อังเดรมองกระเป๋าเดินทางใบเล็กอย่างฉุนเฉียวก่อนโยนมันไปไว้ที่มุมหนึ่งของห้องและเดินขึ้นไปตามบันได สายตาของเขาเห็นว่าซูเล่ยกำลังเดินออกมาจากห้องของเอเดรียนและมองมาทางบันไดเช่นกัน เมื่อสายตาสบประสาน ซูเล่ยก็เบือนหลบทันควัน
ขณะเดินสวนกัน ซูเล่ยเอาแต่มองไปข้างหน้า ทำเสมือนว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน ยิ่งเพิ่มพูนโทสะของอังเดรเป็นเท่าทวี
ทั้งที่ห่วงใยและเสี่ยงเอาตัวเข้าช่วยเหลือขนาดนั้น แต่ซูเล่ยกลับเห็นว่าเป็นแค่เรื่องไร้สาระอย่างนั้นหรือ?
คำถามที่ผุดขึ้นมากระตุ้นให้ชายหนุ่มคว้าตัวพี่เลี้ยงของลูกสาวก่อนอีกฝ่ายจะลงบันไดไปและลากเข้าไปในห้องนอนซึ่งบัดนี้เหลือแต่เฟอร์นิเจอร์เพราะข้าวของส่วนตัวถูกนำออกไปหมดแล้ว และเมื่อประตูปิดลง ซูเล่ยก็ถอนหายใจพลางเสสายตามองพื้นห้อง
“ต้องการอะไรครับ?” เขาถามอย่างเย็นชา
“คิดจะไปโดยไม่อธิบายอะไรหน่อยหรือยังไง?” อังเดรเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดูจะไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่พูดต่อโดยไม่เว้นจังหวะ “โดยเฉพาะเรื่องที่เธอเป็นน้องชายของมารีน”
“น้องชาย? ผมไม่คิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะเรียกแบบนั้นได้ และเธอก็ไม่คิดว่าผมเป็นน้องไม่อย่างนั้นคุณน่าจะเคยได้ยินชื่อผมบ้างไม่ใช่หรือ?” จู่ ๆ ท่าทีของซูเล่ยก็ขึงขังจริงจังขึ้นมาในแบบที่อังเดรไม่เคยเห็น “สำหรับคุณแล้วผมไม่มีตัวตนจนกระทั่งเมื่อครึ่งปีก่อน และคุณก็ไม่ได้ต้องการให้ผมมีตัวตนอยู่แต่แรก การที่ผมจะหายไปจากชีวิตของคุณกับเอเดรียนมันมีปัญหาตรงไหนกัน”
คำพูดของซูเล่ยอาจจะถูกต้องหากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อน แต่ตอนนี้...
“มีแน่” ชายหนุ่มร่างสูงกดเสียงลงต่ำก่อนก้าวเท้าเข้าไปคว้าแขนอีกฝ่ายและบีบแรงจนใบหน้าคมบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บ “คิดว่าบ้านหลังนี้เป็นอะไร จะมาก็มาจะไปก็ไป ถ้าฉันไม่อนุญาต พ่อของเธอจะทำอะไรอีก? จะแจ้งความจับฉันข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวด้วยเลยไหม!?” พร้อมกับที่ถามเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ก้าวเข้าหาจนซูเล่ยต้องถอยหลังจนกระทั่งขาสัมผัสขอบเตียง หากถอยอีกก้าวเขาก็จะล้มลงจึงจำต้องยืนเฉยและปล่อยให้อังเดรเข้าประชิดตัวจนรู้สึกถึงลมหายใจที่พ่นแรงเหนือศีรษะซึ่งแสดงถึงอารมณ์โกรธขึ้งรุนแรง
