ภาค 18 What does it mean?
“อ้าว คุณปาล มาได้ยังไง หรือว่ามาหาไอ้ชัดมันครับ” ลุงชม พ่อของชัดเจนเอ่ยถามเจ้านาย เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาในเขตบริเวณที่พักของเขา
บ้านของลุงชมอยู่ในเขตรั้วเดียวกับบ้านคุณหญิงกิ่งกานต์ เนื่องจากลุงชมเป็นคนเก่าคนแก่ตั้งแต่คุณหญิงแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ตระกูลนี้ใหม่ๆ พอวันหนึ่งลุงชมมีบุตรชายขึ้นมา คุณหญิงจึงให้คนมาสร้างบ้านสำหรับสามคนพ่อแม่ลูกให้มีที่อยู่เป็นสัดส่วนไม่ปะปนกับใคร
บ้านสองชั้น มีสองห้องนอน สามห้องน้ำ ตั้งอยู่ทางด้านหลังของบ้านใหญ่ โดยปกติชัดเจนจะเข้าบ้านโดยการเดินผ่านเข้าไปในตัวบ้านของคุณหญิงกิ่งกานต์แล้วทะลุออกทางครัว สาเหตุที่เขาต้องเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ ไม่อ้อมข้างบ้านไปก็เพราะลูกชายเจ้านายสองคน ทั้งศรารัณและปาณัสม์ชอบลากชัดเจนเข้ามาในบ้านด้วย ทำให้ชัดเจนเคยชินกับการเดินกลับบ้านด้วยเส้นทางนี้
“ใช่ครับ” ปาณัสม์ชะโงกมองเข้าไปในบ้าน
“จะให้มันไปขับรถให้ใช่ไหมครับ แต่เอ วันนี้ไอ้ชัดไปกับคุณปอนด์ ไอ้ชัดมันไม่ได้บอกคุณปาลหรือครับ ถ้ายังไงให้ลุงขับให้ไหม” ลุงชมบอกพลางล้างมือ ปิดน้ำและเก็บสายยางให้เรียบร้อย
“ชัดบอกผมแล้วลุงชม แต่ผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานลืมเอกสารไว้ในรถ หาในรถแล้วไม่เจอ คิดว่าชัดอาจจะหยิบติดมือมาด้วย”
“งั้นหรือครับ คุณปาลเข้าไปดูในห้องมันก่อนไหม เผื่อว่ามันจะหยิบมาด้วยจริงๆ”
“เข้าไปได้ใช่ไหมครับ” ถ้ามองด้วยความเป็นจริง บ้านที่ลุงชมอยู่ก็เป็นบ้านของเขาเช่นกัน แต่ชายหนุ่มไม่อยากถือวิสาสะ เสียมารยาท เพราะอย่างไรลุงชมก็อยู่บ้านนี้
“ตามสบายเลยครับ ห้องไอ้ชัดไม่ได้ล็อกหรอก จำห้องมันได้ใช่ไหมครับ”
“จำได้ครับ” ปาณัสม์ตอบ เพราะตอนเด็กๆ ก็ชอบมาเล่นที่ห้องชัดเจนเหมือนกัน เวลาหนีมารดาที่เอาแต่บ่นเขาเรื่องนั้นเรื่องนี้
“ครับ ห้องเดิมเลย”
“ผมเข้าไปนะ ลุงชม” ปาณัสม์บอกให้อีกฝ่ายรับทราบ แล้วจึงหายลับเข้าไปในตัวบ้าน
ตั้งแต่เติบโตขึ้น มีสังคมที่แตกต่างออกไปจนเข้าสู่วัยทำงาน ปาณัสม์ก็ไม่ได้มาที่บ้านหลังนี้อีกเลย เขากวาดตามองไปรอบๆ ทุกอย่างยังคล้ายกับวันวานวัยเด็ก อาจจะมีเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องเรือนบางอย่างที่ถูกปรับเปลี่ยนไปตามเวลา ขายาวสาวเท้าไปห้องของชัดเจน
ปาณัสม์เปิดประตูออก เขาก้าวเข้าไปด้านใน ห้องของชัดเจนยังเหมือนเดิมนอกจากเตียงที่ถูกเปลี่ยนจากขนาดเล็กให้เป็นขนาดใหญ่กว่าเดิมตามร่างกายของเจ้าของห้อง เขาเดินไปที่โต๊ะตัวหนึ่งคล้ายกับโต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีแฟ้ม กระดาษ ปากกา และยังมีของจุกจิกเล็กน้อยวางอยู่ เรียกได้ว่าโต๊ะตัวนี้คงเป็นโต๊ะอเนกประสงค์กระมัง
