Rough and Tender 26
ตอนที่ได้รู้จักกับกรตอนแรกๆ เขารู้สึกยังไงบ้างนะ
ชายหนุ่มที่ดูจะสมบูรณ์พร้อมในหลายๆ ด้าน นั่นไม่ได้ทำให้เขาสนใจได้เท่ากับความไม่ยี่หระใส่ใจผู้อื่น เขาเคยนึกอิจฉาความเข้มแข็งแบบนั้น กรไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยต้องเอาใจใครและไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา
กรเป็นคนที่สมควรจะมองและเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะโดนยึดยื้อไว้ด้วยสิ่งใดทั้งสิ้น
“สำหรับผม ครอบครัวมาเป็นอันดับแรก ผมจะไม่มีวันทำอะไรก็ตามที่ทำให้ครอบครัวไม่สบายใจ และคนอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้พี่กรก็มีทั้งป่าน มีทั้งพี่พล ทุกคนสำคัญสำหรับผม” ตลอดเวลาที่ฟังเขาพูด กรไม่ได้พูดแทรก ไม่ได้หลบตา นอกจากจ้องเขม็ง “ถ้าการอยู่กับพี่จะทำให้คนสำคัญคนอื่นต้องเสียใจหรือลำบาก ผมก็ทำไม่ได้หรอก”
แววตาของกรดูสับสน ชายหนุ่มคล้ายกับจะโกรธแต่ก็กลัว เหมือนอยากจะอาละวาดพร้อมๆ กับวิ่งหนีไปให้พ้นๆ จนกระทั่งท้ายสุดจึงค่อยกัดฟันเอ่ยออกมาด้วยความคับแค้น
“คนอื่น... มึงก็เอาแต่พูดถึงคนอื่น แล้วตัวมึงเองล่ะ อยากอยู่กับกูบ้างไหม เคยรัก...บ้างหรือเปล่า กูไม่สนใจหรอกว่าคนอื่นของมึงจะเป็นจะตายกันยังไงบ้าง กูสนใจแค่ว่ามึงคิดยังไงแค่นั้น!”
“ในสายตาพี่กร คนอื่นก็คงเป็นแค่คนอื่น พี่เคยสนใจอะไรบ้างไหมนอกจากตัวเอง เคยห่วงใครบ้างหรือเปล่า แม้แต่ผมก็ยังโดนพี่บังคับบงการอยู่ตลอด พี่เคยคิดจะทำเพื่อผมจริงๆ บ้างสักครั้งไหม หรืออย่างครั้งนี้ที่พี่ต้องการให้ผมไปด้วยก็เป็นเพราะพี่ไม่ไว้ใจผม เคยคิดบ้างไหมว่าผมจะไปอยู่ที่โน่นได้ยังไง ภาษาผมก็ไม่เก่ง ฐานะทางบ้านผมก็ไม่ดี ไอ้เรื่องจะให้แบมือขอเงินจากพี่ไปตลอดผมก็ทำไม่ได้ แล้วถ้าวันไหน เราเกิดเลิกกันขึ้นมา ผมจะไปอยู่ตรงไหน”
ฟังความในใจยาวเหยียดของเขาจนจบ กรกลับขมวดคิ้ว
“มึงไม่เข้าใจ ทำไมถึงต้องพูดถึงเรื่องอื่น นี่มันเป็นเรื่องของเราสองคน แล้วทำไมถึงต้องพูดถึงสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้น ในเมื่อวันนี้เรายังอยู่ด้วยกัน”
ขอบฟ้าชักเข้าใจข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างพวกเขาแล้วว่าในขณะที่ตัวเขาหมุนตามโลก กรกลับบังคับให้โลกทั้งใบหมุนตามตัวเอง