“เขาจะมาสนใจอะไร!” ซูเล่ยตวาดกลับเพราะเมื่อได้ยินอังเดรเอ่ยอ้างถึงพ่อของตน “ถึงขนาดผมจะถูกฆ่าตายอยู่แล้วเขาก็ยังนิ่งเฉย ถึงคุณจะชกผม หรือหักแขนขาผม หรือจะโยนผมลงจากบันไดให้หัวแตกอีกรอบเขาก็ไม่ระคายเคืองสักเท่าไหร่หรอก!” เขาพูดออกมาจากใจจริง ถึงแม้อังเดรจะโกรธเคืองและทำร้ายร่างกายเขา แต่ลามอนต์ก็คงมองว่าเป็นแค่หนอนแมลงที่ถูกเหยียบขยี้จนบอบช้ำเท่านั้น
“เขาระคายเคืองแน่!” ทันใดนั้นร่างของซูเล่ยก็ถูกผลักลงกับเตียงอย่างแรง ตามด้วยการทาบทับจากด้านบน ดวงตาของอังเดรฉายแววเฉียบขาดและทิ่มแทงเสียจนเจ็บไปถึงข้างใน เจ้าตัวฝืนละเลยความเจ็บบริเวณสีข้างและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ่อตรงหน้าซูเล่ย ให้เห็นเบอร์โทรศัพท์ที่เขากำลังจะกดโทรออก “ถ้าหากเขารู้ว่าเธอทำอะไรกับฉันบนเตียงหลังนี้ล่ะก็...”
อังเดรพูดไม่ทันขาดคำ ซูเล่ยก็เบิกตากว้างแล้วเอื้อมมือหมายจะคว้าโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้น แต่เจ้าของก็ดึงหลบได้ทันท่วงทีก่อนจะก้มลงขย้ำเขี้ยวบนเนินไหล่โดยแรง
ชายหนุ่มร่างเล็กร้องอุทานเพราะความเจ็บและทุบมือไปบนหลังอีกฝ่าย ผู้ถูกเอาคืนกลับไม่ยี่หระ เขาโยนโทรศัพท์มือถือไปไว้บนโต๊ะเล็กและคว้ามือซูเล่ยที่วาดตามตรึงไว้เหนือหัว
การที่ซูเล่ยแสดงออกว่าหวาดกลัวที่จะถูกเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเขา ยิ่งทำให้อังเดรบันดาลโทสะมากกว่าเก่า ชายหนุ่มฝากรอยฟันไว้อีกครั้งที่ลำคอและเนินบ่า ซึ่งซูเล่ยทำได้เพียงสะดุ้งผวา กลั้นเสียงร้อง และพยายามผลักไสด้วยมือที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว
“หยุด...อึก!” ในขณะที่พยายามจะห้ามปราม ฝ่ามือใหญ่ก็สอดเข้าใต้เสื้อ ตะโบมนวดเฟ้นอย่างไร้ความปรานีไปทั่วร่างพร้อมกับต้นขาซึ่งกดลงมาจนเจ้าตัวต้องพยายามถดตัวหนีแต่ก็ไร้ผล
“ร้องอีกสิ เขาจะได้ได้ยินชัด ๆ” สีหน้าและแววตาของ อังเดรจริงจังเสียจนซูเล่ยเผลอกลั้นหายใจและเหลือบตามองไปยังโทรศัพท์มือถือซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังต่อสายอยู่จริงหรือไม่ แต่เพราะความไม่แน่ใจผนวกกับท่าทางของอังเดรทำให้เจ้าตัวไม่กล้าเปล่งเสียงแม้สักครึ่งคำ ครั้นจะต่อต้านให้รุนแรงขึ้นเขาก็พลันสังเกตเห็นสีหน้าแสดงความเจ็บปวดของอังเดร ทำให้ไม่กล้าขยับตัวมากนักเพราะอาจจะไปกระทบบาดแผลจากรอยมีดให้เปิดออก เป็นโอกาสให้อังเดรรุกเร้าได้มากกว่าเดิม
เสื้อถูกสลัดออกเป็นสิ่งแรก ทั้งเขาและอังเดรต่างเหลือเพียงท่อนบนเปล่าเปลือยและร่องรอยบนร่างกาย ต่างกันก็เพียงบนร่างกายอังเดรมีแค่รอยมีดที่ถูกปิดทับด้วยสำลีก ส่วนซูเล่ยเต็มไปด้วยรอยจูบและขบกัดแทบทั้งตัว กลายเป็นรอยสีแดงพาดบนเนื้อขาวเนียนจำนวนนับไม่ถ้วน