ชายหนุ่มเห็นแฟ้มสีดำคุ้นตา ปาณัสม์หยิบแฟ้มนั้นขึ้น พลางยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความดีใจ ชัดเจนหยิบมาด้วยจริงๆ ถ้าหายไปนี่ ยุ่งเลย เนื้อหาข้างในเป็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสินค้าในล็อตแรกที่จะส่งไปฮ่องกง งานนี้ค่อนข้างสำคัญมากสำหรับเขาในการเปิดตลาดที่นั่น ก้องภพมีความเป็นมืออาชีพสูงมาก เขาไม่อยากทำให้อีกฝ่ายต้องผิดหวังเหมือนเด็กกำลังเล่นขายของ ดังนั้นเขาจึงคาดหวังกับงานนี้พอสมควร
ผู้มาเยือนเปิดแฟ้มออกมาดู ปาณัสม์แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา มันไม่ใช่เอกสารที่เขาต้องการ กระดาษแผ่นหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากแฟ้มตกไปที่พื้น ปาณัสม์ก้มลงไปหยิบ จังหวะที่เขาเงยหน้า ชายหนุ่มเห็นลายกระดาษโพสต์อิทคุ้นตาเหมือนที่ฉันทัชชอบใช้เป็นประจำถูกหมุดปักอยู่ตรงกระดานบอร์ดเล็กๆ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประมาณจากสายตาแล้วน่าจะมีขนาดความยาวหนึ่งไม้บรรทัดตั้งอยู่บนโต๊ะ บนกระดานบอร์ดมีกระดาษโน้ตอะไรหลายอย่างที่ถูกปักหมุดอยู่ แต่ที่สะดุดตาที่สุดสำหรับปาณัสม์คงเป็นกระดาษแผ่นนั้น
‘วันนี้ไปนอนบ้านไทน์
CHAN’ ‘ลายมือนี้?’ใช่ เป็นลายมือของฉันทัช เขาไม่มีวันลืมลายมือนี้ไปได้ สมองของปาณัสม์กำลังทำงานอย่างหนัก โพสต์อิทใบนี้มาอยู่กับชัดเจนได้อย่างไร ปาณัสม์ละสายตาจากโพสต์อิทใบนั้น เขามองกระดาษในมือของตัวเอง มันเป็นรายละเอียดที่เขาเซ็นอนุมัติให้มีการผลิตสินค้าล็อตแรกกับโรงงานที่เป็นผู้ผลิตสินค้า
ปาณัสม์เปิดแฟ้ม หมายจะเก็บกระดาษลงในแฟ้มให้เรียบร้อย จังหวะที่เขาเปิดมันออก เขาก็เห็นกระดาษอีกใบที่มีข้อความเหมือนกับแผ่นนี้ไม่ผิดเพี้ยน ปาณัสม์นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงนั้น สายตาเพ่งพิศดูด้วยความไม่สบายใจ ทำไมถึงมีการก๊อบปี้กระดาษอีกใบ
ชายหนุ่มนำกระดาษสองใบนั้นมาเทียบกัน ทุกอย่างเหมือนกันหมดจนเขาเกือบจะกดโทรศัพท์ไปถามชัดเจนเสียแล้วว่าทำไมถึงมีกระดาษสองใบ ปริ้นต์มาเกินอย่างนั้นหรือ ทว่าอ่านจนเกือบใกล้จะหมดข้อความในกระดาษแล้วเขาจึงเห็นว่า มันมีความแตกต่างกันอยู่ตรงนี้อย่างชัดเจนว่า
อนุมัติ กับ
ไม่อนุมัติใบที่อนุมัติให้มีการผลิตนั้นถูกต้องแล้ว เขาจำได้ว่าจรดปากกาเซ็นเองกับมือ แต่อีกใบ ปาณัสม์มั่นใจว่าไม่ได้เซ็นแน่นอน ถึงงานจะรีบแค่ไหน แต่เขาอ่านเอกสารทุกใบด้วยตัวเอง
หรืออาจจะเป็นศรารัณ?
ปาณัสม์คิดเผื่อไว้ แต่ไม่ทันไร ลายเซ็นข้างล่างสุดก็ยืนยันว่ามันเป็นลายเซ็นของเขา ไม่ใช่ของศรารัณ
เดี๋ยวนะ?