ตกลงแล้วเป็นตัวเขาหรือกรกันแน่ที่เข้าใจความเป็นไปในโลกนี้ หรือว่าต่างคนก็ต่างยังเยาว์นัก เขาเยาว์วัยเกินกว่าจะทิ้งทุกอย่างไปเพื่อผู้ชายตรงหน้า และกรก็ยังไม่เข้าใจว่าพวกเขาต่างยังไม่พร้อมสำหรับสิ่งๆ นี้
“เราจะยังอยู่ด้วยกัน...” กรย้ำคำเดิมหากน้ำเสียงเริ่มลังเลอย่างชัดเจน “ใช่ไหม”
ดวงตาขอบฟ้าแห้งผาก ไม่ว่าจะด้วยเหตุหรือผล ไม่ว่าขาของเขาจะหายดีหรือไม่ ไม่ว่าจะด้วยความรับผิดชอบหรืออะไรก็ตาม เขาก็เหลือคำตอบเดียวให้กับอีกฝ่าย
“ผมไม่ไป ผมจะไม่ไปกับพี่อีกแล้ว ปล่อยผมไปเสียทีเถอะ ผมเหนื่อย” คำพูดสุดท้ายสั่นเครือ ขอบฟ้าส่ายหน้า “ถ้าพี่คิดจะทำเพื่อผมสักครั้งจริงๆ ล่ะก็ ปล่อยผมไปเถอะ ผมขอร้อง”
ใบหน้าชายหนุ่มซีดเผือดในขณะที่ดวงตาคมจ้องเขาเหมือนจะให้ทะลุ กรยืนจ้องเขาโดยไม่ยอมขยับและไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว นานจนขอบฟ้าคิดว่าพวกเขาอาจต้องอยู่แบบนี้ทั้งคืน ทว่าในที่สุด กรกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเหลือเชื่อ
“มึงขอร้องให้กูปล่อยมึง แล้วถ้ากูขอ...ไม่ให้มึงไปบ้างล่ะ” ร่างสูงใหญ่ของกรยังดูยืนหยัด มั่นคงและโดดเดี่ยวดังเช่นทุกครั้งที่เขาเห็น “ถ้ากูไม่ได้บังคับแต่ขอร้อง มึงจะว่ายังไง”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้ากรจะพูดคำนี้ออกมาได้ตั้งนานแล้ว เขาอาจเหลือทางเลือกให้กับตัวเองและคนตรงหน้าได้มากกว่าในเวลานี้ หากไม่ใช่ในนาทีนี้...ที่ดูเหมือนจะเหลือคำตอบอยู่เพียงคำเดียว
“ไม่”
ขอบฟ้าดีใจที่เสียงเขานิ่งมากตอนเอ่ยคำสั้นๆ ดังกล่าว เขายืนรอปฏิกิริยาจากอีกฝ่าย รอเสียงตะโกนด่าทอ รอเสียงหัวเราะเยาะที่บอกว่าเขาไม่ได้สำคัญถึงขนาดนั้น แต่รอแล้ว รอเล่า ภาพที่เห็นกลับยังเป็นภาพเดิมๆ ร่างสูงยังยืนห่างจากเขาในระยะเท่าเดิม ดวงตาดำลึกของกรยังคงจ้องมองตรงมาที่เขา ราวกับว่าชายหนุ่มกำลังรอ...รอให้เขาเปลี่ยนใจหรือไม่ก็รอให้คำตอบสั้นๆ ของเขาซึมลึกให้ถึงที่สุดและเจ็บปวดกับมันให้มากที่สุด เพื่อที่ว่าท้ายสุดจะสามารถตอบคำ
“ตามใจมึง” กรพูดคำนี้ได้ด้วยเสียงที่นิ่งพอกันก่อนจะกลับหันหลัง เดินออกไปอย่างง่ายดาย
เหลือเพียงเขาเพียงคนเดียวในห้องกับอิสระที่ได้มาโดยแทบไม่รู้เนื้อรู้ตัว อิสระที่ทำให้เขาทั้งตื่นเต้นและอ้างว้างได้ในเวลาเดียวกัน
จากนี้ไป เขาจะไม่ได้เจอกับกรอีกแล้ว...
