"ที่หนึ่ง" : END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ที่หนึ่ง" : END  (อ่าน 193496 ครั้ง)

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #330 เมื่อ14-03-2016 19:09:23 »

ใครคือลัจ!!!!?????

ออฟไลน์ zzzzzz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #331 เมื่อ14-03-2016 22:00:53 »

“ผมชื่อที่หนึ่ง”

“ผมอยากเป็น ‘ที่หนึ่ง’ ของคุณ”

พึ่งได้มีโอกาศเปิดมาอ่านเราประทับใจประโยคนี้มาก มันดูขำๆปนมึนๆอึนๆงงๆอะไรสักอย่าง5555555แบบห้ะอะไรนะ555555ประกอบกับความที่หนึ่งอะ555555555น่ารักๆๆๆดีเราชอบ อ่านต่อๆ

ออฟไลน์ Lonelyนู๋โรนลี่

  • ฉุด กระชาก ลากถู พาเข้า.....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #332 เมื่อ14-03-2016 22:46:44 »

ฝันของหนึ่งเป็นจริง
ถถถ อ่านถึงตอนนี้ได้แต่สงสัยว่านี่นิยายสืบสวนใช่ไหม  ทำไมมันสับซ้อนขนาดนี้
ที่หนึ่งไปจริงๆหรอ รู้ขนาดนี้แล้วจะทิ้งโรมหรอ เสียใจอะ
ได้โปรดเอาตอนกุ๊กกิ๊ก อย่างตอนเขียนกระดาษส่งกันไปมาตอนแรกได้ไหม ฮืออออออ

ออฟไลน์ tahpahtarnrop

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #333 เมื่อ15-03-2016 00:02:47 »

ปมเยอะมากอ่า เยอะไปนะบางที

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #334 เมื่อ15-03-2016 09:57:32 »

อะไร ยังไง งง ไม่เคลียร์ซักอย่าง ที่หนึ่งไปเถอะทิ้งโรมไว้กับความไม่เคลียร์นั่นแหละ ขอให้สายเกินไปสำหรับโรมจริงๆ

ออฟไลน์ cassavakate

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #335 เมื่อ16-03-2016 12:30:22 »

หน่วงจิตมาก......

รอ
รอ
รอ
รอ...... ต่อไป

ออฟไลน์ Ametyst

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #336 เมื่อ16-03-2016 21:29:00 »

คนเขียนนนนนน นี่มันอะไรกัน
มาต่อด่วนเลยค่ะ ตอนนี้หายใจไม่ออกมาก

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
«ตอบ #337 เมื่อ19-03-2016 12:53:18 »

บทที่ 22

   "งั้นอจลาไปนั่งข้างรัตติกาลนะ" 

   "...ซวยสัตว์" 

   ผมเผลอหลุดปากออกเมื่อได้ยินว่า 'เด็กใหม่' จะได้นั่งข้างบุคคลอันคนทั้งห้องไม่พึงประสงค์จะอยู่ใกล้

   มันเป็นช่วงกลางเทอมของชั้นมัธยมปีที่สาม คาบโฮมรูมก่อนเข้าคาบแรกไม่เหมือนกับทุกทีเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาอายุสี่สิบสี่ผู้โสดสนิทเดินเข้ามาพร้อมเด็กสาวในชุดนักเรียนไม่ต่างจากพวกผม แนะนำง่ายๆ ว่าเป็นเพื่อนใหม่ในห้องเรียนนี้

   "ถ้าไวท์ได้ยินคงเสียใจแย่" 

   "ขนาดมึงยังไม่นั่งกับแฝดตัวเองเลยเหอะ" 

   "ถ้ามึงตั้งใจเรียนกูก็ไม่ต้องมานั่งคุมไหมล่ะ" 

   "กูไม่ได้สมองดีแบบมึงนี่" 

   พี่ชายของผมได้รับยีนเรียนดีมาจากคุณพินิจแบบเต็มสูบ ถึงไม่ค่อยสนใจเรียนแค่ไหนก็ยังเก็บเลขสี่ในใบเกรดได้ตลอดแนว ไม่เหมือนผมที่พยายามจนสุดก็ทำได้แค่เกรดสามต้นๆ 

   "มึงควรโทษตัวเองที่ไม่ยอมตั้งใจเรียนนะน้องโรม"

   "เฮอะ ก็ใครชวนกูเล่นเกมส์อยู่นั่น"

   ไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ที่จะมีเด็กย้ายมากลางเทอมอย่างนี้ในรั้วโรงเรียนเอกชน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนนี้จะมีลูกครึ่งให้เห็นทั่วไปเสียหน่อย เด็กใหม่ไม่ใช่ชาวไทยหรือชาวจีนอยู่แล้ว ดูจากโครงหน้าที่ออกไปทางยุโรปรวมถึงผมสีอ่อนต่างจากทั้งห้องที่มีแต่สีดำเต็มไปหมด

   "มันควรเข้าสังคมบ้าง กูไม่ได้อยู่กับมันตลอดชีวิตสักหน่อย"

   "กูสงสารเด็กใหม่ที่ต้องมานั่งข้างหุ่นขี้ผึ้งขยับได้" นิชที่นั่งโต๊ะตัวหลังสะกิดผม "อยากทักทายไหม?"

   "ไม่ล่ะ แต่ชื่อโคตรแปลก เมื่อกี้ครูอ่านว่ายังไงนะ"

   "อจลา" 

   เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่ของพวกผม เราทุกคนหันไปทางต้นเสียงที่เมื่อกี้ยังคงยืนแนะนำตัวอยู่ตรงหน้าห้องโดยพร้อมเพรียง "อ่านว่า อัด-จะ-ลา"

   "ชื่อเพราะ" เป็นแบล็คที่กลับมามีสติได้ก่อนใครเพื่อน เธอเพียงแย้มยิ้มสดใสให้ก่อนพาตัวเองไปยังที่นั่งว่างด้านข้างของไวท์ เป็นมุมที่แปลกตาดีเหมือนกันเพราะปกติแล้วโต๊ะนี้จะถูกเว้นไว้ให้คนที่นั่งต่ออย่างผมเห็นภาพมุมกว้างได้เสมอ

   เธอหันไปพูดคุยกับฝาแฝดสีขาวอยู่สองสามคำ และเด็กหญิงรัตติกาลที่กำลังจะเป็นนางสาวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็เพียงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนกลับไปอยู่กับสมุดเล่มใหญ่ที่เธอเอาไว้สะสมความทรงจำของตัวเองไปเรื่อย บอกแล้วไงว่าซวยที่ต้องมานั่งข้างไวท์ ไม่เคยคิดจะผูกมิตรไมตรีกับคนอื่นเสียบ้าง

   "คิดว่ากี่วัน?" หันหน้าไปป้องปากกระซิบกับพี่ชายสุดเนิร์ดที่อยู่ถัดไป วิชาประวัติศาสตร์ชนชาติไทยไม่น่าสนใจเท่าเพื่อนร่วมห้องคนใหม่สำหรับผม

   "วันเลยเหรอ?"

   "เห็นไวท์ตอบกลับสักคำไหมล่ะ"

   "คิดอย่างนั้น?" นิชกระตุกยิ้มเล็กน้อย "กูว่าคนนี้นาน"

   "ไม่อะ ให้เดือนนึงเลยก็ได้ เดี๋ยวที่นั่งอาถรรพ์ก็กลับมาว่างแล้ว"

   ไม่เคยมีใครนั่งอยู่ตรงนั้นได้นานกว่าหนึ่งสัปดาห์ไม่ว่าหญิงหรือชาย ความรุนแรงของคำสาปมากถึงขนาดที่โรงเรียนต้องไปจัดที่นั่งเสริมให้กับเด็กคนอื่นแทนที่จะเป็นการอยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยของคนร่วมห้อง อยู่กับไวท์ไม่ต่างจากอยู่คนเดียว ถึงเรื่องจริงมันก็แค่ทุกคนรับไม่ค่อยได้ที่ต้องมานั่งต่อจากคนบาปผู้ไร้ความรู้สึกที่ไม่เคยแสดงออกถึงการมีตัวตนของตัวเองขึ้นมาก็เท่านั้นเอง

   "ตั้งใจเรียนหน่อย" ชะโงกหน้าไปคุยกับนิชจนถูกผลักหัวเป็นการเตือน ผมทำหน้าหน่ายใส่พี่ชายคนโตของบ้านที่หยิบกระดาษเอสี่แผ่นใหม่ขึ้นมาจดเนื้อหาบทเรียนเพิ่ม พอเริ่มดื้อด้วยการไม่สนใจทำตามแล้วเลยโดนมาตรการขั้นสองหรือการโยนหนังสือเรียนเล่มหนามาไว้ตรงหน้า มีรอยขีดบนกระดาษโพสอิทไว้ว่าตอนนี้เรียนถึงหน้าไหนแล้ว

   "มึงเป็นพ่อกูจริงๆ ใช่ไหมแบล็ค..."

   บ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้ง ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากอีกฝ่ายแบบที่เขาไม่ได้ละสายตาจากแผ่นเยื่อไม้ตรงหน้า ไม่เข้าใจจริงเลยว่าจะอินกับบทบาทพวกนี้ไปไหน อายุห่างกันแค่เกือบปีทำไมถึงโดนกดตำแหน่งลงไปขนาดนี้เลยก็ไม่รู้ แถมเป็นพ่อที่เคี่ยวกว่าพ่อแท้ๆ ของผมเสียอีก

   อยากจะหันไปคุยกับเพื่อนโต๊ะหลังต่ออยู่หรอก คุณแม่ที่แสนดีผู้ซึ่งนึกขึ้นได้ว่ามีภารกิจลากลูกชายคนเล็กให้จบมัธยมสามไปได้อย่างปลอดภัยก็เลิกคุยกับผมเสียอย่างนั้น หยิบตำรากวดวิชาอื่นที่ไม่ใช่ทางสังคมขึ้นมาอ่านแทน

   ก็เลยต้องเปิดหน้าหนังสือตามที่บอก ไล่สายตาไปตามตัวอักษรจนเจอบรรทัดที่กำลังพูดถึงอยู่ ผมปล่อยให้ความรู้เข้าออกไปเรื่อยจนได้ยินคำว่าจดเพิ่มลงไปถึงเงยหน้าขึ้นมามองกระดานว่าสิ่งใดคือคำเพิ่มเติมที่จำเป็นต้องเสริม เผื่อว่ามันจะออกข้อสอบด้วยน่ะ

   "…"

   คิ้วของผมขมวดเข้าให้กัน ไม่คุ้นชินเลยที่มุมตรงหน้ามีเรือนผมสีอ่อนคอยบังไม่ให้เห็นกระดานไวท์บอร์ด เอาเถอะ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงได้มุมเดิมของตัวเองกลับมา

   ไม่น่าจะนานหรอก

   ...หรือว่าจะนานวะ

   ไวท์เซอร์ไพรส์พวกเราทุกคนด้วยการนำเด็กใหม่มานั่งร่วมทานอาหารด้วยตอนมื้อกลางวัน ผมอึ้งไปสนิทตอนที่เห็นว่ากลุ่มที่มีผู้หญิงคนเดียวกลับแบ่งเซลล์เพิ่มเป็นสอง

   "ให้มากินด้วยก่อน" ดูท่าแล้วไม่ใช่คนใหม่ที่เป็นผู้ขอมานั่งด้วย ไวท์ไม่สนใจว่าพวกผมจะมีปฎิกิริยาตอบกลับไปอย่างไร เธอกับเด็กฝรั่งวางขวดน้ำที่ซื้อมาใหม่ลงกับโต๊ะ เดินลิ่วไปทางร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ต่อไปไม่ไกลนัก

   "เชี่ย นี่เรื่องจริงอะ" ขยี้ตาไปทางสองสาว ไม่อยากจะเชื่อมากเท่าไหร่ว่าจะมีโอกาสได้เห็นมุมนี้จากฝาแฝดคนน้องผู้ซึ่งสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาทับซ้อนกับมิติที่คนอื่นอาศัยอยู่ ช่วงแรกแค่ลากลงมากินข้าวด้วยก็เกือบไม่สำเร็จ นี่ไวท์เป็นคนชวนมาเองเหรอ พระเจ้า!

   "กูบอกแล้วไงว่านาน" นิชพูดออกมาอย่างขำขัน "อยากจะเปลี่ยนเวลาที่พนันไว้ไหมน้องโรม"

   "ไม่อะ"

   "ตามใจ เดี๋ยวก็รู้"

   ถึงไม่ค่อยอยากเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าปีศาจมากเท่าไหร่นักก็เถอะ ยังไงเรื่องนี้ผมก็มั่นใจเต็มร้อยว่าอีกไม่นานเท่าไหร่เราจะได้ความปกติสุขกลับมาอยู่กับตัวเองอย่างแน่นอน

   "เราชื่อนิชนะ ส่วนที่น่ากลัวๆ นั่นแบล็ค ที่ฟุบหน้าอยู่ก็เน็ท เมื่อคืนมันปั่นการบ้านถึงโต้รุ่งเลยยังพูดไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ แล้วก็น้องเล็กของเราชื่อโรม" นิชแนะนำชื่อพวกเราแบบม้วนเดียวจบตอนที่ทุกคนกลับมานั่งประจำที่พร้อมอาหารกลางวันของตัวเอง

   "ลัจ"

   ผู้ใหญ่สมัยนี้ชอบตั้งชื่อลูกแปลกๆ ตั้งแต่โรมัน ทิวากาล รัตติกาล นิชจะว่าแปลกก็ไม่เท่าไหร่แค่ชื่อเล่นกับชื่อจริงเหมือนกันเป๊ะ ที่ปกติที่สุดก็คงเน็ทนี่แหละ แต่จะกาลอะไรมาเจอ 'อจลา' ก็ดูปกติไปหมดเลย

   "เขียนยังไงเหรอ ชื่อแปลกดี"

   พี่นิชของผมเป็นพวกเข้ากับคนง่ายที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับคนอื่น ผมก้มหน้าก้มตาทานข้าวมันไก่ไม่เอาหนังของตัวเองไปเงียบๆ อย่างทุกทีเวลาที่ต้องออกไปพบเจอคนภายนอกที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่มีใครเข้ามาอยู่ในกลุ่มของพวกเราเพิ่มเติม ผมชินกับการมีแค่พวกเราไปแล้ว

   "ออจอลออา อ่านยากหน่อย มาจาก Angela น่ะ"

   "นางฟ้า?"

   "อืม พ่อฉันเป็นคนอังกฤษ"

   มีเชื้อทางยุโรปอย่างที่คาดเดาไว้ไม่มีผิด ผมผลักจานข้าวที่หมดแล้วของตัวเองไปไว้ฝั่งตรงข้าม สะกิดเน็ทให้ตื่นจากการไปเฝ้าเทพแห่งความฝันเสียที ก็ชอบทำงานใกล้เดทไลน์อย่างนี้ตลอด เมื่อเช้านี่หลับยาวตั้งแต่คาบแรกยันคาบสาม ถ้าไม่มีแบล็คบังไว้คงโดนอาจารย์ประจำชั้นเรียกไปด่าหูชาแน่

   "แล้วทำไมย้ายมาล่ะ"

   "พ่อย้ายมาอยู่สำนักงานใหญ่ที่นี่น่ะ ฉันเกิดที่ภูเก็ต"

   ผมว่าเธอเก่งมากเลยนะที่สามารถอยู่ในวงสนทนาที่มีคนโต้ตอบเพียงแค่นิชกับแบล็ค เน็ทยังไม่ยอมตื่น ผมก็นั่งเงียบๆ ส่วนไวท์นี่หลุดไปอยู่ในโลกไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้

   "ยังไม่เคยไปภูเก็ตเลย สวยไหม"

   "สวยนะ แต่ของแพง" หล่อนย่นจมูก "เมืองที่ของถูกที่สุดอยู่ในเซเว่น ถ้าไม่นับซุปเปอร์ชีฟน่ะนะ”

   "นั่นใคร?"

   ทุกคนหันมาทางคนถาม เน็ทชี้มาทางลัจด้วยใบหน้าที่ยังไม่ค่อยตื่นเต็มตามากนัก นี่ถ้าจะมานอนขนาดนี้ทำไมไม่โดดเรียนไปวะเน็ท

   "ลัจ เพื่อนใหม่"

   "เพื่อน?"

   "มึงเอาแต่หลับไงสัตว์ นี่เจ้าของที่นั่งต้องสาปคนล่าสุด"

   "แล้วทำไมต้องมากินข้าวด้วย?"

   หน้าตึงด้วยความไม่พอใจ บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อสักครู่หายไปกับคำพูดเพียงประโยคเดียว เน็ทเป็นคนขี้หวง หวงมากที่สุดคือเพื่อนในกลุ่ม จากการเป็นเพื่อนกันมาเก้าปีสอนเราว่าเน็ทไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายหรือเป็นส่วนเพิ่มเติมในชีวิต

   "เน็ท..."

   "ทำไมอะ"

   "นั่นเพื่อนไวท์"

   "แล้วไง ก็ไม่ใช่เพื่อนกูป่ะ"

   โคตรไร้มารยาท จอมหวงที่คงตื่นเต็มตาจากการได้ยินว่ามีใครอื่นเข้ามาแทรกแซงกลุ่มเริ่มทำหน้าบึ้ง โยเยจนผมหันมามองว่าคนที่โดนกระทบกระเทียบกำลังทำหน้าตาอย่างไรอยู่

   "ฉันชื่อลัจนะเน็ท มาเป็นเพื่อนกันเถอะ"

   เสียงผิวปากหวือมาจากราชา นัยน์ตาสีดำพราวระยับปิดไม่มิด เออ นี่ก็ดี เห็นการปะทะคารมของคนอื่นเป็นเรื่องสนุก ชอบนักล่ะเห็นคนอื่นตีกันเนี่ย

   "สนิทกันเหรอถึงมาเรียกชื่อเล่น?"

   "งั้นบอกชื่อจริงมาสิ"

   นางฟ้ายุคใหม่โคตรร้ายกาจ ลัจกับเน็ทอยู่คนละฟากฝั่งของโต๊ะ ถ้ามองจากมุมกว้างแล้วมันก็เหมือนโปสเตอร์โปรโมตการต่อสู้อะไรสักอย่างได้เลยล่ะ "ส่วนชื่อจริงฉันชื่ออจลา"

   คราวนี้ชื่อจริงไม่ได้ออกเสียงแบบไทย สำเนียงอย่างผู้ดีอังกฤษออกมาเต็มจนนิชหลุดขำ น่ะ อย่างที่กลัวไว้เลย พี่ไวท์ของผมทำอะไรลงไปครับ

   "หึ" เห็นรอยยิ้มหยันของเจ้าชายจอมเอาแต่ใจแล้วเสียวสันหลังวาบ "กูชื่อนัทธิ"

   "งั้นเราเป็นเพื่อนกันแล้วสินะ"

   "เพื่อนอะไรเรียกชื่อจริง?"