มันเป็นลายเซ็นของเขาแน่หรือ เขาดูไม่ออกเลย เหมือนกันจนคิดว่าเขาอาจจะเผลอเซ็นไปแน่ๆ ถ้าหากเขาไม่ได้ใส่ใจกับโปรเจ็กนี้
เสียงเคาะประตู ทำให้ปาณัสม์ตกใจ เขารีบเก็บทุกอย่างให้คืนดังเดิม ลุงชมโผล่หน้าเข้ามาด้วยความเกรงใจ
“เจอไหมครับ”
ปาณัสม์ส่ายหน้า “ไม่เจอครับลุงชม สงสัยผมคงจำผิด อาจจะลืมทิ้งไว้ที่ทำงาน”
“พักผ่อนหน่อยดีไหมครับ โหมงานเกินไปแบบนี้ ลุงเป็นห่วง”
“ขอบคุณครับลุง เร็วๆ นี้คงเบาขึ้นแล้วล่ะ”
“ดีแล้วครับ”
“ถ้างั้นผมไปทำงานก่อนนะลุงชม”
“ให้ลุงไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมคงไปหลายที่” ปาณัสม์ปฏิเสธ
“ถ้างั้น ขับรถดีๆ นะครับ” ลุงชมอวยพรให้ลูกชายเจ้านาย
“ครับ”
พอออกมาจากบ้านของลุงชมและชัดเจนเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก้าวเข้าไปนั่งในรถในตำแหน่งที่นั่งคนขับรถ ปกติแล้วปาณัสม์ไม่ค่อยขับรถเพราะมีชัดเจนคอยทำหน้าที่นี้ให้ นานๆ ได้ขับทีก็ดูเหมือนจะช่วยเบี่ยงเบนความคิดที่เขากำลังสงสัยไว้ได้มากพอสมควร
ปาณัสม์มาถึงที่ทำงานก็เจอเกศสิรีนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะทำงานของเธออยู่ก่อนแล้ว “คุณสิ”
“สวัสดีค่ะ บอส” เกศสิรีลุกขึ้นไหว้เจ้านาย
“เอกสารสัญญาสินค้าล็อตแรกที่จะส่งไปฮ่องกง ไฟล์ยังอยู่ไหม”
“อยู่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” เกศสิรีถามด้วยความสงสัย
“ปริ้นต์มาให้ผมใหม่ที แล้วเอาไปให้ผมเซ็นด้วย ด่วนเลยนะครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ ปาณัสม์เข้าห้องไปทันทีที่สั่งงานเสร็จ
ไม่เกินอึดใจรอ กระดาษที่ถูกปริ้นต์มาใหม่เหมือนกับที่อยู่ในห้องนอนของชัดเจนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา เขารับมันมาเปิดอ่านอีกครั้งว่าถูกต้องก่อนจะเซ็นอนุมัติใหม่อีกครั้ง
“มีอะไรหรือเปล่าคะ บอส” เกศสิรีถามใหม่อีกครั้งเพราะเจ้านายเธอเพิ่งจะเซ็นเอกสารไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง หรือมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่ใช่เพราะปาณัสม์ให้เธอปริ้นต์มาโดยไม่มีการแก้ไขใดๆ
“ใบเก่าผมทำหายน่ะ”
“อ้อค่ะ ให้สิเอาลงไปส่งให้ฝ่ายจัดซื้อเลยไหมคะ” เกศสิรีรู้สึกถึงคำตอบแปลกๆ ของปาณัสม์แต่ก็ไม่ท้วงอะไร
“โทรลงไปบอกเขาก็พอว่าเคสนี้ เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง” คำตอบของปาณัสม์ทำให้เกศสิรีนิ่วหน้าเล็กน้อยด้วยความสงสัยอีกครั้ง แต่เธอฉลาดพอที่จะไม่ถาม
“ได้ค่ะ”
“กำชับไปด้วยว่า ถ้ามีใครเอาเอกสารเรื่องนี้ไปให้โดยที่ไม่มีคำสั่งจากผม ให้มาถามผมก่อนทุกกรณี ห้ามทำอะไรเองโดยพลการเด็ดขาด” ปาณัสม์บอกเสียงขรึม ไร้วี่แววการพูดเล่นใดๆ
“ค่ะ สิจะบอกหัวหน้าฝ่ายให้เรียบร้อยค่ะ”
“แล้ววันนี้ผมมีประชุมไหม”
“บอสมีประชุมช่วงบ่ายกับฝ่ายขาย”
“แจ้งยกเลิกให้หมด ผมจะออกไปข้างนอกและไม่กลับเข้ามาอีก มีอะไรให้ฝากคุณไว้ก่อน ถ้าเป็นเรื่องด่วนค่อยโทรมาหาผม เข้าใจหรือเปล่า” ปาณัสม์ถามทั้งที่ไม่เงยหน้าจากเอกสารตรงหน้าอีกสองสามแผ่น
“เข้าใจค่ะ”
“ดี ผมไปล่ะ ถ้าพี่ปอนด์กับชัดถามหา ให้บอกว่าผมออกไปคุยงานกับลูกค้าข้างนอกแล้วกัน”
“รับทราบค่ะ”
“พรุ่งนี้ให้คุณพิธานเข้ามาพบผมที่ห้องตอนสิบโมงเช้าด้วยนะครับ” ปาณัสม์หมายถึงทนายของบริษัท “เท่านี้ล่ะครับ”
“ค่ะ” เกศสิรีไม่กล้าถามอะไรอีก เธอรู้สึกว่าเช้านี้ปาณัสม์เครียดกว่าทุกที ทั้งที่เป็นเช้าวันจันทร์ ทำไมชายหนุ่มถึงดูมีอะไรต้องคิดมากขนาดนั้น
ปาณัสม์กำลังขับรถมุ่งหน้าไปออกไปนอกตัวกรุงเทพ ตรงไปยังภาคตะวันออก หลังจากที่โทรศัพท์ถามกับทางเลขาของฝ่ายนั้นแล้วว่าเจ้าของโรงงานอยู่ที่โรงงาน เขาก็รีบบึ่งรถออกไปทันที ช่วงบ่ายเขามาถึงที่หมายอย่างปลอดภัยและเลขาก็แจ้งว่าให้เขารอสักครู่ ไม่นานเจ้านายของเธอก็ออกมา