น่าแปลกที่ความคิดนี้ไม่ได้ทำให้เขายิ้มได้ นอกจากรู้สึกหน่วงหนัก พวกเขาจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วจริงๆ น่ะเหรอ แค่คำพูดง่ายๆ ที่จบลง ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาทั้งหมดก็จะกลับไปเป็นศูนย์ หลงเหลืออยู่แค่ความทรงจำใช่ไหม
ขาเขาขยับไปก่อนใจคิด หากความเสียวปลาบที่แล่นริ้วขึ้นมาทำให้เสียหลักล้มโครม แม้จะเอาศอกยันกันหน้ากระแทกไว้ได้ทันแต่ก็ยังเจ็บจนน้ำตาคลอ ความเจ็บปวดนี้ช่วยย้ำเตือนว่าเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่ในโลกแห่งความฝันอีกต่อไป
ดีแล้ว ปล่อยให้กรไปก็ดีแล้ว ต่อให้ตลอดชีวิตของเขาจะเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ แต่เขาจะไม่ขอเป็นตัวภาระให้ใครเด็ดขาด
เพียงแต่ว่าตอนนี้มันเจ็บมากๆ เจ็บจนลุกไม่ขึ้น น้ำตาก็ยังไม่ยอมหยุดไหล ฉะนั้นขอเวลาให้เขาอีกสักนิด ขอเวลาให้ความเจ็บ ความปวดเหล่านี้มันบรรเทาเบาบางลง แล้วเขาจะลุกขึ้นยืนให้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยใครมาช่วยอย่างแน่นอน
+++++++++++
การทำกายภาพเป็นไปได้ด้วยดี เขาเชื่อฟังและให้ความร่วมมือทุกอย่างจนในที่สุดก็สามารถเดินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำ
ท่าเดินของเขาแม้ดูในกระจกจะดูปัดเป๋นิดๆ แต่เมื่อเทียบกับตอนแรกๆ ขอบฟ้าก็นึกดีใจมากแล้วที่ยังทำได้ถึงขนาดนี้
นักกายภาพส่งตารางการออกกำลังกายด้วยตัวเองให้เขาหลังจากแจ้งข่าวดีว่าเขาไม่จำเป็นต้องมาทำกายภาพที่โรงพยาบาลอีกแล้ว แต่ต้องพยายามบริหารกล้ามเนื้อและฝึกเรื่องท่าเดินต่อด้วยตนเอง ห้ามปล่อยปละละเลยอย่างเด็ดขาด
หลังจากลงจากรถเมล์ ขอบฟ้าก็เดินช้าๆ จนถึงบ้านพร้อมเหงื่อที่ออกเต็มหน้าแม้จะใส่หมวกแล้วก็ตาม เพราะถึงแดดจะร้อน แต่ก็เดินเร็วๆ ไม่ได้ เมื่อเดินปาดเหงื่อเข้ามาในเงาร่มของตัวบ้านแล้วจึงพบว่ามารดากำลังนั่งคุยกับใครบางคนอยู่
“อ้าว มานั่นแล้ว” มารดาทักและพยักเพยิดมาทางเขา พร้อมขยับลุกไปเทน้ำเทท่าให้ “ร้อนล่ะสิ ม้าบอกแล้วให้กางร่มก็ไม่เชื่อ ดันกลัวโดนมองเหมือนผู้หญิงไปได้ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ แทนที่จะห่วงตัวเอง กลับห่วงสายตาคนอื่น”
“ฟ้าเขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่คะ” เธอคนนั้นหันหน้ามายิ้มให้เขาบางๆ “เป็นไงบ้างจ๊ะ ขอโทษนะที่ไม่ได้มาเยี่ยมเลย”
หลังยัดแก้วน้ำใส่มือเขา มารดาก็ปลีกตัวไป ทิ้งให้เขากับป่านนั่งเผชิญหน้ากันแค่สองคน
“ฟ้าสบายดีไหม” หญิงสาวเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อนด้วยประโยคคำถามง่ายๆ และยิ้มออกมานิดหนึ่งเมื่อเห็นกิริยาพยักหน้ารับตื่นๆ “ทำไมฟ้าไม่พูดกับป่านเลยล่ะ ...ยังโกรธป่านอยู่เหรอ”
“ไม่ใช่ ผมไม่ได้โกรธ ผมไม่เคยโกรธป่านเลย...จริงๆ นะ” เมื่อได้เริ่มพูดแล้ว คำพูดที่เหลือก็หลั่งไหลเหมือนทำนบแตก “ผมกลัวต่างหาก กลัวว่าป่านจะไม่อยากได้ยินเสียง กลัวว่าป่านจะไม่ยอมยกโทษให้ กลัวว่าป่านจะไม่คิดว่าผมเป็นเพื่อนป่านอีกแล้ว ผมขอโทษ ป่าน ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้...”
