ตอนที่ 44
ปันค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องที่มืดสนิท หันมองเพื่อนที่นอนพลิกไปพลิกมา พอเห็นทีท่าว่าจะไม่นิ่งง่าย ๆ จึงเอื้อมมือเขย่าให้คนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ลืมตาตื่น
“เอส มึงนอนไม่หลับหรอวะ? เอาแต่ขยับตัวยุกยิกตลอดเลย”
“ขอโทษที” เอสพูดขอโทษเสียงเบาพลางลุกขึ้นนั่ง “คืนนี้กูคงนอนไม่หลับอีกแล้วแหละ กูจะลงไปอยู่ข้างล่างแล้วกัน”
“มึงโอเคไหมเนี่ย? เห็นนอนไม่หลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ แล้วนี่จะลงไปทำไรวะ?” ปันเลิกคิ้วถามขณะเบี่ยงตัวหลบ ให้คนที่นอนอยู่ด้านในออกไปได้
“ก็นอนตอนกลางวันมากไปเท่านั้นแหละ” เอสหัวเราะเสียงแห้ง “กูจะลงไปอ่านหนังสือสอบนะ อุตสาห์ไปเอาชีทซีร็อกตั้งแต่บ่าย ๆ เมื่อวานพอกินยาไปก็น็อคไม่ได้อ่านสักที”
“กูว่าจะถามมึงอยู่แล้วหนังสือเรียนมึงอยู่ไหนอะ? ข้าวของมึงด้วยว่าจะถามเมื่อวานละ แต่กูลืม”
“...กูลืมไว้ที่ห้องพักว่ะ”
“เออ เมื่อวานอุตสาห์ไปเอาชีทซีร็อกจากเพื่อนแทนที่จะไปเอาหนังสือเรียนที่มึงลืมไว้เนาะคนเรา”
“เออหน่า ๆ”
เอสก้าวลงจากเตียง เขาอุ้มถุงที่อัดแน่นไปด้วยชีทซีร็อกที่ไปเอามาจากธันเพื่อนที่มหา’ลัย ตั้งใจจะลงไปอ่านอยู่ด้านล่างตามที่พูด แต่ทว่าปันกลับคว้าแขนเขาเอาไว้เสียก่อนที่จะเดินไปถึงประตูห้อง
“กูว่าอย่าเลย มึงนอนเยอะ ๆ ดีกว่า หายสนิทก่อนแล้วค่อยอ่านหนังสือ กูกลัวแม่งจะเป็นเรื้อรังอะ”
“มึงกังวลมากไปปะปัน มึงก็รู้ว่ากูแข็งแรงแค่ไหน เป็นหวัดแค่นิดหน่อยจะทำให้กูตายตอนอ่านหนังสือก็ให้มันรู้ไป”
“...” เขาก็คิดอยู่แล้วว่าคงไม่ฟังหรอก สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยให้ได้ทำตามใจ ก็แค่ลองห้ามดูเผลอฟลุ๊คจะเชื่อฟังก็แค่นั้น “ก็ได้ แต่ถ้าดูแล้วไข้จะขึ้นมึงเลิกอ่านแล้วขึ้นมานอนเลยนะ เข้าใจไหม? เป็นสองวันแล้วเนี่ยกูไม่เห็นไข้มึงลดสักนิด”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะพ่อ”
“พ่อ พ่อง”
เอสหัวเราะ หันกลับไปกวนประสาทเพื่อนด้วยการดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้แล้วตบท้องกล่อมนอนไปอีกสองที ก่อนจะวิ่งปรู๊ดออกจากห้องพร้อมถุงชีท หนีเท้าของปันที่กำลังพุ่งเกือบถีบตูดของเขาเอง
เด็กหนุ่มก้าวเดินลงบันไดอย่างช้า ๆ ท่าทางขี้เล่นหายไปราวกับมันเป็นเพียงหน้ากาก
“แต่ถ้าดูแล้วไข้จะขึ้นมึงเลิกอ่านแล้วขึ้นมานอนเลยนะ เข้าใจไหม?” ถ้าไข้ขึ้นแล้วให้กลับมานอนงั้นหรอ...คงทำไม่ได้หรอก ถ้าต้องนอนจริง ๆ ก็คงต้องพึ่งโซฟาหรือไม่ก็พื้นละมั้ง ไม่รู้ทำไมทั้ง ๆ ที่ตอนกลางวันก็นอนได้หลับสบายดีบนเตียงแท้ ๆ แต่พอตอนกลางคืนกลับไม่เคยหลับลง เหมือนกับว่าร่างกายชินไปแล้วกับการนอนอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคนที่ชอบเนียนมากอดไว้ด้วยเหตุผลงี่เง่าว่า ‘ติดหมอนข้าง’ นั่นไปซะแล้ว...