“สวัสดีครับลุงบวร ผมปาณัสม์ ที่โทรมาช่วงเช้า ขออภัยที่มากะทันหันครับ” ปาณัสม์ยกมือไหว้คนที่มีอายุประมาณรุ่นพ่อ เขาไม่ได้ไหว้เพราะอีกฝ่ายมีอายุมากกว่า แต่เขาไหว้ด้วยความเคารพและใช้ความนอบน้อมเพื่อพึ่งพาทางธุรกิจ
“อืม สวัสดีๆ ไม่เป็นไร คนกันเอง แนะนำตัวเสียเป็นทางการเชียว เอานั่งลงก่อน” คุณบวรหัวเราะพลางผายมือบอกให้ผู้มาเยือนลงนั่งที่ฝั่งตรงข้าม
“มีอะไรล่ะ ถึงรีบร้อนมาที่นี่ด้วยตนเอง เรื่องการผลิตก็แจ้งยกเลิกมาตั้งแต่วันศุกร์แล้วไม่ใช่รึ” ทางคู่เจรจาบอกมาประโยคเดียวจบเป้าหมายของปาณัสม์ทุกอย่าง
“มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยครับ” ปาณัสม์เอ่ยอย่างเกรงใจ
“หืม เรื่องอะไรล่ะ”
“การผลิตไม่ได้ถูกยกเลิกครับ มีการสื่อสารผิดพลาดกันระหว่างผมกับพนักงานนิดหน่อย”
“เอ้า ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ ปาล”
“นี่ครับรายละเอียด” ปาณัสม์ยื่นเอกสารการติดต่อขอผลิตไปให้
คุณบวรรับไปอ่านอยู่ครู่เดียวก็วางลง “ใบนี้ลุงเห็นแล้วก่อนหน้าที่จะโทรมาขอยกเลิก ตกลงยังไงรึ”
“ครับ คือเป็นเรื่องเข้าใจผิด ยังไงก็อยากให้ผลิตต่อครับ”
“เล่นอะไรกันแบบนี้ล่ะปาล โตแล้วนะ เราจะมาเดี๋ยวยกเลิก เดี๋ยวให้ผลิตแบบนี้ไม่ได้” คุณบวรตำหนิ
“ขอโทษครับ ผมจะพยายามไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดอีก”
“เอาเถอะๆ” คุณบวรโบกมือ “เห็นแก่พ่อเราที่ทำธุรกิจด้วยกันมาตลอด ครั้งนี้ลุงจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดีนะว่า ลุงยังไม่ได้สั่งการอะไร เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้เขาผลิตเลยแล้วกัน” คุณบวรว่าจริงๆ แล้วบริษัทของปาณัสม์ทำธุรกิจคู่ค้ากับทางคุณบวรตั้งแต่รุ่นพ่อแล้ว
“ขอบคุณครับ คุณลุง” ปาณัสม์ยกมือไหว้คนสูงกว่าด้วยความขอบคุณ
“ยังไม่ได้กินข้าวล่ะสิ มาๆ ไปกินกับลุง” คุณบวรเปลี่ยนสภาพจากนักธุรกิจมาเป็นคุณลุงเพื่อนของพ่อชายหนุ่มดังเดิม
“ครับ” ปาณัสม์ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ขอบคุณที่ทุกอย่างยังไม่สายจนไร้การแก้ไข
....
“ขอโทษนะเทมส์ พอดีไทน์มีงานด่วนอะ ไปคนเดียวได้ไหม ขอโทษจริงๆ” ช่วงเย็นอินทัชโทรบอกพี่ชายด้วยความร้อนรนว่าอีกฝ่ายจะรอเก้อ เพราะเธอบอกจะมารับกลับไปหาคุณหญิงกิ่งกานต์ด้วยกัน
“ยกเลิกไม่ได้เหรอ” ปกติฉันทัชไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องงานของน้องสาว แต่เขาแค่ไม่อยากไปบ้านของปาณัสม์คนเดียว
“ไม่ได้ งานนี้สำคัญมาก เอาอย่างนี้ไหม ไว้รอไปพร้อมไทน์พรุ่งนี้ได้หรือเปล่า” อินทัชยื่นข้อเสนอ
“เป็นห่วงแม่”
“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งแท็กซี่ไปหาแม่ ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น สนใจแค่เรื่องแม่เท่านั้น ตกลงไหม”
“อืม ก็ได้”
“ไม่งอแงนะเทมส์ แล้วคืนนี้น้องไทน์จะให้นอนซุกนม”
“ตลกละ ไม่เอาหรอก” ฉันทัชหัวเราะออกมา
“หัวเราะได้แล้วนี่ นั่งรถดีๆ นะ”
“อืม ไทน์ก็ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ”
“จ้ะ ฮันนี่ วางก่อนนะ”
“บาย” กดวางสายจากน้องสาว ฉันทัชก็หน้าม่อยลงด้วยความผิดหวังดังเดิม
เขากลัวว่าจะเจอใครบางคน
ครั้งสุดท้ายก็แยกกันที่สนามบิน ฉันทัชไม่แม้แต่จะพูดอะไรกับอีกฝ่าย หลีกเลี่ยงการสนทนาทุกกรณี เขาคุยกับชัดเจนเท่านั้น จังหวะที่อีกฝ่ายอาสาจะไปส่ง ฉันทัชก็ยังเลือกปฏิเสธและบอกว่าอินทัชจะมารับ ทั้งที่แท้จริงแล้ว อินทัชยังติดงานอยู่ต่างจังหวัดเช่นกัน
มาถึงตอนนี้คำพูดของปาณัสม์ยังก้องอยู่ในหัวที่บอกเขาเรื่องแหวน ชายหนุ่มต้องการอะไร ให้เขามาเอาแหวนคืนไปให้พ้นๆ หน้าปาณัสม์เหรอ ฉันทัชยืนไหล่ตก คอตกหมดสภาพ ยอมรับก็ได้ว่าฉันทัชเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ปาณัสม์กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่
ง้อ?