   "ก็นั่นสิ งั้นฉันเรียกว่าเน็ทได้แล้วใช่ไหม"

   คราวนี้ไม่ใช่แค่การหัวเราะในลำคอ ทั้งแบล็คแล้วก็นิชระเบิดหัวเราะออกมาจนคนแถวนั้นหันมามองที่เราเป็นตาเดียว เน็ทสบถคำผรุสวาทออกมายาวเหยียดจนผมนึกว่ากำลังสวดมนต์บทแผ่เมตตาตอนเช้า จากที่ควรกังวลว่าจะเกิดการทะเลาะขึ้นมารึเปล่าผมเริ่มสนุกกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า น้อยครั้งจนแทบนับได้ที่เจ้าชายจอมเอาแต่ใจจะโดนลูบคมอย่างที่กำลังเป็นอยู่ มีแต่นิชกับแบล็คเท่านั้นแหละที่รับมือกับเขาได้

   เพิ่งรู้ว่านางฟ้าก็ปราบเจ้าชายได้

   "ว่าไงล่ะ" รอยยิ้มของลัจสดใสไม่เปลี่ยนจากครั้งแรกที่ผมเห็นเมื่อตอนเช้า

   "เออๆ เรียกว่าเน็ทก็ได้"

   "ว้า ไม่สนุกเลย"

   พอเน็ทยอมแพ้ง่ายๆ เสียอย่างนั้นนิชก็โอดครวญด้วยความเสียดายกลับอย่างไว คุณแม่นี่ชอบเห็นลูกชายทะเลาะกับผู้หญิงหรือไงกันนะ

   "เงียบไปเลยเชี่ยนิช"

   "กลุ่มนายดูสนิทกันจัง น่าอิจฉาเนอะ"

   "ก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปอหนึ่ง" แบล็คทำหน้าหน่ายตอนกวาดตามองเราทุกคนจนครบ "เบื่อหน้าจะแย่"

   "พวกกลุ่มคนที่ไม่มีใครอยากอยู่ด้วยก็อย่างนี้ล่ะนะ"

   "หืม?"

   "เดี๋ยวอยู่ไปก็รู้เองล่ะน่า"

   เน็ทกลั้วหัวเราะในสิ่งที่ไม่น่าขำเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเธอสังเกตรึเปล่าว่ากลุ่มเราเป็นพวกที่ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ก็เริ่มแบ่งแยกมาเป็นเอกเทศกันตอนขึ้นมอหนึ่งเทอมสองใหม่ๆ ล่ะมั้ง เป็นช่วงที่ทุกคนเริ่มเข้าที่กับการอยู่ในมัธยมแล้ว และทุกคนก็รู้แล้วว่าไม่ควรเข้ามายุ่งกับพวกผมแล้วเช่นกัน

   เริ่มจาก 'ราชา' สีดำแสนอารมณ์ร้อน เข้ามาแค่ไม่กี่เดือนก็เล่นงานรุ่นพี่มอห้าที่เข้ามายุ่มย่ามกับน้องสาวของตัวเอง 'สีขาว' จนราบคาบ เน็ทไม่ต้องพูดถึงแค่พูดชื่อก็ส่ายหัวดิก 'เจ้าชาย' เจ้ายศเจ้าอย่างไม่สนใจความรู้สึกของใครอื่น ที่ดูเหมือนว่าจะญาติดีที่สุดอย่าง 'ปีศาจ' นิชก็เป็นพวกเด็กเนิร์ดหัวดีจนน่าหมั่นไส้ เก่งทุกอย่างทุกทางจนหาที่ติไม่เจอ ติดท็อปของระดับชั้นตลอดแต่ไม่เคยได้อันดับแรกเสียทีเพราะว่ามีผู้ชายชื่อที่หนึ่งจองไว้

   "ทำอย่างกับเป็นมาเฟียกันไปได้"

   "ก็เป็นอยู่นะ" สีดำยังคงร่าเริงกับสมาชิกใหม่ เขาคงถูกใจเพื่อนคนล่าสุดมากอยู่พอควร "สักพักเดี๋ยวก็เริ่มชินเองแหละ"

   "นี่ฉันย้ายมาอยู่ในโรงเรียนแน่เหรอเนี่ย"

   "ใช่นะ ที่นี่ไม่ใช่คุกอะไรทำนองนั้น"

   "หมดคาบแล้ว ขึ้นห้องกันเถอะ"

   ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมามองแล้วพบว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบสิบนาทีกว่าจะเข้าเรียนคาบบ่าย เหลือบตาไปมองคุณแม่สาวแว่นที่ยังคงยิ้มแย้มกลบรัศมีคาดโทษเอาไว้ โธ่ ชอบตีตนไปก่อนไข้ไปได้ บางเรื่องก็ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ จะมาให้รับรู้ทีเดียวทั้งหมดคงไม่ใช่แค่ย้ายที่แต่อาจจะย้ายโรงเรียนไปเลยก็ได้ใครจะรู้ ที่ต้องสาปผมว่าไม่ใช่ที่นั่งหรอก กลุ่มผมนี่แหละที่ร่ายคำสาปไว้

   ไม่เคยมีใครเข้ามาอยู่ตรงที่ของเกรย์ได้

   "ยังไงก็ตามแต่ ยินดีต้อนรับนะนางฟ้า"


 
   รู้ตัวอีกทีก็มอห้า จากกลุ่มการที่มีกันห้าคนก็กลายเป็นหกคนมาสามปีแล้ว เปิดเทอมใหม่ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้าไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเหมือนอย่างทุกปีที่ผ่านมา รถยนต์คันใหญ่ที่ผมนั่งอยู่สตาร์ทอีกครั้งเมื่อเห็นหญิงสาวต่างชาติวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากตัวบ้าน

   "ลัจตื่นโคตรสาย" 

   "ขอโทษได้ไหมล่ะ!"

   "เสียงดังทำไมแต่เช้า"

   "โรมเริ่มก่อน!"

   "พอทั้งหมดนั่นแหละ กูจะนอนต่ออย่าทะเลาะกันล่ะ"

   รถแวนคันใหญ่เคลื่อนตัวออกจากบริเวณสวนหน้าบ้านของลัจ บ้านของเราอยู่ในเส้นทางเดียวกันคุณพินิจเลยตกลงกับพ่อแม่เธอว่าจะเป็นคนมารับทุกเช้าตามประสาเพื่อนที่ดีของกันและกัน

   "สายตั้งแต่เปิดเทอม" ผมบ่นกระปอดกระแปด เราสามคนนั่งรอลัจมาเกือบสิบห้านาทีอยู่บนรถที่ปิดเครื่องปรับอากาศไว้เพื่อลดโลกร้อนตามทำบอกของคุณชายคนโต

   "ยังไม่สายสักหน่อย"

   "เดี๋ยวรอดูเหอะ"

   "โรมัน!"

   พอโมโหหนักๆ สำเนียงก็เปลี่ยนไปเป็นแบบของเจ้าของภาษา ผมคงเป็นโรคจิตอ่อนๆ ที่ชอบได้ยินเวลาเธอพูดด้วยสำเนียงแบบนี้

   "เงียบ" คุณหนูทิวากาลที่นั่งอยู่ข้างคนขับปรามเสียงเรียบ ช่วงนี้เขากำลังติดเกมส์อยู่เลยนอนไม่ค่อยพอ

   เราสองคนถึงต้องยอมสงบศึกชั่วคราวเอาไว้ หมายถึงแค่การต่อล้อต่อเถียงผ่านคำพูดอะนะ ผมแลบลิ้นล้อเลียนใส่คนมาสาย แล้วเธอก็โยนหมอนอิงใบเล็กกลับมา เห็นไวท์เหลือบตาขึ้นมามองนิดหน่อยแล้วย้ายไปนั่งเบาะหลังสุด ปล่อยให้เราสองคนเล่นแบบเด็กๆ ต่อไป

   เสียงตุ้บตั้บมันก็คงดังอยู่แหละ ถ้าไม่มีเสียงปรามอีกนั่นก็แสดงว่าเขาหลับลึกไปแล้ว พอมั่นใจได้ว่าสามารถเปิดศึกได้โดยไม่โดนใครห้ามอีกมันเลยมีการออกกำลังกายตอนเช้าต่ออีกหน่อย

   "โอย พอแล้ว" ลัจยอมสงบศึกก่อน ยกมือขึ้นตรวจสอบความเรียบร้อยของทรงผมว่ามันยุ่งเหยิงจากการเล่นตีหมอนนี่มากน้อยแค่ไหน "เอาคืนไปเลย"

   "ยกแรก โรมชนะ"

   สัพยอกกลับไปขำขัน ผมยื่นมือออกไปจับหมอนทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เธอกำลังส่งมาให้ รถที่เปลี่ยนเลนกะทันหันมีแรงเหวี่ยงมากพอที่จะทำให้การจับของผมมันพลาดไปพอควร จากที่คิดว่าจะจับแค่ปลายหมอนกลับเป็นผมคว้าส่วนที่เป็นมือของเธอไว้ได้ มันแปลกจนผมต้องรีบชักมือกลับ

   อะไรบางอย่างแปลกไปในความรู้สึกของผม

   "งานคู่เหรอ"

   "อืม ให้ไปสัมภาษณ์ใครก็ได้เกี่ยวกับหัวข้อที่จับฉลากได้"

   "แล้วไหงต้องใช้วิธีนี้"

   ปกติแล้วสองสาวของกลุ่มจะทำงานด้วยกันตลอด ส่วนพวกผมสี่คนจะแบ่งกันไปตามอารมณ์ คราวนี้เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาไม่รู้ถึงเล่นไม้สั้นไม้ยาวจับสลากว่าใครจะได้คู่กับใคร

   "เพิ่มความตื่นเต้นให้ชีวิตไง"

   "ตื่นเต้นอะไรล่ะ ถ้ากูได้คู่กับเน็ทแล้วมันก็เป็นงานเดี่ยวอยู่ดี... โอ๊ย!"

   "มึงพูดดีๆ เลยนะน้องโรม" เจอพี่ชายตบหัวไปรอบ แม่งตัวเล็กแค่นี้ไม่รู้ไปเอาแรงช้างมาจากไหน กีฬาก็ไม่เห็นชอบเล่น ผอมแห้งเป็นอาตี๋ร้านทองที่ถูกสปอยจนเคยตัว "กูช่วยทุกงานเถอะ"

   "ช่วยพิมพ์หน้าปกนี่โคตรเป็นพระคุณมากเลย"

   "กูว่าเราเริ่มจับกันตอนนี้เลยไหม" คุณแม่นิชยกมือขึ้นเป็นปางห้ามทัพ ยื่นมือที่กำไม้หกแท่งมาที่ผมคนแรก

   ต่อให้เถียงต่อไปก็คงล้มข้อมติไม่ได้ ผมทำหน้าเบื่อพลางคว้าไม้มาส่งๆ ในมือหนึ่งแท่ง มีเลขหนึ่งเขียนไว้ตรงปลายไม้ "เน็ท กูได้เลขหนึ่ง มึงจับให้ได้เลขอื่นเลยนะ"

   "ถ้ามึงจะรังเกียจกูขนาดนี้นะน้องโรม คราวหน้าไม่ต้องมาอ้อนเอาการ์ตูนจากกูเลย ...เหยด ได้เลขสามว่ะ"

   "สาม" แบล็คโยนไม้ที่เพิ่งจับลงมากลางโต๊ะ

   "..." ส่วนไวท์ก็โชว์ไม้ที่เขียนเลขสองให้พวกเราเห็น

   "หนึ่ง..."

   มองไปที่คู่ทำงานของผมคราวนี้ แปลกใจนิดหน่อยที่จะได้ทำงานคู่กับนางฟ้า อย่างมากที่สุดก็เคยทำงานแบบสามคนที่สุดท้ายแล้วลัจทำกับนิชสองคนเพราะผมเข้าโรงพยาบาลจากไข้เลือดออก

   "งานน่าจะไม่ล่มหรอกมั้ง" แก้เก้อด้วยมุขที่ดูไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่ ถึงลัจจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเราได้เข้าปีที่สามแล้วผมก็ยังรู้สึกไม่สนิทสนมกับเธอมากเท่าที่ควร คือให้คุยเล่นอะไรก็พอได้นะแต่ไม่สนิทใจอะ คิดว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของผมด้วยที่ไม่ชอบเปิดรับคนแปลกหน้าเข้ามา ซ้ำร้ายก็เป็นพวกเปิดประเด็นไม่เก่งเลยไม่รู้จะชวนคุยยังไง อยู่กับลัจแล้วมันมีบางอย่างแปลกๆ

   "ไม่ล่มหรอก เชื่อมือฉันได้เลย"

   "ฮ่าๆ งั้นงานนี้เต็มสิบแน่"

   ปากบอกว่าเต็มสิบแต่อีกห้าวันจะถึงกำหนดส่งแล้วผมยังไม่ได้พิมพ์รายงานลงไปสักตัวอักษรเดียว และถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะขวนขวายหาทางออกใดๆ จนถึงขั้นที่สามารถมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในงานประกวดวงดนตรีประจำปีของโรงเรียนได้ ที่จริงผมไม่ชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบคนเยอะ และไม่ชอบที่ต้องมาทำอะไรอย่างนี้ เหตุผลเดียวที่ผมมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ

   "นิชโชว์กี่โมงอะ" พี่ชายที่น่ารักของผมโดนเพื่อนทาบทามให้ไปร่วมวง และพี่นิชกับเครื่องตีชนิดใหญ่นี้เป็นอะไรที่ผมจะไม่ยอมพลาดอย่างเด็ดขาด

   "ถ้าตามที่มันบอกก็อีกไม่เกินสามสิบนาทีอะ"

   "นานขนาดนั้นเลยเหรอ"

   งอแงใส่ทันทีที่ได้ยินระยะเวลาที่มากกว่าที่คิดไว้เยอะ นี่ผมต้องอยู่ท่ามกลางความแน่นขนัดอย่างนี้อีกนานเลยล่ะสิกว่าจะได้เห็นพี่นิชอะ

   "นานไร เหม่อๆ ไปเดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว" นิ้วชี้จิ้มมาตรงหน้าผากของผม "ช่วยเลิกทำหน้าบอกบุญไม่รับเวลาออกมาข้างนอกนอกได้ป่ะน้องโรม แล้วจะเป็นพระคุณขั้นสูงสุดถ้ามึงจะเลิกเกาะหลังกูเป็นหมีโคอาล่าอย่างนี้ด้วย"
   
   "ไม่เอา"

   เปิดโหมดดื้อด้วยการเบี่ยงตัวให้อยู่ข้างหลังเขาตามเดิม ส่วนสูงของเราที่ต่างกันพอสมควรเลยทำให้ผมหลบได้เกือบมิด ผมไม่ชอบการเจอผู้คน แค่ต้องเดินเบียดกันก็รู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว แผ่นหลังของพี่ชายผมเลยเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้

   "มึงคิดว่ากูอายบ้างป่ะ"

   "ไม่อะ มึงหน้าด้าน"

   "พูดงี้กลับบ้าน!"

   "ฮื้อออ ไม่เอาสิ จะได้ดูพี่นิชเล่นกลองเลยนะ"

   นานทีปีหนคุณพี่ชายสุดที่รักของผมจะยอมออกงานอย่างคนอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นก็เอาแต่จมอยู่กับกองหนังสือที่เห็นแค่หน้าปกก็ไม่อยากจะเปิดอ่านแล้ว วิทยาศาสตร์เอย ปรัชญาเอย ศาสนาเปรียบเทียบเขายังมีอะคิดดูสิ

   "แล้วงานสัมภาษณ์ไปถึงไหนแล้วล่ะ"

   พอเขาเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาก็ใจห่อเหี่ยว ผมกับลัจได้หัวข้อ 'นักกีฬา' ซึ่งมันดูไม่ยากใช่ไหมล่ะ ในเมื่อผมมีพี่ชายเป็นสปอร์ตแมนตัวจริงเสียงจริง แต่บอกเลยว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดมาก แบล็คประกาศไว้ชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้สัมภาษณ์เด็ดขาด อ้างว่าผมควรจะออกไปหาสังคมอื่นข้างนอกเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่คลุกคลีกับกลุ่มตัวเองจนกลายเป็นโรมไร้เพื่อนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

   พอเถียงกลับไปว่าไวท์ก็ไม่มีเพื่อนคนอื่นเหมือนกัน ก็โดนตอกกลับมานิ่งๆ ว่านั่นไวท์ เป็นการจบที่ดี

   "ก็มึงไม่ยอมช่วยกูอะ!"

   "มึงก็อย่ามาเล่นง่ายอย่างนี้ดิ กูบอกแล้วว่าออกไปหาอะไรใหม่ๆ บ้าง"

   "กูไม่อยากได้สักหน่อย"

   ผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องไปเสวนากับคนแปลกหน้าเลยสักนิด

   "เรื่องมากอีกล่ะ เทอมนี้งานจะเสร็จไหม"
   
   "เสร็จดิ เดี๋ยวมึงก็ทนไม่ได้มาช่วยกูเองล่ะน่า"

   "กูบอกว่าไม่" คำปฏิเสธมาพร้อมใบหน้าจริงจังจนผมหงอไปหน่อย "คิดไม่ออกก็ไปสัมภาษณ์นั่นดิ"

   มองตามทางที่เขาชี้ไป ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็พบว่าแบล็คกำลังหมายถึงใคร ผู้ชายตัวสูงโดดเด่นที่ผมแบบรองทรงของรด.ไม่อาจทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อย กำลังคุยอยู่กับเพื่อนร่วมห้องของผมที่เป็นกัปตันชมรมบาส ความสูงเกือบสองเมตรแล้วมั้งนั่น สูงเอาสูงเอาไม่เห็นหยุดสักที ผมนี่หยุดสูงมาเกือบเทอมแล้วอะ

   ผมคว่ำปากยิ่งกว่าเดิม "ไม่เอาที่หนึ่ง"

   เขาชื่อที่หนึ่ง ได้ยินครั้งเดียวก็ไม่ลืมแล้ว

   "นี่มึงยังแค้นมันอยู่อีกเหรอวะ" พูดแล้วก็ยิ่งอารมณ์เสีย แม่งเป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมยอมลงทุนทุ่มเทชีวิตทำอะไรอย่างนั้น "คือมึงกากเองแล้วจะไปโทษคนอื่นทำไม"

   "แบล็ค!"