ตัวซูเล่ยในเวลานี้ไร้ความพยายามต่อสู้โดยสิ้นเชิง เจ้าตัวหอบหายใจระรวยทั้งใบหน้าแดงซ่าน แผ่นอกสะท้านขึ้นลงภายใต้แสงแดดสีแดงส้มที่ส่องเข้ามาในห้องผ่านบานหน้าต่าง
“อ...” เสียงถูกเปล่งผ่านลำคอแค่เพียงสั้น ๆ เมื่อกางเกงถูกถอดออกไปและเรือนกายเบื้องล่างถูกรุกล้ำบีบเค้นหมายจะกระตุ้นให้ทั้งสุขสมและเจ็บปวดไปพร้อมกัน
ซูเล่ยยังอดสงสัยตนเองไม่ได้ ว่าเหตุใดภายในส่วนลึกของเขาจึงได้ยินยอมที่จะถูกกระทำอย่างนี้ สมองของเขาขาวโพลน คิดไม่ออกกระทั่งว่าจะทำอย่างไรต่อไป และเมื่อถูกรุกล้ำเข้ามาจนถึงภายใน สติสัมปชัญญะก็พลันระเหิดหายกลายเป็นหมอนควันเจือจาง ทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงแต่เลือดในกายกลับสูบฉีดพลุ่งพล่านจนร้อนรุ่ม ผุดพรายออกมาเป็นเหงื่อเม็ดใสแต้มพรมบนใบหน้าที่แดงซ่านไม่ต่างกับโดนลวกด้วยน้ำร้อนจัด ทั้งที่อากาศในยามนี้แม้ไม่ได้เย็นเยียบจับใจแต่ก็ไม่ได้อบอุ่น ทว่ารอบกายของสองร่างที่กอดก่ายแนบชิดกลับประหนึ่งมีไอร้อนอบอวลพร้อมกับกลิ่นอายของความใคร่กรุ่นกำจาย
-------------------------->
รอยเลือดสีแดงบนสำลีและความเจ็บที่ลามไปทั้งซีกซ้ายของร่างกายทำให้เจ้าของร่างคาดเดาว่าแผลคงจะฉีกอย่างที่คิด ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นอย่างระมัดระวังและทุลักทุเล จนเมื่อสามารถนั่งได้สำเร็จ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองคนข้างตัวซึ่งเหนื่อยอ่อนสะสมมาตั้งแต่เมื่อวานจนหลับใหลไม่ได้สติไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มเกลี่ยปอยผมสีดำสนิทออกจากใบหน้าชื้นเหงื่อเพื่อเพ่งพิศมองดูอีกฝ่ายให้ชัดเจนภายใต้แสงสลัวราง ทำให้มองเห็นเพียงเครื่องหน้าซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็นน้องชายแท้ ๆ ของมารีน เพราะมารีนเป็นผู้หญิงที่สวยคมแบบฉบับชาวอเมริกัน แต่ซูเล่ยกลับมีรูปหน้าที่ฉีกไปทางเอเชียอย่างเด่นชัด มีส่วนที่ผสมกับความเป็นอเมริกันบ้างก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งส่งเสริมให้ใบหน้าดูน่าพิศมองมากขึ้นราวกับจงใจ
หลังจากสำรวจใบหน้าอยู่นาน สายตาก็เลื่อนไปตามเรือนร่างซึ่งถูกฝากร่องรอยไว้นับไม่ถ้วน น่าแปลกที่เขารู้สึกพึงพอใจอยู่ลึก ๆ เมื่อเห็นตราประทับเหล่านี้ มันเป็นความรู้สึกของการได้ครอบครองบางสิ่งบางอย่างและไม่ต้องการปล่อยให้หลุดมือ
อังเดรตลบผ้าห่มให้อีกฝ่ายก่อนกุมสีข้างและลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งเอาเข้าจริง มันไม่ได้ต่อสายไปหาใครเลย...