เรียกร้องความสนใจ?
หยอกล้อฆ่าเวลา?
ขาดของ?
หลอกให้เขาตายใจ?
หรือยังรักเขาอยู่?
จะอะไรก็ช่าง ฉันทัชไม่อยากคิดต่อไปแล้ว อย่างที่เคยบอกไว้ ถ้าไม่เดินเข้าไปหากับดักเอง ก็จะไม่มีวันติดกับดักนั้น ใจของเขาก็เช่นกัน ถ้าไม่เอาใจไปวางกับอีกฝ่าย เขาก็จะไม่มีวันต้องทุรนทุรายกับการกระทำของอีกคน
“แม่ครับ วันนี้เป็นไงบ้าง” นั่นคือคำพูดแรกที่ฉันทัชเข้าไปนั่งใกล้มารดาของปาณัสม์ พลางจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้
“ดีจ้ะ แม่ดีขึ้นมาก แล้วไทน์ล่ะ”
“ไทน์ติดงานด่วนครับ”
“เหรอจ๊ะ แล้วนี่มายังไงล่ะลูก มาเสียมืดเลย”
“แท็กซี่ครับ”
“ลำบากแย่ เอารถที่บ้านไปใช้สักคันไหม หรือซื้อใหม่ดี”
ฉันทัชส่ายหน้า “อย่าเพิ่งเลยครับ ตอนนี้เทมส์ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”
“เรื่องดื้อเรานี่นะ ที่หนึ่งเลย” คุณหญิงกิ่งกานต์พูดอย่างอ่อนใจเพราะรู้จักนิสัยลูกเลี้ยงเป็นอย่างดี
“คราวหน้า ถ้าแม่ไม่สบายต้องบอกเทมส์นะ หรือบอกไทน์ก็ได้ อย่าปิดบังเราแบบนี้อีกนะครับ” ฉันทัชยังติดใจเรื่องอาการป่วย เขาจับมือนั้นมาแนบที่ใบหน้าตนเอง
เขาไม่ค่อยชอบภาวะเจ็บป่วยหรืออะไรก็ตามที่อาจจะนำพาไปสู่การสูญเสีย
“แม่ไม่อยากให้เทมส์กังวล”
“รู้ทีหลังก็กังวลครับ อยากจะโกรธแม่เหลือเกิน แต่จะไม่มาหาแม่ก็ไม่สบายใจอีก”
“แม่ขอโทษนะ”
“สัญญากับเทมส์นะครับ ว่าจะบอกเทมส์”
“จ้ะ แม่สัญญา”
“ขอบคุณครับ เทมส์รักแม่นะ” ฉันทัชรู้ว่าคำสัญญาไม่ได้แปลว่าทุกคนจะทำตามสัญญา แต่เขายึดคำนี้เพื่อเป็นการยึดเหนี่ยวจิตใจของเขา
“แม่ก็รักเทมส์”
“ได้เวลาทานยาและเข้านอนแล้วค่ะ” เสียงคุณพยาบาลทักขึ้นมาด้วยความเกรงใจ
“ผู้คุมแม่มาแล้ว” ฉันทัชยิ้มพลางแหย่หญิงสาวที่รัก
“นั่นน่ะสิ อยากหายป่วยไวๆ”
“เดี๋ยวก็หายครับ ทานยา พักเยอะๆ ห้ามดื้อ” ฉันทัชบอกเหมือนพูดกับเด็กคนหนึ่ง
“ว่าแม่เป็นเด็กหรือ”
“ไม่ใช่ครับ คนน่ารักก็ต้องถูกแกล้งบ่อยเป็นธรรมดา”
“ปากหวานเสียจริง”
เสียงเปิดประตูโดยไม่มีการเคาะทำให้ฉันทัชหันไปมองตามเสียง เขาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจนิดหน่อยด้วยความไม่คาดคิด
“เทมส์มาเหรอ” ปาณัสม์บอกพลางเดินมาหยุดยืนข้างเตียง
“อืม มาเยี่ยมแม่”
“วันนี้แม่เป็นไงบ้างครับ” คำถามแทบไม่ผิดเพี้ยนของฉันทัชตอนที่เข้ามาในห้องนี้ทีแรก
“ดีขึ้นแล้ว เราล่ะเป็นไงบ้างเจ้าปาล เห็นตาปอนด์บอกว่าวิ่งรอกหลายที่หรือ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
“มีปัญหาอะไรก็บอกพี่เขาให้ช่วยบ้างนะ อย่าเก็บไว้ทำเองคนเดียว” คุณหญิงบอกด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่าตอนนี้ปาณัสม์แทบจะทำทุกอย่างทั้งหมดเพราะอยากให้ศรารัณได้มีเวลาดูแลครอบครัว
“ครับ”
“กินข้าวมาหรือยัง”
“ยังครับ ผมเพิ่งกลับมาถึง เลยขึ้นมาดูแม่ก่อน”
“แม่ไม่เป็นไร นอนทั้งวัน”
“ครับ พักเยอะๆ จะได้หายไวๆ”
“จ้ะ พูดเหมือนกันเลยนะ”