น่าสมเพชชะมัด คิดจะออกมา ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเสียอะไรแท้ ๆ แต่ก็ยังโหยหาไม่เลิกสักที...
ปันที่ยังนอนเท้าแขนอยู่บนเตียง คิดอยู่ว่าจะลงไปดูอาการของเพื่อนดีหรือไม่ เพราะเขาเคยได้ยินว่า ถ้าคนที่ไม่ค่อยป่วยแล้วมาป่วย ก็มักจะป่วยหนักหรือไม่ก็เป็นเรื้อรังหายช้า เพื่อนตัวดีของเขาไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน อดหลับอดนอนยังไง หรือแม้แต่เพื่อนทั้งกลุ่มเอาหวัดไปหามัน มันก็ไม่เคยติด ไม่เคยป่วยเลย แต่ตากฝนแค่นี้กลับไม่สบายเสียอย่างนั้น ต่อให้ปากบอกว่าไม่สบายนิดหน่อยก็เถอะ แต่ขนาดบังคับให้กินยาทั้งเช้า เที่ยง เย็น เมื่อวานแล้วก็วันนี้ก็ไม่เห็นไข้จะลดเลยสักนิดเดียว
แต่ก็อย่างที่เอสพูด ‘แค่อ่านหนังสือจะตายให้มันรู้ไป’ มันไม่มีอะไรหรอก โต ๆ กันแล้วดูแลตัวเองกันได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมากังวลแบบนี้เลยสัก
“อ๊ากกกก! ให้ตายเถอะ”
ปันกรีดร้อง สุดท้ายก็รู้สึกกระวนกระวายจนอดไม่ไหวลุกพรวดจากเตียงลงไปหาเพื่อนที่อ่านหนังสืออยู่ชั้นล่างเช็คดูให้ตัวเองแน่ใจว่ามันยังไม่ตายคาชีทเรียนไปเสียก่อน!
ขณะที่ปันกำลังเดินลงบันได้จนเกือบถึงข้างล่างอยู่นั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงฟึดฟัดเหมือนคนหายใจไม่ค่อยออกลอยมาเบา ๆ พอชะโงกหน้าไปดูก็เห็นเพื่อนตัวดีกำลังอุดจมูกข้างนึงแล้วพ่นลมออกอีกข้างหนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย
“มึงทำอะไรอยู่วะเอส?”
ปันส่งเสียงทัก เขาชะงักเท้าที่กำลังเดินเข้าไปหาเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนที่หันมาดูย่ำแย่จนน่าตกใจ ทั้งตาทั้งจมูกแดงกล่ำแล้วยังมีคราบน้ำตาเปรอะหน้าเต็มไปหมด!
“มึงลงมา...”
“มึงร้องไห้หรอ!?” ปันคว้าทิชชู่ที่อยู่บนชั้นเหนือทีวีถลาเข้าไปหาเพื่อนจนอีกฝ่ายต้องผงะด้วยความตกใจ “มึงโง่หรือโง่เนี่ย ไม่รู้หรอไงว่าคนไม่สบายไม่ควรร้องไห้ พอดีทั้งน้ำตาทั้งขี้มูกอุดตันหลอดลมตายห่า ไม่ต้องหายใจหายคอ! แล้วสั่งฟืด ๆ เมื่อกี้คิดว่ามึงจะหายใจออกหรอ กำเดาจะไหลน่ะสิไม่ว่า! ถ้ามึงเอาขี้มูกหรือน้ำตาออกมาไม่หมด มึงก็แดกมันกลับเข้าไปเลย!”
“ก่อนที่มึงจะมาห่วงอาการบ้าบออะไรของกู มึงควรจะถามกูก่อนปะ! ว่ากูร้องทำไม”
“เสียงอุบาทฉิบหาย” ปันทำหน้าแหย “อะแล้วมึงร้องไห้ทำไม?”