เขาเดินออกมาจากห้องเพื่อปล่อยให้ซูเล่ยพักผ่อนและคิดว่าตนเองน่าจะไปดูเอเดรียนเสียหน่อย แต่แล้วกลับได้ยินเสียงกุกกักจากชั้นล่างทั้งที่ไฟไม่ได้เปิด ชายหนุ่มจึงเดินลงไปดูและเห็นเงาตะคุ่มของเด็กหญิงในชุดสีชมพูอ่อนกำลังค้นหาของในตู้เย็น
“เอเดรียน?” เขาเอ่ยเรียกแล้วกดสวิตช์ไฟ
“แดดดี้!?” เอเดรียนเองก็แปลกใจไม่น้อยที่เห็นพ่อลงมาในเวลาอย่างนี้ แต่ใบหน้าขาวซีดของเด็กหญิงทำให้ผู้มองรู้ว่าเธอต้องอาศัยความกล้าเป็นอย่างมากที่จะลงมาถึงข้างล่างทั้งที่มือเอื้อมไม่ถึงสวิตช์และไม่มีใครให้พึ่งพา การปรากฏตัวของอังเดรทำให้เอเดรียนตกใจจนเกือบกรีดร้องแต่ก็กลายเป็นความยินดีในเวลาต่อมา เธอโผกอดพ่อโดยละทิ้งข้าวของที่ค้นออกมาจนเต็มพื้นทันที
“เอเดรียน ลงมาทำอะไรคนเดียวน่ะหือ?” อังเดรกอดลูกสาวพลางลูบหลังให้หายตกใจ สายตาก็พลันเห็นของกินมากมายวางเรียงราย “หิวหรือ?”
เอเดรียนพยักหน้ารับ
“เอเดรียนตื่นมาก็มืดแล้ว แดดดี้กับซูก็นอนไปแล้ว เอเดรียนก็เลยไม่กล้าปลุก...” เธอซุกหน้ากับบ่ากว้าง นึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่พ่อตื่นขึ้นมาทำให้เธอไม่ต้องผจญภัยในความมืดที่แสนน่ากลัวเพียงลำพัง
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแดดดี้จะทำแซนด์วิชให้เอาไหม?” เขาเสนอแล้วอุ้มลูกสาวไปนั่งบนเก้าอี้สำหรับเด็กก่อนก้มลงเก็บข้าวของที่ถูกรื้อค้น ทว่า... “อึก...” รอยแผลที่ปริแตกเพราะการฝืนออกแรงทำให้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตามใจคิด แม้จะเป็นแค่การเผลอเปล่งเสียงเบา ๆ แต่เอเดรียนก็ได้ยิน
“แดดดี้เจ็บแผลเหรอ?”
“นิดหน่อยน่ะ”
“แต่เลือดซึมออกมาเยอะ...แดดดี้จะไม่เป็นไรใช่ไหม?” สีหน้าของเอเดรียนไม่สู้ดีเมื่อเห็นสำลีฉ่ำไปด้วยเลือดสีแดงคล้ำ ทำให้เธออดคิดถึงตอนที่ซูเล่ยตกบันไดไม่ได้
ชายหนุ่มยิ้มบางแล้วเอื้อมมือลูบศีรษะทุย
“เดี๋ยวพรุ่งนี้แดดดี้จะไปหาหมอ ให้เขาทำแผลให้ใหม่” ได้ยินอย่างนั้นสีหน้าของเด็กหญิงก็ดีขึ้นเพราะหมดห่วง จึงยิ้มตอบแล้วนั่งแกว่งขารอแซนด์วิชรอบดึก
แม้จะขยับลำบากแต่อังเดรก็จำต้องฝืนทำแซนด์วิชสองชุดเพราะตนเองก็เริ่มหิวแล้วเช่นกัน อีกทั้งหากไม่กินอะไรรองท้องก็กินยาไม่ได้ และถ้าเขานอนโดยไม่กินยาคงต้องปวดจนนอนไม่หลับแน่ ๆ แต่เพราะไม่อยากให้เอเดรียนสังเกตเห็นความทรมานของตนเอง เขาจึงหาหัวข้อมาเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าตัวเสียก่อน ซึ่งหัวข้อที่นึกได้ในตอนนี้กลับเกี่ยวพันกับซูเล่ย
“เอเดรียน จำนิทานที่ซูเคยเล่าให้ฟังได้ไหม?”