   "เออ นั่นชื่อกู"

   "กูจะฟ้องคุณพินิจว่าวันก่อนมึงแอบดูดบุหรี่ที่สวนหลังบ้าน"

   "ไอ้เด็กขี้ฟ้อง น่ารำคาญชะมัด"

   ที่หนึ่งกับผมแม่งโคตรต่างกันอะ คืออยู่โรงเรียนเดียวกันนะ ซึ่งหมายความว่าผมกับเขาคงเดินสวนกันอยู่หลายครั้งแหละ แต่ไอ้การอยู่ร่วมกันของเรามันคนละมิติ คือพื้นที่อาจทับซ้อนกันบ้างแต่ไม่มีทางที่จะสื่อสารถึงกันได้อะไรประมาณนั้น

   "มึงก็มาช่วยกูทำงานดิ กูไม่ไปถามที่หนึ่งหรอก"

   "ใครบอกว่ากูบอกให้ไปถามที่หนึ่งล่ะวะ ถามอีกคนดิ เพื่อนในห้องก็ใช้ให้เป็นประโยชน์หน่อย"

   เหมือนมีรูปหลอดไฟสว่างขึ้นมาอยู่เหนือหัว ผมฉีกยิ้มกว้างให้ผู้ชี้ทางสว่างให้ นั่นสิ มีกัปตันบาสอยู่ในห้องทั้งทีก็ขอให้ช่วยหน่อย ลัจน่ะซี้กับทุกคนไปทั่วอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร กำหนดส่งก็อีกห้าวัน มีเวลาทำเยอะแยะ

   ...แต่ไม่รู้ทำไมถึงอยากให้งานคู่ชิ้นนี้มันยืนยาวออกไปอีกหน่อย


***
ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
«ตอบ #338 เมื่อ19-03-2016 13:09:34 »


   "มาไวตลอดเลยนะช่วงนี้" แซวแทนการทักเมื่อเห็นว่าในห้องสมุดขนาดเล็กของคุณพินิจมีใครนั่งอยู่ก่อนแล้ว ลัจเงยหน้าขึ้นมามองผมยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรแล้วกลับลงไปขีดเขียนอะไรบางอย่างตรงหน้าต่อ

   "ขยันชะมัด อย่าทำให้รู้สึกมีปมด้อยดิ"

   "ก็อย่าขี้เกียจ นี่ยังไม่ได้ทำการบ้านของเมื่อวานเลยล่ะสิ"

   ผมเดาะลิ้นเบื่อคนรู้ทัน "ยากอะ ไม่มีใครยอมช่วยทำด้วย"

   "ถูกแล้ว"

   "แล้วนี่นอนไม่หลับหรือไงถึงมาเช้าได้ตลอด"

   ตอนนี้เราก็อยู่ในชั้นมัธยมที่หกกันแล้ว อีกไม่กี่เดือนสนามสอบเพื่อแข่งขันแย่งชิงกันเป็นนักศึกษาก็จะเริ่มต้นขึ้น พวกผมลงมติกันว่าจะไม่ไปเรียนพิเศษตามกระแสอย่างที่เด็กวัยรุ่นทั่วไปเขาทำกัน จะติวเฉพาะวิชาที่จำเป็นเท่านั้นและก็จะไม่ใช่การติวกับตู้โทรทัศน์เด็ดขาด เลยจบลงด้วยการที่คุณพินิจจ้างติวเตอร์มาสอนแบบกลุ่มขนาดเล็กที่บ้านโดยมีสมาชิกเข้าเรียนสามถึงสี่คนตามอารมณ์ นิชประกาศตนไว้ชัดเจนแล้วว่าจะไม่เข้ามหาลัยเลยไม่ต้องติวอะไรให้ปวดสมอง คือถ้าให้ตอบตามความคิดของตัวเองคนที่สอบติดแพทย์แต่สละสิทธิ์นี่ก็ไม่ควรต้องติวอะไรอีกแล้วล่ะ ส่วนเน็ทติดคณะวิศวะอินเตอร์ตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมหนึ่งเลย ใช้โควต้าพิเศษอะไรของเขาก็ไม่รู้

   การติวของพวกเราจะมีทุกเสาร์ เช้าหรือบ่ายแล้วแต่ความสะดวกในช่วงนั้น ส่วนวันนี้เรามีติวกันช่วงบ่ายแต่เธอก็มานั่งเล่นอยู่ตั้งแต่เก้าโมงกว่าแล้ว ถึงบ้านของผมจะกลายเป็นที่รวมศูนย์ของเพื่อนทุกคนมานานแล้วก็เถอะ มันก็ดูมีอะไรที่ไม่ค่อยเมคเซนต์ รู้สึกว่าลัจเริ่มมาเร็วอย่างนี้ได้เกือบเดือนแล้วมั้ง

   "เปล่า" ยิ้มของเธอดูมีความสุข "มาเช้าจะได้เพิ่มโอกาสอะไรให้ชีวิตบ้างไง"

   "วันนี้แปลกๆ นะลัจ"

   "เหรอ"

   "อืม"

   "ก็แค่อยากมาเช้า ไม่เห็นมีอะไรแปลกเลย" เธอยกไหล่ขึ้น พยักเพยิดมาทางแฟ้มที่ผมถืออยู่ "ไปทำการบ้านไป เดี๋ยวก็โดนสั่งทำเพิ่มหรอก"

   ในห้องติวเลยจะมีผม แบล็ค ลัจ ส่วนไวท์จะเข้ามาเรียนต่อเมื่อเป็นเนื้อหาวิชาที่สนใจเป็นพิเศษ วิชาที่ติวก็เป็นพวกที่จำเป็นต่อการสอบตรงอย่างพวกแกทแพท อะไรทำนองนี้

   "นี่สรุปจะสอบของอะไรบ้างอะ?"

   ทำการบ้านแบบส่งๆ ไปให้ครบเสร็จแล้ว ผมถามขึ้นระหว่างที่รอพี่ชายลงมาเสริมทัพ อย่างผมเองก็สอบแบบเก็บคะแนนสะสมไว้สำหรับสอบตรงแล้วส่วนหนึ่ง เผื่อว่าถ้าพลาดรอบรับตรงก็ยังพอไปลุ้นกับด่านสุดท้ายอย่างแอดมิชชั่นได้

   "ไม่รู้สิ มีอะไรก็คงสอบหมดล่ะมั้ง"

   "แต่จะเข้าที่เดียวกันใช่ป่ะ" คุณพินิจเคยคุยเรื่องเรียนต่อกับพวกเราเอาไว้แล้ว เป็นเรื่องที่ดีที่พวกเราสามคนเห็นตรงกันเรื่องมหาลัยที่จะเข้าในอนาคต เลยเป็นที่ค่อนข้างแน่นอนว่าต่อให้เปลี่ยนสถานะจากนักเรียนเป็นนักศึกษาแล้วผมกับพี่ฝาแฝดก็ยังคงติดสอยห้อยตามกันไปต่อ ...ถ้าผมสอบติดอะนะ

   "...ไม่แน่ใจแฮะ นี่เริ่มลังเลแล้ว"

   "อ้าว?"

   "อาจไปเรียนเมืองนอกเลย ที่จริงอยากเข้าแบบอินเตอร์น่ะ แต่ว่ามันต้องเรียนอีกศูนย์"

   "ก็เข้าแบบปกติสิ"

   "ทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างนั้นไหมล่ะ" เธอกรอกตาไปมา "ไม่ได้หัวดีแบบคุ้กกี้แอนท์ครีมสักหน่อย"

   นั่นเป็นชื่อที่เธอใช้เรียกลับหลัง บอกว่าแบล็คแอนท์ไวท์มันเกร่อไปหน่อยเลยเปลี่ยนให้เอง แต่ก็ไม่ได้เรียกต่อหน้าหรอกนะ รสชาติที่เต็มไปด้วยความหวานเลี่ยนอย่างนั้นไปด้วยกันกับพี่น้องคู่นี้ไม่ได้หรอก

   "ไม่อยากอยู่ด้วยกันต่อเหรอ"

   "หืม?"

   "เราเป็นกลุ่มเดียวกันไม่ใช่หรือไง" รีบกลบเกลื่อนก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นว่ามันมีอะไรที่ซ่อนอยู่ใต้นั้น

   "ทีตอนนั้นใครพนันว่าฉันจะอยู่ได้กี่วัน"

   หัวเราะแห้งๆ ตอนที่เห็นเธอค้อนวงใหญ่ "หนูเองค่ะ"

   "ก็อยากอยู่ ถ้าเป็นพระเจ้าคงเสกให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่ต้องการแล้ว เสียดายที่ฉันเป็นแค่นางฟ้าน่ะ"

   "มาอยู่กับพวกเราเถอะน่า"

   "ไม่สัญญานะ...ขอดูก่อนแล้วกัน"

   "เย้ ลัจน่ารักที่สุดเลย"

   มันเป็นคำชมปกติที่ผมมักใช้เวลาได้สิ่งที่ต้องการจากพวกพี่ แต่ละคนก็จะมีการตอบกลับที่ต่างกันออกไป ส่วนของลัจนี่คงเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับผมมากอยู่พอควร เธอชะงักค้างและหยุดทุกการเคลื่อนไหวไป

   "เป็นอะไรเหรอ"

   "เปล่า..." ส่ายหัวนิดหน่อยพลางกลับไปอยู่กับตำราเรียนตรงหน้า "ก็แค่คิดว่าถ้าทุกคนพูดอะไรอย่างนี้ออกมาง่ายๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน"

   "อย่าดีกว่ามั้ง ลองนึกภาพแบล็คพูดอะไรอย่างนี้ออกมาสิ น่าขนลุกจะตายไป"

   ลองคิดภาพตามแล้วก็ปัดมันทิ้งเสีย ลองให้ลูกชายแมนๆ คนโตของบ้านมาทำอะไรอย่างนั้นดูสิ คงเป็นตอนที่ไวท์ยอมพูดมาก นั่นเท่ากับไม่มีทางเป็นไปได้ยังไงล่ะ

   "น่าสนใจดีออก"

   "พอจบมอหกแล้วไปเที่ยวกันไหมลัจ"

   "อะไรนะ?"

   "ไปเที่ยวฉลองเรียนจบกันไหม ไปภูเก็ตอย่างที่เคยคุยกันก็ได้"

   "ทริปล่มจมน่ะเหรอ นี่ยังหวังได้อยู่?"

   มันเป็นแพลนที่ล่มจนกลายเป็นเรื่องตลกว่าชาตินี้คงไม่มีทางได้ไปเที่ยวด้วยกันครบกลุ่มที่นี่ พอคนนี้ว่างคนนู่นก็ติดงาน มีครั้งหนึ่งลงทุนของทุกอย่างไว้เป็นครึ่งปีสุดท้ายก็อดไปอยู่ดีเพราะเน็ทลืม แล้วไปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัวเสียอย่างนั้น

   "ก็นิดหน่อย ได้ไปเที่ยวพร้อมหน้าก็น่าสนุกดี" อยากไปเห็นด้วยตาตัวเองว่าเมืองที่เธอโตขึ้นมาเป็นแบบไหน

   "...โรม"

   "ว่าไง?"

   ค้างอยู่อย่างนั้นเป็นการรอคอยว่าเธอจะพูดอะไรต่อ ลัจมองหน้าผมอยู่อีกพักใหญ่สุดท้ายถึงพูดออกมา "...ช่างมันเถอะ ไปอ่านหนังสือได้แล้ว"

   "ขอพักอีกหน่อยแล้วกัน"

   ทำเป็นมองออกไปนอกหน้าต่างชมอะไรไปเรื่อย แต่ลัจไม่ทางรู้หรอกว่าสิ่งเดียวที่ผมกำลังมองอยู่ตอนนี้คือภาพของเธอที่ฉายอยู่ตรงกระจกใส ผมสีอ่อนหยักสวยเหมือนของแม่ โครงหน้าแบบชาวต่างชาติสร้างความโดดดเด่นให้เธอกว่าใคร

   หลับตาลงไล่ความเมื่อยล้า

   ขอแค่เธอยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนก็พอแล้ว

 
   ผมว่าผมชอบเธอเข้าแล้วล่ะ

 
   เสียงพากย์ที่ฟังแล้วชวนหลับมากกว่าตื่นเต้นกล่อมให้ผมเคลิ้มไป นาฬิกาบอกเวลาเกือบสามทุ่มกว่าแล้วแต่พี่ชายคนโตของบ้านก็ยังไม่กลับจากการซ้อมกีฬาตามปกติ หลังจากที่หนีไปอยู่ชมรมบาสเก็ตบอลมาเกือบครึ่งปีสุดท้ายก็โดนลากกลับไปอยู่ชมรมเทนนิสจนได้ เห็นว่าคนไม่พอ

   ทั้งยังไม่ใช่เวลานอนและเพื่อนสาวคนข้างๆ ก็ยังไม่ละสายตาจากสารคดีเกี่ยวกับอวกาศเรื่องที่ล้าน ผมเลยมานั่งแหมะดูภาพก้อนหินในจักรวาลเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ ตามเนื้อหาในช่วงนั้น ไวท์จะเรียนต่อในด้านดาราศาสตร์ตามที่เคยคุยกับคุณพินิจเอาไว้ จากงานอดิเรกที่ทำฆ่าเวลาตอนกลางคืนก็กลายเป็นความสนใจจริงจังถึงขั้นที่มีกล้องดูดาวอยู่ในห้องเป็นของตัวเอง ไม่ต้องห่วงเรื่องแสงไฟเพราะบ้านหลังนี้อยู่กลางป่าที่ไม่มีไฟอิเล็กทรอนิกส์อะไรมารบกวนได้อยู่แล้ว

   พูดแล้วก็น่าอิจฉาจังนะ พวกที่รู้ตัวว่าอยากเรียนต่อทางไหนแล้วก็พุ่งไปสุดตัว อย่างผมเองถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าที่บอกความต้องการของตัวเองไปวันนั้นมันเป็นสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ หรือเปล่า ตั้งแต่จำความได้ผมก็ทำตามที่คนอื่นต้องการมาโดยตลอด พอต้องมาเลือกทางเดินให้กับตัวเองคนจำพวกเรื่อยเปื่อยที่ลอยไปตามแรงบังคับของคนอื่นจนเคยตัวเมื่อถึงวันที่ไร้การกำกับดูแลแล้วมันก็เคว้งคว้างอย่างนี้

   จะให้เรียนต่อในทางประวัติศาสตร์อย่างที่พ่อแม่ของตัวเองเคยทำอยู่คงเป็นไปไม่ได้ แค่ได้ยินคำว่าประวัติศาสตร์ก็โบกมือลาแล้ว คุณพินิจจบทางสถาปัตย์ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นนายใหญ่ในธุรกิจสีเทาเลย ความอินดี้ที่ไม่เข้าใครออกใครนี่มันส่งมาถึงพวกลูกๆ ด้วย

   "ลัจบอกว่าอาจไปเรียนต่อเมืองนอกแหละ"

   "...เหรอ" ไวท์ตอบผมทั้งๆ ที่สายตายังคงจับจ้องไปยังจอภาพตรงหน้า "ก็เป็นไปได้"

   "เธอไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ เพื่อนจะไม่อยู่แล้วนะ"

   "ต่างคน...ก็มีเหตุผลของตัวเอง"

   คล้ายว่าไวท์ทำใจไว้อยู่แล้วว่ามันอาจเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น ก็อาจเป็นเป็นได้สูงเพราะสองสาวเขาก็คงมีการพูดคุยกันเองมากพอสมควร

   "ก็จะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ แล้วล่ะสิ" 

   "คงอย่างนั้น" 

   "ไวท์..."

   "ว่า"

   "น้องคิดว่าน้องชอบลัจ"

   "..."

   มือที่ถือรีโมตเตรียมเปลี่ยนช่องค้างอยู่อย่างนั้น เห็นนัยน์ตาว่างเปล่าขยายออกนิดหน่อยก่อนกลับมาเป็นแบบปกติพร้อมกับการที่เธอหันมาทางที่ผม

   "ชอบ?"

   "อืม"

   "เพราะ"

   "หลายอย่าง บอกไม่ถูกอะ แต่คิดว่าอย่างนี้นี่แหละที่เรียกว่าชอบ"

   "มั่นใจ?"

   "อืม เลยอยากปรึกษาอะไรหน่อย"

   เลือกอยู่นานว่าควรถามพี่ผู้ชายหรือผู้หญิงดี แล้วก็สรุปได้ว่าถามไวท์น่าจะดีกว่า ขืนไปถามแบล็คนี่อาจโดนไล่เรียงสอบสวนอะไรอีกมาก

   "ว่ามา"

   "ถ้าบอกไปว่าชอบ...คิดว่ามันจะเป็นอะไรไหม?"

   หนึ่งในเรื่องพิลึกของกลุ่มผมคือทุกคนโสด ตลกไหมล่ะ แบล็คไม่เคยมองใครนอกจากน้องสาวของตัวเอง ส่วนน้องสาวที่เฝ้าห่วงแค่จะสนใจมนุษย์ด้วยกันยังไม่ค่อยจะทำ นิชก็เป็นเด็กเนิร์ดที่ปฏิเสธทุกคนที่เข้ามาด้วยเหตุผลว่ายังไม่ดีพอ ที่ดูเข้าเค้ามากที่สุดคงเป็นเน็ทที่เห็นคุยไปทั่ว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะสนใจใครจริงสักราย

   "..."

   เธอชะงักค้างไปนิดหน่อยตอนที่ผมบอกความต้องการของตัวเองออกไป อะไรบางอย่างบอกว่าเธออึดอัดใจที่ได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากปากของผม

   "จะบอกเหรอ"

   "อยู่อย่างนี้มันก็ค้างคาอะ" ผมอาจเดาใจเธอไม่ออก แต่ก็พอเห็นอยู่ลางๆ ว่าเธอไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไหร่นัก "คิดว่าไม่ดีเหรอ?"