“เอ่อ..เทมส์ไม่กวนแม่แล้วนะครับ พรุ่งนี้เทมส์จะมาหาใหม่” ฉันทัชหาจังหวะแทรกขึ้นระหว่างสองแม่ลูก
“จ้ะ” คุณหญิงรับคำแล้วหันไปทางบุตรชาย “ปาลไปส่งน้องที่บ้านให้แม่หน่อย”
ทั้งที่ปาณัสม์และฉันทัชอายุเท่ากัน เกิดปีเดียวกัน แค่ฉันทัชอ่อนเดือนกว่าเท่านั้น แต่คุณหญิงกิ่งกานต์มักเรียกฉันทัชว่าน้องเวลาใช้พูดกับปาณัสม์
“ไม่เป็นไร เทมส์กลับเองได้ครับแม่”
“มันดึกแล้ว แม่เป็นห่วง อ้อ.. ไหนๆ จะออกไปแล้วก็ไปกินข้าวด้วยกันเลยแล้วกัน ยังไม่ได้กินข้าวมากันทั้งคู่ใช่ไหม”
“เทมส์ไม่เป็นไรครับ” ฉันทัชยังยืนยันปฏิเสธ
“อย่าขัดใจคนป่วยสิจ๊ะ ตามใจแม่หน่อยไม่ได้หรือ” คุณหญิงเอาไม้ตายคนป่วยขึ้นมาอ้าง
“เอ่อ..”
“ไปเถอะ ปาลมีเรื่องจะคุยกับเทมส์นิดหน่อย”
“เรื่อง?” ฉันทัชเลิกคิ้วสงสัย ปาณัสม์มีเรื่องอะไรต้องคุยกับเขาอีก
“ปาลไปส่งจันทร์นะแม่”
“จ้ะ ขับรถดีๆ ล่ะ”
“ครับ แม่พักเยอะๆ นะ”
ปาณัสม์บอกแล้วจึงก้มลงไปหอมแก้มมารดา ก่อนจะผละออกมา ฉันทัชเขยิบถอยออกมาเตรียมจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกสายตาของคุณหญิงบอกให้กระทำการบางอย่าง เขาจึงต้องก้มลงไปที่แก้มของคนป่วย บริเวณเดียวกับที่ปาณัสม์เพิ่งทำไปเมื่อสักครู่นี้
....
อดีตคนเคยใช้ชีวิตร่วมกันกำลังนั่งอยู่ในร้านอาหาร ไม่มีใครปริปากพูดนอกจากพลิกเมนูเพื่อสั่งอาหารมาทาน ฉันทัชเปิดดูจนครบทุกหน้าแต่เขาก็ยังเลือกเมนูไม่ได้สักที
“เลือกไม่ได้หรือ” ปาณัสม์เงยหน้าขึ้นถาม
“อืม ไม่รู้จะกินอะไร”
“เดี๋ยวสั่งให้แล้วกัน” ปาณัสม์ว่าดังนั้น เขาปิดเมนูลงพร้อมกับสั่งอาหารไปสองสามอย่าง ฉันทัชได้ยินถึงกับหลบสายตาชายหนุ่ม เขาเสมองออกไปนอกร้าน เมนูเหล่านั้น ทำไมปาณัสม์ต้องจงใจสั่งเมนูโปรดเขาด้วย
“เรื่องที่จะคุย เรื่องอะไร” ฉันทัชเอ่ยถามขึ้น
“กับคุณชายหลี่น่ะ คบกันอยู่เหรอ” ปาณัสม์ก็ถามขึ้นเช่นกัน
ฉันทัชกระแอมเล็กน้อย “ก็คุยๆ กันอยู่ ทำไมหึงเหรอไง” ฉันทัชไม่ได้คิดจะยั่วโมโหหรือคิดอะไรเกินเลย เขาแค่พูดแหย่อีกฝ่ายไปเท่านั้น
“ไอ้หึง มันต้องหึงอยู่แล้วล่ะ”
“แล้วจะถามไปทำไมว่าคบหรือไม่คบ” ฉันทัชขมวดคิ้ว ปาณัสม์กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า
“จะได้รู้ว่าต้องทำไง ใช้วิธีไหน”
“วิธีอะไร”
“วิธีที่จะทำให้จันทร์กลับมาคบกับปาลไง”
“เพื่ออะไร” ฉันทัชแค่นเสียงถาม “ไม่มีประโยชน์หรอกปาล ถ้าคิดอยากจะให้เทมส์กลับไปอยู่ด้วย ปาลควรทำก่อนหน้านี้แล้วปะ ไม่ใช่รอเวลาผ่านมาเป็นปี”
“ก่อนหน้านี้ จันทร์รอปาลไปง้ออยู่เหรอ”
“ไม่! เอ้อ.. ใช่ มันก็ต้องมีบ้าง เลิกกันไม่คิดจะไปง้อเลยหรือไง” ฉันทัชยอมรับ ลึกๆ เขาก็เคยคิดว่าทำไมปาณัสม์ไม่ยอมมาง้อเลย ถึงเขาจะรู้เหตุผลว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่มาง้อเขาเพราะอะไรก็ตาม
“จะให้ปาลไปง้อได้ยังไง ในเมื่อจันทร์อยากเลิกกับปาลจะตายไป”
“แล้วตอนนี้จะมาง้อทำไม”
“ปาลแค่คิดว่า มันถึงเวลาแล้วหรือเปล่า เวลาที่ปาลให้มันบอกเราว่า เราควรจะทำยังไงต่อไป”
“พูดอะไรของปาล” ฉันทัชไม่เข้าใจ