“ป่านรู้” หญิงสาวเอ่ยขัด หลบตาเขายามเอ่ยต่อ “ป่านรู้ดีมาตลอดล่ะว่าคนที่เริ่มไม่มีทางเป็นฟ้าไปได้หรอก นิสัยคนแบบฟ้ากับคนแบบพี่กร เรื่องมันเกิดเพราะใคร ไม่ต้องเดา ป่านก็รู้”
ป่านหัวเราะแบบไม่นึกขำ เสยผมยาวสลวยไปทางด้านหลัง กระพริบตาถี่ๆ “แต่ถึงจะรู้ ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับได้ง่ายๆ หรอกนะ ป่านอยากเป็นคนสำคัญของพี่กรและหลงคิดว่าตัวเองได้เป็นจริงๆ อยู่ช่วงหนึ่ง พอมาโดนให้รับรู้ความเป็นจริงซึ่งๆ หน้า มันก็รับแทบไม่ไหวเหมือนกัน ป่านโกรธทุกคนที่ทำเหมือนป่านเป็นคนโง่ หลอกให้เรามีความหวัง ทำเหมือนกับว่ารักเรา ทั้งที่ความจริง...มันไม่ใช่เลย”
ขอบฟ้าก้มหน้ารับฟังทุกอย่างโดยไม่เอ่ยคำใดเพราะเขาพร้อมจะรับฟังและทำตามทุกอย่างอยู่แล้ว
“พอได้ยินว่าฟ้าโดนรถชนเพราะช่วยพี่กร วินาทีนั้นป่านถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าทำตัวไม่มีเหตุผลเลยที่พาลไปโกรธฟ้า ทั้งๆ ที่ฟ้าเป็นเหยื่อมาโดยตลอด ป่านคิดว่าฟ้ายังเป็นเพื่อน แต่จะให้ทำใจมองหน้าฟ้าเหมือนที่ผ่านๆ มามันก็ยังยากเหลือเกิน ยากจนไม่รู้จะทำยังไงดี ป่านคิดว่าคงดีกว่าถ้าชาตินี้เราจะไม่ต้องเจอหน้ากันอีก”
หลังประโยคดังกล่าวคือความเงียบ ความตึงเครียดทิ้งตัวอยู่ระหว่างพวกเขาสองคนที่วันนี้ยังคง...เป็นเพื่อนกัน
“ป่านถามอะไรฟ้าอย่างหนึ่งได้ไหม” พอเห็นอาการพยักหน้ารับ หญิงสาวจึงถามเสียงนิ่งเรียบ “ฟ้ารักพี่กรหรือเปล่า”
คำถามดังกล่าวสั้นและง่าย แต่ขอบฟ้ากลับสับสน รักหรือเปล่างั้นเหรอ เขาสามารถรักคนที่ข่มขืนตัวเองได้งั้นเหรอ สามารถรักจอมบงการเอาแต่ใจตนเองสุดเหวี่ยงแบบกรได้งั้นเหรอ เหตุผลในการไม่รักกรมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ที่น่าขำคือความรักนั้นกลับไม่เคยต้องการเหตุผลแม้แต่ข้อเดียว
“รักหรือไม่รักแล้วมันต่างกันตรงไหน” เขาถอนหายใจพร้อมกับก้มลงมองมือตัวเองโดยไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย “ยังไงเราก็ไปกันไม่รอดอยู่ดี”
ฟังคำตอบเขาแล้วป่านก็เอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปสักพัก
“ฟ้านี่เลือดเย็นกว่าที่คิดนะ” ริมฝีปากเคลือบสีสวยแย้มยิ้มนิดๆ “คบกันมาตั้งเป็นสิบปี ป่านเพิ่งรู้สึกวันนี้นี่เอง”
คนฟังกระพริบตาปริบ ...คราวก่อนก็เคยโดนกรตวาดใส่หน้ามาแล้วหนหนึ่งว่าเขาไม่มีหัวใจ มาคราวนี้โดนป่านบอกอีกรอบว่าเลือดเย็น เล่นเอาขอบฟ้าเริ่มไม่แน่ใจ เพราะตลอดมาที่คิดว่าตนเองจืดชืดชินชา มันจะกลายเป็นความเลือดเย็นในสายตาคนอื่นไปได้อย่างไร
“พี่กรจะไปแล้วนะ” อยู่ๆ ป่านก็กล่าวขึ้นอีกครั้งพลางล้วงบางอย่างออกจากระเป๋าถือบนตัก “นี่เป็นตั๋วเครื่องบิน ไฟลท์เดียวกับของพี่กร ที่นั่งติดกัน วันเวย์”
มือบางวางตั๋วเครื่องบินในซองยาวประทับตราสายการบินราคาแพงลงบนโต๊ะไม้เก่าคร่ำครา สีถลอกปอกเปิกจากการใช้งานมานานแรมปี