   ถึงจะกังวลอยู่หน่อยว่าถ้าบอกไปแล้วทุกอย่างอาจเปลี่ยนไปถาวร มีตัวอย่างให้เห็นเยอะแยะพวกที่ไม่สามารถกลับไปเป็นเพื่อนกันได้น่ะ

   แต่จะให้เก็บไว้อย่างนี้ก็ไม่อยากทำเหมือนกัน

   "เปล่า ก็แค่..."

   "แค่?"

   สีขาวชอบพูดช้า เบา แล้วก็สั้นอย่างที่เอาแต่ใจความสำคัญจริงๆ อีกทั้งชอบพูดตรงจนดูเป็นจำพวกหยิ่งที่ไม่มีใครอยากคบ ไม่เหมือนพี่ชายที่ต่อให้พูดน้อยแค่ไหนก็ยังมีคนชอบ สีดำที่เอาผ้าสีขาวมาคลุมตัวเองไว้ให้ดูแสนดีตลอดเวลา

   "ไม่มีอะไรหรอก"

   "งั้นช่วยน้องหน่อยได้ไหม?"

   บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องตลกที่เราจะกลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในอีกไม่มีเดือนข้างหน้าอยู่แล้วผมก็ยังเรียกตัวเองว่าน้องอยู่ดี ซึ่งผมไม่แคร์เรื่องนั้นนะ อย่างน้อยต่อให้ผมเป็นน้องเล็กก็เป็นน้องที่รู้จักจัดการชีวิตตัวเอง ไม่เหมือนบางคนที่ผมรู้จัก เป็นพี่แล้วแท้ๆ แต่กลับทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง

   มันเป็นการถามที่รู้อยู่แล้วว่าไวท์ไม่มีทางปฏิเสธ ในที่สุดเธอก็ตกลงที่จะทำตามคำขอของผมโดยที่ไม่ถามรายละเอียดเพิ่มเติม

   "อืม"

   พี่ไวท์ตามใจน้องโรมเสมอ

   การตามใจที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะรักมากกว่าใคร...หรือรู้สึกผิดมากกว่าใคร
 


   ไม่รู้ว่ากำลังเจอเรื่องแปลกหรือว่าตัวเองนี่แหละที่กำลังทำตัวแปลก

   แผนงี่เง่าที่ให้ไวท์ชวนลัจไปเที่ยวโดยที่จริงแล้วมีแต่ผมเองที่รออยู่ พี่สาวก็ให้ความร่วมมืออย่างดีโดยยอมนัดให้ตามวันที่ผมขอไว้ วันนี้อย่างน้อยผมก็ต้องบอกความในใจของตัวเองออกไปให้ได้ ต่อให้รู้ตัวว่ามีสิทธิผิดหวังมากกว่าสมหวังก็เถอะ

   ลัจเป็นคนตรงต่อเวลา เธอมักจะไปถึงก่อนเวลานัดห้านาทีเป็นอย่างต่ำ สูงที่สุดคือสี่สิบห้านาทีตอนที่พวกเรานัดกันไปเที่ยวบ้านผีสิงแถวรัชดา มันถึงเป็นเรื่องแปลกที่ตอนนี้เลยเวลานัดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วผมยังไม่เห็นร่างสูงโปร่งแบบชาวต่างประเทศเดินผ่านมาแถวนี้เลยสักคนเดียว

   อยู่ไหนแล้ว?

   ค้างตรงกล่องข้อความอยู่อย่างนั้นไม่ยอมกดส่งออกไปเสียที หัวใจผมเต้นเร็วอยู่ตลอดเวลา คงจากความตื่นเต้นระคนกับความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตรงไหน

   จากครึ่งชั่วโมงล่วงเลยจนเป็นเกือบสองชั่วโมง ผมเริ่มกระวนกระวายใจจนไม่สามารถนั่งอยู่กับที่ได้ โต๊ะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเปลี่ยนหน้ามาเป็นรายที่สามแล้ว จะโทรไปก็ไม่กล้า แค่จะส่งข้อความไปหาก็ยังไม่อยากทำ

   โทรศัพท์ในมือสั่นครืด รีบพลิกดูว่าคนที่โทรมาคือคนเดียวกับที่ผมกำลังรออยู่หรือไม่ ความผิดหวังมากเกินตอนที่มันแจ้งว่าพี่ชายคนโตของผมโทรเข้ามา ผมรับสายไปอย่างนั้นไม่ให้โดนเขาบ่นภายหลัง

   (อยู่ที่เดิมรึเปล่า?)
   
   ผมบอกที่บ้านไว้ว่าจะออกมาเที่ยว ไม่ได้บอกว่าจะออกมากับใครด้วย

   เสียงของเขาราบเรียบจนผมใจคอไม่ดี "อยู่ๆ มีอะไร"

   (กำลังไปรับ รออยู่แถวนั้นอย่าไปไหนล่ะ)

   "หา?"

   (ไม่เกินสิบนาที)
   
   ต่อให้ไม่เข้าใจอะไรก็ไม่มีโอกาสได้ถามต่อ ผมเลยต้องชะเง้อมองหาผู้ชายคนนั้นอยู่ร้านกาแกชื่อดังที่อยู่ติดกับถนนใหญ่ตลอดเวลา เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ ถ้าไม่เครียดอะไรจริงๆ ปกติแล้วนั่นไม่ใช่เสียงที่เขาใช้เลย 

   ราชาทำได้อย่างที่พูดไว้ ใช้เวลาไม่ถึงแปดนาทีดีรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ก็มาเทียบตรงหน้าผม แบล็คเปิดหมวกกันน็อคของตัวเองออกมา ผมเห็นรอยเศร้าอยู่ในนัยน์ตาที่โผล่ออกมาจากหมวกเพียงเสี้ยว

   "ขึ้นมา"

   "จะไปไหน"

   "กูบอกให้ขึ้นมาน้องโรม"

   "แต่..."

   ผมรอลัจอยู่
   
   พี่ชายที่แสนใจดีของผมไม่เคยทำหน้าเคร่งเครียดขนาดนั้นใส่มาก่อน ผมหันรีหันขวางมองเผื่อว่าลัจจะมาตามที่นัดไว้แล้ว เธอต้องมาสิ...ก็นัดไว้แล้วนี่นา

   "พอแล้ว ไม่ต้องรอแล้ว"

   "..."

   "เดี๋ยวพาไปหาเอง"

   ผมลืมไปว่านางฟ้ามี 'ปีก' ที่พร้อมบินตลอดเวลา


***
   สวัสดีค่ะ กล้ากลับมาทอร์คแล้วค่ะ (ฮา) อยากเมาท์มอยมาสองสามตอนแล้วแต่ไม่ช่องให้แทรกเลยค่ะ เป็นช่วงหน่วงหน่อยๆ ที่ไม่อยากขัดฟีลอะไรทั้งนั้นเลย จากนี้ก็จะเข้าสู่ช่วงเกือบท้ายเรื่องแล้วล่ะค่ะตามที่ลองวางโครงไว้ แต่ได้วางนะคะยังไม่ได้พิมพ์อะไรเลย (หัวเราะ)
   ฟีตแบคส่วนมากคือซับซ้อน...ซึ่งก็ยอมรับตรงนี้ว่าพอกลับไปมองดีๆ มันก็ซับซ้อนจริงๆ นั่นแหละค่ะ ซึ่งเจ้ามีแพลนเคลียร์ปมอยู่แล้วในแต่ละตอนต่อจากนี้ หากท่านใดเคยทายเนื้อเรื่องไว้รอดูกันต่อไปนะคะว่าจะเหมือนที่เดาไว้หรือเปล่า (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
«ตอบ #339 เมื่อ19-03-2016 14:13:11 »

 :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
« ตอบ #339 เมื่อ: 19-03-2016 14:13:11 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ qilarsy39

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
«ตอบ #340 เมื่อ19-03-2016 17:43:54 »

ชอบเรื่องที่มีปมอ่ะ มันทำให้หยึดอ่านไม่ได้อยากอ่านต่อ  :really2:
ว่าแล้วก็เข้ามารอตอนต่อไป รอคอยพี่หนึ่งของป้าต่อ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
«ตอบ #341 เมื่อ19-03-2016 17:50:43 »

รอเน้อออ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
«ตอบ #342 เมื่อ19-03-2016 18:21:38 »

นางฟ้ามีปีกบินไปเองได้สินะ เห้ออออ

ออฟไลน์ Lonelyนู๋โรนลี่

  • ฉุด กระชาก ลากถู พาเข้า.....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
«ตอบ #343 เมื่อ19-03-2016 19:23:39 »

เดาไม่ออก เพราะไม่เกรย์โผล่เลย แต่ที่ลัจมาบ้านเช้าๆเราว่าตอนนี้น่าจะได้มาเจอเกรย์กันหรือเปล่า เดามั่วแท้ๆ
รอลุ้นตอนต่อไป
ที่หนึ่ง..คิดถึงจัง

ออฟไลน์ Ametyst

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
«ตอบ #344 เมื่อ21-03-2016 00:31:58 »

มีปมเยอะก็ดีเหมือนกันนะคะ เรื่องจะได้ไม่จบเร็วเกินไป อยากอ่านไปเรื่อยๆค่ะ  :L1:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
«ตอบ #345 เมื่อ21-03-2016 12:53:11 »

พึ่งจะเข้ามาอ่าน  :เฮ้อ: ปมเยอะ ซับซ้อนได้อีก

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #346 เมื่อ26-03-2016 19:30:20 »

บทที่ 23

   ผ่านช่วงสอบปลายภาคมาแล้วก็ได้เวลาเข้าสู่ช่วงเวลาที่เรียกว่าปิดเทอมเล็ก เป็นเรื่องดีนิดหน่อยที่มันทำให้ผมบังคับตัวเองได้มากขึ้นจากการที่ไม่มีตัวแปรอื่นมาเสริม เริ่มชินกับการตื่นเช้าโดยนาฬิกาปลุกสีเขียวที่เขาเป็นคนซื้อ ไม่ต้องให้แบล็คหรือไวท์มาเคาะเรียกให้เสียเวลาอีก วิธีการอยู่ร่วมบ้านกับพี่ชายอีกคนก็แค่ทำเป็นเมินเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตนไปเสีย มันก็ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมาได้เล็กน้อยอยู่เหมือนกัน ผมชินกับทุกอย่างที่กลับไปเป็นอย่างตอนที่ยังไม่มีเขาอยู่

   รวมทั้งชินกับอาการชาตรงหัวใจตอนที่เผลอนึกถึง

   "มารับดอกไม้ครับ"

   ยื่นใบจองที่ได้รับมาเมื่อหลายวันก่อนตอนมาสั่งไว้ พนักงานหน้าร้านยิ้มการค้าให้พลางตรวจสอบความถูกต้องของระเบียบการสั่ง ผมยืนมองสินค้าชนิดอื่นที่ละลานตาไปทั่วเป็นการพักสายตาไปในตัว ไม่ได้ออกมาเห็นวิวข้างนอกอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ผมทิ้งให้ด้ายชีวิตค่อยๆ ม้วนเก็บเข้าหลอดไปอย่างไร้ประโยชน์ที่สุดตั้งแต่เริ่มปิดเทอมมาด้วยการเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านไม่ออกไปสุงสิงกับใคร ต่อให้คุณพินิจเป็นคนชวนเที่ยวผมยังปฏิเสธไปเลย

   "...กค้า ลูกค้าคะ"

   "ครับ?" ตอบรับไปอย่างไม่ค่อยได้สตินัก ส่วนหนึ่งคงมาจากการตื่นเช้าเกินพอดีเพื่อให้ออกมารับสินค้าได้ทันตามที่สั่งไว้ วันนี้ผมยังมีภารกิจอีกเยอะแยะให้กลับไปทำ "ดอกไม้ล่ะครับ?"

   ไม่เห็นดอกไม้สักดอกอยู่บนเคาท์เตอร์ สาวน้อยผู้มีป้ายแบบเข็มกลัดติดไว้ที่อกว่าฝึกงานพนมมือไว้บริเวณอกเป็นส่วนประกอบคำขอโทษ

   "ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ คือพอดีดอกไม้หมดเลยต้องให้สาขาอื่นมาส่งให้ ทางลูกค้ารีบรึเปล่าคะ"

   "ไม่รีบครับ"

   แอบไม่พอใจอยู่หน่อยที่เจอปัญหาเฉพาะหน้าอย่างนี้ เดี๋ยวคงต้องไปลองเช็คดูดวงรายวันเสียแล้วว่าวันนี้เป็นวันฤกษ์ไม่ดีของผมรึเปล่า อาจเป็นวันดาวมฤตยูที่จะเจอแต่เรื่องร้ายๆ อะไรอย่างนั้น

   คนที่โดนปล่อยเคว้งก็เลยต้องเดินวนไปมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่มีแต่ดอกไม้เต็มไปหมด กลิ่นเฉพาะตัวของแต่ละดอกตีกันให้วุ่นจนต้องยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้ สีสันที่แตกต่างละลานตาต่างอวดความสวยงามของตัวเองที่ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้ มองเหม่อไปจนสะดุดกับดอกไม้สีสดที่ถูกวางไว้รวมกัน

   ดอกไม้สีสวย กลีบหยักซ้อนกันจนกลายเป็นช่อดอกไม้ในตัวเองเด่นออกมาจากกลุ่ม...คล้ายเขา

   "นั่นดอกอะไรเหรอครับ?"

   "ไหนคะ อ๋อ ดอกคาเนชั่นค่ะ"
   
   ชื่อคุ้น แต่ไม่ชัวร์ว่าเคยเห็นมันมาก่อนหรือไม่ ผมเดินตรงไปหาช่อดอกไม้ที่อยู่ในความสนใจ แตะปลายนิ้วลงตรงช่วงอ่อนนุ่มของกลีบ เมื่อลองสังเกตดูให้ดีแล้วจะเห็นว่ามีการไล่ระดับสีตั้งแต่โคนกลีบไปจนถึงปลาย เริ่มจากสีแดงอ่อนติดชมพูไปถึงสีแดงเข้ม สวยดี

   "มีความหมายว่าอะไรเหรอครับ?" อยากรู้มันขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมยกมันขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา พิจารณาจนครบทุกส่วน

   "ความหมายเหรอคะ ...สักครู่นะคะ"

   "ได้ครับ"

   สาวน้อยในชุดยูนิฟอร์มพนักงานยังคงก้มหาอะไรบางอย่างในลิ้นชัก คงกลัวผมเสียเวลาเลยบอกข้อมูลอื่นไปพลาง "คาเนชั่นเป็นดอกไม้ประจำเดือนมกราคมค่ะ หนูเองก็เกิดเดือนนี้"

   มือเกิดอ่อนแรงเสียอย่างนั้น ผมนึกขอบคุณตัวเองในใจที่ยังคงสติไว้ได้ก่อนที่จะทำมันร่วงหล่นลงไป ดอกไม้ประจำเดือนของคนที่เกิดเดือนหนึ่ง และคงรวมถึงคนที่เกิดวันที่หนึ่ง...

   บอกแล้วไงว่าผมชินกับอาการชาตรงหัวใจแล้ว

   "แล้วกันยานี่ดอกไม้ประจำเดือนคืออะไรเหรอครับ"

   "เดี๋ยวจะลองเปิดหาให้นะคะ อ้อ! เจอแล้ว ดอกคาเนชั่นสีแดง" ปลายนิ้วที่สังสรรค์ช่อดอกไม้ขนาดใหญ่เลื่อนลงไปตามแผ่นกระดาษ หล่อนฉีกยิ้มที่ผมเห็นแค่รอยสงสารอยู่ข้างใน "ยังรักอยู่เสมอค่ะ"

   ทุกอย่างลงตัวจนเกินไป

   "ขอบคุณมากครับ"

   "ดอกไม้ที่สั่งอีกสักพักคงจะมา ถ้าอยากรู้อะไรอีกก็ถามมาได้เลยค่ะ"

   จะไม่รอก็ไม่ได้ โชคดียังเป็นของผมอยู่หน่อยที่กะเวลาการเดินทางเอาไว้เยอะอยู่ อีกอย่างร้านก็ไม่ห่างจากบ้านมากนัก อย่างแย่ที่สุดก็แค่ให้แบล็คแวะมารับกลางทาง ส่วนดีถัดมาคือร้านก็รับผิดชอบด้วยการนำดอกไม้มาส่งให้หลังจากนั้นไม่นานนัก ดอกไม้สีขาวแซมฟ้าช่อใหญ่สำหรับคนพิเศษ

   ผมตรวจสอบความเรียบร้อยของสินค้าอีกนิดหน่อย เมื่อไม่มีข้อติอะไรแล้วถึงหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาหาแบงค์สีม่วงเตรียมชำระเงิน

   "ตามบิลลูกค้าชำระครบแล้วนะคะ" เธอยกบิลที่มีรอยปั๊มกำกับไว้ว่า 'จ่ายเงินแล้ว' ให้ผมดู

   "...เอาคาเนชั่นช่อนั้นด้วยครับ"

   โดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่คนชอบดอกไม้สักเท่าไหร่ ไม่ถึงขั้นเป็นภูมิแพ้อะไรหรอก แค่ไม่ชอบเวลาที่เห็นมันแห้งเหี่ยวไปตามกาลเวลา ความร่วงโรยที่คอยตอกย้ำเรื่องจริงที่ไม่มีใครเถียงออกไปได้ว่าต่อให้เคยสวยงามมากแค่ไหน สักวันหนึ่งมันก็ต้องจากไปไม่มีใครหรืออะไรที่อยู่ได้เป็นอมตะนิรันดร์

   ไม่ชอบนะ แต่ก็ยังอยากได้มันมาเก็บเอาไว้

   มองดอกไม้ที่ถูกตั้งให้มีความหมายว่า 'ยังรัก' ตลอดทางกลับบ้าน ช่อดอกไม้ขนาดใหญ่สองช่อสร้างความยากลำบากในการเดินเข้าไปสู่ตัวบ้านพอสมควร เรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมอย่างที่สองของวันคือการพบสาวคนเดียวกำลังนั่งขีดเขียนอะไรอยู่ในสมุดเล่มหนาของตัวเอง แทนที่จะเจอลูกชายคนที่สองอย่างที่คิดไว้

   เกรย์ตื่นเช้ามาตั้งแต่เล็ก ไม่ต้องมีนาฬิกาปลุกเลยด้วยซ้ำ ถ้าตามเดิมแล้วหากวันไหนที่ผมตื่นเช้าจะต้องเจอเขาอยู่บริเวณห้องนั่งเล่นหรือไม่ก็ห้องอ่านหนังสือ ก่อนออกไปข้างนอกและจะกลับมาอีกทีตอนดึกดื่นค่ำมืด มันเป็นช่องว่างในข้อสัญญาที่เขาทำกับคุณพินิจ คุณพ่อมีตกลงแค่ว่าต้องกลับบ้านในทุกวันหยุด แต่ไม่ได้บอกว่าต้องอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งวัน เพราะอย่างนั้นเขาจะอยู่แค่ช่วงเช้าที่คนอื่นยังไม่ตื่น พอสายหน่อยก็ไม่อยู่ให้ใครตามตัวเจอแล้ว น่าเบื่อที่สุดคือวันไหนที่คุณพินิจสั่งให้ต้องกลับมากินข้าวด้วยกันแล้วเขาไม่ยอมอยู่นี่สิ โทรจิกจนกว่าจะยอมกลับล่ะ

   "สวย"

   "ใช่ไหมล่ะ"

   "ให้สอง?"