“ปีหนึ่ง จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าช้าก็ช้า แต่สำหรับปาล มันผ่านไปช้ามากเลยนะ เวลาที่ไม่มีจันทร์แล้วทุกอย่างมันเดินช้าไปหมดเลย”
“มุกเก่าๆ เทมส์ไม่หลงเชื่อหรอก” ฉันทัชรู้ทัน
“แล้วจันทร์ล่ะ เวลาหนึ่งปีมันผ่านไปเร็วหรือช้า”
“ก็ไม่ช้านะ แป๊บๆ หมดปี” ฉันทัชเลือกตอบความจริงเพียงครึ่งเดียว ใครเล่าจะรู้ว่า ครึ่งปีแรกของเขาถ้าไม่ได้วิ่งวุ่นเพราะงานที่ทำอยู่ เขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้
“เหรอ ไม่เป็นไร ถ้าจันทร์ไม่เป็นเหมือนปาล ก็ไม่เป็นไร” ปาณัสม์เว้นวรรคเล็กน้อย “เพราะปาลจะสร้างเวลาของเราขึ้นมาใหม่ด้วยกัน”
“คนคนเดิม บทสรุปมักเหมือนเดิม” ฉันทัชพูดขึ้นบ้าง
“ถ้าเราทำทุกอย่างเหมือนเดิม บทสรุปก็คงเหมือนอย่างที่จันทร์ว่า แล้วทำไมเราต้องเลือกทางเดิมด้วยล่ะ” ปาณัสม์แย้ง
“ขอโทษนะ เทมส์ไม่ได้อยากหยาบคายอะไร แต่สันดานคนมันเปลี่ยนกันยากนะรู้หรือเปล่า ขนาดเทมส์เอง ยังทำไม่ได้เลย สุดท้ายนิสัยที่แท้จริงก็เผยออกมาให้ปาลเห็นอยู่ดีว่าจริงๆ แล้วเทมส์ไม่ได้เป็นเหมือนตอนที่เราคบกันแรกๆ”
“ขออภัยที่ให้รอนานค่ะ” พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งโผล่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ทำให้บทสนทนาของทั้งคู่ต้องหยุดชะงักลง
“อ้าว พวกคุณสองคนนี่เอง ปีนี้มาฉลองวันครบรอบเร็วจังเลยนะคะ ยังไม่ถึงวันครบรอบเลยไม่ใช่หรือคะ” ได้ยินเสียงพนักงานพูดขึ้น ฉันทัชก็ยิ่งเงียบ เขาลืมไปเลยว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่เขาจะมาร้านนี้เพื่อมาฉลองเวลาที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปีแรกๆ
“อ่า..ครับ พอดีช่วงนั้นเราไม่ว่าง” ปาณัสม์ตอบแทน
“ปีที่แล้วพวกคุณไม่มา ดิฉันเป็นห่วงแทบแย่ นึกว่าพวกคุณ...”
“ขอบคุณที่นึกถึงเรานะครับ ปีที่แล้ว แฟนผมเขางอนผมนิดหน่อย” ปาณัสม์เป็นฝ่ายตอบแทนอีกครั้ง ชายหนุ่มพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เหรอคะ ขอให้รักกันนานๆ นะคะ คุณเป็นคู่ที่น่ารักมาก” พนักงานสาวคนดังกล่าวว่าเสร็จแล้วจึงขอตัว
“ทำไมบอกเขาไปแบบนั้น ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดๆ ไปได้ยังไง” คล้อยหลังพนักงานลับหายไปแล้ว ฉันทัชจึงพูดติงอีกฝ่าย
“จะให้บอกว่าเลิกกันแล้วแต่ยังมาร้านนี้ด้วยกัน ในเดือนนี้เพราะบังเอิญงั้นเหรอ”
“ก็ไม่เห็นต้องพูดอะไรให้เขาเข้าใจผิดเลยนี่นา” ถึงแม้จะเข้าใจปาณัสม์ แต่ฉันทัชยังไม่พอใจ
“ปาลตั้งใจบอกเขาแบบนั้น”
“ทำไม” ฉันทัชถามเสียงขุ่น
“เพราะปาลอยากมีปีหน้าและปีต่อๆ ไปกับจันทร์” ปาณัสม์มองฉันทัช แววตาไร้การสั่นไหว
“ตกลงที่บอกว่ามีเรื่องที่จะคุยคือเรื่องนี้?” ฉันทัชอดทนได้เพียงครู่จึงเลือกเปลี่ยนเรื่องทิ้งเสีย
“ก็ไม่เชิง กินก่อนแล้วกัน”
“อืม”
คนทั้งคู่ทานอาหารด้วยกันเงียบๆ เขาสองคนไร้การนั่งร่วมโต๊ะแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว
หลังเลิกกัน?