“คงไม่ได้คิดหรอกนะว่าป่านเป็นคนดีขนาดเตรียมไว้ให้แฟนเก่ากับเพื่อนสนิทบินไปใช้ชีวิตใหม่กันสองคน แต่เป็นเพราะพี่กรขอมาต่างหาก ร้ายมากเลยใช่ไหมล่ะ ทำกับป่านถึงขนาดนี้แท้ๆ ยังมีหน้ามาขอให้ช่วยอีก คงคิดว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วมั้งที่จะทำให้ฟ้าเปลี่ยนใจได้ แต่เอาเถอะ กล้าขอ ป่านก็กล้าเอามาให้ แต่แค่เอามาให้ ป่านไม่คิดจะพูดแทนหรือยกเหตุผลดีๆ สักข้อให้ฟ้าไปกับพี่กรหรอก ฟ้าตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน”
หญิงสาวขอตัวกลับไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงซองยาวบนโต๊ะ ขอบฟ้าหรุบตามองมันเนิ่นนาน คำตอบในใจเขามั่นคงไม่คลอนแคลน เขาอาจจะโง่หรือสมองช้าไปบ้าง แต่ก็พอจะรู้ว่าถ้าเขาใจอ่อนตอนนี้ รังแต่จะทำให้ตัวเองกับกรไปจนถึงสุดขอบเหวเท่านั้น
เขาไม่ได้ทิ้งตั๋วใบนั้น นอกจากเก็บลงในลิ้นชักที่ลึกที่สุด ที่ที่จะไม่มีใครพบเจอ จะไม่มีใครมาแตะต้อง ดั่งเช่นความทรงจำอันมีค่าที่สุดในช่วงหนึ่งที่เขาเคยมีกร
++++++++++
หลังจากวันนั้น นอกจากพยายามอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเริ่มเรียนปีเดิมอีกครั้งในเทอมหน้า เขาก็ยังมีเวลาพอจะช่วยมารดาหารายได้เข้าบ้านได้มากกว่าเดิม ช่วงที่ยุ่งๆ ทำให้เขาพอจะหลงลืมเรื่องราวต่างๆ ไปได้บ้าง แม้ว่าเวลาอยู่คนเดียวอาจจะทำให้เผลอคิดฟุ้งซ่านบ่อยๆ ก็ตาม
พลชนะยังโทรศัพท์มาไถ่ถามทุกข์สุขเขาอยู่บ้างเป็นพักๆ โดยไม่เคยพูดถึงใครอีกคนและขอบฟ้ายังได้มีโอกาสเจอกับเอกลักษณ์ด้วย เมื่อฝ่ายนั้นบุกมาหาถึงบ้าน แม้แรกๆ เอกลักษณ์จะมีอาการเกร็งอยู่บ้าง แต่พอเห็นว่าเขายังพูดคุยด้วยเหมือนเดิม จึงค่อยใจชื้นขึ้นและออกปากว่าถ้ามีเรื่องอยากให้ช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือเรื่องอะไรก็ตาม ให้บอกได้ทุกเมื่อ
“ขอบคุณมากครับ แต่แค่เห็นพี่มาเยี่ยม ผมก็ดีใจมากแล้วล่ะ”
“พี่ไม่กล้าไปเยี่ยมเราตอนอยู่โรงพยาบาลน่ะ รู้สึกผิดก็ด้วยแล้วไอ้กรมันก็คาดโทษตายพี่ไว้ด้วย เอ่อ...ก็เลย...” เอกลักษณ์หัวเราะแหะๆ หันรีหันขวางอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยด้วยความลังเล “นี่ฟ้าไม่ได้...กับไอ้กรแล้วเหรอ”
“ไม่ได้อะไรล่ะ พี่ฟี่ อีกอย่างนะ มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายถึงขนาดนั้นสักหน่อย ไม่ต้องกังวลหรอกครับ” ขอบฟ้ายิ้มกับท่าทางดังกล่าว “ส่วนที่พี่ถาม ผมไม่ได้เจอกับพี่กรตั้งนานแล้ว”
“เหรอ” รับคำสั้นๆ ท่าทางหงอยๆ เห็นเอกลักษณ์กลับไปนั่งคอตกเหมือนตอนแรกๆ ที่มาถึง ขอบฟ้าจึงอดถามขึ้นไม่ได้
“เป็นอะไร พี่ฟี่ อยู่ๆ ก็เงียบไปเลย”