   "ให้ช่อนี้” ผมชี้ไปทางช่อดอกไม้สีสะอาด แล้วเปลี่ยนยกอีกช่อให้เธอเห็นชัดๆ “...ส่วนนี่เห็นว่าสวยดีเลยซื้อมาด้วย"

   "อืม"

   ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อยระหว่างรอราชาเสด็จลงมา ผมเลยไปรื้อหาแจกันทรงสูงที่เก็บไว้อยู่ในมุมซอกหลืบของบ้านออกมาล้างคราบฝุ่นเสียหน่อย ระหว่างนั้นถึงนึกขึ้นมาได้ว่าที่ไวท์ตอบกลับมาแค่อืมมันไม่ใช่การตัดจบ สีขาวเคยมีงานอดิเรกเป็นการปลูกต้นไม้อยู่พักหนึ่ง ดอกไม้ที่เบสิคอย่างนี้คงรู้จักหรือถ้าไม่รู้เปิดอินเทอร์เน็ตปราดเดียวก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว

   ช่างเถอะ ใครจะคิดยังไงก็เรื่องของเขา ผมใช้วิธีการมั่วๆ จนสามารถยัดดอกไม้สีแดงลงไปได้ทั้งหมด มันไม่สวยเหมือนตอนที่อยู่ในร้านหรอก ฝีมือกากอย่างผมได้แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ก้าวถอยหลังมาชื่นชมผลงานของตัวเองจากมุมกว้าง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ภาพที่ปรากฎอยู่บนจอภาพสี่เหลี่ยมไม่ต่างจากที่ตาเห็น ผมถ่ายจนพอใจแล้วถึงเปลี่ยนไปเช็ครูปในอัลบั้ม

   "..."

   จนมาสะดุดอยู่ตรงแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังแจกัน ผมเลื่อนจุดสนใจจากหน้าจอเป็นปฏิทินที่แขวนไว้อยู่อย่างเดิม ที่เปลี่ยนไปคงเป็นรอยกากบาทในช่องว่างที่เพิ่มขึ้นจนเกือบเต็ม หยิบปากกาเมจิคหัวตัดขนาดใหญ่มาไว้ในมือ บรรจงวาดเส้นทแยงจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่งจนเกิดตัวเอ็กซ์ขึ้นมาไม่ต่างจากช่องอื่น ค่อยๆ ยกมือขึ้นแตะช่องสุดท้ายที่เขียนไว้ว่า 'Angel Day' ค้างอยู่อย่างนั้น

   เหงาไหมนางฟ้า

   เดี๋ยวจะไปหาแล้วนะ


 
   "ทำไมต้องมาที่นี่"

   ผมหน้าตึงไปทันทีที่รถของแบล็คเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถของคอนโดข้างมหาวิทยาลัย บรรยากาศที่เคยคุ้นแต่ไม่คุ้นเคยเรียกเอาความทรงจำหลายๆ อย่างย้อนกลับเข้ามาจนรู้สึกแย่

   "มึงอยากโดนเจ้าชายระเบิดตู้มใส่หรือไง รอมันทำโปรเจคหน่อย"

   "ก็ไปรับที่หอสิ ทำไมต้องมาคอนโด"

   "มันบอกว่ากว่าจะเสร็จก็บ่ายสองนู่น นี่ยังไม่เที่ยงจะไปอยู่ไหนครับ"

   "ไปหาอะไรกินก็ได้"

   "เมื่อกี้เราไปกินกันมาแล้วน้องโรม คนอื่นน่ะกินส่วนมึงก็เอาแต่เขี่ยไปมาอยู่ได้ เดี๋ยวเป็นลมไปล่ะจะรู้สึก"

   อยู่ในช่วงเบื่ออาหารมาพักใหญ่แล้ว ผมไม่อยากมาที่นี่ ในเวลาที่ตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอที่จะอยู่กับสิ่งเดิมๆ ได้

   ที่แย่ที่สุดคือแบล็คไม่ยอมให้ผมไปอยู่ห้องมันก่อน เจอคำพูดง่ายๆ แค่ว่าห้องไหนมันก็เห็นเหมือนกันเล่นเอาผมจุกจนไม่กล้าเถียง แม่งโคตรปัดความรับผิดชอบอะ ไขกุญแจเข้าห้องมาเจอสภาพแล้วจะให้ปิดม่านไว้ก็ไม่ค่อยไหว ช่วงหลังจากเกิดเรื่องผมก็กลับไปนอนบ้านกับไวท์ ปล่อยให้ห้องว่างฝุ่นเกาะอยู่อย่างนั้น แล้วนี่ก็มาเจอช่วงปิดเทอมต่อเข้าไปอีก ขืนไม่เปิดหน้าต่างไว้คงได้ไปโรงพยาบาลจากอาการภูมิแพ้ฝุ่นถามหา

   ค่อยๆ เคลื่อนผ้าม่านไปตามราง แสงแดดกระทบม่านตาจนต้องหรี่ลงกะทันหัน ผมก้มหน้าเอาไว้พลางกดเปิดตัวล็อคเพื่อเลื่อนกระจกบานใหญ่ให้แยกตัวออกต้อนรับลม ท่องบอกไว้ว่าอย่าหันไปมองฝั่งตรงข้าม รีบเปิดแล้วก็หันหน้าหนีไปซะ

   หรือบางทีผมก็ควรจะไปตรวจเช็คหน่อยว่าร่างกายนี้เป็นของผมอยู่หรือว่ามีใครกำลังควบคุมมันไว้ เพราะต่อให้บังคับมากแค่ไหนสุดท้ายผมก็ค่อยๆ หันหน้าไปทางกระจกจนได้ หัวใจหล่นวูบไปยามมองผ่านหน้าต่างไปเห็นว่าอีกฝั่งปิดม่านไว้สนิท

   เด็กกิจกรรมอย่างเขาคงยังไม่กลับบ้าน เพราะเห็นเจ้าประหลาดสีม่วงพาดอยู่ตรงระเบียงเพื่อตากแดดเอาไว้ ...อยากกอดอีกจังนะ ตอนที่เขารู้ว่าตั้งแต่ผมได้น้องส้มมาแล้วก็ไม่เคยเอาไปซักเลยนี่โดนร่ายใส่เป็นชุดอยู่เหมือนกันว่าผมต้องเอาตุ๊กตาออกไปซักไม่ก็ตากแดดเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นหมีส้มอาจกลายเป็นหมีดำไปได้

   ไว้กลับไปรอบนี้ก็คงได้เวลาซักอย่างเป็นทางการ ถ้ายังอยู่กับที่หนึ่งเขาต้องหยิบไปซักให้เองแล้วล่ะ

   “...”

   เลิกคิดถึงเขาสักทีน้องโรม

   สะบัดหัวไล่ความคิดทุกอย่างออกไป ผ้าม่านฝั่งตรงข้ามที่ปิดสนิทไม่อาจบอกผมได้ว่าตอนนี้ในห้องนั้นมีใครอื่นอยู่หรือไม่ ผมที่เล่นแคนดี้ครัชถึงด่านล่าสุดเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำบนโทรศัพท์อีก จำใจยอมลากเก้าอี้มาไว้ตรงหน้าต่างบานใหญ่ เท้าแขนกับขอบกระจกพลางมองตุ๊กตาสีม่วงแสบตาอีกฝั่งแทนการพักสายตา

   และเป็นวิธีที่ดีกว่าที่คิดไว้เยอะอยู่ ผมสามารถนั่งมองตัวประหลาดอยู่อย่างนั้นได้โดยไม่ต้องทำอะไรให้มากความ ในสมองมีเพียงความว่างเปล่าปกคลุมไว้อย่างที่ไม่มีอะไรสามารถเข้ามาแทรกได้ จากแดดจ้าตอนเที่ยงตรงก็กลายเป็นลมพัดแรงจนสะดุ้ง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่เริ่มกลายเป็นสีครึ้ม ความรู้ที่เคยเรียนมาบอกว่าหยาดฝนกำลังจะมาทักทายในอีกไม่ช้า

   ที่จริงแล้วตุ๊กตาแบบนี้มีน้ำหนักมากพอควร โดยเฉพาะกับตุ๊กตาไซส์ใหญ่สุดอย่างนั้น เพียงแต่ว่าการเอามันมาพาดไว้กับระเบียงโดยที่ไม่มีอะไรคอยกดทับหรือว่าดึงเอาไว้มันเลยเริ่มโงนเงนไปตามแรงลม ความกังวลว่าเจ้าตัวประหลาดจะตกลงไปยังพื้นปูนข้างล่างบอกให้ผมเกาะติดสถานการณ์นี้เอาไว้อย่างใกล้ชิด

   เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เจ้าตัวม่วงที่ต้านแรงลมได้มาช่วงหนึ่งก็ร่วงหล่นไปตามการดึงดูดของสนามแรงโน้มถ่วง  ชั่งใจอยู่บนนั้นว่าจะลงไปดีหรือไม่ ถ้าเราเลือกที่จะกลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมแล้วผมไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเดินลงไปเก็บ แล้วจะให้ผมมองเจ้าตุ๊กตาแสนรักของตัวเองนอนอยู่ที่พื้นด้านล่างอย่างนั้นเหรอ ถ้าฝนตกมันก็ต้องเปียกน่ะสิ หรือถ้ามีคนอื่นมาเห็นเข้าแล้วแอบเก็บไว้เองล่ะ

   แล้วผมก็ลงมาจนได้

   ถ้ามีคนผ่านไปมาก็คงสงสัยว่าผู้ชายคนนี้มายืนจ้องตุ๊กตาที่หล่นอยู่บนพื้นทำไม ผมกำลังหาเหตุผลสนับสนุนในการกระทำที่สวนทางกับความคิดอยู่น่ะ นี่ก็ยื่นมือออกไปแล้วก็ดึงกลับมาอยู่ข้างตัวไว้อย่างเดิมมาห้านาทีแล้วล่ะมั้ง ตลกดีนะที่เรื่องแค่นี้มันก็ทำให้ผมมีปัญหาได้

   เจ้าตัวแปลกยังคงยิ้มให้ผมเช่นทุกที หรืออาจจะไม่ได้ยิ้มอยู่ก็ได้ น่าคิดว่าถ้ามันพูดได้เจ้าม่วงไอจะพูดอะไรกับผมอยู่ อาจจะเป็น 'ไม่เจอกันนานเลยนะ หายไปไหนมา' ไม่ก็ 'อยู่ตัวคนเดียวเหงาจังเลย เมื่อไหร่จะเอาเจ้าส้มมาอยู่เป็นเพื่อนอีกล่ะ' ...หรือบางทีมันอาจกำลังถามผมอยู่ว่าจะมาอยู่ตรงนี้ทำไมอีก

   "ไง คิดถึงกันบ้างรึเปล่า" ไม่รู้ว่ากำลังพูดกับตุ๊กตา ...หรือส่งไปให้เจ้าของ

   ถึงจะรู้ว่าที่ผ้ายัดนุ่นตรงหน้ายังยิ้มได้เพราะว่ามันคือตุ๊กตา มันไม่สามารถเปลี่ยนอารมณ์หรือความรู้สึกได้อย่างผม ก็ยังอดอิจฉาไม่ได้ที่มันยังคงยกมุมปากขึ้นเป็นรูปตัวยูอยู่ เพราะทุกวันนี้แค่ขยับมุมปากให้ขยับองศาขึ้นไปหน่อยก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับผม

   "ข้างล่างร้อนใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวพากลับขึ้นไปนะ"

   จะถือว่ายิ้มที่ส่งมาให้อย่างนั้นคือการตอบตกลงแล้วกันนะ ผมหยิบไอขึ้นมาไว้ในมือ เลี่ยงที่จะเอามันมาชิดตัวไว้อย่างที่ชอบทำ ผมเข้าใจดีว่าระดับความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นต้องปฏิบัติตัวยังไง ใกล้กันว่านี้มันจะไม่ดีกับใจของผมเอง

   ที่จริงผมควรจะเอามันไปฝากไว้ที่ห้องส่วนกลางของคอนโด ผิดตรงขาเจ้ากรรมไม่ยอมฟังคำสั่ง มันพาผมเลี้ยวเข้ามาในตึกของเขา แล้วยิ่งกว่าฟ้าเป็นใจที่ผมสามารถผ่านทุกประตูเข้ามาได้โดยไม่มีสะดุด ทั้งที่ปกติแล้วคอนโดมีการวางระบบคีย์การ์ดไว้อย่างแน่นหนา มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องที่อดีตเคยเป็นของเรา ไม่สิ ผมไม่ควรใช้คำพูดอย่างนั้นสักหน่อย ตลอดมาผมก็แค่ขอมาอยู่อาศัยด้วยชั่วคราวเท่านั้นเอง

   ตัวเลขห้าหลักเป็นการบอกเลขห้อง มันไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจแต่ผมก็จ้องมันอยู่อย่างนั้นไม่ละสายตาไปไหน อย่างกับว่าถ้ายังคงเพ่งมันต่อไปอีกสักพักประตูไม้นี้จะกลายร่างเป็นประตูโปร่งให้ผมเห็นภายในได้ ซึ่งที่จริงต่อให้ไม่เป็นอย่างนั้นผมก็จำได้อยู่ดีว่าข้างในมันเป็นอย่างไร อะไรอยู่ตรงไหนบ้าง

   โคตรแย่ ผมมายืนอยู่ไม่ถึงสองนาทีแม่งทำลายสิ่งที่ผมพยายามลืมตลอดสองเดือนหมดเกลี้ยง

   "เจ้านายแกอยู่ในห้องไหม?" ไม่สนว่าใครจะมองว่าผมประหลาดที่คุยกับตุ๊กตา "ถ้าลองเคาะ...เขาจะเปิดประตูให้รึเปล่า"

   เหมือนวันที่ผมย้ายมาอยู่กับเขา กระเป๋าอะไรไม่มีปัญหาหรอก จะมีก็แต่น้องส้มที่ไม่รู้จะยัดไว้ตรงไหนเลยหิ้วติดมือมาด้วยให้จบเรื่อง คอนโดไม่มีกริ่งเลยต้องใช้ระบบอัติโนมือ เคาะไปสองสามครั้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาใกล้เข้ามาตามด้วยประตูที่เปิดออกกว้าง ยังจำได้อยู่เลยว่าเขาทำสีหน้าประหลาดขนาดไหน

   "ไม่น่าถามเลย ยังไงเขาก็ไม่มีทางเปิดให้อีกแล้วนี่นา"

   หรือว่าคลื่นความถี่ในการได้ยินของเรามันอยู่คนละระดับก็ไม่รู้ ผมยกไอให้อยู่ในระดับสายตา มองมันคงใบหน้ามีความสุขอยู่อย่างนั้นในขณะที่ความทรงจำกำลังเล่นย้อนกลับไปยังวันที่ผมไปซื้อเจ้าตัวนี้ จำได้ว่าเขาเรื่องมากแค่ไหนจนสุดท้ายก็มาจบตรงที่ตัวที่ผมหยิบลงมากอดมั่วๆ ตอนที่เขาอธิบายชื่อที่ตั้งขึ้นมาใหม่ หรือแม้กระทั่งภาพสะท้อนในกระจกที่บอกว่าตอนนั้นเรามีความสุขขนาดไหน

   "ห้ามโกรธนะที่ไม่ได้เอากลับไปไว้ข้างใน คงต้องให้นั่งรออยู่ข้างนอกนี่แหละ"

   ไม่มีสิทธิอะไรที่จะก้าวผ่านประตูนี้เข้าไปอีกแล้ว

   "ฉันแย่มากเลยเนอะ..."