“..”
“เนี่ย พอกูถามมึงก็ไม่ตอบ กูรู้คนอย่างมึงถ้าไม่อยากเล่าก็คือไม่อยากเล่า แล้วจะให้กูถามทำไม แม่กูบอกว่าให้ดูแลมึงอย่าให้ตายคาบ้านเฉย ๆ แล้วทำไมกูต้องมาเสือกเรื่องอื่นที่มึงก็ไม่อยากให้กูเสือกด้วย หรือมึงเป็นพวกปากบอกไม่มีอะไร แต่ในใจรอให้คนมาถาม มาสนใจงี้หรอ?”
“กูแค่บอกว่าปกติถ้าเห็นอะไรแบบนี้มันก็ต้องถามก่อนว่าร้องไห้ทำไม ไม่ได้บอกมึงให้มาถามกูสักคำว่ากูเป็นห่าอะไร”
“เออ กูก็ไม่ได้ด่ามึงนี่ กูแค่จะสื่อว่า กูไม่ยุ่งเรื่องที่มึงไม่อยากให้ยุ่งหรอก”
“...”
“แต่ถ้ามึงอยากให้ใครรับฟังมึง...กูก็อยู่ตรงนี้เสมอ” เอสนิ่งค้างไปด้วยความตกใจไปกับคำพูดและสีหน้าที่จริงจังที่ไม่ได้พบเห็นบ่อย ๆ นั่น ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาเสียงดังจนต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
“มึงบอกว่าไม่ได้ด่ากูหรอ กูอยากอัดคลิปตอนที่มึงพูดแล้วให้มึงดูจัง อีกนิดกูนึกว่ามึงจะเข้ามาต่อยกูแล้วเนี่ย”
“เปล่าสักหน่อย กูพูดเสียงอย่างนี้เป็นปกติ หน้านี้ก็เป็นตั้งแต่เกิด”
เอสเท้าคางมองคนที่กำลังพูดแก้ตัว เพื่อนสนิทตั้งแต่ ม.ปลายที่มักจะพูดเหมือนไม่สนใจและทำหน้าติดจะรำคาญ แต่กลับเป็นคนที่อยู่ข้าง ๆ เวลาที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็ยื่นมือมาเสมอ ครั้งนี้ก็ด้วย เพียงแค่เปิดประตูต้อนรับแล้วก็ไม่ถามอะไรสักคำ
ปัน มักจะทำเพียงแค่ทำให้เขารู้สึกสบายใจที่สุด โดยไม่รื้อฟื้น ไม่ค้นหา ไม่รีดคั้นใด ๆ ทั้งสิ้น
“กูกับเขาเลิกกัน ทั้ง ๆ ที่ก็ยังรักกันอยู่ว่ะ”
ปันเลิกคิ้วเดินอ้อมไปอีกด้านของโต๊ะก่อนจะนั่งลงประจันหน้ากัน “ถ้างั้นจะเลิกทำไม?”
“มันไม่ถูกต้อง”
“ไม่ถูกต้องอะไร? ไปเป็นกิ๊กใครหรือไง หรือมึงเอาใครเป็นกิ๊กหรอ?”
เอสมองหน้าเพื่อนสนิทด้วยความลังเล อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่มีเสียงอะไรหลุดรอดออกมา ก่อนที่สุดท้ายเขาจะถอนหายใจ แล้วเปิดปากบอกออกไป
“ผู้ชาย...คนที่กูคบอยู่ เป็นผู้ชาย”
“...มึงเป็นเกย์หรอวะ?”
“กูก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือเปล่า เพราะผู้ชายที่กูชอบ ก็ยังมีแค่เขาคนเดียว แล้วกูก็ยังไม่เคยมองผู้ชายคนไหนเป็นอาหารตาด้วย”
ปันยกมือขึ้นเบรก กุมขมับอย่างใช้ความคิด
“กูก็แอบเคยคิดนะว่ามึงเป็นหรือเปล่าก่อนหน้านี้ที่มึงมาถามกูว่าเกลียดเกย์ไหมนั่นไง แต่กูก็ไม่คิดว่ามึงจะ...คบผู้ชายจริง ๆ...เออ ไอ้ก่อนหน้านี้ที่มึงมาขอคำปรึกษากูอะไรนั่น ก็...กับผู้ชายคนนี้หรอ?”
“อืม...มึงรังเกียจปะวะ?”
“เฮ้ย ไม่ ๆ กูก็แค่ตกใจเฉย ๆ เอสมึงต้องย้อนกลับไปดูตัวมึงเมื่อก่อน คือมึงชอบผู้หญิงมากจนกูไม่คิดว่ามึงจะมาทางสายนี้ได้ แต่กูก็เข้าใจนะบางเรื่องมันก็ห้ามไม่ได้ว่ะ แล้วกูก็เคยบอกแล้วไงว่ากูไม่ซีเรียสเรื่องเพศ นอกจากจะเป็นกระเทยแล้วมากรี๊ดกร๊าดใส่กู อันนี้เป็นข้อยกเว้นของกู...ช่างมันเถอะ แล้วยังไง มึงเกิดคิดขึ้นได้ว่าชายรักชายมันไม่ถูกต้อง ก็เลยบอกเลิกเขาหรอ?”
“คนที่กูคบเขามีลูกติด แล้วลูกเขาถูกเอาไป...เพราะเขาคบกับกู”
ปันตกใจแต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามยอมรับมันอย่างรวดเร็วไม่คิดจะติดความอะไรเพราะเขามีความรู้สึกว่านี้ไม่ใช่ปัญหาวัยรุ่น มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เขาคิด!
“เอส มึงต้องเล่ามาให้ละเอียดแล้วละ”
“อือ”
เสียงนั่นดังขึ้นก่อนเรื่องทั้งหมดจะถูกเล่าออกไป
…
เป็นเวลาเกือบชั่วโมงที่เอสใช้ในการเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับเพื่อนสนิทฟัง เล่าทุกอย่างตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน เล่าทุกสาเหตุ เล่าทุกเหตุผลที่ทำให้เขามอบหัวใจให้ผู้ชายคนหนึ่งได้อย่างไม่ลังเล เล่าวินาทีที่เริ่มต้น จนถึงวินาทีที่สิ้นสุด ทุกคำพูดทุกสีหน้าที่จำได้ดีไม่มีลบเลือน ภาพของที่หนึ่งถูกเอาตัวไปพร้อมกับตราบาปยิ่งใหญ่ประทับลงกลางหน้าผาก ประจานว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะเขาคนนี้
...เพราะเข้ามาในชีวิตของครอบครัวนี้ เอาความวิปริตเข้ามาในบ้านอย่างที่ทอฟ้าได้พูดเอาไว้
“เพียงถ้ากูไม่ชอบเขา ไม่คบกับเขาแล้วคิดอะไรให้มันมาก ๆ มองอะไรให้มันกว้าง เรื่องนี้มันก็คงไม่เกิด ที่หนึ่งก็คงไม่ถูกเอาตัวไป”
เสียงนั้นสั่นเครือ ใบหน้าของเอสถูกซ่อนไว้ใต้ฝ่ามือ สองวันที่เขาได้นั่งคิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากความเสียใจที่จุกอก ความรู้สึกหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นมือความรู้สึกของการอยากจะขอโทษ
ขอโทษกับเรื่องที่มันเกิดขึ้น...
ขอโทษที่ทำให้ครอบครัวต้องพัง…
ปันถอนหายใจ “เพราะงั้นมึงก็เลยบอกเลิกเขา เพื่อไม่ให้ถูกหาว่าเป็นเกย์แล้วก็จะได้ลูกคืน?”
“ให้พี่ทอฟ้ารู้ว่าที่พี่ตุลย์คบกับกูมันแค่หลงผิดชั่วครั้งชั่วคราว เป็นแค่อารมณ์อยากรู้อยากลอง กูเองที่ไปล่อลวงเขามา จะได้คืนลูกให้พี่ตุลย์เหมือนเดิม”
“มึงคิดอย่างนี้จริงดิ? นี่ปะที่เขาเรียกว่าไม่ว่าเรียนสูงเรียนต่ำแค่ไหน เรื่องความรักของตัวเองก็โง่เหมือนกันหมด” ปัน เท้าแขนกับโต๊ะจ้องมองเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสายตาที่จริงจัง “มึงคิดจริง ๆ ดิ ว่าทำแบบนี้แล้วผู้หญิงที่ชื่อทอฟ้าอะไรนั่นจะยกลูกคืนให้แฟนมึง”
“...”
“ถ้าเป็นกู กูไม่คืนให้หรอก มึงเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรอว่าก่อนหน้านี้เขาทะเลาะกันเพราะว่าผู้หญิงคนนั้นอยากได้ลูกไปเลี้ยงเอง แล้วนี่เขาก็มีโอกาสแล้ว มึงคิดว่าเขาจะปล่อยลูกกลับมาเพียงเพราะว่าพ่อของลูกเขาเลิกกับมึงหรอ?”
“...”
“มึงอย่าลืมว่าผู้หญิงคนนั้นอ้างว่า ที่เขาจะเอาลูกไปเพราะว่าพ่อเด็กมันเป็นเกย์ เกย์อะคือสิ่งที่เป็นตลอดไป ไม่ได้หมายถึงสถานการณ์ ๆ ที่แบบ พอเลิกกับมึงเขาจะหายเป็น ต่อให้เขาเลิกกับมึงไปเป็นสิบปี ผู้หญิงคนนั้นก็เอาคำว่า ‘เกย์’ มาอ้างได้ แค่เนี่ย มึงคิดไม่ได้หรอเอส?”
“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง...เรื่องแค่นี้ทำไมกูจะคิดไม่ได้ กูรู้ดีอยู่แล้วว่าการเลิกกับพี่ตุลย์ไม่ได้ทำให้เขาจะได้ลูกคืนร้อยเปอร์เซ็น แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้มากกว่า ถ้าเขายังคบกับกู! กูอยู่กับเขา กูก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากยิ่งทำให้เขาถูกตราหน้า ไม่มีสิทธิที่จะได้ลูกคืน แล้วยังอาจจะเร่งให้เขาโดนเอาลูกอีกคนไปอีก แล้วอย่างงี้มึงจะให้กูทำยังไง!”
ปันอึกอักพอเห็นน้ำตาของเพื่อนไหลลงมาแต่ก็ถูกปัดออกลวก ๆ ด้วยท่าทางหงุดหงิดกับความอ่อนแอที่แสดงออกมาไม่หยุดสักที
...เขาก็ไม่รู้จะพูดว่ายังไงเหมือนกัน ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องราวที่คนทั่วไปจะพบเจอ เขาก็คงทำได้เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนี้ เวลาที่เพื่อนต้องการก็เท่านั้น
“กูไม่อยากเลิกกับเขา...กูน่ะรักเขามากจริง ๆ นะปัน ฮึก...”
“...กูก็อยากจะสงสารมึงนะเอส แต่กูว่าคนที่น่าสงสารมากกว่าคือคนที่ชื่อตุลย์ว่ะ เขาเสียลูก แล้วเขาก็ยังเสียมึง ถ้าวันนี้เขาไม่ได้ลูกกลับมา มึงคิดว่าตอนนี้เขามีใครที่ปลอบโยนเขาอยู่ว่ะ
มึงยังดีที่มึงยังมีกู แล้วเขาละ ไม่ใช่ว่าเขามีแค่มึงหรอ”
“...”
“เฮ้อ...ไปนอนเถอะ ดึกมากแล้ว มานั่งเครียด นั่งเสียใจจนถึงเช้าก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา”
ปันลุกขึ้นยืน ยืดแขนยืดขาเตรียมตัวจะขึ้นไปนอนข้างบน เขาสะกิดไหล่เรียกเพื่อนให้ขึ้นไปด้วยกัน แต่เอสกลับไม่ยอมขยับตาม เอาแต่ก้มหน้ามองมือตัวเองที่ประสานวางอยู่หน้าตัก
“เอส?”
