตนเองวางลงไปกลับมีชื่ออื่นเข้ามาแทนที่แทบทุกแผนก เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังมีชื่ออยู่ตามเดิม นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? อำนาจการโยกย้ายตำแหน่งควรจะอยู่ที่เขาไม่ใช่หรือ? การพิจารณาว่าจะจ้างหรือปลดพนักงานรวมถึงการเลื่อนหรือลดขั้นจะต้องรายงานผ่านประธานก่อนเพื่อพิจารณาเหตุผลที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกหนักงานระดับสูง ๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว
“แน่ใจนะว่านี่เป็นข้อมูลล่าสุด?” เขาถามเพื่อความแน่ใจ
“ครับ ผมให้แผนกบุคลากรปรินท์ให้เมื่อเช้านี้เองครับ” คนสนิทคนหนึ่งตอบทันที เพราะเขารู้สึกว่าเริ่มมีกลิ่นไม่ชอบมาพากลจึงไปบังคับให้เจ้าหน้าที่เอารายชื่อออกมาดูอย่างเร่งด่วน แล้วเขาก็พบว่ามีเรื่องผิดแปลกเกิดขึ้นจริง ๆ ซ้ำยังดูเหมือนจะเกิดมานานแล้วแต่ไม่มีใครรู้ตัว
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เซินหยู่รู้สึกหนาวเยือกในอก การกระทำเช่นนี้หรือว่าจะเป็นฝีมือพวกผู้บริหารที่คิดหักหลังเขา? หรือว่าจะเป็นมือมืดจากที่ไหนในองค์กร? หรือว่า.....
“หวางซิงอยู่ไหน?”
“ผมอยู่นี่ครับ” ทันทีที่เอ่ยชื่อ หวางซิงก็เดินเข้ามาในห้องเหมือนไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้น เซินหยู่แทบจะเต้นเมื่อเห็นท่าทางวางตัวเย็นใจเช่นนั้น เขากระชากปึกกระดาษจากมือคนของตนแล้วยื่นไปข้างหน้าหวางซิง
“นี่ฝีมือแกใช่ไหม!?”
หวางซิงมองกระดาษปึกนั้นพลางมุ่นคิ้ว
“ผมทำอะไรหรือครับ?”
“อย่ามาทำไก๋ไม่เข้าเรื่อง! แกสินะที่เป็นคนเซ็นอนุมัติการโยกย้ายพวกนี้น่ะ!” เซินหยู่ตะคอกใส่เลขาคนสนิทของลูกชายโดยไม่สนใจความดีงามที่ตนเองอุตส่าห์อดทนพยายามกระทำต่ออีกฝ่ายเพื่อคะแนนเสียงที่ดีอีกต่อไป อย่างไรเสียเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากคนในหลายคนแล้ว กับแค่เลขาคนเดียวถ้ามันแว้งกัดเขา เขาก็ไม่คิดจะเอาไว้อีกต่อไป เพราะหวางซิงก็ขวางหูขวางตาเขามานานจนเกินจะทนแล้ว
“คุณเซินหยู่ เลขาอย่างผมไม่มีอำนาจการเซ็นอนุมัติโยกย้ายตำแหน่งพนักงานครับ ทำได้แค่ให้คำแนะนำเท่านั้น” หวางซิงเน้นย้ำขอบเขตที่ตนเองมีให้อีกฝ่ายรับทราบด้วยสีหน้าจริงจัง “คนที่สามารถเซ็นผ่านได้มีแต่ประธานเท่านั้น คุณเองก็ทราบไม่ใช่หรือครับ?”
“แต่แกได้รับอำนาจจากอาเฟยให้กระทำการแทนได้!”
“เฉพาะองค์กรใต้ดินเท่านั้นครับ เรื่องในบริษัท หากต้องใช้อำนาจของประธานผมก็ต้องยื่นเรื่องให้คนที่ได้เป็นตัวแทนอย่างคุณไม่ใช่หรือครับ?” หวางซิงว่าพลางขยับแว่น
“แต่ว่าฉันไม่ได้ทำอะไร....”
“ใช่ครับ คุณพ่อไม่ได้ทำอะไร เพราะที่ทำไม่ใช่พ่อแต่เป็นผม” เสียงที่แทรกเข้าในโสตประสาทเรียกให้เซินหยู่หันไปทางประตูที่เปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นตาเกินกว่าจะหลงลืมไปได้ ดวงตาเยียบเย็นของเด็กหนุ่มยังคงคมกริบราวกับดาบ เมื่อจ้องมองยิ่งรู้สึกราวกับถูกทะลวงเข้าไปถึงสันหลัง แววตาแบบนั้นคือแววตาที่เด็กหนุ่มมักจะใช้มองคนอื่นอยู่เสมอ และเป็นสายตาที่เขาเกลียดชังที่สุด
“แก.....อาเฟย......” เซินหยู่เบิกตากว้าง
“คุณเซิน!” หวางซิงขานเรียกอีกฝ่ายด้วยความดีใจ ไม่นึกว่าเซินเฟยจะยอมปรากฏตัวออกมาในช่วงเวลาอย่างนี้ราวกับวางแผนเอาไว้แล้ว ไม่สิ...หากพูดว่าเป็นไปตามแผนน่าจะถูกเสียกว่า เพราะทั้งหมดนี้น่าจะเกิดขึ้นจากแผนการที่เซินเฟยวางเอาไว้ก่อนหน้านี้
“ไม่จริง....แกตายไปแล้วนี่!” เซินหยู่ปฏิเสธความจริงที่ตนเห็น
“ถ้าพูดตามจริง ตามกฏหมายถือว่าผมเป็นบุคคลหายสาบสูญ ไม่ใช่บุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว” เซินเฟยเดินเข้ามาในห้อง “และเมื่อผมกลับมา ทุกสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผมย่อมกลับคืนมาหาผมตามกฎหมาย นั่นรวมถึง.....เก้าอี้ที่พ่อจับจองเอาไว้มาเกือบสามเดือนนั่นด้วย”
“เหอะ.....แกกลับมาแล้วจะได้อะไร! ยังไงอำนาจในบริษัทนี้ฉันก็กุมไว้หมดแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะมีการแต่งตั้งจูเชว่คนใหม่ อย่างแกน่ะฉันแค่พูดว่าเป็นตัวปลอมถูกส่งมาก็ยืดเวลาออกไปได้ กว่าจะมีใครรู้ว่าแกเป็นตัวจริง ฉันก็ได้เป็นจูเชว่แล้ว!”
เซินเฟยพยักหน้าเนือย ๆ
“มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้น”