ไม่สิ ก่อนหน้านั้นเสียอีก ตั้งแต่ที่ฉันทัชทำกับข้าว เททิ้งทุกวัน นานจนเกือบจำความรู้สึกนี้ไม่ได้
“เข้าเรื่องเลยได้ไหม” ฉันทัชว่าหลังจากอิ่มท้องเรียบร้อย
“ดูนี่สิ”
“อะไร” ฉันทัชย้อนถามกลับในจังหวะที่อีกฝ่ายยื่นโทรศัพท์มือถือส่วนตัวมาให้เขาดูอะไรบางอย่างในโทรศัพท์นั้น
“ลายมือเทมส์นี่ เอ๊ะ โน้ตนี่มัน?” ฉันทัชพึมพำ
“โน้ตของจันทร์ใช่ไหม ตอนนั้นที่จันทร์บอกว่าเขียนโน้ตบอกไว้แล้ว”
“ใช่ แล้วมันก็หายไป ทำไมปาลถึงมีรูปนี้ได้” ฉันทัชส่งโทรศัพท์คืนให้แล้วขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
“ปาลเจอโน้ตแผ่นนี้โดยบังเอิญน่ะ”
“ที่ไหน ที่คอนโดใช่ไหม มันปลิวไปตกอยู่ตรงซอกไหนของห้องล่ะ”
ปาณัสม์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ไม่ใช่ แต่ก่อนที่ปาลจะพูดอะไรต่อ ปาลอยากขอโทษจันทร์ ที่กล่าวหาจันทร์ในตอนนั้น”
“ขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มบอกด้วยความรู้สึกที่รู้สึกผิดจริงๆ
วันนั้นพวกเขาต่างพากันทะเลาะกันอย่างรุนแรง ถึงขั้นที่ฉันทัชถึงกับทนไม่ไหว
“ไม่เป็นไร มันผ่านมาแล้ว อีกอย่างตอนนี้เทมส์ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร” เขาไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วจริงๆ กับเรื่องในตอนนั้น
“ก็รู้ แต่ก็ยังอยากขอโทษอยู่ดี”
“ขอโทษบ่อยๆ มันไม่น่าเชื่อถือนะรู้ไหม” ฉันทัชพูดอย่างเอือมระอา
“ก็รู้อีก แต่ไม่ให้ขอโทษแล้วทำไงอะ ปล่อยเบลอแกล้งลืมหรือไง”
“แล้วแต่”
“ขนาดขอโทษยังโกรธเลย ขืนไม่ขอโทษ จะไม่ทิ้งปาลตั้งแต่ปีแรกแล้วเหรอ” ปาณัสม์บอกอย่างหงอยๆ
“จะบ้าหรือไง ให้ทิ้งไปตั้งแต่ปีแรกไม่คุ้มหรอก” ฉันทัชถึงกับหัวเราะเมื่อได้ฟัง
“ไม่คุ้มอะไร”
“ยังได้ปาลไม่คุ้มเลย”
“โอ้ นี่เราเสียตัวมาโดยตลอดเหรอ” ปาณัสม์พูดเหมือนเพิ่งรู้ตัว
“คงงั้น”
“ถ้าได้ปาลแล้วจะมาทิ้งกันแบบนี้ไม่ได้”
“ทิ้งได้สิ ในเมื่อตอนนี้เบื่อแล้วอะ” ฉันทัชยิ้มแต่ตาไม่ยิ้มด้วย ปาณัสม์มองออกว่าอีกฝ่ายพูดจริง นัยน์ตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะรีบดึงมันกลับมาให้เป็นปกติ
“ไม่เป็นไร ต่อจากนี้ปาลจะทำให้จันทร์รู้ว่า...” ปาณัสม์หยุดไว้แค่นั้นไม่พูดต่อ
“รู้อะไร” ฉันทัชถาม
“ไม่บอก ถ้าบอกตอนนี้จันทร์ก็รู้สิ”
“ไม่อยากรู้ก็ได้ แล้วโพสต์อิทแผ่นนั้น ตกลงยังไง”
“ปาลเจอที่ห้องของชัดเจน” ปาณัสม์บอกเสียงเรียบ ไม่มีคำว่าล้อเล่นอยู่ในแววตาและสีหน้าของเขา
“ห๊ะ!?ห้องของชัด” ฉันทัชทวนคำเพราะคิดว่าตัวเองฟังผิด
“อืม ที่ห้องของชัดเมื่อเช้านี้”
“ทำไมโน้ตถึงไปอยู่ที่นั่นได้” ฉันทัชมุ่นคิ้ว
“ปาลก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงไปอยู่ที่นั่น”
========================================
ความยากของสองคนนี้คือ เทมส์และจันทร์ คือคนเดียวกัน
ถ้ามีตรงไหนเรียกผิด บอกนะคะ
HASHTAG #ภาคต่อของความรัก