“ปัน...กูลืมของทุกอย่างไว้ที่ห้องเขาว่ะ กูว่าจะไปกลับไปเอา”
“หา? อะไร? ค่อยไปเอาพรุ่งนี้ก็ได้”
“ไม่ได้ กูต้องไป วันนี้” เอสเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อนสนิท “และกูต้องไปเดี๋ยวนี้”
ปันเองก็สบตากลับไป เขามองความลังเลที่ฉายสลับกับความเด็ดขาดก่อยจะยกยิ้มอ่อนอกอ่อนใจให้กับเพื่อนรัก
“กูให้ยืมค่าแท็กซี่แล้วกัน”
ทันทีที่รถจอดสนิท เอสก็ยื่นเงินที่เตรียมเอาไว้พอดีจำนวนให้กับคนขับ ก่อนจะถลาลงไปด้วยความเร่งรีบ เด็กหนุ่มไม่เสียเวลาแม้จะเงยหน้ามองตัวตึก เขาเดินจ้ำอ้าวยาว ๆ ไปจนถึงหน้าประตูคอนโด ชะเง้อมองเข้าไปข้างในหาใครสักคนที่จะช่วยให้เขาเข้าไปได้
หลังจากที่สอดส่ายตาอยู่เพียงชั่วครู่ ก็มีแม่บ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตาเดินลงมาจากชั้นสอง เธอมองเห็นเอสแล้วทำสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ยอมเดินไปเปิดประตูคอนโดฯ ให้ตามที่อีกฝ่ายได้ทำมือเป็นสัญลักษณ์
“ทำไมถึง...”
“ขอบคุณมากครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมลืมบัตรไว้ที่ห้อง”
เอสพูดขอบคุณอย่างรวดเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ชวนคุยเหมือนทุกที เขาพุ่งตัวเข้าไปในลิฟต์ กดชั้นที่ห้องนั้นอยู่แล้วกดปิดประตูลิฟต์อย่างรวดเร็ว!
หลังจากที่ประตูลิฟต์เปิดออก เอสก็ไม่รอช้าที่จะพุ่งไปตามทางที่เขาคุ้นเคย หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ หายใจเหนื่อยหอบเพราะความร้อนใจ จนในที่สุดเขาก็หยุดยืนอยู่หน้าประตูห้อง ‘B8002’
...ห้องที่เขาอยากอยู่ไปทั้งชีวิต
ขณะที่เอสกำลังเคาะเรียกคนที่อยู่ด้านใน เขากลับนึกขึ้นได้ว่านี่มันตีสองเข้าไปแล้ว เคาะไปเจ้ของพักก็คงไม่ได้ยินเสียง หรือถ้าได้ยินมันก็เป็นการปลุกให้ตื่นขึ้นมาซึ่งเขาไม่อยากทำตัวมีปัญหาแบบนั้น
“ให้ตายเถอะ” เอสสบถพร้อมกับซบหน้าผากลงกับประตูไม้อัดสีขาว
...แต่ว่า เขาอยากเจอ อยากเจอมากจริง ๆ
และสุดท้ายก็มันก็ทำให้เขาตัดสินใจที่จะเคาะประตู เพียงแค่ขอให้ได้เรียก ขอให้ได้รู้สึกว่ามาหาแล้ว ต่อให้คนในห้องจะไม่ได้ยินก็ไม่เป็นไร เขารอได้
รอจนถึงเช้าเขาก็จะรอ...
ก๊อก ก๊อก...
เอสลดระดับมือลงหลังจากได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เขานั่งหลังชนกับประตูไม้ กอดเข่าตัวเองไว้แล้วเอนศีรษะพิงกับประตู
“เขาเสียลูก แล้วเขาก็ยังเสียมึง ถ้าวันนี้เขาไม่ได้ลูกกลับมา มึงคิดว่าตอนนี้เขามีใครที่ปลอบโยนเขาอยู่ว่ะ”“เอส...”
เจ้าของชื่อเงยหน้าตามเสียงเรียกด้วยความตกตะลึง เขาลุกพรวดออกจากหน้าประตูเผชิญหน้ากับคนที่ตกใจไม่ต่างกัน!
ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะแค่มาเอาของคืน แค่เพื่อจะมาถามว่า ที่หนึ่งกลับมาแล้วใช่หรือเปล่า แต่พอเจอหน้า ทุกอย่างมันเลือนหายไปหมด เหลือแค่คำว่า ‘คิดถึง’ คิดถึง คิดถึง คิดถึงจนไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะคิดถึงใครได้มากขนาดนี้เพียงเพราะไม่เจอหน้าเพียงแค่ 2 วัน
คิดถึง...คิดถึงมาก ๆ เลย
“ผม...มาเอาของที่ลืมไว้ที่นี่น่ะ”
“อ๋อ...เขามาก่อนสิ”
เจ้าของห้องเบี่ยงตัวหลบให้ผู้ที่มาเยือนได้เดินเข้ามา เอสผงะกับความมืดเล็กน้อยก่อนจะกวาดตามองรอบ ๆ เขาเห็นเพียงหน้าจอทีวีที่เหมือนกับเปิดทิ้งค้างเอาไว้ กับ...
“ทำไมพี่มานอนที่โซฟา ไม่ไปนอนในห้องดี ๆ” เอสถามคนที่เดินตามอยู่ข้างหลัง หลังจากที่เห็นพวกหมอน ผ้าห่มกอง ๆ อยู่บนโซฟาเหมือนคนที่นอนไปแล้วแล้วลุกขึ้นมา
“นอนในห้องไม่หลับน่ะ” ตุลย์ตอบ เดินไปดึงผ้าห่มที่เกือบตกพื้นขึ้นไปบนโซฟาดี ๆ “เพราะว่าไม่ชินละมั้ง”
“...” เอสชะงัก เขาก็เหมือนกัน เขาอยากจะตะโกนบอกออกไปว่าเขาก็ไม่ต่างกัน...แต่เขาทำได้เพียงปล่อยให้มันก้องอยู่ในใจเช่นเดียวกับคำว่า ‘คิดถึง’ ”งะ งั้นหรอ”
“ถ้าจะจัดของ เอามาไว้ข้างนอกก็ได้ ตอนต้นนอนไปแล้ว เดี๋ยวจะตื่นเอา”
“อือ โอเค”
“ให้ฉันช่วยไหม? จะได้ไม่ต้องขนหลายรอบ”
“ไม่เป็นไรหรอกของผมน้อยจะตายไป” เอสเดินเข้าไปในห้องนอน ตรงไปยังกองข้าวของของตัวเองที่เขากวาด ๆ เอาไว้เข้ามุม คว้ากระเป๋าเสื้อผ้ากับหนังสือเรียนพร้อมกันเพื่อลดจำนวนรอบ แต่มันก็ทุลักทุเลจนตุลย์ที่ยืนดูอยู่ ต้องเดินเข้ามาช่วยถือพวกหนังสือให้ “เฮ้ย ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรอะไร ของจะตกอยู่แล้ว ตั้งใจจะให้ลูกฉันตื่นหรอไง?”
“ก็...เปล่า”
เอสตอบเสียงเบายอมรับความช่วยเหลือนั้นในที่สุด ก่อนที่ทั้งคู่จะช่วยกันขนของมากองรวมกันไว้หน้าทีวี ทั้งสองใช้เวลาอยู่ไม่นานนักของทั้งหมดก็ถูกย้ายออกมา แต่เอสกลับกันตุลย์ออกตอนที่เขาจะมาช่วยจัดของ
บรรยากาศรอบอึดอัดเมื่อเอสบอกให้ตุลย์นั่งลงโซฟาแล้วตัวเองไปจัดของอยู่เงียบ ๆ คนเดียว แน่นอนว่าสำหรับเอสเป็นช่วงเวลาที่เขาไม่ชอบและไม่คุ้นชินที่สุด อยากจะคุยเล่นให้บรรยากาศดีขึ้นเหมือนที่เคยทำมาตลอด แต่กลับทำอะไรไม่ถูกเหมือนทุกที สุดท้ายเขาก็เลยเลือกที่จะพูดถึงสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุด
...สิ่งที่ทำให้เขามาที่นี่
“ที่หนึ่งน่ะ...นอนอยู่ในห้องใช่ไหม?”
ตุลย์เงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบออกมา “ที่หนึ่งยังอยู่กับฟ้าน่ะ”
ราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจ เขาเองก็เคยคิดอย่างที่ปันคิด ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางพาที่หนึ่งมาคืนเพียงเพราะว่าเขากับตุลย์เลิกกัน ไม่ใช่ว่าเพราะคิดไม่ได้ แต่มัน ‘ทำได้แค่นั้น’ มันทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านั้น ถึงได้เชื่อมั่นว่าถ้าเขาสองคนเลิกกัน ที่หนึ่งจะกลับมา ผู้หญิงคนนั้นจะคืนที่หนึ่งให้ แล้วอะไร ๆ ก็จะเป็นเหมือนเดิม
แต่สุดท้าย...มันก็เป็นความเชื่อมั่นที่เลื่อนลอย มันช่วยอะไรไม่ได้เลย! ไม่ไป ก็ยิ่งทำให้เรื่องมันแย่ แต่ไป ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น!