“เปล่าหรอก พี่ก็แค่...” อึกอักทำท่าเหมือนอยากพูดแต่ไม่กล้า สุดท้ายเอกลักษณ์ก็ถอนหายใจ “พี่แค่รู้สึกเสียดาย เสียดายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เสียดายว่ามันไม่น่าจบลงเร็วแบบนี้ ฟ้าไม่รู้หรอกว่าตอนไอ้กรตอนอยู่กับฟ้า มันเป็นผู้เป็นคนขนาดไหน พี่เห็นมันมาสี่ปีเพิ่งเคยเห็นมันทำตัวตลกๆ แบบนั้น ไม่สิ ไม่ใช่แค่ตลก ไอ้กรมันน่าเอ็นดูมากเลยด้วยซ้ำ”
เห็นท่าทีรับฟังเฉยๆ ของเขาแล้วเอกลักษณ์ก็ตัดสินใจเลิกพูดถึงเรื่องนี้และเอ่ยถามเรื่องอื่นแทน จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง อีกฝ่ายจึงค่อยขอตัวกลับ
ขอบฟ้ารีบลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะเดินไปส่ง ฝ่ายเอกลักษณ์พอหันมาเห็นลักษณะท่าเดินขัดๆ ของเขาเข้าก็ถามว่า “ฟ้ายังต้องไปทำกายภาพบำบัดอยู่อีกเหรอ”
“คุณหมอยังสั่งให้ทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ห้ามทิ้ง” รีบเสริมเมื่อเห็นเอกลักษณ์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนไม่แน่ใจ “แต่ไม่เป็นไรแล้ว คุณหมอบอกว่าแรกๆ อาจจะยังเดินไม่ถนัดอยู่บ้าง ให้ขยันทำกายภาพตามตารางไปอีกสักพักก็เข้าที่เอง”
“เหรอ อืม ขอให้หายไวๆ นะ” เอกลักษณ์โบกมือ “ไว้เจอกัน”
อย่างที่เขาเคยบอกกับทิวหมอกนั่นล่ะ ต่อให้วิ่งไม่ได้ แต่เขาคิดว่าตนโชคดีมากแล้วที่ยังสามารถยืนและเดินได้ด้วยขาทั้งสองข้าง สำหรับขอบฟ้า มันไม่ใช่เรื่องหนักหนาหรือน่ากลัว เพียงแต่เขาไม่แน่ใจว่าในสายตาคนอื่นจะมองเป็นแบบไหน ดูแค่ทิวหมอกยังเหมือนจะยังทำใจยอมรับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ขอบฟ้าหวังว่าสักวันหนึ่ง...ต่อให้ไม่มีวันเหมือนเดิม แต่ขาของเขาจะหายดีในที่สุด
เช่นเดียวกับหัวใจ...เวลาคงจะเยียวยาให้ดีขึ้นเอง ต่อให้มันจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้วก็ตาม
++++++++++
กาลเวลาทั้งทำร้ายและเยียวยาทุกสิ่งทุกอย่าง ขอบฟ้าตระหนักในเรื่องนี้เมื่อได้กลับไปเรียนหนังสืออีกครั้งในเทอมต่อมา แม้ว่าจะเสียเวลาไปหนึ่งปีเต็มๆ แต่เขาก็ยังเริ่มต้นได้ในปีต่อมากับรุ่นน้องซึ่งแม้จะไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก หากด้วยความเกรงใจก็ทำให้ไม่มีใครแสดงท่าทีอะไรกับเขาเป็นพิเศษเช่นกัน
ขอบฟ้ายังใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ตามลำพัง ผิดกันตรงที่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวหรือแปลกแยกอีกแล้วและไม่ได้นึกโกรธตัวเองที่เป็นแบบนี้ รวมถึงไม่นึกโทษว่าเป็นความผิดใคร
มารดาของเขาเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันก่อนที่เขาจะเรียนจบไม่กี่เดือน วันนั้นหลังจากขายของเสร็จ มารดาก็บ่นว่าอยากนอนพักและขึ้นไปนอนตั้งแต่หัวค่ำโดยที่ไม่มีใครไปรบกวน จนกระทั่งตอนเช้าพวกเขาถึงได้รู้ว่าผู้เป็นแม่ได้จากไปอย่างสงบเสียแล้ว