   ไม่อยากปล่อยให้ไป แต่ก็จะไม่ให้อยู่

   "แกอยากบอกอะไรฉันรึเปล่า" เงียบรออีกฝ่ายตอบ มันยังคงปิดปากสนิทไม่มีการตอบรับกลับมาเลยสักนิด  "ไม่น่าถามเลยใช่ไหม ก็ทำตัวเองทั้งนั้นนี่นา"

   ผมรอจนมั่นใจว่าการสื่อสารของเราจบลงแล้วถึงเอ่ยคำลา

   "...อยู่กับเขาเผื่อสำหรับฉันด้วยนะ"

   ดึงมันมากอดไว้อย่างที่ต้องการ หลับตาลงรับสัมผัสอ่อนโยนของผืนผ้า สูดลมหายใจเข้าไปลึกจนได้กลิ่นของเขากระจายอยู่ทั่วไป มันคือกลิ่นเดียวกับที่กล่อมผมให้หลับฝันดีในอ้อมแขนของเขาทุกคืน

   ฝันดีที่คงไม่มีโอกาสได้พบอีกตลอดกาล


***
ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #347 เมื่อ26-03-2016 19:36:49 »

  การเคลื่อนตัวของรถยนต์สี่ประตูหยุดลงแล้ว ไม่ต่างกับการเต้นของหัวใจที่ช้าลงไปเรื่อยๆ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ตอนที่มองออกไปแล้วเห็นเพียงแท่นหินหลายรูปแบบวางเรียงต่อกันไปจนเกือบสุดลูกตา ทุกอย่างดูว่างเปล่าจนไม่รู้จะเริ่มต้นทำอะไรก่อนดี

   ถ้าสถานที่มันมีสีไว้แทนความรู้สึก ที่นี่ก็คงเป็นสีเทาจนเกือบดำ ตอนนั้นมาแทบทุกวันก็ยังไม่ชินกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยการจากลาอย่างนี้เสียที

   นางฟ้าทิ้งร่างของตัวเองไว้ก่อนโบยบินจากไป

   จำความรู้สึกแรกที่รู้ว่าเธอกลับไปอยู่บนท้องฟ้าไม่ได้เสียแล้ว หลังจากที่แบล็คมารับผมกลับบ้าน เขาก็สั่งให้ขึ้นไปเปลี่ยนเป็นเสื้อสีขาวหรือไม่ก็สีดำ พอลงมาก็พบว่าเพื่อนคนอื่นมารอกันอยู่พร้อมหน้าแล้ว ทุกอย่างชี้ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้น มีแต่ผมที่ไม่อยากยอมรับมัน

   จนกระทั่งตอนที่เห็นเธอนอนอยู่ในโลงศพดอกไม้ถึงเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้โดยไม่ต้องให้ใครเล่า ลัจหลับตาพริ้มราวกับร่างที่อยู่ตรงนั้นเพียงแค่กำลังหลับฝันดีอยู่ และพอเทพแห่งความฝันจากไปแล้วเธอก็จะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แค่ในความจริงแล้วเธอไม่มีทางตื่นขึ้นมาอีกเลย

   อุบัติเหตุจราจรคือสาเหตุการตายบนรายงานการเสียชีวิต รถสิบล้อที่ขับมาด้วยความเร็วสูงปาดหน้าไปจนรถของลัจต้องหักหลบกะทันหัน ส่วนที่เขาว่ากันว่าดีคือนางฟ้าเสียชีวิตเกือบจะในทันที ไม่ต้องทนเจ็บจากพิษบาดแผลใดๆ
ถ้าผมไม่เอาแต่ใจวันนั้น ลัจก็คงไม่ตาย

   'แองจี้กำลังไปจะไปเรียนต่อที่อังกฤษไงลูก'

   และคงไม่มีอะไรกระแทกความรู้สึกผมได้เท่าความจริงเรื่องการเดินทางของเธอในวันนั้น ทางที่ลัจเดินทางไปมันคือทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นคนละทิศกับที่ผมนัดเจอ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน และจนกว่าจะรู้ก็เป็นวันฝังแล้ว ถึงจะตกตะลึงกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งออกมาจากปากบุพการีของเธอ พวกผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเงียบไว้ไม่ให้พ่อแม่ของลัจสงสัยว่าเพราะอะไรลูกสาวถึงไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญอย่างนี้กับเพื่อนสนิท

   คนอื่นอาจไม่พอใจแค่เรื่องที่เธอจะไปเรียนต่อโดยไม่คิดจะบอกกล่าวสักคำ แต่สำหรับผมแล้วมันมีอะไรที่มากกว่านั้น
มันยิ่งตอกย้ำว่าลัจตั้งใจที่จะไม่มาอยู่แล้ว

   เธอใจร้ายมากเลยนะที่ทำอย่างนั้นได้ลงคอ ยอมรับนัดของผมทั้งที่ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่ามันตรงกับวันเดินทาง ถ้าเธอยังคงมีชีวิตอยู่ผมก็อยากจะถามออกไปเหมือนกันว่าทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ทำไมถึงต้องทำร้ายความรู้สึกผมอย่างนี้ด้วย

   อยากจะถาม และยังรอวันที่จะได้พูดสิ่งที่ตั้งใจจะบอกออกไป

   "น้องโรม ลงมาได้แล้ว"

   หลุดออกจากภวังค์ก็ตอนที่เห็นว่าทุกคนยืนรออยู่นอกรถ ผมสะบัดหน้าไล่ความคิดที่ฟุ้งอยู่ในหัวให้กระจายตัวออกไป มาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่มีทางให้หนีไปไหนอยู่แล้วล่ะ

   กระชับดอกไม้ในอ้อมกอดเอาไว้แน่น เรียกความมั่นใจให้กลับมาอยู่กับตัวเอง "อืม"

   แบล็คเป็นคนเดินนำไปตลอดทาง ระหว่างทางไร้ซึ่งเสียงพูดจาจนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงแผ่นหินเกือบสุดท้ายที่มีรูปปั้นแกะสลักนางฟ้าแบบยุโรปอยู่เคียงข้าง

   ANGELA L.

   ชื่อที่ผมไม่มีทางลืม บรรทัดต่อมาเป็นเลขวันเกิดซึ่งก็คือวันนี้ตามด้วยวันเสียชีวิต ที่ดึงดูดสายตามากที่สุดคงเป็นช่อดอกไม้สีขาวที่ผมไม่รู้จักชื่อวางไว้เด่นอยู่ตรงหน้าแท่นหิน คงเพิ่งเอามาวางไว้ไม่นานเพราะกลีบดอกยังคงสวยสดงดงาม

   "ใครมาเยี่ยม?"

   "ของพวกนั้นมั้ง เห็นมันอัพสเตตัสว่ามาเยี่ยมอยู่เมื่อเช้า" พวกนั้นที่เขาว่าคือเพื่อนบาสที่อยู่ห้องเดียวกันตอนมัธยมปลาย เพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกันว่ามีช่วงหนึ่งที่เขาเคยบอกว่าลัจน่ารัก ทำท่าเหมือนจะจีบด้วย

   บางคนเกิดมาเพื่อ 'รัก'

   และบางคนก็เกิดมาเพื่อเป็น 'ที่รัก'

   เค้กมะพร้าวอ่อนที่ไม่รู้ไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่อยู่ในมือของไวท์ เทียนที่ติดมาด้วยปักลงไปโดยมีมือของราชาคอยจุดเปลวไฟให้เชื้อเพลิงติด ทำนองภาษาอังกฤษของเพลงสุขสันต์วันเกิดร้องประสานกันเบาๆ จนกระทั่งคำสุดท้ายจบลง เราถึงพร้อมใจกันเป่าให้เทียนดับ

   "สุขสันต์วันเกิดนะนางฟ้า"

   "เอ้า ใครมีอะไรจะเล่าให้ลัจฟังบ้าง"

   แปลกใจนิดหน่อยที่เน็ทเป็นคนเปิด ผมไม่รู้ว่าจะนิยามความสัมพันธ์ของคู่นี้ยังไง เน็ทชอบทำเป็นไม่ยอมรับ จิกกัดสารพัดจนนึกว่ารับบทเป็นนางอิจฉา เขาชอบบอกเสมอว่ากลุ่มเรามีแค่ห้าคน แต่ว่าในวันฝังคนที่ตาแดงที่สุดก็เป็นเขาเช่นกัน

   "ขอให้มีความสุขเหมือนกันนะลัจ"

   ส่วนนิชก็มาแบบเรียบๆ ง่ายๆ แถมพูดออกมาให้พวกเราได้ฟังอีกด้วย

   "ขออนุญาตนะ"

   กลิ่นมิ้นท์ของบุหรี่นอกกล่อมประสาทให้คลายตัว แบล็ควางมวนบุหรี่เพิ่งจุดติดเมื่อกี้ลงกับพื้น ล้วงมือทั้งสองข้างลงไปในกระเป๋ากางเกงพร้อมมองตรงไปยังตัวอักษรที่เรียงต่อกันเป็นชื่อและนามสกุลของเธอ การคุยผ่านควันสีเทาเป็นไปอย่างเชื่องช้า เขานิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งส่วนสีขาวของบุหรี่หมดลงถึงเป็นการจบการสนทนา

   ต่อจากสีดำก็เป็นสีขาว ไวท์เดินเข้าไปหาเธอใกล้ๆ แล้วยกมือขึ้นแตะชื่อค้างไว้อย่างนั้น มันเกินกว่าที่ผมจะบรรยายความรู้สึกที่ส่งมาถึงในตอนนี้ ถึงภายนอกเธอจะดูไม่ค่อยญาติดีกับใครมากเท่าไหร่แต่ลัจก็เป็นหนึ่งในเพื่อนที่สนิทที่สุด ในกลุ่มที่มีแต่ผู้ชายพวกเราเคยเสนอว่าไวท์ควรจะมีเพื่อนเพศเดียวกันเสียบ้าง เราเปิดใจที่จะรับสมาชิกคนอื่นเข้ามาถ้านั่นคือความต้องการของเธอ จนกระทั่งตอนที่ลัจเข้ามานั่นแหละ

   หลังงานศพของลัจคนที่เสียสูญที่สุดคือไวท์ การไม่พูดที่เคยเป็นเรื่องปกติกลายเป็นสิ่งที่ไม่ปกติไปได้เหมือนกัน นิ่ง เงียบ ไม่มีใครรู้ว่าไวท์กำลังเสียใจมากแค่ไหนใต้ใบหน้าไร้อารมณ์นั้น จนตอนที่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บแล้วพบว่าไวท์หายไปถึงรู้ว่าใต้น้ำนิ่งมันมีคลื่นขนาดใหญ่แผ่กระจายอยู่ ไร้หนทางการติดต่อในทุกช่องทาง โทรศัพท์ถูกปิดสนิท ไม่มีร่องรอยการใช้เงินจากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งบ้านสติแตกกันถ้วนหน้า ขนาดคุณพินิจที่ว่าใหญ่แล้วยังไม่สามารถหาเบาะแสของลูกสาวตัวเองได้เลย 

   ที่เห็นแบล็คดูเป็นผู้ใหญ่ได้ขนาดนี้อยากจะให้ลองไปดูตอนนั้น ไม่เหลือเค้าความน่ายำเกรงของคนเป็นราชา โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นคนอารมณ์ร้อนนะ เขาพร้อมเข้าชนอย่างรุนแรงอยู่ตลอดนั่นแหละ จากที่หายไปวันสองวันก็กลายเป็นสัปดาห์ จนมันเกือบสองเดือนเราถึงตกลงกันว่าหมดเวลาที่จะปล่อยให้ไวท์ไร้การติดต่อกลับอย่างนี้แล้ว

   ตอนที่แบล็คยอมปล่อยไวท์ให้อยู่กับเวลต่อนั่นก็เป็นอะไรที่พวกผมค้านสุดฤทธิ์ กว่าเราจะตามหาเธอเจอได้ก็แทบตายเรื่องอะไรถึงปล่อยให้สิ่งที่ทุ่มเทมาตลอดหายไปกับตาอย่างนั้น คำเดียวที่หยุดทุกความไม่พอใจคือ ถ้าไวท์ใช้ชื่อซินนั่นคือเธอไม่ต้องการเจอใคร

   คนบาป...ที่มาพร้อมความตาย

   โทรศัพท์ที่ส่งข่าวมาถึงบ้านว่าไวท์เจออุบัติเหตุก็เป็นอะไรที่อยู่นอกเหนือการคาดหมายมากเช่นกัน หมอบอกว่าสมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไรรุนแรง แผลทางร่างกายก็ดีขึ้นตามลำดับ ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้เหมือนกันว่าเพราะอะไรเธอถึงไม่มีความทรงจำในช่วงเวลานั้นเหลืออยู่ เธอเล่าได้เพียงถึงตอนช่วงปิดเทอมใหม่ๆ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือช่วงที่ลัจยังคงมีชีวิตอยู่ นิชเดาว่าไวท์คงไม่อยากยอมรับว่าต้องเสียเพื่อนสนิทไปจนเป็นระบบการทำงานของสมองที่บอกให้ลืมซะ ผมยังจำหน้าของเธอตอนที่พวกเราบอกไปตามตรงว่าลัจเสียแล้วได้อยู่เลย มันเป็นไม่กี่ครั้งที่ผมเห็นใบหน้าเรียบเฉยหมองลงไปอย่างชัดเจน

   เราเลยตกลงกันว่าจะไม่รื้อฟื้นเรื่องใดๆ ขึ้นมาให้รกสมอง ถ้าเธอจำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อีกอย่างที่ผมอาจคิดเกินไปเองคือปล่อยให้เวลหายไปกับกาลเวลาก็คงจะดีไม่น้อย ให้เขาเป็นเพียงคนที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ออกไป ไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกันอีก

   ผมเคยเจอเวลแค่ครั้งเดียว และมันก็เป็นครั้งเดียวที่ตราตรึงในหัวของผมไม่ใช่น้อย ผู้ชายผมสีอ่อนอย่างคนทำสีกับความกล้าที่มีมากจนผมยอมใจ ไม่เคยมีใครกล้าเผชิญหน้ากับราชาโดยไม่เกรงกลัวขนาดนั้น

   จนกระทั่งเวลกลับเข้ามาอยู่ในวงจรการเดินทางของพวกเรานี่แหละ โลกแม่งไม่ควรกลมอย่างนี้ ไม่เฉพาะแค่เรื่องที่เราเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันเท่านั้นแต่รวมไปถึงเรื่องที่เขาเป็นเพื่อนสนิทพอควรกับที่หนึ่งด้วย นี่ได้ข่าวว่าวันก่อนเวลยังเอาอะไรมาให้ไวท์ที่คณะอยู่ด้วยเลย จะตามไปถึงไหนก็ไม่รู้

   "น้องโรม ปิดเลย"

   ทางตรงกลางแหวกออกให้ผมเข้าไปอยู่ตรงกลางได้ง่ายขึ้น ผมวางดอกไม้ช่อใหญ่ไว้ตรงหน้าแผ่นหิน อ่านคำอาลัยที่ถูกสลักไว้ด้วยตัวเขียนจนครบทุกคำ


   ว่าไงนางฟ้า

   สุขสันต์วันเกิดนะ ถ้าเธอยังอยู่ตอนนี้ก็ต้องยี่สิบเอ็ดแล้วใช่ไหมล่ะ อยู่บนนั้นสบายดีไหม มันคงไม่มีสามฤดูในหนึ่งวันอย่างที่ฉันกำลังเจอใช่ไหมล่ะ แต่บางทีเธออาจจะชอบก็ได้นะ เธอชอบหน้าฝนนี่นา ข้างบนมีน้ำฝนให้เล่นเหมือนอย่างที่เธอชอบแอบหนีออกไปหาหรือเปล่า?

   ช่วงที่ผ่านมาเธอได้มองลงมาที่ฉันบ้างไหม หรือว่าเอาแต่บินไปมาอยู่บนฟ้าจนลืมพวกเราแล้วล่ะ มีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเยอะแยะเลย อย่างช่วงต้นเทอมมีคนที่ดีไม่แพ้เธอเข้ามาในชีวิตฉันล่ะ จำที่หนึ่งได้ไหม ที่ชอบได้ที่หนึ่งบ่อยๆ น่ะ ตลกดีเหมือนกันที่คนที่เราเคยพูดกันว่าชาตินี้คงจะไม่ได้แม้แต่พูดคุยกัน ท้ายที่สุดแล้วเขากลับมีบทบาทในชีวิตฉันมากเลยล่ะ ดูงี่เง่ามากเลยนะที่เขาเดินเข้ามาแล้วพูดประโยคโคตรเลี่ยนอย่างนั้น หนึ่งพูดว่า 'ผมอยากเป็นที่หนึ่งของคุณ' แหละ ห้ามหัวเราะนะ ที่หนึ่งพูดอย่างนั้นออกมาจริงๆ ทีแรกก็ตกใจแหละ ไม่อยากให้เขาเข้ามาอยู่ใกล้ด้วย ไม่รู้ไปๆ มาๆ ทำไมกลายเป็นไม่อยากให้เขาจากไปเลย

   เธอต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าผู้ชายที่ดูพร้อมไปทุกอย่างเสียอย่างนั้นจะมีมุมอะไรที่ดูพิลึกเต็มไปหมด เขายอมเปลี่ยนที่เรียนเพราะฉันเลือกแอดที่นี่ แล้วลงทุนขนาดย้ายมาอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามเลยนะ มีอย่างที่ไหนย้อมสีผมให้เหมือนกับฉันด้วยล่ะ บ้าบอที่สุดแล้ว เธอรู้รึเปล่าว่าฉันชอบกินปลา เขารู้แม้กระทั่งว่าฉันไม่ชอบกินอะไรบ้าง ...แปลกเนอะ ฉันจำเรื่องที่เกี่ยวกับเขาได้เต็มไปหมดเลย

   เธอคงคิดว่าเรื่องต้องจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งใช่ไหมล่ะ เธอชอบให้มันจบแบบนั้นอยู่แล้วนี่ เสียใจด้วยนะที่ฉันกำลังจะเล่าต่อไปว่าฉันกับหนึ่งเรากลับไปอยู่ต่างมิติแบบเดิมแล้ว

   ทำไมน่ะเหรอ? ก็คิดว่าฉันคงรักแต่เธอไปตลอดชีวิตนั่นแหละ แย่เนอะ เขาอยากเป็นที่หนึ่งแต่ฉันให้เขาไม่ได้ เพราะตรงนั้นฉันให้เธออยู่มาตลอด แล้วจะให้เอาเธอลงมาฉันคงไม่ทำหรอกนะลัจ ห้ามโวยวายล่ะ พี่นิชก็เอาแต่ถามว่าสรุปแล้วฉันรู้สึกยังไงกับที่หนึ่งกันแน่ จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังให้คำตอบพวกนั้นไม่ได้เลย ความรู้สึกที่ฉันมีให้เขามันไม่เหมือนที๋ฉันมีให้เธอ มันก็ต้องเท่ากับว่าฉันไม่ได้รักเขาใช่ไหมล่ะ

   ไม่ได้รัก...แต่ถ้ามานับดูแล้วฉันเสียน้ำตาให้คนที่ไม่ได้รักมากกว่าตอนที่เธอกลับไปอยู่บนฟ้าเสียอีก

   จะคิดว่าเป็นสีสันช่วงหนึ่งของชีวิตก็แล้วกันที่ได้เจอกับเขา ถึงจะแยกทางกันไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ก็ตาม เรื่องในชีวิตจริงมันไม่ได้สวยงามเหมือนในนิยายเสมอไปหรอกจริงไหม กลายเป็นว่ามาเล่าเรื่องที่หนึ่งให้ฟังเสียอย่างนั้น เบื่รึเปล่า ช่วยทนฟังอีกเรื่องหน่อยแล้วกัน

   ฉันรักเธอเสมอนะลัจ

   มาบอกตอนนี้มันสายเกินไปไหม ก็รู้อยู่หรอกว่าเธอคงไม่สามารถตอบฉันกลับมาได้ อย่างน้อยก็เอาเป็นว่าฉันได้พูดสิ่งที่อยากพูดออกไปแล้วนะ คืนนี้ไม่ต้องรีบกลับมาให้คำตอบล่ะ ไม่รับแล้ว

   แล้วเจอกันใหม่ปีหน้านะ



   ปล่อยมือจากแผ่นหินสลัก สายลมที่พัดผ่านหน้าผมไปพากลิ่นหอมแปลกมาด้วย ผมหันไปทางรูปสลักที่อยู่เคียงข้าง พยักหน้าให้แทนการบอก

   ...เธอรับรู้แล้ว


 
   "เดี๋ยวไปล้างมือก่อนนะ"

   แยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนไปอีกทางหนึ่งที่ป้ายบอกทางเขียนไว้ว่าห้องน้ำ ตั้งใจว่าจะไปล้างมือเสียหน่อย ดันไปจับตรงแท่นหินที่มีแต่ฝุ่นจนเกือบจามไปหลายรอบ ต่อให้แข็งแรงขนาดไหนมาเจอกองทัพฝุ่นอย่างนี้ก็อาจพังได้เหมือนกันล่ะ เชื่อสิ

   ข้างทางไม่มีอะไรที่น่าสนใจมากไปกว่ากลุ่มคนที่เดินสวนไปมา บรรยากาศการโดยรอบหดหู่จนผมต้องรีบก้าวให้ยาวกว่าเดิม ถ้ารีบจัดการภารกิจของตัวเองได้เร็วผมก็ยิ่งออกไปจากที่นี่ได้เร็วขึ้น

   ...