เด็กหญิงพยักหน้ารับ
“แต่ว่าจำได้แค่นิดเดียว” เธอหยิบนิ้วประกอบ
“ไม่เป็นไร เล่าเท่าที่จำได้เถอะ พอเล่านิทาน แดดดี้จะได้ลืมความเจ็บไง” ด้วยคำอธิบายที่ดูไม่เป็นเหตุเป็นผลนักแต่กลับได้ผลสำหรับเด็กวัยนี้ เอเดรียนจึงขมวดคิ้วเพื่อนึกถึงเรื่องราวที่ได้ยินผ่านหูเพียงครั้งเดียวอย่างตั้งใจ และค่อย ๆ ถ่ายทอดออกมาเท่าที่สมองเล็ก ๆ จะจดจำได้
------------------------------------>
อีกด้านหนึ่ง ชายวัยกลางคนกำลังเคาะนิ้วกับโต๊ะไม้ขัดเงาตัวใหญ่ ตรงหน้าคือโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งวางสายจากใครบางคนและทำให้เขาต้องครุ่นคิดหนัก
เขาไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นสิ่งที่ผิด ตราบใดที่ทุกกอย่างดำเนินไปอย่างที่วางแผนไว้ เพราะทุก ๆ สิ่งเกิดจากการคิดคำนวณอย่างรอบคอบทั้งผลได้และผลเสีย จนกระทั่งถึงจุดที่คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และมีโอกาสผิดพลาดน้อยที่สุด เขาจึงจะตัดสินใจลงมือทำ
ทว่า...ในครั้งนี้ในใจของเขากลับกระสับกระส่าย
‘พ่อ’
เป็นครั้งแรกที่เด็กคนนั้นเรียกเขาเช่นนี้หลังจากหลายปีที่ทำตัวห่างเหินอย่างจงใจ ราวกับว่าสถานภาพครอบครัวได้สิ้นสุดลงไปพร้อมกับช่วงวัยที่เลยผ่าน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงมองเด็กคนนั้นในแบบเดิมที่เคยมอง เฝ้าดูในฐานะที่สามารถทำได้และจัดไว้ในสถานที่ที่เหมาะสม กระนั้น ในครั้งนี้ที่เจ้าตัวจำต้องเสี่ยงอันตราย แม้เขาจะคำนวณอย่างดีและผ่านไปตามแผนที่วางไว้แล้วแต่กลับไม่ได้ช่วยให้สบายใจขึ้นกว่าเดิมเลยสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อซูเล่ยขอกลับมาทำงานเหมือนเดิม...
“ไม่ได้เห็นทำสีหน้าแบบนั้นนานแล้วนะคะ” เสียงหนึ่งทักขึ้นก่อนจะปรากฏหญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินออกมาจากหลังบานประตูที่ไม่มีเสียงเคาะบอกล่วงหน้า
“บางครั้ง...” เขาเปรยขึ้นมาและหยุดแค่นั้น แต่หญิงสาวก็ทำสีหน้าเข้าใจ
“คงจะถึงเวลาแล้วล่ะมั้งคะ?”
เธอว่าโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม ลามอนต์ก็พยักหน้ารับ...
TBC
เพลงหงเฉินเค่อจ้าน(โรงเตี๊ยมฝุ่นแดง/โรงเตี๊ยมสีชาด) สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่
หงเฉิงเค่อจ้าน