ในงานศพที่ตั้งสวดแค่สามวัน มีคนมาร่วมฟังสวดบางตาโดยส่วนใหญ่จะเป็นคนรู้จักแถวบ้าน เพื่อนของปลายฝนกับเพื่อนที่ทำงานของทิวหมอกอีกนิดหน่อย ป่านแวะมาในคืนแรก ส่วนพลชนะมานั่งเป็นเพื่อนเขาตลอดสามวัน
ทิวหมอกไม่มีน้ำตาสักหยด นอกจากใบหน้าที่ซีดขาวกว่าปกติ ขอบฟ้าพยายามอดกลั้นไม่ร้องไห้จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาขึ้นเมรุ พลชนะก็ต้องดึงเขาเข้าไปให้ยืมบ่าซุกใบหน้าเปื้อนน้ำตาไว้จนได้ ในขณะที่ปลายฝนร้องไห้จนตาบวมเป่ง ร้องหนักจนพวกเขากลัวว่าน้องสาวจะล้มป่วยตามไป หากท้ายที่สุด พวกเขาก็ผ่านพ้นมันมาได้
ปลายฝนกำลังจะเริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัยและดูมีความสุขกับการได้กลายเป็นนักศึกษาใหม่ ในช่วงเวลาเดียวกัน ขอบฟ้าก็อยู่ในระหว่างการหางาน ถึงเกรดของเขาจะไม่ดีนักแต่เขาก็ไม่เคยละความพยายาม แม้ทิวหมอกจะเคยเสนอว่าจะช่วยดูๆ ตำแหน่งงานว่างในบริษัทที่ตนทำงานอยู่ให้หลังจากเห็นเขาตระเวนสมัครงานมาหลายเดือนแล้ว แต่ขอบฟ้าก็ปฏิเสธไปเพราะยังหวังว่าจะสามารถหางานได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาใครอีก
กับป่าน เขายังได้คุยกันบ้างนานๆ ครั้ง ตอนนี้หญิงสาวกำลังเรียนต่อในระดับปริญญาโทพร้อมกับเริ่มทำงานไปด้วย ป่านดูสวยขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้นแต่กระนั้นพวกเขากลับไม่เคยหวนกลับไปพูดถึงเรื่องในอดีตกันเท่าไหร่นัก เพราะถึงความเจ็บปวดจะจางหายไปแล้ว หากบาดแผลก็ยังคงอยู่ตรงที่เดิมไม่ได้ลบเลือนหายไป
เทียบกันแล้ว เขาได้พบพลชนะบ่อยกว่าเยอะ ฝ่ายนั้นมักจะนัดเขาออกไปกินข้าวเสมอโดยคงความสัมพันธ์ไว้เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มดูมีความสุขดีกับความสัมพันธ์ในระดับนี้และพอใจกับการทำตัวเป็นเสมือนพี่ชายอีกคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยน้องชายมากกว่า
ดังเช่นในวันนี้ หลังจากตระเวนไปกรอกใบสมัครจนถึงตอนเย็น พลชนะก็ชวนเขาไปกินข้าวในบริเวณที่เขาเดินย่ำมาตลอดวัน
ขอบฟ้ามาถึงก่อนเวลานัดเพราะอยู่แถวนี้อยู่แล้ว ส่วนพลชนะกว่าจะแหวกการจราจรมาถึงก็สายไปเกือบชั่วโมง มาถึงก็รีบขอโทษขอโพยทันที
“ขอโทษจริงๆ นะ นี่ขนาดเผื่อเวลาออกมาก่อนเวลาเลิกงานแล้วแท้ๆ ต้องให้ฟ้ารอจนได้” พลชนะรับเมนูจากพนักงานมาและสั่งอาหารรวดเร็ว พอพนักงานหันหลังไปก็รีบเอ่ยต่อ “พี่นี่แย่ชะมัด ไว้คราวหน้าพี่สัญญาว่าจะรีบมาก่อนเวลาให้ได้เลย”
“ใจเย็นๆ ครับ พี่พล ผมยังไม่ทันว่าอะไรพี่สักคำ” ขอบฟ้าหัวเราะเสียงใส “ผมบอกพี่แล้วว่าไม่ต้องนัดแถวนี้ก็ได้ พี่ก็ไม่เชื่อ บอกว่ามาได้ๆ”
“ก็มาได้ อยากมารับเราด้วย คิดว่าคงเหนื่อยแล้ว จะได้ไม่ต้องนั่งรถเมล์กลับบ้านเองไง”
