10.3
(ต่อ)
“เอาสิ จะเริ่มกินส่วนไหนก่อน ต้องเอาไปปิ้งให้สุกก่อนไหม” แววตาใจดีบอกอารมณ์ล้อเล่นด้วยเต็มที่
แบมือ 2 ข้างยื่นมาให้ตรงหน้า
“โฮะ..!!” ฟ้าใสทำเสียงเยาะ กระแทกไหล่ชน แขน คนตัวโตที่นั่งเล่นข้างกันในชิงช้า
เหอะ!!!..อยากจะตอบว่าหัวใจ แต่ก็กลัวจะหวานเลี่ยน มดขึ้น
“ใครจะไปกินแบบนั้นจริงๆล่ะ พี่โม่งผมหงอกแล้ว ท่าทางจะหนังเหนียว ไขเคี้ยวไปคงฟันหัก”
พูดไปงั้น แต่เจ้าตัวก็ยังเห็นทำตาส่อแววปลื้ม มองคนข้างๆ อย่างชื่นชม
“กล้าว่าพี่แล้วนะ เราล่ะตีนกาเป็นสิบ” มือใหญ่จับหน้าคนตัวเล็กเขย่า สัมผัสเนียนพาใจกระตุก จนต้องรั้งหัวทุยมาพิงกับไหล่
“มีอะไรก็บอกพี่ได้ทุกเรื่อง เราก็รู้นี่นา..”
“ก็นี่แร๊ะ ไขถึงอยากกินพี่โม่งเก็บไว้ “ คนตัวเล็กพูดพึมพำ โม่งก็นึกเอ็นดูหนุ่มร่างบาง เวลาที่ผ่านมา รับรู้เรื่องราวของเจ้าตัวมาตลอด
งานศิษย์เก่าที่โรงเรียนจัด ได้เจอบ้างบางปี แต่คนก็มากหน้าหลายตาจนคุยกันไม่ได้ คนตัวเล็กเองก็โดนลากไปทางโดนฉุดไปทางนี้ เห็นแล้วยังปวดหัวแทน
“มีอะไร จะได้ดึงออกมาจากพุง เอามานั่งเป็นที่ปรึกษา..เฮ้อ..”
“ไขพูดกับพี่ได้ทุกเรื่องนะ” ฟ้าใสถูแก้มตัวเอง ไป เขี่ยหน้าตัวเอง บ้าง กิริยาที่เริ่มทำเมื่อไม่ค่อยแน่ใจ
“ว่ามา” โม่งรวบมือที่ยุกยิกไปมาของเจ้าของปัญหา
“ไขพูดทุกเรื่องเลยน๊า...”
“ว่ามา..”โม่งเริ่มทำเสียงดุ “ก็รู้อยู่แล้ว ว่าเราน่ะพูดกับพี่ได้ทุกเรื่อง..1...2..”
“โหย..อย่าเพิ่งนับสิ..ใจเย็นๆ เป็นครูบาอาจารย์ใจร้อนได้ไงล่ะ” ฟ้าใสตาเหลือก ขอเวลาคนทำใจมั่งดิ
“ทุกเรื่องเลยน๊ะ”
“ป๊อง!!..” ฟ้าใสโดนเคาะหัว “ก็บอกแล้ว อะ..ว่ามา”
ฟ้าใสทำท่าเหมือนกลั้นหายใจ สูดลมหายใจลึกๆ เต็มปอด
.
.
“ไขรักพี่โม่ง” ~ ~ ~ ~ เงียบ
ฟ้าใสชำเลืองมองหน้า คนถูกสารภาพรัก อาจารย์สอนวิชาจิตรกรรม ภาพพิมพ์ ของวิทยาลัย อาร์ต อาร์ วิทยาเขตลำปาง
ยิ้มนิดๆ มองหน้า นั่งเฉย เหมือนรอฟังการบอกเล่าต่อ
“โห..อุตส่าห์ สารภาพรัก ลุ้นกลัว อาจารย์ ซี 11 จะดีใจจนหัวใจวาย” คนเจ้าปัญหาบ่นเล็กน้อย
“หึ หึ..จะให้มาตื่นเต้นอะไรล่ะ ก็รู้มาตั้งแต่นานแล้ว และพี่ไม่ได้ซี 11นะไข เดี๋ยวเหอะ พี่แค่ ซี 7เอง ว่าไง แล้วไงต่อ”
พี่โม่งนี่น่าเกลียดมาก มีอย่างที่ไหน อุตส่าห์สารภาพรัก แท้ๆ ไม่ตื่นเต้นเอาซะเลย
“แหม..ไม่ตื่นเต้นดีใจหน่อยหรือ พี่โม่งอะ..”
“ก็จะไปตื่นเต้นทำไมล่ะ ไอ้ดีใจมันก็ดีใจ เพราะพี่ก็รักเรา” โม่งจูบเหม่งกลางหน้าผาก
โอบไหล่ร่างเล็กเอนเข้าตัว ถอนหายใจ หน้าหวานระบายสีแดงระเรื่ออย่างอิ่มใจ อยากหอมแก้มพี่โม่ง ชะมัด
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฟ้าใสคงเต็มอิ่มด้วยหัวใจที่มีแต่พี่โม่ง พี่โม่ง พี่โม่ง))))) สะท้อนกึกก้อง
แต่ตอนนี้ มันเหมือนมีแมลง มอด มด ปลวก มาเจาะชอนไช จนหัวใจเป็นรูแหว่งๆ
ไอ้แมลง มอด ปลวก ที่มันก่อเรื่องจน เขาต้องมารบกวนพี่โม่ง ทั้งที่พี่โม่งก็มีเรื่องยุ่งใจพอแล้ว ความผิดของไอ้ตัวปลวก!!!!
.
.
“ไอ้แววตาที่มองพี่ พี่เห็นก็รู้แล้ว” แววตาที่บอกอะไรต่ออะไรในใจ
“อั้ย..!!! จริงอ่ะ” ฟ้าใสตกใจ อะไร!! เขาแสดงออกโจ่งแจ้ง อย่างงั้นเชียว แล้ว..แล้ว อาจารย์เบญล่ะ จะเกลียดเขา จะว่าพี่โม่งหรือเปล่า
“ไม่เป็นไรหรอก..” โม่งเหมือนรู้ทันความคิดฟ้าใส “อาจารย์เบญ เขาไม่ได้คิดอะไร เขาก็พอรู้จักพี่ดี แต่มายนี่สิ เขาก็คงรู้ เพราะเขามาซักถามเอากับพี่ แล้ว ยังจะไปรื้อ...” โม่งหัวเราะนิดๆ เมื่อนึกถึงตัวเองที่อยู่ในวัยเป็นหนุ่มน้อยนักศึกษา ทำเอา ฟ้าใสเงยหน้ามองอย่างสนใจ
“ก็แค่ของนิดหน่อยน่า..” 30 กว่ารูป ที่เขาเขียนไว้ ไม่รวมที่เป็นสเก็ต ตามสมุดบันทึก ตอนที่ไปอยู่อเมริกา ก็มันวาดจนติด ไม่ได้คิดอะไร นึกอะไรไม่ออก มือมันก็ตวัดฉับๆ เดี๋ยวเดียว รูปดรออิ้ง พอร์เทรต หน้ามุม 45 คุ้นตา ก็ปรากฏขึ้น จน 4-5 ปีหลังที่ต้องทำสมาธิกับงาน ไอ้พวกลายเส้น ขีดเขียน เลยหายไปบ้าง
.
.
ตอนนี้เขาก็เป็นผู้ใหญ่ หน้าที่การงาน ครอบครัว ฟ้าใสก็ผ่านอะไรมาเยอะแยะมากมาย ประสบการณ์ก็ทำให้เรียนรู้อะไรต่ออะไร
คราวนี้ที่ไม่ตั้งใจ คงผ่านการคิดอะไรบ้างแล้ว จะทำอะไรก็คงคิดแล้วล่ะ
โม่งไม่คิดหรอก ว่าฟ้าใสเป็นพวกอ่อนแอ แค่สิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดู ทำให้ยอมโอนอ่อน
เด็กที่บริสุทธิ์แบบนั้น โดนเรื่องแย่ขนาดนั้นแล้วยังยืนได้ด้วยตัวเอง นอกจากเขาแล้ว ถ้าไม่ต้องอาศัย ไอ้เอกขับรถให้
เรื่องคงอยู่กับเขาและเจ้าตัวกันแค่ สองคน ฟ้าใสก็ยังเล่น หัวเราะได้ น้องสาวเพื่อนที่เคยโดนเรื่องอย่างนี้ ยังต้องเข้าโรงพยาบาล และรักษาสุขภาพจิตกันหลายปี
.
.
“เขาถามว่า เขากับไข เป็นแฟนกันหรือเปล่า ไขตอบไม่ได้อ่ะ พี่โม่ง ไขก็ไม่รู้จะตอบว่าไง” ร่างเล็กเช็ดน้ำตา คนมันบ่อน้ำตาตื้น ถึงไม่อยากพูดเรื่องอะไรแบบนี้
“บางที ไขก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ว่าส่วนหนึ่งที่ไขยอมวางใจเขามาก เพราะรู้ว่ามาย เป็นน้องพี่โม่งหรือเปล่า ไขไม่เชื่อพวกความรักอะไรนั่นหรอก” โม่งฟังคนพูดแล้วก็ต้องหัวเราะ ตกลงไอ้คนตัวเล็กนี่มันจะเอาไง เมื่อกี้บอกปาวๆว่ารักเขา แต่ตอนนี้บอกว่า ไม่เชื่อเรื่องความรักซะแล้ว
รู้ว่ามันผ่านอะไร
“พี่โม่ง ไขก็ไม่ได้ดีเด่อะไร ไขก็กลัวที่จะให้ใจใครไปเหมือนกัน ไขคิดว่า ไขมีพี่โม่งก็พอแล้ว ไขถึงไม่อยากผูกมัดกับใคร” เสียงถอนหายใจอย่างหนักอก “ให้ไขรอพี่โม่งคนเดียวจนถึงชาติหน้า ไขก็จะรอ” มือใหญ่ลูบหัวคนตัวเล็กอย่างทนุทนอม ปลอบใจ
“ไข..เราก็มีชีวิตของเรา ไขรักพี่ พี่ก็รักไข แต่เราก็มีภาระหน้าที่ เรื่องอะไร ที่มันผ่านมาแล้ว นั่นเป็นประสบการณ์ ที่ให้เราเรียนรู้ เข้มแข็ง ชีวิตมันไม่มีอะไรง่าย แต่ก็ไม่น่าจะยากที่เราจะผ่านมัน” โม่งหยุด เว้นระยะเหมือนรอให้คนฟังคิดตามไปด้วย
“หัวใจ หัวใจของตัวเองน่ะไข ตัวไขจะรู้ดีที่สุด ไขอยากให้ทุกอย่างมันจบแบบที่ผ่านมา ไขต้องคิดเองนะ”
“ก็ สองคนนั่น ไขก็ไม่ได้รัก แต่ก็...” ตัวเองก็ใจอ่อนด้วยเอง มันก็เหมือนมีเพื่อน โธ่เอ๊ย...อยากเตะตูดตัวเอง “แต่อยู่ไปมันก็รักเหมือนกันล่ะ” ลงท้ายเจ้าตัวก็เอ่ยเสียงอ่อยๆ
“หึ หึ ก็นั่นแหล่ะ คนเราก็ต้องผูกพัน”
“แต่ก็เห็นไหมล่ะ แล้วไขก็ต้องเจ็บ”
“คนเรามันก็มีทั้งข้อดี ข้อเสีย...” ไม่ทันที่โม่งจะจบประโยค ไอ้ตัวเล็กรีบสอด
“พี่โม่งไม่เห็นมี...”
“เห้ย..เรานี่..” โม่งลูบเด็กไม่โต แล้วพูดต่อ “มีสิ ลองไปถาม ญาติอาจารย์เบญสิ เขาคงบอกข้อเสียพี่ได้เยอะเชียว”
“เหอ...ใคร เชอะ..จะหาใครอีก ขนาดพี่โม่ง แล้วยังจะมาติอีก โห..เชื่อเขาเลย” ฟ้าใสทำหน้าเบ้
“ถ้าให้เลือก พี่กับมายล่ะ” โม่งลองหยั่งเสียง
“ฟ้าใส เลือกพี่โม่ง อยู่แล้ว” ถึงจะตอบได้อย่างไม่ต้องคิด แต่ในใจเขากลับรู้สึกใจหาย
ความผูกพันที่มีให้มาตลอด ที่อยู่ด้วยกัน หนึ่งปี เห็นหน้ากันเรียกว่าเกือบทุกวัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ยิ่งนึกตอนเรียนคนละกลุ่ม เขาตัวเล็กเลยต้องรอพวกบึกมันแย่งเอาจาน เอาถ้วยไปก่อน
ใครกันที่มันหยิบแล้วก็ส่งมาทางข้างหลังให้เขา จนเขาได้ของครบ
โม่งเห็นสีหน้าแววตาที่เจ้าตัวถึงจะพูดออกมาอย่างแน่วแน่ แต่สีหน้าที่หลังจากพูดออกไปกลับมีแววกังวล
เจ้าตัวจะรู้ตัวเองหรือไม่
“งั้นไขก็ไปบอกมาย เขาให้ชัดเจน” คนตัวโตพูดเสียงเรียบ กระชับ ได้ใจความ เหมือนสั่งงานนักเรียน
ฟ้าใสตาโต ตกใจ ประหลาดใจ เหวอ
“อะ..อะไร นะ พี่โม่ง”
โม่งลุกเดินไปหยิบ ตารางการจัดแสดงนิทรรศการ 8 แห่ง ในสหรัฐอเมริกา
และ รายละเอียด ที่จะจัดต่อที่ Otto Gallery, Munich, ประเทศเยอรมัน
และ Nagasaki Museum, Nagasaki, ประเทศญี่ปุ่น
“ตอนนี้ กำลังจัดแสดง อยู่ที่ ศูนย์ศิลปะ Modern Art Gallery in Boerum Hill ของเมืองบรูคลิน มายมันก็อยู่ที่นี่ รายละเอียดพวกโรงแรมที่พัก ก็อยู่ในนี้ทั้งหมด จะอยู่จนถึง วันที่ 30 ก็จะย้ายไปจัดต่อที่ LA Artcore, Los Angeles
หากไขจะไป พี่จะทำเรื่องว่าให้ไขไปช่วยคุมงานของพี่ ทางวิทยาลัย คงดีใจ ไขเองก็มีใบดีโพม่าการจัดการบริหารงานแสดงนิทรรศการด้วยนี่นา เดือนหน้าพวกอาจารย์ไพโรจน์ อาจารย์ รัชนี ก็จะไป” โม่งตบบ่าให้กำลังใจ
.
.
“พี่มีความสุขที่เห็นไขมีความสุข” โม่งยืนส่งหนุ่มร่างบางที่เดินลับเข้าGate ขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ
.
.
พี่โม่งทำไมให้เขาต้องตัดสินใจทำอะไรแบบนี้ด้วย ชีวิตต้องยุ่งขนาดนี้เชียวเหรอ เป็นเพราะไอ้ปลวกนี่แหล่ะ ฟ้าใสจะโทษมัน
.
.
.
พี่โม่งให้ฟ้าใสกลับมาคิด แถมบอกว่าแล้วแต่เขาเองอีกด้วย ไม่เร่ง ไม่กำหนดวัน ไม่โทรตามงาน
ให้การบ้านนักเรียนอะไรกันแบบนี้ พี่โม่งนี่ ใจร้าย!!!
ผ่านมา 3 วัน ฟ้าใสนั่งมองเบอร์โทรศัพท์ ต่างประเทศ ถ้าโทรไปแล้วจะเป็นอย่างไง
ไอ้มายมันเป็นคนตัดการติดต่อจากเขาเองนะ
แต่มันก็ไม่เชิง นี่นา ก่อนไปมันก็ยังดีๆกับเขาอยู่
เพียงแค่มันไปโดยไม่บอกเขา
เจ็บจี๊ดๆ ....ไหนมันเคยบอกว่าจะไม่ทำให้เขาเสียใจไง
ลองโทรไปหาพี่ส้มโอที่อเมริกาดู....
.
.
นักปฏิบัติอย่างพี่ส้มโอ ตัดสินใจให้ฟ้าใสโดยไม่ยาก ถึงฟ้าใสจะไม่ได้บอกหมดซะทุกอย่าง
ฟ้าใสก็แค่บอกว่า ไม่แน่ใจในตัวไอ้มายและตัวเอง
“พอไม่ได้เจอเขา เราคิดถึงเขาไหมล่ะ”
“ฮื่อ...”
“ถ้าเลิกกับเขาล่ะ”
“....” ฟ้าใสก็พูดไม่ออก ก็...ก็...มันแสนดีกับฟ้าใส...
“ก็ลองมาสิ พี่ก็ชวนไขมาตั้งหลายครั้ง ไม่ต้องไปยุ่งกับโรงเรียนก็ได้ พี่ได้ซิกติเซ่นต์แล้ว เดี๋ยวพี่ทำใบรับรองเป็นสปอนเซอร์ให้เอง
มาก็ดี เผื่อไขมาเรียนต่อโท มาอยู่กับพี่ก็ได้ จะได้มาช่วย Joe เลี้ยง ดีน่า มาสอน Joe ทำอาหารไทยด้วยก็ดี พี่จะได้มีคนทำให้ทาน”
.
.
.
ผ่านไป 1 เดือนที่ ฟ้าใสตกลงใจ
ใจก็ยังกระวนกระวาย แต่ก็สงบลงมากมาย
ความคิดในหัว ก็ตีกันวุ่นวาย ถึงได้ไม่ชอบคิด ชีวิตยุ่งยากจัง
ฟ้าใสเร่งทำงาน บอกป้าๆ แม่แล้ว แม่ก็บอกว่าดี เตรียมของฝากพี่โอ เยอะแยะ
ป้าๆบอกว่าบ้านพี่โออยู่สบาย มิสเตอร์โจ แก ดี รักพี่โอมากด้วย
ข้าวโอ๊ต เตรียมฝากซื้อกางเกงยีนส์ ข้าวปั้นไม่สเปค ฟรีไม่เสียเงิน ข้าวปั้นยินดีรับหมด
ฟ้าใสก็มาพร้อมกับอาจารย์ศิลปินและคนดูแลงานของอาจารย์ท่านอื่น พี่โม่งจัดการให้ พี่โม่งฝากงานมาให้ ด้วย
.
.
.
.
ที่อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศทอม แบรดลีย์ ท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส
ถึงฟ้าใสจะมาพร้อมกับคณะของอาจารย์ มีคนมาดูแลรับ-ส่ง แต่พี่ส้มโอก็ยังเป็นพี่ส้มโอ มือหนึ่งเรื่องการจัดการ
ฟ้าใสโดนขอตัวไปบ้านพี่โอ 2-3วันก่อน งานพี่โม่งไปอยู่รวมกับกับข้าวของงานนิทรรศการต่างหาก
ฟ้าใสมาด้วยทุนส่วนตัวของพี่โม่ง แม้เขาบอกว่า จะไปหาพี่ส้มโอด้วย พี่ส้มโอจะออกให้ฟ้าใสเอง
แต่พี่โม่งก็บอกว่า
“ธุระของฟ้าใสมันก็ธุระของพี่ด้วยนี่นา”
.
.
.
.
ที่ LA Artcore ลอสแอนเจลิส
ฟ้าใสเห็นไอ้บ้านั่นแล้ว
พี่ส้มโอ มาส่งแล้วก็เดินดูงาน
ฟ้าใสพาชมงาน เดินดูไป อธิบายให้พี่ส้มโอฟังด้วย ใช้เทคนิคอะไร สีชอล์ค สื่อผสม ภาพพิมพ์ อันนี้ เขาจะแทนอารมณ์...รันทด กดดัน…ว่าไป...
ไอ้ตัวมดปลวกมอด เห็นเขาแล้ว ดูก็ตกใจ มันเข้ามาทัก สวัสดี พี่ส้มโอ
“เจอเพื่อนแล้ว ตอนเย็นพี่แวะมารับนะ”
“ไปทานข้าวด้วยกันสิ” ส้มโอหันไปชวนมาย
“อยู่ได้นะ” ส้มโอถาม ฟ้าใส ย้ำอีกที
มายจับมือฟ้าใสไว้ ยอมปล่อยมือ เมื่อยกมือไหว้ลาพี่ส้มโอ รับปากว่าจะไปทานอาหารด้วยตามที่ชวน
“มีอะไร โทรเข้ามือถือพี่นั่นแหล่ะ”
“ครับ” ส้มโอจัดการหาโทรศัพท์ไว้ให้ฟ้าใสใช้
.
.
“มาได้ไง” มายฉุดฟ้าใสมาที่ห้องเก็บอุปกรณ์ด้านหลัง
ฟังแล้วยิ่งเจ็บใจ
ได้ยินเสียงแล้ว....ยิ่ง...
ผลั่วะ!!! ฟ้าใสต่อยหน้ามันจังๆ กระแทกเข้าครึ่งปาก ครึ่งจมูก
ถึงหมัดจะเล็กๆ ไม่ได้แรงมาก แต่เจ้าตัวก็กะให้หายแค้น แต่เนื้อนิ่มอย่างริมฝีปาก ที่เจอหมัดลุ่นๆตรงๆ ก็เล่นเอาเลือดออกได้พอดู
ตามด้วยเสียงทุบ ตุบๆ บึกๆ ด้วยกำปั้นที่ทำต่อ คนตัวใหญ่กว่า
ไอ้สีหน้าที่ชอบทำเป็นหงุดหงิด หายไปแล้ว เหมือนมันต้องรับผิดชอบ มีหน้าที่การงาน
ยังกะมันเป็นผู้ใหญ่ขึ้น...เหลือแต่เขาที่ยังเป็นเด็ก...เหรอ....
ฟ้าใสปาดน้ำตา
ไอ้หนุ่มปลวกมอดมด ยิ้มแหยๆ เอาใจ เช็ดเลือดตัวเอง
“เจ็บหรือเปล่า” ฟ้าใสถามเสียงอ่อย ไม่สบตา
“เป็นห่วงคนจะโดนจับมากกว่า”
“อ้าว ใครเหรอ มีใครจะโดนจับหรือไง”
“มีดิ ที่นี่เขามีกล้องวงจรปิดทุกที่น่ะ กฎหมายเขาแรงด้วย ทำร้ายกันเห็นๆ เดี๋ยวซีเคียว เขาก็มา”
“เฮ้ย!! มาย เราหยอกนายเฉยๆ มือมันไปเอง” ไอ้เด็กบ้ามันพูดจริงเปล่าเนี่ย เริ่มกังวล
ตัวเล็กแถเก่งว่ะ หมัดก็หนักพอใช้ได้ แต่ไอ้ ข้างๆคูๆ อย่างงี้ งั้นก็ต้องเจอ
“จ๊วฟ จ๊วฟ !!! ดูด จ๊วฟ จ๊วฟ ดูด ปากซะเลย” ให้มันรู้บ้างว่า ปากมันไปเองนะเป็นอย่างไง มายแยกเขี้ยวยิ้มมุมปาก
ปากเจ่อแดงเลือดกรัง ประกบปิดปากอิ่มแดงระเรื่อ อยากจะกัดปากอิ่มอย่างงี้ให้สมอยาก ไม่ได้แตะนุ่มนิ่ม อย่างนี้มาตั้งนานแล้ว
มือเริ่มไล้ลงสัมผัสที่บั้นท้าย คนตัวเล็กโดยอัตโนมัติ
ฟ้าใสเอามือผลักหน้าใหญ่ๆออก อีกมือก็เอื้อมไปคว้ามือซุกซน ออกจากบั้นท้ายตัวเอง
“อยากโดนอีกสักบึกหรือไง” ส่งตาขมึงใส่มั่ง
“เร็วๆ จูบมาเลย ซีเคียว เค้าจะได้รู้ว่ารักกัน ไม่งั้นเขาจะคิดว่าไขเป็นคนร้ายนะ งานแสดงภาพเขียน งานศิลปะ จะมาทำเล่นๆ ไม่ได้นะ เขาเข้มงวดจะตาย”
“ไม่ !!! แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่รู้ล่ะ ฉันตัวเล็กกว่านาย ไม่มีใครเชื่อหรอก” อ้าวลืมไป กล้องมันเห็นนี่หว่า
“โดนจับไป ผมไม่รู้ด้วยนะ มีเลือดออกด้วย ภาษาผมไม่รู้เรื่องด้วยนะ อธิบายภาษาอังกฤษเอานะ”
เกลียดไอ้มดปลวก เอาเรื่องภาษามาขู่ ก็ได้ว่ะ ...
ฟ้าใสเขย่งตัว กระแทกปากชนที่แก้มแรงๆ หนึ่งที
“อย่างงี้มันใช่ที่ไหน เร็วไป กล้องมันจับไม่ทัน เดี๋ยวกล้องมันเห็นว่าพี่ ชะโงกมาข่มขู่ ปล้นภาพเขียน ของเค้าเป็นล้าน เลยนะ
นี่ถ้าผมยกมือ ขึ้น 2 ข้าง เค้าต้องคิดว่าพี่มีอาวุธ ด้วยนะ” มายพูดจบ เอียงแก้มอีกข้างให้อีกฝ่าย
มันน่ะชอบทำเหนือกว่าเรื่อยเลย หากเขาก็ไม่อยากจะไม่ถือสา เพราะสิ่งที่ตามมาคือการดูแลสารพัด พอกับป้านวล
ก็ใครมันบ้าเดินมาทวงถามจะเอากางเกงในของเขาไปซักให้
ฟ้าใสจูบแก้มมันดีๆก็ได้
มายประคองใบหน้าหวาน จ้องสบตา ตาคม ที่เริ่มไม่ยอมสบด้วย หลุบตาจนเห็นขนตางอนยาวเป็นแพ
จูบหวาน ที่หวามเข้าไปในอก คุ้นชินจนอยากซุกในอ้อมกอดอุ่น
ตื้นตัน จนเปี่ยมล้น อยากเกลือกกลิ้ง คลุกคลี เหมือนสัตว์เลี้ยงที่ได้เจอเจ้าของ ไม่รู้เหมือนกัน
ความรู้สึกแบบนี้ แล้วจะให้เขาทำอย่างไรได้...
.
.
.
ความตั้งใจจะเป็นอย่างไร
ที่มาเพราะ ต้องเจอหน้ามันให้ได้ก่อน
พี่โม่งมาบอกให้ทำอะไรนั้น ขอแช่แข็งไว้ ให้มันเป็นสูญญากาศ
จะให้เขาเปลี่ยนอะไร ก็ไม่อยาก ไม่กล้า ปอด กลัว ไม่มั่นใจ
ให้เขาอยู่บ้าน บ้าง ร้านเขาบ้าง มีมันมาดูแลเขาบ้าง และให้เขาได้มีพี่โม่งให้คอยรัก...
ได้ไหม....
.
.
.
.
6 เดือนแล้วที่ ฟ้าใสอยู่ช่วยมันทำงาน ถ้ามีเวลาว่าง มายก็จะออกไปถ่ายรูป เมือง ผู้คน วัฒนธรรม
พวกเขา อายุน้อยที่สุด พวกอาจารย์เลยถือโอกาสใช้ทำงานให้ดูแลเป็นตัวหลัก
แล้ว พวกอาจารย์ก็ถือโอกาส ไปฟังสัมมนาเบื้องหลังรหัสลับภาพเขียนของดาวินชี่
การเจาะลึกของศิลปะและสถาปัตยกรรมในยุคกรีกโบราณจากยุคสำริด
หรือ สัมนาเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและการทำงานของ Michelangelo ที่แค่ ตรวจสอบจิตรกรรมประติมากรรมและสถาปัตยกรรม
พิจารณาเฉพาะงานที่สำคัญในเมืองที่ Michelangelo ทำงาน: ฟลอเรนซ์และโรม นั่นก็กินเวลา10-20 วัน
ฟ้าใสเอง ถ้าสถานที่จัดแสดง เป็น หอศิลป์ หรือเป็นพิพิธภัณฑ์ ในมหาวิทยาลัย ก็แอบไปด้อมๆมองๆ อ่านบอร์ดประกาศ ของยู.
จนเจอคอร์สเรียน การเขียนปากกาคอแร้ง ,การสอนพับกระดาษของชมรมวัฒนธรรม ญี่ปุ่น , การเขียนพู่กันจีน
คอร์สการทำกระดาษ หนังสือทำมือ ฯลฯ ฟรีบ้างเสียเงินบ้างก็ไปลงเรียน ช่วงเย็นบ้าง 1-2-3 ชั่วโมง ในช่วงเช้าบ้าง
.
.
.
เราย้ายไปจัดแสดงงานต่อที่ Otto Gallery, Munich, ประเทศเยอรมัน
พร้อมข่าวที่ได้รับจาก พี่โม่งว่า อาจารย์เบญติดเชื้อ เป็นไข้สมองอักเสบ นอนโคม่า ไม่รู้สึกตัว
ตอนหลัง พี่สาวที่มะนาวเรียก ป้าศรีแพร ก็มารับตัวอาจารย์เบญไปดูแลเองที่บ้าน
มะนาวเอง ตอนเช้าพี่โม่งก็จะขับรถไปส่ง ที่บ้าน พี่สาวอ.เบญ พาเลิกสอน ก็จะไปรับกลับมานอนที่บ้าน
ฟ้าใสสงสารมะนาว เพราะ แค่เห็นว่า บรรยากาศ บ้านที่อยู่มันก็เงียบๆ เหงาๆ พี่โม่งก็อยู่แบบ เงียบๆ
มะนาวไปอยู่ บ้านป้า ที่พี่โม่ง เคยถูกเรียกให้แวะไปเอากับข้าวกลับบ้าน ฟ้าใสก็เห็นว่า บ้านก็เงียบๆ มืดๆ ไม่เปิดทีวีดูกันด้วย อ่ะ
แล้วก็มีแต่คนแก่ ผู้หญิง ถึงมีอาหารการกินสมบูรณ์ แต่ ฟ้าใสก็ว่า หายใจไม่ค่อยโล่งอ่ะ อึดอัด บ้านฟ้าใสที่กรุงเทพ ถึงมีคนแก่
แต่ก็เลี้ยง ไอ้ดอลล่า ไอ้เบบี๋ วิ่งไล่แมว ไล่นก ให้มีเสียงหัวเราะ ทั้งแม่และป้าๆ ก็ชอบฟังข่าว ดูทีวี แม่พรรณเองก็ชอบฟังเพลงฝรั่ง เพลงไทย สมัยใหม่
.
.
.
ขณะที่จัดงานแสดง ที่ Nagasaki Museum, Nagasaki, ประเทศญี่ปุ่น
พี่โม่ง โทรศัพท์ มาคุย กับมาย อาจารย์เบญเสียชีวิตแล้ว หลังจากนอน โคม่า ไม่รู้สึกตัวมาร่วม เกือบ 3 เดือน
พี่โม่งฝากมาย ให้ช่วยดูแลเรื่องงานทางนี้ ทำอะไรได้ ก็จัดการเลย
มาย รับปาก งานยังเหลืออีก 10 วัน และยังต้องจัดการเรื่องเก็บข้าวของอีก แต่จะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด
สิ่งที่เขาอดไม่ได้ ที่จะวิตกกังวล...เรื่องหนึ่ง...เรื่องที่เขากลัว...วันนั้น..วันนั้นมาถึงแล้ว...
TBC....