“ผมขอโทษนะ ผมขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทุกอย่างมันก็เพราะผมเอง เพราะผมเข้ามาในชีวิตพี่...พอชอบพี่ ก็มัวแต่อยากให้รักสมหวัง มองแต่ตัวเอง ไม่ได้สนใจผิดถูก...ไม่แม้แต่จะคิดว่ามันจะสมควรหรือเปล่า ผมขอโทษนะพี่ตุลย์ ผมขอโทษ...”
“อย่าร้องไห้”
ตุลย์ลงมาจากโซฟาเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ เป็นน้ำตาที่ไม่ได้มาคู่กับเสียงสะอื้นแต่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกโทษตัวเอง จนแทบจะทนมองมันไม่ได้
“ผมทำเรื่องนี้ให้มันเกิดขึ้น แก้ไขอะไรก็ไม่ได้ แค่อยู่ข้าง ๆ พี่ผมก็ยังทำไม่ได้ ทำไมผมถึงเอาแต่สร้างปัญหา ช่วยอะไรพี่ไม่ได้สักอย่าง!”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นเอส”
“อะไรที่ไม่ใช่!? พี่ยังทำตัวใจเย็นอยู่ได้ แต่ผมรู้ยิ่งกว่ารู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคนที่เสียใจที่สุดก็คือพี่ แล้วใครทำให้มันเกิดขึ้น ก็ผม แล้วตอนนี้ตอนที่พี่เสียใจที่สุด ผมไปอยู่ไหน ผมก็ไม่ได้อยู่ข้างพี่! ผมทิ้งพี่ไว้ แล้วก็เอาแต่คิดว่าถ้าผมไปซะ เรื่องมันจะได้จบ ๆ! ผมเอาแต่..”
“พอได้แล้วเอส!”
“...”
“หยุดโทษว่าเป็นความผิดตัวเองสักที ถ้านายคิดว่าตัวเองทำผิด แล้วฉันละไม่ได้ทำผิดหรอไง? ฉันเป็นพ่อเขาแท้ ๆ แต่ก็ยังเลือกจะกอดนายไว้ ฉันไม่แย่กว่าหรอ? แต่โทษตัวเองไปมันไม่ช่วยอะไรได้ ต่อให้โทษให้ตาย มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ใช่ฉันเสียใจที่ที่หนึ่งใม่มีทางได้กลับมา แต่คนที่เอาเขาไปก็คือแม่ของเขาเอง ถ้าลูกของตัวเองยังดูแลไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป ชีวิตที่หนึ่งอาจจะดีกว่าตอนที่อยู่กับฉันก็ได้…”
“...”
“แต่ถ้านายยังรู้สึกผิดมากขนาดนั้น ถ้ายังหยุดโทษตัวเองไม่ได้ก็แก้ตัวซะตอนนี้”
ตุลย์จ้องมองเข้าไปในแววตาที่เคลือบไปด้วยน้ำใส มองให้ลึกลงไปถึงข้างในไม่ให้มีที่ซ่อนก่อนที่เขาจะประทับริมฝีปากจูบคนตรงหน้า
“...”
“ฉันยังอยู่ไม่ได้เอส เพราะงั้นแค่คืนนี้อย่าเพิ่งทิ้งฉันนะ ตอนเช้าจะหายไปก็ได้ แต่คืนนี้จับมือฉันไว้ที”
TBCขอโทษที่มาช้า (ไม่) เล็กน้อย แต่ในที่สุด ก็เปิดจองหนังสือได้สักที จุดพลุ!! วาดเอง จัดเอง ทำเองไปเลยทุกขั้นตอนนน เสร็จสมบูรณ์แบบ จนแทบจะระเหยลงไปกับพื้น T v T
ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ แฟนเพจ ด้านล่างนะจ๊ะ นะจ๊ะ
CLICK