เจ้าตัวตอบพลางคลายเนคไทให้หลวมลง ร่างสูงกับท่าทางปล่อยตัวสบายๆ ทำให้คนมองอดยิ้มไม่ได้ ชายหนุ่มดูดีมากทีเดียวในชุดสูท ท่าทางสมกับเป็นนักธุรกิจที่ต้องบินไปบินมาระหว่างกรุงเทพฯ กับฮ่องกงเป็นว่าเล่น เพราะต้องรับผิดชอบสาขาทางนั้นโดยตรงจึงทำให้พลชนะยุ่งมากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น อีกฝ่ายก็ยังเจียดเวลามาพบเขาได้ทุกเดือน
“ผมไม่ได้เหนื่อยมากหรอก แค่มากรอกใบสมัครทิ้งไว้เองนี่นา” ตอบยิ้มๆ ทั้งที่ความจริง ขาของคนพูดเริ่มปวดตุบๆ ถึงจะเกรงใจ แต่ขอบฟ้าก็นึกดีใจที่ไม่ต้องไปยืนเบียดบนรถเมล์อีกเหมือนเมื่อวันก่อน ซึ่งกว่าจะถึงบ้าน เขาต้องลงไปนั่งเหงื่อแตกพลั่กตรงป้ายรถประจำทางพักใหญ่ๆ กว่าอาการปวดจะบรรเทาลงจนพอเดินกระเผลกกลับบ้านได้
เขาคิดว่าหากได้งานทำจริง อาจจะต้องหาหอพักเช่าอยู่ใกล้ๆ เสียแล้ว มิฉะนั้นคงไม่แคล้วขาหลุดออกมากลางทางเข้าสักวัน แต่นั่นก็คงต้องรอให้เขาได้งานทำเสียก่อน
“แล้วเป็นยังไงบ้าง ยังไม่คิดเปลี่ยนใจมาเป็นเลขาพี่อีกเหรอ” นี่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบเทียวไปเทียวมาถามคำถามเดิมๆ แบบทีเล่นทีจริง “พี่รอจนเบื่อแล้วนะ”
“ขอบคุณที่ชวนนะครับ แต่คงไม่ดีกว่า” ทุกครั้งเขาก็ตอบไปแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเล่นตัวหรืออะไร แต่เขาคิดว่ายังไม่พร้อมสำหรับตำแหน่งที่ได้รับเสนอ ประสบการณ์เขาก็ยังไม่มี ขืนรับปากไปคงไม่แคล้วต้องให้เจ้านายมาทำงานแทนลูกน้องอีกจนได้ “ผมอยากลองหางานเองดูก่อนมากกว่า ไว้ถ้าเก่งๆ เมื่อไหร่ ผมจะไปสมัครดูนะครับ”
พลชนะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มองมาที่เขาพร้อมทำหน้าตาเจ้าเล่ห์เล็กน้อย “อย่าลืมที่พูดก็แล้วกัน”
เมื่ออาหารมื้อนั้นจบลง พลชนะก็ชวนเขาไปนั่งดื่มต่อกับเพื่อนๆ ที่นัดกันไว้แต่ขอบฟ้าก็ปฏิเสธไป ชายหนุ่มก็ไม่ได้เซ้าซี้นอกจากขับรถมาส่งถึงบ้านและรับปากว่าถ้าเมาจะไม่ฝืนขับรถเด็ดขาด
ภายในบ้านเงียบกริบและไม่มีแสงไฟแม้แต่ดวงเดียว ตั้งแต่ปลายฝนย้ายไปอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย ทิวหมอกก็ดูเหมือนจะกลับบ้านน้อยลง ถ้าเขาย้ายออกไปอีกคน บรรยากาศคงจะยิ่งเงียบเหงาลงไปอีกเมื่อไม่มีสมาชิกในบ้านกลับมาแม้แต่คนเดียว
หลังจากนั่งดูโทรทัศน์แก้เหงาระหว่างประคบขาด้วยถุงน้ำร้อนจนอาการปวดเบาบางลง ขอบฟ้าก็ปิดโทรทัศน์และเดินขึ้นห้องนอน
เมื่อปิดไฟและทุกอย่างตกอยู่ในความมืด ขอบฟ้าก็คิดถึงใครคนหนึ่งดังเช่นทุกคืน เป็นตัวตนที่เขาไม่เคยลืมและไม่คิดจะลืม แต่ไม่มีวันที่เขาจะพูดถึงหรือยอมรับยามที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น
เป็นความอ่อนแอที่เขาจะยอมให้เกิดขึ้นเมื่ออยู่ตามลำพังและเมื่อชีวิตเขาอยู่ในความมืดมนอย่างที่สุดเท่านั้น
“พี่กร” เขาอดเรียกชื่อนั้นออกมาไม่ได้ ราวกับนั่นจะเป็นคำแทนบอกให้ตนหลับฝันดี ขอบฟ้ายิ้มออกมาแล้วจึงค่อยหลับตาลงนอนอย่างมีความสุขในที่สุด
+++++++ End Part 1+++++++