บทที่ 22
"งั้นอจลาไปนั่งข้างรัตติกาลนะ"
"...ซวยสัตว์"
ผมเผลอหลุดปากออกเมื่อได้ยินว่า 'เด็กใหม่' จะได้นั่งข้างบุคคลอันคนทั้งห้องไม่พึงประสงค์จะอยู่ใกล้
มันเป็นช่วงกลางเทอมของชั้นมัธยมปีที่สาม คาบโฮมรูมก่อนเข้าคาบแรกไม่เหมือนกับทุกทีเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาอายุสี่สิบสี่ผู้โสดสนิทเดินเข้ามาพร้อมเด็กสาวในชุดนักเรียนไม่ต่างจากพวกผม แนะนำง่ายๆ ว่าเป็นเพื่อนใหม่ในห้องเรียนนี้
"ถ้าไวท์ได้ยินคงเสียใจแย่"
"ขนาดมึงยังไม่นั่งกับแฝดตัวเองเลยเหอะ"
"ถ้ามึงตั้งใจเรียนกูก็ไม่ต้องมานั่งคุมไหมล่ะ"
"กูไม่ได้สมองดีแบบมึงนี่"
พี่ชายของผมได้รับยีนเรียนดีมาจากคุณพินิจแบบเต็มสูบ ถึงไม่ค่อยสนใจเรียนแค่ไหนก็ยังเก็บเลขสี่ในใบเกรดได้ตลอดแนว ไม่เหมือนผมที่พยายามจนสุดก็ทำได้แค่เกรดสามต้นๆ
"มึงควรโทษตัวเองที่ไม่ยอมตั้งใจเรียนนะน้องโรม"
"เฮอะ ก็ใครชวนกูเล่นเกมส์อยู่นั่น"
ไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ที่จะมีเด็กย้ายมากลางเทอมอย่างนี้ในรั้วโรงเรียนเอกชน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนนี้จะมีลูกครึ่งให้เห็นทั่วไปเสียหน่อย เด็กใหม่ไม่ใช่ชาวไทยหรือชาวจีนอยู่แล้ว ดูจากโครงหน้าที่ออกไปทางยุโรปรวมถึงผมสีอ่อนต่างจากทั้งห้องที่มีแต่สีดำเต็มไปหมด
"มันควรเข้าสังคมบ้าง กูไม่ได้อยู่กับมันตลอดชีวิตสักหน่อย"
"กูสงสารเด็กใหม่ที่ต้องมานั่งข้างหุ่นขี้ผึ้งขยับได้" นิชที่นั่งโต๊ะตัวหลังสะกิดผม "อยากทักทายไหม?"
"ไม่ล่ะ แต่ชื่อโคตรแปลก เมื่อกี้ครูอ่านว่ายังไงนะ"
"อจลา"
เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่ของพวกผม เราทุกคนหันไปทางต้นเสียงที่เมื่อกี้ยังคงยืนแนะนำตัวอยู่ตรงหน้าห้องโดยพร้อมเพรียง "อ่านว่า อัด-จะ-ลา"
"ชื่อเพราะ" เป็นแบล็คที่กลับมามีสติได้ก่อนใครเพื่อน เธอเพียงแย้มยิ้มสดใสให้ก่อนพาตัวเองไปยังที่นั่งว่างด้านข้างของไวท์ เป็นมุมที่แปลกตาดีเหมือนกันเพราะปกติแล้วโต๊ะนี้จะถูกเว้นไว้ให้คนที่นั่งต่ออย่างผมเห็นภาพมุมกว้างได้เสมอ
เธอหันไปพูดคุยกับฝาแฝดสีขาวอยู่สองสามคำ และเด็กหญิงรัตติกาลที่กำลังจะเป็นนางสาวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็เพียงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนกลับไปอยู่กับสมุดเล่มใหญ่ที่เธอเอาไว้สะสมความทรงจำของตัวเองไปเรื่อย บอกแล้วไงว่าซวยที่ต้องมานั่งข้างไวท์ ไม่เคยคิดจะผูกมิตรไมตรีกับคนอื่นเสียบ้าง
"คิดว่ากี่วัน?" หันหน้าไปป้องปากกระซิบกับพี่ชายสุดเนิร์ดที่อยู่ถัดไป วิชาประวัติศาสตร์ชนชาติไทยไม่น่าสนใจเท่าเพื่อนร่วมห้องคนใหม่สำหรับผม
"วันเลยเหรอ?"
"เห็นไวท์ตอบกลับสักคำไหมล่ะ"
"คิดอย่างนั้น?" นิชกระตุกยิ้มเล็กน้อย "กูว่าคนนี้นาน"
"ไม่อะ ให้เดือนนึงเลยก็ได้ เดี๋ยวที่นั่งอาถรรพ์ก็กลับมาว่างแล้ว"
ไม่เคยมีใครนั่งอยู่ตรงนั้นได้นานกว่าหนึ่งสัปดาห์ไม่ว่าหญิงหรือชาย ความรุนแรงของคำสาปมากถึงขนาดที่โรงเรียนต้องไปจัดที่นั่งเสริมให้กับเด็กคนอื่นแทนที่จะเป็นการอยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยของคนร่วมห้อง อยู่กับไวท์ไม่ต่างจากอยู่คนเดียว ถึงเรื่องจริงมันก็แค่ทุกคนรับไม่ค่อยได้ที่ต้องมานั่งต่อจากคนบาปผู้ไร้ความรู้สึกที่ไม่เคยแสดงออกถึงการมีตัวตนของตัวเองขึ้นมาก็เท่านั้นเอง
"ตั้งใจเรียนหน่อย" ชะโงกหน้าไปคุยกับนิชจนถูกผลักหัวเป็นการเตือน ผมทำหน้าหน่ายใส่พี่ชายคนโตของบ้านที่หยิบกระดาษเอสี่แผ่นใหม่ขึ้นมาจดเนื้อหาบทเรียนเพิ่ม พอเริ่มดื้อด้วยการไม่สนใจทำตามแล้วเลยโดนมาตรการขั้นสองหรือการโยนหนังสือเรียนเล่มหนามาไว้ตรงหน้า มีรอยขีดบนกระดาษโพสอิทไว้ว่าตอนนี้เรียนถึงหน้าไหนแล้ว
"มึงเป็นพ่อกูจริงๆ ใช่ไหมแบล็ค..."
บ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้ง ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากอีกฝ่ายแบบที่เขาไม่ได้ละสายตาจากแผ่นเยื่อไม้ตรงหน้า ไม่เข้าใจจริงเลยว่าจะอินกับบทบาทพวกนี้ไปไหน อายุห่างกันแค่เกือบปีทำไมถึงโดนกดตำแหน่งลงไปขนาดนี้เลยก็ไม่รู้ แถมเป็นพ่อที่เคี่ยวกว่าพ่อแท้ๆ ของผมเสียอีก
อยากจะหันไปคุยกับเพื่อนโต๊ะหลังต่ออยู่หรอก คุณแม่ที่แสนดีผู้ซึ่งนึกขึ้นได้ว่ามีภารกิจลากลูกชายคนเล็กให้จบมัธยมสามไปได้อย่างปลอดภัยก็เลิกคุยกับผมเสียอย่างนั้น หยิบตำรากวดวิชาอื่นที่ไม่ใช่ทางสังคมขึ้นมาอ่านแทน
ก็เลยต้องเปิดหน้าหนังสือตามที่บอก ไล่สายตาไปตามตัวอักษรจนเจอบรรทัดที่กำลังพูดถึงอยู่ ผมปล่อยให้ความรู้เข้าออกไปเรื่อยจนได้ยินคำว่าจดเพิ่มลงไปถึงเงยหน้าขึ้นมามองกระดานว่าสิ่งใดคือคำเพิ่มเติมที่จำเป็นต้องเสริม เผื่อว่ามันจะออกข้อสอบด้วยน่ะ
"…"
คิ้วของผมขมวดเข้าให้กัน ไม่คุ้นชินเลยที่มุมตรงหน้ามีเรือนผมสีอ่อนคอยบังไม่ให้เห็นกระดานไวท์บอร์ด เอาเถอะ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงได้มุมเดิมของตัวเองกลับมา
ไม่น่าจะนานหรอก
...หรือว่าจะนานวะ
ไวท์เซอร์ไพรส์พวกเราทุกคนด้วยการนำเด็กใหม่มานั่งร่วมทานอาหารด้วยตอนมื้อกลางวัน ผมอึ้งไปสนิทตอนที่เห็นว่ากลุ่มที่มีผู้หญิงคนเดียวกลับแบ่งเซลล์เพิ่มเป็นสอง
"ให้มากินด้วยก่อน" ดูท่าแล้วไม่ใช่คนใหม่ที่เป็นผู้ขอมานั่งด้วย ไวท์ไม่สนใจว่าพวกผมจะมีปฎิกิริยาตอบกลับไปอย่างไร เธอกับเด็กฝรั่งวางขวดน้ำที่ซื้อมาใหม่ลงกับโต๊ะ เดินลิ่วไปทางร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ต่อไปไม่ไกลนัก
"เชี่ย นี่เรื่องจริงอะ" ขยี้ตาไปทางสองสาว ไม่อยากจะเชื่อมากเท่าไหร่ว่าจะมีโอกาสได้เห็นมุมนี้จากฝาแฝดคนน้องผู้ซึ่งสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาทับซ้อนกับมิติที่คนอื่นอาศัยอยู่ ช่วงแรกแค่ลากลงมากินข้าวด้วยก็เกือบไม่สำเร็จ นี่ไวท์เป็นคนชวนมาเองเหรอ พระเจ้า!
"กูบอกแล้วไงว่านาน" นิชพูดออกมาอย่างขำขัน "อยากจะเปลี่ยนเวลาที่พนันไว้ไหมน้องโรม"
"ไม่อะ"
"ตามใจ เดี๋ยวก็รู้"
ถึงไม่ค่อยอยากเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าปีศาจมากเท่าไหร่นักก็เถอะ ยังไงเรื่องนี้ผมก็มั่นใจเต็มร้อยว่าอีกไม่นานเท่าไหร่เราจะได้ความปกติสุขกลับมาอยู่กับตัวเองอย่างแน่นอน
"เราชื่อนิชนะ ส่วนที่น่ากลัวๆ นั่นแบล็ค ที่ฟุบหน้าอยู่ก็เน็ท เมื่อคืนมันปั่นการบ้านถึงโต้รุ่งเลยยังพูดไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ แล้วก็น้องเล็กของเราชื่อโรม" นิชแนะนำชื่อพวกเราแบบม้วนเดียวจบตอนที่ทุกคนกลับมานั่งประจำที่พร้อมอาหารกลางวันของตัวเอง
"ลัจ"
ผู้ใหญ่สมัยนี้ชอบตั้งชื่อลูกแปลกๆ ตั้งแต่โรมัน ทิวากาล รัตติกาล นิชจะว่าแปลกก็ไม่เท่าไหร่แค่ชื่อเล่นกับชื่อจริงเหมือนกันเป๊ะ ที่ปกติที่สุดก็คงเน็ทนี่แหละ แต่จะกาลอะไรมาเจอ 'อจลา' ก็ดูปกติไปหมดเลย
"เขียนยังไงเหรอ ชื่อแปลกดี"
พี่นิชของผมเป็นพวกเข้ากับคนง่ายที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับคนอื่น ผมก้มหน้าก้มตาทานข้าวมันไก่ไม่เอาหนังของตัวเองไปเงียบๆ อย่างทุกทีเวลาที่ต้องออกไปพบเจอคนภายนอกที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่มีใครเข้ามาอยู่ในกลุ่มของพวกเราเพิ่มเติม ผมชินกับการมีแค่พวกเราไปแล้ว
"ออจอลออา อ่านยากหน่อย มาจาก Angela น่ะ"
"นางฟ้า?"
"อืม พ่อฉันเป็นคนอังกฤษ"
มีเชื้อทางยุโรปอย่างที่คาดเดาไว้ไม่มีผิด ผมผลักจานข้าวที่หมดแล้วของตัวเองไปไว้ฝั่งตรงข้าม สะกิดเน็ทให้ตื่นจากการไปเฝ้าเทพแห่งความฝันเสียที ก็ชอบทำงานใกล้เดทไลน์อย่างนี้ตลอด เมื่อเช้านี่หลับยาวตั้งแต่คาบแรกยันคาบสาม ถ้าไม่มีแบล็คบังไว้คงโดนอาจารย์ประจำชั้นเรียกไปด่าหูชาแน่
"แล้วทำไมย้ายมาล่ะ"
"พ่อย้ายมาอยู่สำนักงานใหญ่ที่นี่น่ะ ฉันเกิดที่ภูเก็ต"
ผมว่าเธอเก่งมากเลยนะที่สามารถอยู่ในวงสนทนาที่มีคนโต้ตอบเพียงแค่นิชกับแบล็ค เน็ทยังไม่ยอมตื่น ผมก็นั่งเงียบๆ ส่วนไวท์นี่หลุดไปอยู่ในโลกไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้
"ยังไม่เคยไปภูเก็ตเลย สวยไหม"
"สวยนะ แต่ของแพง" หล่อนย่นจมูก "เมืองที่ของถูกที่สุดอยู่ในเซเว่น ถ้าไม่นับซุปเปอร์ชีฟน่ะนะ”
"นั่นใคร?"
ทุกคนหันมาทางคนถาม เน็ทชี้มาทางลัจด้วยใบหน้าที่ยังไม่ค่อยตื่นเต็มตามากนัก นี่ถ้าจะมานอนขนาดนี้ทำไมไม่โดดเรียนไปวะเน็ท
"ลัจ เพื่อนใหม่"
"เพื่อน?"
"มึงเอาแต่หลับไงสัตว์ นี่เจ้าของที่นั่งต้องสาปคนล่าสุด"
"แล้วทำไมต้องมากินข้าวด้วย?"
หน้าตึงด้วยความไม่พอใจ บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อสักครู่หายไปกับคำพูดเพียงประโยคเดียว เน็ทเป็นคนขี้หวง หวงมากที่สุดคือเพื่อนในกลุ่ม จากการเป็นเพื่อนกันมาเก้าปีสอนเราว่าเน็ทไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายหรือเป็นส่วนเพิ่มเติมในชีวิต
"เน็ท..."
"ทำไมอะ"
"นั่นเพื่อนไวท์"
"แล้วไง ก็ไม่ใช่เพื่อนกูป่ะ"
โคตรไร้มารยาท จอมหวงที่คงตื่นเต็มตาจากการได้ยินว่ามีใครอื่นเข้ามาแทรกแซงกลุ่มเริ่มทำหน้าบึ้ง โยเยจนผมหันมามองว่าคนที่โดนกระทบกระเทียบกำลังทำหน้าตาอย่างไรอยู่
"ฉันชื่อลัจนะเน็ท มาเป็นเพื่อนกันเถอะ"
เสียงผิวปากหวือมาจากราชา นัยน์ตาสีดำพราวระยับปิดไม่มิด เออ นี่ก็ดี เห็นการปะทะคารมของคนอื่นเป็นเรื่องสนุก ชอบนักล่ะเห็นคนอื่นตีกันเนี่ย
"สนิทกันเหรอถึงมาเรียกชื่อเล่น?"
"งั้นบอกชื่อจริงมาสิ"
นางฟ้ายุคใหม่โคตรร้ายกาจ ลัจกับเน็ทอยู่คนละฟากฝั่งของโต๊ะ ถ้ามองจากมุมกว้างแล้วมันก็เหมือนโปสเตอร์โปรโมตการต่อสู้อะไรสักอย่างได้เลยล่ะ "ส่วนชื่อจริงฉันชื่ออจลา"
คราวนี้ชื่อจริงไม่ได้ออกเสียงแบบไทย สำเนียงอย่างผู้ดีอังกฤษออกมาเต็มจนนิชหลุดขำ น่ะ อย่างที่กลัวไว้เลย พี่ไวท์ของผมทำอะไรลงไปครับ
"หึ" เห็นรอยยิ้มหยันของเจ้าชายจอมเอาแต่ใจแล้วเสียวสันหลังวาบ "กูชื่อนัทธิ"
"งั้นเราเป็นเพื่อนกันแล้วสินะ"
"เพื่อนอะไรเรียกชื่อจริง?"
"ก็นั่นสิ งั้นฉันเรียกว่าเน็ทได้แล้วใช่ไหม"
คราวนี้ไม่ใช่แค่การหัวเราะในลำคอ ทั้งแบล็คแล้วก็นิชระเบิดหัวเราะออกมาจนคนแถวนั้นหันมามองที่เราเป็นตาเดียว เน็ทสบถคำผรุสวาทออกมายาวเหยียดจนผมนึกว่ากำลังสวดมนต์บทแผ่เมตตาตอนเช้า จากที่ควรกังวลว่าจะเกิดการทะเลาะขึ้นมารึเปล่าผมเริ่มสนุกกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า น้อยครั้งจนแทบนับได้ที่เจ้าชายจอมเอาแต่ใจจะโดนลูบคมอย่างที่กำลังเป็นอยู่ มีแต่นิชกับแบล็คเท่านั้นแหละที่รับมือกับเขาได้
เพิ่งรู้ว่านางฟ้าก็ปราบเจ้าชายได้
"ว่าไงล่ะ" รอยยิ้มของลัจสดใสไม่เปลี่ยนจากครั้งแรกที่ผมเห็นเมื่อตอนเช้า
"เออๆ เรียกว่าเน็ทก็ได้"
"ว้า ไม่สนุกเลย"
พอเน็ทยอมแพ้ง่ายๆ เสียอย่างนั้นนิชก็โอดครวญด้วยความเสียดายกลับอย่างไว คุณแม่นี่ชอบเห็นลูกชายทะเลาะกับผู้หญิงหรือไงกันนะ
"เงียบไปเลยเชี่ยนิช"
"กลุ่มนายดูสนิทกันจัง น่าอิจฉาเนอะ"
"ก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปอหนึ่ง" แบล็คทำหน้าหน่ายตอนกวาดตามองเราทุกคนจนครบ "เบื่อหน้าจะแย่"
"พวกกลุ่มคนที่ไม่มีใครอยากอยู่ด้วยก็อย่างนี้ล่ะนะ"
"หืม?"
"เดี๋ยวอยู่ไปก็รู้เองล่ะน่า"
เน็ทกลั้วหัวเราะในสิ่งที่ไม่น่าขำเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเธอสังเกตรึเปล่าว่ากลุ่มเราเป็นพวกที่ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ก็เริ่มแบ่งแยกมาเป็นเอกเทศกันตอนขึ้นมอหนึ่งเทอมสองใหม่ๆ ล่ะมั้ง เป็นช่วงที่ทุกคนเริ่มเข้าที่กับการอยู่ในมัธยมแล้ว และทุกคนก็รู้แล้วว่าไม่ควรเข้ามายุ่งกับพวกผมแล้วเช่นกัน
เริ่มจาก 'ราชา' สีดำแสนอารมณ์ร้อน เข้ามาแค่ไม่กี่เดือนก็เล่นงานรุ่นพี่มอห้าที่เข้ามายุ่มย่ามกับน้องสาวของตัวเอง 'สีขาว' จนราบคาบ เน็ทไม่ต้องพูดถึงแค่พูดชื่อก็ส่ายหัวดิก 'เจ้าชาย' เจ้ายศเจ้าอย่างไม่สนใจความรู้สึกของใครอื่น ที่ดูเหมือนว่าจะญาติดีที่สุดอย่าง 'ปีศาจ' นิชก็เป็นพวกเด็กเนิร์ดหัวดีจนน่าหมั่นไส้ เก่งทุกอย่างทุกทางจนหาที่ติไม่เจอ ติดท็อปของระดับชั้นตลอดแต่ไม่เคยได้อันดับแรกเสียทีเพราะว่ามีผู้ชายชื่อที่หนึ่งจองไว้
"ทำอย่างกับเป็นมาเฟียกันไปได้"
"ก็เป็นอยู่นะ" สีดำยังคงร่าเริงกับสมาชิกใหม่ เขาคงถูกใจเพื่อนคนล่าสุดมากอยู่พอควร "สักพักเดี๋ยวก็เริ่มชินเองแหละ"
"นี่ฉันย้ายมาอยู่ในโรงเรียนแน่เหรอเนี่ย"
"ใช่นะ ที่นี่ไม่ใช่คุกอะไรทำนองนั้น"
"หมดคาบแล้ว ขึ้นห้องกันเถอะ"
ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมามองแล้วพบว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบสิบนาทีกว่าจะเข้าเรียนคาบบ่าย เหลือบตาไปมองคุณแม่สาวแว่นที่ยังคงยิ้มแย้มกลบรัศมีคาดโทษเอาไว้ โธ่ ชอบตีตนไปก่อนไข้ไปได้ บางเรื่องก็ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ จะมาให้รับรู้ทีเดียวทั้งหมดคงไม่ใช่แค่ย้ายที่แต่อาจจะย้ายโรงเรียนไปเลยก็ได้ใครจะรู้ ที่ต้องสาปผมว่าไม่ใช่ที่นั่งหรอก กลุ่มผมนี่แหละที่ร่ายคำสาปไว้
ไม่เคยมีใครเข้ามาอยู่ตรงที่ของเกรย์ได้
"ยังไงก็ตามแต่ ยินดีต้อนรับนะนางฟ้า"
รู้ตัวอีกทีก็มอห้า จากกลุ่มการที่มีกันห้าคนก็กลายเป็นหกคนมาสามปีแล้ว เปิดเทอมใหม่ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้าไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเหมือนอย่างทุกปีที่ผ่านมา รถยนต์คันใหญ่ที่ผมนั่งอยู่สตาร์ทอีกครั้งเมื่อเห็นหญิงสาวต่างชาติวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากตัวบ้าน
"ลัจตื่นโคตรสาย"
"ขอโทษได้ไหมล่ะ!"
"เสียงดังทำไมแต่เช้า"
"โรมเริ่มก่อน!"
"พอทั้งหมดนั่นแหละ กูจะนอนต่ออย่าทะเลาะกันล่ะ"
รถแวนคันใหญ่เคลื่อนตัวออกจากบริเวณสวนหน้าบ้านของลัจ บ้านของเราอยู่ในเส้นทางเดียวกันคุณพินิจเลยตกลงกับพ่อแม่เธอว่าจะเป็นคนมารับทุกเช้าตามประสาเพื่อนที่ดีของกันและกัน
"สายตั้งแต่เปิดเทอม" ผมบ่นกระปอดกระแปด เราสามคนนั่งรอลัจมาเกือบสิบห้านาทีอยู่บนรถที่ปิดเครื่องปรับอากาศไว้เพื่อลดโลกร้อนตามทำบอกของคุณชายคนโต
"ยังไม่สายสักหน่อย"
"เดี๋ยวรอดูเหอะ"
"โรมัน!"
พอโมโหหนักๆ สำเนียงก็เปลี่ยนไปเป็นแบบของเจ้าของภาษา ผมคงเป็นโรคจิตอ่อนๆ ที่ชอบได้ยินเวลาเธอพูดด้วยสำเนียงแบบนี้
"เงียบ" คุณหนูทิวากาลที่นั่งอยู่ข้างคนขับปรามเสียงเรียบ ช่วงนี้เขากำลังติดเกมส์อยู่เลยนอนไม่ค่อยพอ
เราสองคนถึงต้องยอมสงบศึกชั่วคราวเอาไว้ หมายถึงแค่การต่อล้อต่อเถียงผ่านคำพูดอะนะ ผมแลบลิ้นล้อเลียนใส่คนมาสาย แล้วเธอก็โยนหมอนอิงใบเล็กกลับมา เห็นไวท์เหลือบตาขึ้นมามองนิดหน่อยแล้วย้ายไปนั่งเบาะหลังสุด ปล่อยให้เราสองคนเล่นแบบเด็กๆ ต่อไป
เสียงตุ้บตั้บมันก็คงดังอยู่แหละ ถ้าไม่มีเสียงปรามอีกนั่นก็แสดงว่าเขาหลับลึกไปแล้ว พอมั่นใจได้ว่าสามารถเปิดศึกได้โดยไม่โดนใครห้ามอีกมันเลยมีการออกกำลังกายตอนเช้าต่ออีกหน่อย
"โอย พอแล้ว" ลัจยอมสงบศึกก่อน ยกมือขึ้นตรวจสอบความเรียบร้อยของทรงผมว่ามันยุ่งเหยิงจากการเล่นตีหมอนนี่มากน้อยแค่ไหน "เอาคืนไปเลย"
"ยกแรก โรมชนะ"
สัพยอกกลับไปขำขัน ผมยื่นมือออกไปจับหมอนทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เธอกำลังส่งมาให้ รถที่เปลี่ยนเลนกะทันหันมีแรงเหวี่ยงมากพอที่จะทำให้การจับของผมมันพลาดไปพอควร จากที่คิดว่าจะจับแค่ปลายหมอนกลับเป็นผมคว้าส่วนที่เป็นมือของเธอไว้ได้ มันแปลกจนผมต้องรีบชักมือกลับ
อะไรบางอย่างแปลกไปในความรู้สึกของผม
"งานคู่เหรอ"
"อืม ให้ไปสัมภาษณ์ใครก็ได้เกี่ยวกับหัวข้อที่จับฉลากได้"
"แล้วไหงต้องใช้วิธีนี้"
ปกติแล้วสองสาวของกลุ่มจะทำงานด้วยกันตลอด ส่วนพวกผมสี่คนจะแบ่งกันไปตามอารมณ์ คราวนี้เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาไม่รู้ถึงเล่นไม้สั้นไม้ยาวจับสลากว่าใครจะได้คู่กับใคร
"เพิ่มความตื่นเต้นให้ชีวิตไง"
"ตื่นเต้นอะไรล่ะ ถ้ากูได้คู่กับเน็ทแล้วมันก็เป็นงานเดี่ยวอยู่ดี... โอ๊ย!"
"มึงพูดดีๆ เลยนะน้องโรม" เจอพี่ชายตบหัวไปรอบ แม่งตัวเล็กแค่นี้ไม่รู้ไปเอาแรงช้างมาจากไหน กีฬาก็ไม่เห็นชอบเล่น ผอมแห้งเป็นอาตี๋ร้านทองที่ถูกสปอยจนเคยตัว "กูช่วยทุกงานเถอะ"
"ช่วยพิมพ์หน้าปกนี่โคตรเป็นพระคุณมากเลย"
"กูว่าเราเริ่มจับกันตอนนี้เลยไหม" คุณแม่นิชยกมือขึ้นเป็นปางห้ามทัพ ยื่นมือที่กำไม้หกแท่งมาที่ผมคนแรก
ต่อให้เถียงต่อไปก็คงล้มข้อมติไม่ได้ ผมทำหน้าเบื่อพลางคว้าไม้มาส่งๆ ในมือหนึ่งแท่ง มีเลขหนึ่งเขียนไว้ตรงปลายไม้ "เน็ท กูได้เลขหนึ่ง มึงจับให้ได้เลขอื่นเลยนะ"
"ถ้ามึงจะรังเกียจกูขนาดนี้นะน้องโรม คราวหน้าไม่ต้องมาอ้อนเอาการ์ตูนจากกูเลย ...เหยด ได้เลขสามว่ะ"
"สาม" แบล็คโยนไม้ที่เพิ่งจับลงมากลางโต๊ะ
"..." ส่วนไวท์ก็โชว์ไม้ที่เขียนเลขสองให้พวกเราเห็น
"หนึ่ง..."
มองไปที่คู่ทำงานของผมคราวนี้ แปลกใจนิดหน่อยที่จะได้ทำงานคู่กับนางฟ้า อย่างมากที่สุดก็เคยทำงานแบบสามคนที่สุดท้ายแล้วลัจทำกับนิชสองคนเพราะผมเข้าโรงพยาบาลจากไข้เลือดออก
"งานน่าจะไม่ล่มหรอกมั้ง" แก้เก้อด้วยมุขที่ดูไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่ ถึงลัจจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเราได้เข้าปีที่สามแล้วผมก็ยังรู้สึกไม่สนิทสนมกับเธอมากเท่าที่ควร คือให้คุยเล่นอะไรก็พอได้นะแต่ไม่สนิทใจอะ คิดว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของผมด้วยที่ไม่ชอบเปิดรับคนแปลกหน้าเข้ามา ซ้ำร้ายก็เป็นพวกเปิดประเด็นไม่เก่งเลยไม่รู้จะชวนคุยยังไง อยู่กับลัจแล้วมันมีบางอย่างแปลกๆ
"ไม่ล่มหรอก เชื่อมือฉันได้เลย"
"ฮ่าๆ งั้นงานนี้เต็มสิบแน่"
ปากบอกว่าเต็มสิบแต่อีกห้าวันจะถึงกำหนดส่งแล้วผมยังไม่ได้พิมพ์รายงานลงไปสักตัวอักษรเดียว และถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะขวนขวายหาทางออกใดๆ จนถึงขั้นที่สามารถมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในงานประกวดวงดนตรีประจำปีของโรงเรียนได้ ที่จริงผมไม่ชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบคนเยอะ และไม่ชอบที่ต้องมาทำอะไรอย่างนี้ เหตุผลเดียวที่ผมมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ
"นิชโชว์กี่โมงอะ" พี่ชายที่น่ารักของผมโดนเพื่อนทาบทามให้ไปร่วมวง และพี่นิชกับเครื่องตีชนิดใหญ่นี้เป็นอะไรที่ผมจะไม่ยอมพลาดอย่างเด็ดขาด
"ถ้าตามที่มันบอกก็อีกไม่เกินสามสิบนาทีอะ"
"นานขนาดนั้นเลยเหรอ"
งอแงใส่ทันทีที่ได้ยินระยะเวลาที่มากกว่าที่คิดไว้เยอะ นี่ผมต้องอยู่ท่ามกลางความแน่นขนัดอย่างนี้อีกนานเลยล่ะสิกว่าจะได้เห็นพี่นิชอะ
"นานไร เหม่อๆ ไปเดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว" นิ้วชี้จิ้มมาตรงหน้าผากของผม "ช่วยเลิกทำหน้าบอกบุญไม่รับเวลาออกมาข้างนอกนอกได้ป่ะน้องโรม แล้วจะเป็นพระคุณขั้นสูงสุดถ้ามึงจะเลิกเกาะหลังกูเป็นหมีโคอาล่าอย่างนี้ด้วย"
"ไม่เอา"
เปิดโหมดดื้อด้วยการเบี่ยงตัวให้อยู่ข้างหลังเขาตามเดิม ส่วนสูงของเราที่ต่างกันพอสมควรเลยทำให้ผมหลบได้เกือบมิด ผมไม่ชอบการเจอผู้คน แค่ต้องเดินเบียดกันก็รู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว แผ่นหลังของพี่ชายผมเลยเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้
"มึงคิดว่ากูอายบ้างป่ะ"
"ไม่อะ มึงหน้าด้าน"
"พูดงี้กลับบ้าน!"
"ฮื้อออ ไม่เอาสิ จะได้ดูพี่นิชเล่นกลองเลยนะ"
นานทีปีหนคุณพี่ชายสุดที่รักของผมจะยอมออกงานอย่างคนอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นก็เอาแต่จมอยู่กับกองหนังสือที่เห็นแค่หน้าปกก็ไม่อยากจะเปิดอ่านแล้ว วิทยาศาสตร์เอย ปรัชญาเอย ศาสนาเปรียบเทียบเขายังมีอะคิดดูสิ
"แล้วงานสัมภาษณ์ไปถึงไหนแล้วล่ะ"
พอเขาเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาก็ใจห่อเหี่ยว ผมกับลัจได้หัวข้อ 'นักกีฬา' ซึ่งมันดูไม่ยากใช่ไหมล่ะ ในเมื่อผมมีพี่ชายเป็นสปอร์ตแมนตัวจริงเสียงจริง แต่บอกเลยว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดมาก แบล็คประกาศไว้ชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้สัมภาษณ์เด็ดขาด อ้างว่าผมควรจะออกไปหาสังคมอื่นข้างนอกเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่คลุกคลีกับกลุ่มตัวเองจนกลายเป็นโรมไร้เพื่อนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
พอเถียงกลับไปว่าไวท์ก็ไม่มีเพื่อนคนอื่นเหมือนกัน ก็โดนตอกกลับมานิ่งๆ ว่านั่นไวท์ เป็นการจบที่ดี
"ก็มึงไม่ยอมช่วยกูอะ!"
"มึงก็อย่ามาเล่นง่ายอย่างนี้ดิ กูบอกแล้วว่าออกไปหาอะไรใหม่ๆ บ้าง"
"กูไม่อยากได้สักหน่อย"
ผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องไปเสวนากับคนแปลกหน้าเลยสักนิด
"เรื่องมากอีกล่ะ เทอมนี้งานจะเสร็จไหม"
"เสร็จดิ เดี๋ยวมึงก็ทนไม่ได้มาช่วยกูเองล่ะน่า"
"กูบอกว่าไม่" คำปฏิเสธมาพร้อมใบหน้าจริงจังจนผมหงอไปหน่อย "คิดไม่ออกก็ไปสัมภาษณ์นั่นดิ"
มองตามทางที่เขาชี้ไป ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็พบว่าแบล็คกำลังหมายถึงใคร ผู้ชายตัวสูงโดดเด่นที่ผมแบบรองทรงของรด.ไม่อาจทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อย กำลังคุยอยู่กับเพื่อนร่วมห้องของผมที่เป็นกัปตันชมรมบาส ความสูงเกือบสองเมตรแล้วมั้งนั่น สูงเอาสูงเอาไม่เห็นหยุดสักที ผมนี่หยุดสูงมาเกือบเทอมแล้วอะ
ผมคว่ำปากยิ่งกว่าเดิม "ไม่เอาที่หนึ่ง"
เขาชื่อที่หนึ่ง ได้ยินครั้งเดียวก็ไม่ลืมแล้ว
"นี่มึงยังแค้นมันอยู่อีกเหรอวะ" พูดแล้วก็ยิ่งอารมณ์เสีย แม่งเป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมยอมลงทุนทุ่มเทชีวิตทำอะไรอย่างนั้น "คือมึงกากเองแล้วจะไปโทษคนอื่นทำไม"
"แบล็ค!"
"เออ นั่นชื่อกู"
"กูจะฟ้องคุณพินิจว่าวันก่อนมึงแอบดูดบุหรี่ที่สวนหลังบ้าน"
"ไอ้เด็กขี้ฟ้อง น่ารำคาญชะมัด"
ที่หนึ่งกับผมแม่งโคตรต่างกันอะ คืออยู่โรงเรียนเดียวกันนะ ซึ่งหมายความว่าผมกับเขาคงเดินสวนกันอยู่หลายครั้งแหละ แต่ไอ้การอยู่ร่วมกันของเรามันคนละมิติ คือพื้นที่อาจทับซ้อนกันบ้างแต่ไม่มีทางที่จะสื่อสารถึงกันได้อะไรประมาณนั้น
"มึงก็มาช่วยกูทำงานดิ กูไม่ไปถามที่หนึ่งหรอก"
"ใครบอกว่ากูบอกให้ไปถามที่หนึ่งล่ะวะ ถามอีกคนดิ เพื่อนในห้องก็ใช้ให้เป็นประโยชน์หน่อย"
เหมือนมีรูปหลอดไฟสว่างขึ้นมาอยู่เหนือหัว ผมฉีกยิ้มกว้างให้ผู้ชี้ทางสว่างให้ นั่นสิ มีกัปตันบาสอยู่ในห้องทั้งทีก็ขอให้ช่วยหน่อย ลัจน่ะซี้กับทุกคนไปทั่วอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร กำหนดส่งก็อีกห้าวัน มีเวลาทำเยอะแยะ
...แต่ไม่รู้ทำไมถึงอยากให้งานคู่ชิ้นนี้มันยืนยาวออกไปอีกหน่อย
***
ต่อด้านล่างนะคะ