   ผมหยุดกึก มองตรงไปยังรถยุโรปที่จอดอยู่โดดเดี่ยวกลางพงหญ้ารก แถบนี้มันน่าวังเวงจนไม่ค่อยมีใครกล้าเอารถมาจอดหรอก แต่ส่วนที่ทำให้ผมนิ่งอยู่อย่างนี้ไม่ใช่ความประหลาดของการจอด แต่มันคือยี่ห้อรถที่คุ้นตาเสียเหลือเกิน คุ้นจนต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แม้ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองไปมากกว่านี้เสียนิดเดียวก็ยังคงเดินต่อไปจนสามารถเห็นหมายเลขทะเบียนรถได้ชัดเจน

   อาจไม่ใช่คนความจำดีมากสักเท่าไหร่ รถของแบล็คเองผมก็ยังจำไม่ได้เลยจนกระทั่งทุกวันนี้ ต่างจากทะเบียนที่ผมกำลังยืนมองมันอยู่ตอนนี้ ตัวอักษรไทยที่ปนกับตัวเลขตรงกับของเขา

   ที่หนึ่งอยู่ที่นี่เหรอ...

   มันคือความดีใจที่ปะปนไปกับอารมณ์เจ็บปวด ผมหมุนตัวจนครบสามร้อยหกสิบองศาเพื่อหาเจ้าของรถ มองไปยังทุกคนที่เดินไปมาประปราย ไม่ว่าจะจ้องขนาดไหนก็ไม่เห็นว่าจะมีใครโดดเด่นออกมาอย่างที่เขาเป็นตลอด

   เขามาทำอะไรที่นี่

   ทุกความสงสัยถูกเก็บลงไป ถ้าเขาอยู่ที่นี่ตอนนี้จริงสิ่งเดียวที่ผมต้องการคือการได้พบเขาเสียหน่อย อาจไม่ต้องเห็นอยู่ตรงหน้า ขอแค่เห็นจากที่ไกลๆ ก็ยังดี ให้รู้ว่าเขายังสบายดีอยู่ก็พอแล้ว ยืนหันรีหันขวางอยู่ตรงนั้น ไม่แน่ใจว่าเขาจะอยู่ข้างในรถหรือเปล่าเพราะเป็นกระจกฟิล์มดำทึบ จะเคาะกระจกก็ไม่กล้าทำอีก

   ได้แต่เดินไปจนทั่วบริเวณนั้นซ้ำไปมา หวังว่าคงมีสักครั้งที่ความต้องการของผมจะเป็นจริง จากที่ไม่ได้เป็นเด็กขี้แงมาเสียนานแล้วผมรู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อจนพร้อมจะปรากฎ มั่นใจได้เลยว่าอีกไม่นานจะต้องมีพวกพี่เดินมาตามแต่ก็ยังคงหมุนรอบตัวอยู่อย่างนั้น

   ลัจ... ช่วยหน่อยได้ไหม

   ช่วยให้ผมได้เจอเขาอีกสักครั้ง

   ท้องฟ้าที่มืดสลัวเริ่มมีเสียงร้องเตือน ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ฉาบด้วยสีเทาเข้มเป็นเกือบทั้งหมด ต่อให้รู้ว่าอีกไม่นานคงต้องเจอกับหยาดฝนเป็นแน่แท้ก็ยังไม่ยอมหยุดตามหา ผมยังเดินวนเวียนอยู่ละแวกนั้นไม่ไปไหน ระแวงจนต้องหันกลับมามองรถยนต์คันหรูอยู่ตลอดเวลา

   ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำอะไรอย่างนี้ บอกตัวเองให้ท่องไว้ว่าเราอยู่คนละมิติกันแล้วทำไมถึงยังมาตามหาเขาอีกทำไม เราไม่มีอะไรที่ต้องทำความเข้าใจกันอีกแล้วด้วย

   ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ไม่เข้าใจแม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง

   จนในที่สุดคำขอก็ได้รับการตอบรับจากนางฟ้า ตอนที่ก้มตัวลงไปผูกเชือกรองเท้าที่หลุดออกของตัวเองอยู่นั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีใครยืนอยู่ตรงด้านหลังของต้นไม้ขนาดใหญ่ที่คงมีอายุมากพอควร หลังจากที่สังเกตจนมั่นใจได้แล้วว่าคนตรงนั้นกำลังมองมาที่ผมอยู่จริงถึงรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที

   เขาอยู่ตรงนั้นอย่างที่คิดไว้

   ภาพตรงหน้ากลายเป็นโหมดโฟกัสไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่ผมบอกได้อย่างเดียวคือนอกจากเขาแล้วผมไม่อาจเห็นสิ่งอื่นได้ชัดเจนอีกเลย ที่หนึ่งกำลังหลบอยู่หลังต้นไม้ขนาดใหญ่ในตอนแรก พอเขาเห็นว่าผมเจอแล้วรีบออกจากที่ซ่อน กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังอีกฟากหนึ่งของสุสาน

   "ที่หนึ่ง!"

   อย่างน้อยผมก็เรียกชื่อเขาได้ ไม่เหมือนคราวก่อนที่ทำได้แค่ปล่อยให้เขาเดินออกไป

   ความคิดหนึ่งเดียวในตอนนี้คือต้องตามเขาให้ทัน ร่างกายที่ถูกทำร้ายมาต่อเนื่องประท้วงเสียแล้ว ผมเริ่มหายใจติดขัดจนต้องอ้าปากกว้างรับออกซิเจนเข้าไปให้มากขึ้น ขาสองข้างล้าจนเกือบจะหมดแรงลงไปเสียตรงนั้น

   นึกก่นด่าแบล็คในใจเรื่องที่บอกว่าผมจะต้องเป็นลมอย่างแน่นอน เป็นแค่นักกฎหมายแท้ๆ ดันทำตัวเป็นพ่อหมอไปได้ ผมยังฝืนเดินตามร่างที่ใหญ่กว่าของเขาไปเรื่อย ถึงจะยิ่งพยายามมากแค่ไหนก็รู้ว่ามันไกลออกไปเสียทุกที ต่อให้ตาพร่ามัวแค่ไหน หรือว่าแรงที่จะพยุงร่างให้ยังไม่ล้มเอนกำลังจะหมดลงไปผมก็ไม่ยอมหยุด

   จนภาพที่พร่ามัวกลายเป็นสีดำไปชั่วขณะ ผมกระพริบตาถี่ๆ ไล่จุดสีดำที่เริ่มกลืนกินพื้นที่การมองเห็นไปทีละน้อย มือที่ยังว่างอยู่ขวานหาสักสิ่งที่จะยันไม่ให้ตัวเองล้มลงไป

   มือที่ปัดป่ายได้แต่เพียงอากาศถูกดึงกลับมากุมขมับไว้ ผมหัวเสียจนต้องสบถออกมา ไม่มีเลยเหรอ อะไรก็ได้ที่จะเป็นหลักให้ผมได้พักสักหน่อย ไม่อย่างนั้นผมต้องตามเขาไปไม่ทันแน่ 

   ทนหน่อยสิ

   ยิ่งฝืนตัวเองมากเท่าไหร่ การมองเห็นก็ยิ่งเลือนรางเข้าไปทุกที ในเสี้ยววินาทีเดียวที่ผมหลับตาลง มันไม่ต่างอะไรกับการกดสวิทช์ดับเครื่อง ทั้งร่างเอนตัวไปตามแรงโน้มถ่วงจนไม่กล้าเปิดตาขึ้นมารับรู้ว่าตัวเองกำลังจะต้องเจออะไร

   "..."

   แต่กลายเป็นว่ามันไม่ใช่ความเจ็บที่เกิดจากการกระทบกับพื้นหินกรวด กลับเป็นร่างของใครบางคนที่เข้ามารองรับผมไว้ และต่อให้ตอนนี้ผมไม่สามารถจะลืมตาขึ้นมามองได้ว่าผู้ประสงค์ดีจะเป็นใครประสาทสัมผัสอื่นก็บอกผมได้ว่าใครคือคนๆ นั้น

   รอยยิ้มโผล่ที่มุมปากไม่รู้ตัว อยากจะเห็นใบหน้าไร้ที่ติอีกสักครั้ง อยากจะยกมือขึ้นกอดเขาไว้ อยากจะพูดอะไรออกไปเยอะแยะเต็มไปหมด น่าเสียดายที่ตอนนี้แค่ประคองสติให้อยู่ยังทำไม่ได้

   เอาเถอะ

   แค่ได้พบเขาอีกครั้งมันก็ดีเกินพอ


***
   จากการลองหาข้อมูลคาเนชั่นสีแดงไม่ได้มีความหมายว่ายังรักนะคะ แต่ว่าเท่าที่หาข้อมูลมาไม่เจอที่ไหนตรงกันเลย (ฮา) เลยไม่สนใจล่ะค่ะ ใส่ลงไปเองเลย (หัวเราะ)
   ที่หนึ่งนี่ค่าตัวแพงจังเนอะ ไว้เจอกันเต็มๆ ในตอนหน้านะคะ (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #348 เมื่อ26-03-2016 20:36:31 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #349 เมื่อ26-03-2016 20:47:13 »

รอตอนต่อไปค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
« ตอบ #349 เมื่อ: 26-03-2016 20:47:13 »





ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #350 เมื่อ26-03-2016 21:54:05 »

รอตอนต่อไปนะคะ :L2:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #351 เมื่อ26-03-2016 22:16:40 »

ยาวสะใจมากๆๆ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #352 เมื่อ26-03-2016 23:09:12 »

รอตอนต่อไปนะค่ะ

แอบหวังว่าเด็กน้อยของเรา

จะรู้ตัวว่า ที่หนึ่ง สำคัญไม่น้อยไปกว่า ลัจ เลย

ออฟไลน์ Lonelyนู๋โรนลี่

  • ฉุด กระชาก ลากถู พาเข้า.....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #353 เมื่อ27-03-2016 14:55:05 »

ที่หนึ่ง มีได้แค่คนเดียว
แต่สำหรับโรม คงต้องให้มีถึงสอง..เฮ้อ
รักครั้งแรกจำฝังใจ ทั้งเพื่อนที่กลายเป็นคนที่แอบชอบ
ดูเป็นมิตรภาพ ครอบครัว เพื่อนพ้องที่ผูกพันมากๆ (ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ที่ผูกพันกันขนาดไม่ใช่พี่น้องแท้ๆแต่ทำตัวยิ่งกว่าครอบครัว)
ขอให้โรมผ่านเรื่องนี้ไป ถ้ายังให้คำตอบตัวเองไม่ได้ เราก็ไม่อยากให้ที่หนึ่งเจ็บอะ งือออ
รอตอนต่อไปปป

ออฟไลน์ Ametyst

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #354 เมื่อ28-03-2016 10:29:17 »

น้ำตาไหลพรากกกก ที่หนึ่งกลับมาเถอะ...สงสารน้องโรม

ออฟไลน์ nnewy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #355 เมื่อ28-03-2016 16:39:07 »

โรมน่าสงสารจัง

ออฟไลน์ GMJeam

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #356 เมื่อ28-03-2016 17:38:55 »

รอต่อไปด้วยใจจดจ่อ

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #357 เมื่อ28-03-2016 18:37:18 »

รอออออออออออ อยากอ่านอีกแง้  :z3:

ออฟไลน์ nnewy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
«ตอบ #358 เมื่อ01-04-2016 14:49:05 »

มารอโรมอีกวัน

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
«ตอบ #359 เมื่อ01-04-2016 19:22:33 »

บทที่ 24
 
[Side : ที่หนึ่ง]

   สายลมพัดพาความร้อนมาจนรู้สึกแสบหน้า แดดในเวลาบ่ายยิ่งทวีคูณความทรมานเข้าไปอีกยามที่ต้องมายืนอยู่ตรงนี้ หน้าพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าสีแห้งที่มีแผ่นหินอ่อนตั้งอยู่ข้างรูปปั้นแบบกรีก

   ตรงหน้าคนที่เป็น 'ที่หนึ่ง' ของโรม

   ยืนอ่านคำที่สลักไว้จนครบนานแล้วก็ยังมองมันต่อไป ปล่อยให้ร่างกายซึบซับความหน่วงที่อยู่รอบกายจนกว่าจะเต็ม ผมไม่เคยมีความคิดที่จะย่างกรายมาที่นี่เสียเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งเมื่อเช้าเห็นเพื่อนเชคอินอยู่ตรงสถานที่ที่ดูแล้วแปลกประหลาดไปเสียหน่อย แคปชั่นสั้นๆ ว่า 'มาเยี่ยมนางฟ้า' ช่วยให้เข้าใจอะไรได้มากขึ้น ผมเลยรีบเปิดหาแผนที่การเดินทางไปยังสถานที่นั้นบนอินเทอร์เน็ต ขับรถออกมาจากคอนโดทันที รีบจนกระทั่งลืมว่าควรที่จะแวะหาดอกไม้มาเยี่ยมตามมารยาทที่ดี

   มีดอกไม้ช่อใหญ่วางอยู่ตรงนั้นแล้วตอนที่ผมไปถึง ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่ผมว่ามันก็เหมาะสำหรับนางฟ้าอย่างเธอดี สมแล้วที่เป็นที่รักของใครหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนๆ นั้นคือโรม

   มีอะไรที่อยากลองทำความรู้จักกับ 'ความรัก' ของโรมหลายอย่าง แต่ก็ทำได้เพียงยืนมองชื่อนั้นอยู่เงียบๆ คนเดียว ผมจำหน้าของเธอไม่ค่อยได้ ที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นสีผมที่อ่อนกว่าเด็กไทยทั่วไปเพราะว่าเป็นลูกครึ่งก็เท่านั้น ไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่านั้น

   ก็นะ ผมเคยสนใครอื่นนอกจากโรมเสียทีไหนล่ะ

   มีเสียงฝีเท้าหลายคู่ใกล้เข้ามาทุกที เห็นแค่คนที่เดินนำมาผมก็รีบหลบไปยังมุมอับที่อยู่ไกลออกไปพอสมควร ชายหญิงห้าคนที่เดินมาด้วยกันอย่างพร้อมเพรียงหยุดอยู่ตรงหน้าแผ่นหินที่เมื่อกี้ผมอยู่เมื่อครู่

   ช่วงเวลาหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าคนเหล่านั้นเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนที่ไม่แม้แต่จะเคยเดินสวนกัน ใครที่ต่อให้ผมพยายามที่จะรู้จักและเข้าใจมากแค่ไหนก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปในเส้นเขตแดนของพวกเขาได้ ผมชะเง้อหาน้องเล็กอยู่นานสองนาน คนตัวเล็กที่สุดอยู่ตรงกลางโดนบังจากพวกคุณพี่คนอื่นจนเกือบมิด เท่าที่เห็นก็แค่ส่วนหัวที่ไม่ใช่สีน้ำตาลแบบเดียวกับของผมแล้วเท่านั้น

   ...เปลี่ยนแล้วเหรอ

   ทำท่าเหมือนคนที่มีความผิดติดตัวร้ายแรง ซึ่งที่จริงจะเรียกอย่างนั้นก็ได้นะ การที่ผมหยุดตามที่น้องเสนอมามันก็คือการบอกแล้วว่าผมเลือกที่จะจบทุกอย่างไว้ตรงนั้น ผมไม่ควรเสนอหน้ามาให้พวกเขาเห็นอีก ที่สำคัญที่สุดคือผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไรกับสิ่งที่ผมทำลงไป

   ทุกอย่างดำเนินมาถึงจุดนี้จากเพียงหนึ่งรูปถ่ายที่ถูกอัพโหลดขึ้นบนโลกออนไลน์ ในวันเกิดของน้องโรมที่ผ่านมา

   "อ้าว วันนี้วันเกิดโรมเหรอ"

   หน้านิวฟีตของเฟสบุ๊คถูกยื่นมาให้ผมดู มันเป็นรูปที่อัพเดตขึ้นบนหน้าวอลล์ของนิชเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้ว กลุ่มของน้องโรมห้าคนนั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกันโดยมีเค้กแบ่งชิ้นอยู่ตรงกลาง มีเขียนอธิบายไว้ง่ายๆ ว่าสุขสันต์วันเกิดน้องเล็ก

   "เออ" ตอบพลางกลับไปให้ความสนใจกับตัวอักษรเป็นพรืดที่อยู่ในโปรแกรมเวิร์ด

   "อ้าวฉิบหายล่ะ แล้วทำไมมึงไม่บอกกู"

   "บอกทำไม?"

   "มึงไม่ต้องไปเซอร์ไพรส์อะไรอย่างนี้หรือไง?"

   หยุดการรัวแป้นคีย์บอร์ดพลัน ปรายตาไปมองเพื่อนสนิทของตัวเองที่ยังคงมองมาที่ผมโดยที่ยิ้มล้อไปด้วย ผมไม่ได้หงุดหงิดมากสักเท่าไหร่ที่โดนเรียกตัวให้มาช่วยงานด่วนอย่างนี้ เข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องมันก็อยู่นอกเหนือการควบคุม อีกอย่างผมเองก็เตรียมการทุกอย่างสำหรับคนพิเศษอย่างเขาไว้หมดแล้ว ถ้าสามารถออกจากที่นี่ได้ตอนหกโมงอย่างที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกยังไงก็ทันตามแผนที่วางไว้

   "อะไร คิดว่ากูไม่รู้?"

   "รู้เรื่องอะไรล่ะ" หยั่งเชิงไปก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งทำอะไรให้เขารู้ว่าผมกำลังประหลาดใจกับสิ่งที่เขากำลังพูดถึงอยู่มากแค่ไหน

   "ก็มึงกับโรมไง"

   เราเป็นเพื่อนกันมานานเกินว่าที่จะกั๊กสิ่งที่ต้องการจะสื่อออกไป แม่งพูดกับผมสบายๆ เหมือนกำลังบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะไปเที่ยวนะอะไรอย่างนั้น คือมันควรจะเว้นที่ว่างให้ผมได้หายใจหายคอหน่อยไหมล่ะ เรื่องนี้ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครรู้เลยจริงๆ

   "รู้?"

   "ใครไม่รู้ก็ตาบอดแล้วป่ะวะ" คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยมีใครอื่นพูดประโยคประมาณนี้มาก่อน "โชว์ออกนอกหน้าซะชนาดนั้น ยังไม่รวมที่มึงกอดกันกลมที่ยิมอะนะ"

   "เชี่ย..." ตอนนั้นผมไม่มีอารมณ์มานั่งแคร์สายตาใครหรอก ตอนแรกก็เฟลที่น้องไม่ยอมตอบคำถามของเหล่าพี่ชายไปอยู่นะ พอเห็นหน้าน้องตอนที่เห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนั้นแล้วจะให้ดราม่าใส่ผมก็ทำไม่ลงหรอก คิดอะไรไม่ออกก็กอดแม่งเลย อยากจะทำมานานแล้วแต่ไม่กล้าสักที น้องตัวเล็กที่คล้ายว่าจะจมหายไปในร่างของผมตอนที่รัดไว้อย่างนั้น ไม่ดิ้นหรือว่าออกอาการประท้วงจนผมแอบเนียนกอดต่อไป

   "มึงอย่ามาอึ้งแดก กูไม่ได้ซีเรียสที่่มึงอินเลิฟกับผู้ชาย"

   "ใครรู้บ้าง"

   นั่นคือที่สุดแล้วของความกังวลที่ผมกำลังมี น้องโรมไม่ชอบความวุ่นวายหรือเป็นจุดสนใจ ผมเลยเลี่ยงที่จะแสดงออกถึงความสัมพันธ์ของเราในทุกทาง

   "ใครไม่รู้บ้างดีว่า หลายคนก็มาถามกูอยู่"

   "จริงจัง?" ผมพอรู้อยู่แล้วว่าคนในชุมนุมบาสคณะคงเข้าใจกันไปโดยปริยาย ก็ผมเล่นพามาทุกวันเสียอย่างนั้น แต่กับเพื่อนมหาลัยอื่นที่แทบไม่ได้เจอกันเลยในช่วงหลังแล้วมันก็เป็นอะไรที่อยู่นอกเหนือการคาดคะเนไปมากโขอยู่ แล้วไอ้การที่บอกว่าใครไม่รู้บ้างดีกว่าที่ผมควรตีขอบเขตยังไงให้ครอบคลุม

   "เออดิวะ ที่มึงขึ้นไปร้องเพลงให้กลางร้านแล้วพอลงมาก็สร้างโลกอยู่กันสองคน ทุกคนแม่งก็ฟันธงกันหมดแล้ว"

   "ถ้ามึงไม่บอกกูก็ยังไม่รู้..."

   ไม่ว่าสายข่าวจะเป็นใครก็ตามตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่ามีบางคนคอยตามชีวิตของผมอยู่ บางคนที่ทำให้เรื่องของเราสองคนกลายเป็นเรื่องของใครหลายคนไปเสียอย่างนั้น

   "มึงไม่สนใจเองไง ถ้ามองจากมุมกูมันก็มีคนอยากเสือกแหละ แต่อีกฝั่งแม่งดันเป็นโรม ลองเสนอหน้าดูกูว่าคุณพี่ทั้งหลายแม่งได้ตามเก็บเหี้ยน"

   ท่าทางสยองขวัญของเพื่อนสนิทตลกมากกว่าดูสะพรึงกลัว ต่างจากที่ผมเคยบอกที่ไหนล่ะ ใครอยู่ชั้นมัธยมมาด้วยกันรู้ซึ้งดีว่าไม่ควรหาเรื่องกับกลุ่มนี้ทั้งนั้นแหละ ผู้มีอิทธิพลของแท้

   "ก็ไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย" ไม่ต้องทำมันแล้วงานน่ะ มาคุยกันให้รู้เรื่องน่าจะดีกว่า

   "ไม่ขนาดนั้นเลยครับพ่อคุณ เอารูปเขาขึ้นเป็นโปรไฟล์ตั้งกี่วันหา?"

   "ไม่กี่วันเอง น้องโรมไม่ชอบ"

   "นี่ดีนะที่มึงไม่ค่อยอัพรูปอะไรมาก เพจคิวท์บอยอะไรก็เลยไม่ค่อยตามชีวิตมึงเท่าไหร่"

   "ถ้าไม่มีใครตามกูก็อยากจะอัพเหมือนกันนั่นแหละ" น้องโรมน่ารักจะตายไป ผมมีอัลบั้มแอบถ่ายเก็บไว้ตรึมเลย

   "สัตว์เอ๊ย กูล่ะเหนื่อยใจ"

   "เออ ก็อย่าเอาไปพูดต่อแล้วกัน"

   ตัดปัญหาให้จบกันแค่ในวงนี้ มันไม่ใช่คนปากมากอยู่แล้วเพราะงั้นไม่ต้องห่วงเรื่องที่เราคุยกันตรงนี้จะกลายเป็นหัวข้อสนทนาของใครอื่นในอนาคตหรือเปล่า

   "กลัวอะไรขนาดนั้นวะ นี่คือคบกันแล้ว?"

   "เปล่า"

   "อ้าว"

   "ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ได้มีสถานะอะไร" ยักไหล่ขึ้นอย่างไม่ยี่หระเท่าไหร่ "สบายใจทั้งสองฝ่าย"

   "จริงเหรอวะ? อย่างนี้ก็มีด้วย?"

   "ได้อยู่ด้วยกันแค่นี้ก็เกินกว่าที่กูหวังไว้แล้วมึง"

   ที่เคยหวังก็แค่ได้คุยพูดคุยทักทายกันเสียบ้างก็พอ ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อน เลยไม่ค่อยรู้สึกว่าคำว่าแฟนนี่มันสำคัญอะไรกับชีวิตขนาดนั้น เพื่อนรอบข้างแต่ละคนก็ใช้คำว่าแฟนได้ไม่เหมือนกันสักราย จนผมว่ามันเป็นคำที่ดูไม่มีค่าอะไรไปแล้ว

   "จะว่าไปมึงก็เก่งนะ รับเรื่องอะไรแบบนี้ก็ได้ด้วย"

   "นี่มันสมัยไหนแล้วครับ แค่กูชอบผู้ชาย"

   "กูไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นไอ้ห่า เอาอีกเรื่องดิ"

   "เรื่องอะไร"

   มันตบหน้าผากเสียงดัง หยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่เพิ่งวางลงไปขึ้นมาอีกครั้ง "ตั้งใจฟังที่กูกำลังจะพูดนะ เห็นไหมว่าเค้กมีหกชิ้น"

   เมื่อกี้เอาแต่สนใจหน้าที่ไม่ยอมยิ้มของน้องโรมเลยไม่ได้สังเกตว่ามันจำนวนชิ้นเค้กอย่างที่บอก "อ่าฮะ"

   "แต่ในรูปมีห้าคน ถูกไหม?"

   "เจ้าของวันเกิดกินสองไง น้องโรมชอบของหวานอยู่เหมือนกัน"  แผนที่จะซื้อเค้กปอนด์คงต้องเป็นพับไป เอาเป็นแค่ชิ้นเล็กๆ ก็พอแล้วมั้ง

   "ไม่ใช่ว้อย! มึงฟังกูนะไอ้สัตว์" เพื่อนคนนี้ของผมไม่ค่อยมีท่าทีจริงจังมากเท่าไหร่ เพราะอย่างนั้นพอเขาเปลี่ยนไปอยู่ในโหมดทางการผมเลยต้องเงียบปากไป

   "มึงจำได้ป่ะว่ากลุ่มแบล็คมีกี่คน"

   "ถ้าตอนนี้ก็ห้า ใครเคยบอกกูนะว่าผู้หญิงอีกคนไปเรียนต่อนอก"

   "เออ ผู้หญิงคนนั้นอะ ชื่อลัจ"

   "ใครนะ?" ชื่อแปลกๆ ที่ออกมาจากปากของเพื่อนสนิทไม่ค่อยคุ้นหู "ชื่ออะไร"

   "ลัจ ที่กูเคยชอบอยู่ช่วงหนึ่งอะ" พอเขาใช้คีย์เวิร์ดอย่างนี้ค่อยนึกออกลางๆ ผู้หญิงที่เป็นมีเชื้อของชาวต่างชาติ เด่นที่สุดเวลาเข้าแถวตอนเช้า

   "แล้วไงวะ?" ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ ก็เพื่อนที่ห่างกันมันก็ต้องคิดถึงกันอยู่แล้วสิ อย่างผมเองก็ยังเคยตัดแปะเอาหน้าของเพื่อนที่ไม่มางานเลี้ยงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาพเลย

   "ก็โรมชอบลัจไม่ใช่หรือไง"

   "..."

   เหมือนมีใครเอาน้ำเย็นมาสาดจนหน้าของผมชาไปทั้งหมด เรื่องที่เพิ่งออกมาจากปากของเขาเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน แล้วมันก็มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ทุกอย่างรอบตัวของผมกลายเป็นพื้นที่สุญญากาศไปพลัน มันคงเห็นผมเปลี่ยนสีหน้าเลยถามต่อ "อย่าบอกนะว่าไม่รู้?"

   "...ไม่เลย"

   คำบอกเล่ารื้อฟื้นหนึ่งเสียงของราชาที่ถามผมว่ามั่นใจแค่ไหนที่จะเดินหน้าต่อไป นั่นคือเหตุผลที่เขาพยายามผลักผมออกไปสินะ นั่นคือ 'อดีต' ที่แบล็คบอกใช่หรือเปล่า

   เขาต้องการจะบอกผมว่าโรมมี 'ที่หนึ่ง' อยู่แล้ว

   ในช่วงแรกน้องก็ชัดเจนเรื่องที่ไม่อยากให้ผมเข้าใกล้นะ พอนานๆ เข้าแล้วที่เขายอมทำตามที่ผมบอกอยู่บ่อยครั้งมันเลยกลายเป็นว่าผมเข้าใจไปเองว่าเขาคงยอมรับผมมากขึ้น ทุกอย่างมันกำลังไปในทิศทางที่ดีขึ้น จนลืมไปว่าต่อให้สร้างทางเดินไว้สวยงามเพียงไหนถ้ามันไม่ใช่ทางที่น้องจะเดินมันก็จบอยู่ดี

   "งานงอกล่ะกู มาทำครอบครัวคนอื่นแตกรึเปล่าวะ"

   "ไม่หรอก"

   "กูหนอกู ปากพาซวยชัดๆ"

   "แล้วตอนนี้ลัจอยู่ไหนเหรอ..."

   จะได้รู้ว่าผมมีเวลาเป็นตัวสำรองอยู่ตรงนี้อีกนานเท่าไหร่

   "อยู่บนนั้น" นิ้วของเขาชี้ขึ้นไปบนเพดานห้อง

   "บนนั้น?"

   "ใช่ อยู่บนท้องฟ้า"

   "ท้องฟ้า?"

   เอาแต่ถามกลับไปจนมันตีหน้าเหวอใส่ เพื่อนตัวสูงของผมดูหงุดหงิดกับการที่ผมไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น

   "ไม่รู้เรื่องนี้ได้ไงวะ ...เออใช่ ตอนนั้นช่วงที่มึงไปเที่ยวกับที่บ้านแหง ใช่ๆ ที่มึงไปทัวร์ยุโรปฉลองสอบติดอะ"

   นั่นไม่ใช่การไปเที่ยวฉลองสอบติดเสียหน่อย มันก็แค่เป็นช่วงเวลาที่บังเอิญตรงกันเท่านั้นเอง หลังจากจบชั้นมัธยมผมไม่ได้ตามข่าวสารของคนรอบตัวรวมถึงไม่ค่อยเข้าไปอัพเดตชีวิตตัวเองมากเท่าไหร่ ทั้งขี้เกียจโดนด่าเรื่องเปลี่ยนที่แอดมิชชั่นโดยไม่บอกใคร แล้วก็ต่อให้เข้าไปก็ไม่มีเรื่องที่เกี่ยวกับน้องโรมให้ตามอยู่ดี

   "มึงช่วยเล่าอะไรที่เป็นสาระสำคัญหน่อยเถอะ"

   "นางฟ้ากลับไปอยู่บนฟ้า" นางฟ้าคงหมายถึงเธอ ชื่อที่ใช้เรียกกันไม่ต่างกับราชาหรือว่าผู้เสียสละ "อุบัติเหตุ...เสียชีวิตทันที"

   "..."

   ได้แต่เงียบอย่างนั้นระหว่างฟังรายละเอียดปลีกย่อย ที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าไปเรียนต่อก็ไม่ผิดสักเท่าไหร่เพราะวันนั้นคือวันที่เธอกำลังเดินทางไปยังสนามบินจริงๆ

   จากที่เคยถามเวลว่าเคยรู้สึกแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มไหม มันกลายเป็นเรื่องของการแข่งที่ไม่มีทางชนะ

   ทุกอย่างถูกเตรียมไว้เกือบพร้อมแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ผมวางแผนงานนี้มาสักพักหนึ่งแล้วล่ะ กราบกรานอ้อนวอนคุณพ่อตาตั้งนานถึงยอมร่วมมือในการพาน้องกลับมาตามเวลาที่ผมขอไว้ ตัวเลขอะไรที่แตกต่าง...แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองสำคัญ เหยียบไว้ตรงนี้เลยนะว่าผมไปเอารายละเอียดเฉพาะตัวพวกนี้มาจากไหนน่ะ อาสาอาจารย์ตอนมอห้าไปช่วยจัดเรียงเอกสารในห้องทะเบียนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

   เลยกลายเป็นว่าผมไม่ได้อยู่ช่วยงานต่อ และเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เลยกลับมาถึงห้องก่อนเวลาที่ตั้งใจไว้มากพอสมควร ตุ๊กตาสองตัวในห้องที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนั่งรอให้ผมมาจัดการอยู่อย่างนั้น หัวที่ยังตื้อจากคำบอกเมื่อกี้สั่งให้ผมลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น ย้อนกลับมาถามตัวเองอยู่อย่างนั้นว่าสิ่งที่ผมทำอยู่ผมทำไปเพื่ออะไรกันแน่

   ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองควรอยู่ตรงนี้ต่อไป...

   "หายไปไหนมา!"

   ตาของเขาเป็นประกายแวววับตอนที่เห็นผม น้องโรมเป็นพวกพูดน้อยจนผมต้องมานั่งแปลความหมายเอาเอง พอเห็นน้องเอาแต่โวยวายงอแงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนก็เลยต้องหาวิธีปิดปากเสียหน่อย ยิ่งตอนที่พูดตะกุกตะกักว่าผมทำอะไรลงไปยิ่งน่ารักขั้นสิบ เขินไหมมันก็เขินล่ะ แต่โอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ นี่

   Happy Birthday to R

   น้องไม่รู้หรอกว่าตอนที่ตัวเองหลับไปแล้วผมเอาแต่นั่งจ้องคำนี้อยู่ไม่หลับเสียที ถามว่ามีความสุขไหมที่เห็นอะไรอย่างนี้บนเฟสตัวเองคงต้องตอบว่าแฮปปี้โคตรๆ มีหลายคนเข้ามากดไลค์รวมถึงคอมเมนท์อีกเพียบ พวกกลุ่มบาสเองก็แซวไปตามประสาแบบที่ไม่ได้ออกชื่อแต่ก็รู้ว่าเป็นใคร จะมีคอมเมนท์เดียวที่แตกต่างก็จากราชาสีดำที่เข้ามาพร้อมแปะมาตราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของวิธีการคิดดอกเบี้ย หน้าเลือดแบบที่น่าจะมาเรียนทางบัญชีมากกว่ากฎหมาย

   แต่ในความสุขมันก็ยังมีอะไรที่ติดค้างอยู่มากมาย โดยเฉพาะสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อช่วงสาย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็จะฝืนตัวเองไม่ให้หลุดปากพูดอะไรอย่างนั้นออกไปอยู่หรอก ดีนะที่น้องไม่ได้สงสัย ไม่อย่างนั้นผมเองนี่แหละที่จะต้องตายแน่

   "ก็บอกแล้วว่ารู้หมดแหละ"

   รู้ว่าตำแหน่งที่อยากได้คงไม่มีทางขึ้นไปถึง

   หรือมันถึงเวลาที่ผมต้องตั้งคำถามให้กับตัวเองได้แล้วว่าโรมคิดยังไงกับผมอยู่ เหมือนอย่างที่นิชเคยถามนั่นแหละ น้องอาจไม่มีท่าทีต่อต้านอย่างช่วงแรกแล้วแต่ว่าเขาก็ยังไม่สามารถชัดเจนอะไรได้สักอย่าง หมายถึงว่ารวมถึงตัวผมเองด้วยที่ไม่เคยบอกว่ารักออกไปอย่างจริงจังสักครั้ง จะเคยบอกก็แค่ว่าชอบเท่านั้นเอง

   ชอบ...ที่อาจเทียบไม่ได้กับเสี้ยวรักที่เขาให้อีกคน

   "ลูกที่คนนึงเป็นฆาตกร ส่วนอีกคนก็ควรจะตายไปตั้งนานแล้วน่ะเหรอครับ"

   คนบาป

   ผู้เสียสละ

   ตอนที่ได้ยินเกรย์พูดอย่างนั้น สิ่งแรกที่โผล่เข้ามาในหัวผมคือชื่อที่พวกเขาใช้เรียกกัน แล้วมันก็ยิ่งมีข้อสนับสนุนการสันนิษฐานของผมเข้าไปอีกเมื่อตอนที่ไวท์หนีออกไปจากห้องอย่างนั้น แต่ว่าผู้หญิงที่ดูเฉยชาต่อทุกสิ่งอย่างนั้นน่ะเหรอจะดับเปลวเทียนชีวิตของใครได้...


***
มีต่อนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด