#3.1คอนโดเหล้ารัมอยู่ไม่ไกลจากมหา'ลัยของผมเท่าไหร่นัก แต่กลับทำให้ผมตื่นเต้นสุดๆ! เพราะมันเป็นคอนโดที่ผมเคยขอพ่อกับแม่อยู่ตอนสอบติดสถาปัตย์ ทว่าพวกท่านค้านหัวชนฝา ด้วยเหตุผลที่ว่า
'ผมต้องอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดของพ่อและแม่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้' (เหตุผลยาวเนอะ) ก็เลยต้องอดไปตามระเบียบ
แต่แล้วใครจะคิดล่ะว่าสุดท้ายเหล้ารัมจะเป็นคนขับแลมโบกินี่สีฟ้าพาผมเข้ามา ก่อนจะกดลิฟต์ชั้นสิบสามเพื่อเดินนำทางมายังห้อง
หนึ่งสามหนึ่งสามซึ่งเป็นห้องด้านในสุดของชั้นนี้ และเมื่อประตูเปิดออก...
"ว้าววววววววว~"
ผมก็ถึงกับต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ!
เพราะว่าการตกแต่งภายในนั้นช่างสวยงามและหรูหราเสียจนทางเดินด้านนอกที่ตกแต่งไว้อย่างดูดีมีระดับแล้วก็ยังหม่นหมองลงไปถนัดตาเมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน
เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสมลงตัวที่สุดสำหรับพวกมัน ราวกับว่าทุกชิ้นถูกเลือกมาเพื่อให้แม็ทช์กับโทนของห้องซึ่งเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นสีน้ำทะเลลึก ดูสงบเยือกเย็น ทว่าแซมความสว่างสดใสอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ด้วยไฟหลากหลายจุดและพื้นสีเทาอ่อน เกิดเป็นบรรยากาศแปลกใหม่ของที่พักอาศัย ที่ไม่ว่าคุณจะนิ่งเฉยหรือกำลังมีชีวิตชีวา ก็สามารถใช้ห้องห้องนี้อยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
พื้นที่ในส่วนของห้องนั่งเล่นที่ผมกำลังยืนอยู่นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกัน โดยการนำเอาชั้นหนังสือมาวางกั้นไว้ ซึ่งถ้าลองหันหลังให้ประตูห้อง โซนฝั่งซ้ายมือจะถือว่าเป็นห้องนั่งเล่นขนานแท้ เพราะมีทุกอย่างที่ห้องนั่งเล่นพึงมี ไม่ว่าจะเป็นทีวีจอแบนติดผนัง ตู้ใส่ของใต้ทีวีที่เป็นกระจกใสโชว์เครื่องเล่นสุดล้ำ และโซฟาเข้าชุด เป็นต้น ส่วนฝั่งขวามือเป็นโซนสำหรับโต๊ะกินข้าวซึ่งตรงกับประตูระเบียง พอถัดไปทางขวาอีกหน่อยก็จะเป็นโซนห้องครัวติดกับห้องน้ำที่มีการแบ่งอาณาเขตชัดเจนด้วยเคาน์เตอร์ยาวที่กั้นกลางระหว่างครัวกับโซนโต๊ะกินข้าวเอาไว้ ถือว่าเป็นห้องที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างกว้างมาก ยิ่งเพดานสูงชนิดที่ว่าสามารถแขวนแชนเดอเลียขนาดใหญ่ไว้ได้อย่างไม่รู้สึกอึดอัดแบบนี้ ยิ่งช่วยเพิ่มความใหญ่โตของห้องได้อีกหลายเท่าตัว
ช่างเป็นห้องในฝันของผมจริงๆ!
"เป็นไง พออยู่ได้มั้ยครับ : )"
แล้วเหล้ารัมที่ปล่อยให้ผมยืนชมห้องเงียบๆ อยู่พักใหญ่ๆ ก็ถามขึ้น ซึ่งคำถามของเขาถึงกับทำให้ผมต้องหันกลับไปมองด้วยหน้าตาที่สื่อความหมายว่า 'ล้อเล่นรึเปล่า!?'
ในเมื่อ.. "จะมีใครที่อยู่ห้องแบบนี้ไม่ได้ บ้าง นี่มันสวรรค์บนชั้นสิบสามชัดๆ!"
แถมเจ้าของห้องก็หล่อด้วยพอได้ยินแบบนั้น เหล้ารัมก็ขำออกมาเล็กน้อย คงจะรู้สึกตลกกับอาการตื่นๆ ของผมที่ไม่มีทางปิดบังได้มิด ก่อนที่นายผมบลอนด์จะถอดรองเท้าแล้วเก็บเข้าตู้ไม้เล็กๆ ที่อยู่ติดกับประตู ผมก็เลยต้องรีบถอดรองเท้าบ้าง แล้วทำตามโดยที่ไม่ถามอะไรออกไป
"งั้นเดี๋ยวผมพาไปดูห้องนอนของคุณดีกว่า หวังว่าคุณจะชอบมันเหมือนกับที่ชอบห้องนั่งเล่นนะ" คราวนี้เหล้ารัมยิ้มแซวๆ ทำเอาผมนี่เขินเลยครับ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผมนั้นปลื้มโซนห้องนั่งเล่นทั้งหมดที่ตาเห็นจริงๆ
เพราะฉะนั้นก็เลยเป็นอีกครั้งที่เดินตามเหล้ารัมไปอย่างไม่มีปากมีเสียง ซึ่งเป็นประตูที่อยู่ติดกับโซนห้องนั่งเล่นฝั่งซ้าย โดยมีสองประตูอยู่คู่กัน ในขณะที่ใจก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นที่หลับนอนของตัวเอง
ก๊อกๆๆ"เคาะทำไม มีใครอยู่หรอ?" จริงๆ ตอนแรกก็กะว่าจะไม่ถามอะไรแล้วนะ แต่การกระทำของนายพ่อมดเหล้า (ขอเรียกย่อๆ บ้างในบางครั้ง) มันทำให้ผมอดไม่ได้จริงๆ ในเมื่อตอนนี้เราน่าจะอยู่กันแค่สองคน แล้วทำไมถึงต้องเคาะประตูด้านขวาด้วย?
"ผมเสกคาถาน่ะ ตกแต่งห้องนิดหน่อย เพราะก่อนหน้านี้มันเป็นห้องโล่งๆ จนคุณย้ายเข้ามาอยู่เนี่ยแหละ" รอยยิ้มที่มาพร้อมกับคำอธิบายของคนตรงหน้าทำให้ผมคลายความสงสัยอย่างง่ายดาย และหลังจากนั้นเหล้ารัมก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง โดยมีผมที่เดินตามเข้าไปติดๆ
และ...
"ว้าววววววววว~"
...เป็นอีกครั้งที่ผมตื่นตาตื่นใจ!
ในเมื่อห้องนอนที่เหล้ารัมบอกว่า 'เป็นของผม' นั้นเป็นอะไรที่ตกแต่งได้สวยงามและดูอบอุ่นมาก และที่สำคัญคือมีห้องน้ำในตัวด้วย!
ถึงแม้ว่าโทนห้องจะยังเป็นสีน้ำทะเลลึกผสมกับสีเทาอ่อนไม่ต่างจากห้องนั่งเล่น แต่การตกแต่งที่ใช้สีเหลืองแซมเข้าไปกลับช่วยเพิ่มความดูดีให้ตัวห้องจนผมรู้สึกตกหลุมรักมันเข้าอย่างเต็มเปา โดยเฉพาะผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้มลายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีเหลืองตรงหน้า ทำเอาผมล่ะอยากจะทิ้งตัวลงไปหามันจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจเหล้ารัมและยังไม่ได้อาบน้ำน่ะนะ
แต่ในจังหวะที่ผมกำลังจะหมุนตัวเพื่อหันมาบอกเหล้ารัมว่าผมชอบห้องนอนใหม่ของตัวเองมากแค่ไหน จู่ๆ ผมก็คิดขึ้นได้ว่าทุกอย่างเกือบจะสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ขาด...
"เป็นอะไรไป จู่ๆ ก็เลิกยิ้ม ทำแบบนี้ผมใจคอไม่ดีนะ" เหล้ารัมขมวดคิ้วมุ่น ดูท่าว่าจะรู้สึกเหมือนที่เขาพูดออกมาจริงๆ เพราะครั้งล่าสุดที่รอยยิ้มของผมหายไปแบบกะทันหัน ก็เป็นตอนที่ผมบอกเขาว่า..ผมกำลังจะตาย
แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดนั้นหรอก เพียงแต่สำหรับผมมันก็เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เช่นกัน ตะ..แต่ว่าถ้าพูดออกไป.. เหล้ารัมจะหาว่าผม
ปัญญาอ่อนมั้ยนะ?
"คือ.." ผมอึกอัก ในเมื่อปากอยากพูด แต่ใจมันกลับไม่กล้าพอ
"ว่าไงครับวาฬ บอกผมเถอะ ผมอยากรู้" จนเห็นว่าหน้าตาค่อนไปทางตะวันตกของเหล้ารัมเริ่มเต็มไปด้วยความกังวลนั่นแหละ ผมก็เลยต้องยอมกลั้นใจพูดออกไปด้วยความร้อนที่สองข้างแก้มอย่างเสียไม่ได้!
"คือ..ผมลืมเอาตุ๊กตาปิกาจูมาด้วย"
"..."
"มะ..มันมีทั้งหมดเก้าตัว"
"..."
"แล้วผมก็ติดพวกมันมากๆ"
"..."
"ถ้าไม่มี.. เอ่อ... ผมคงนอนไม่หลับ"
"..."
ซึ่งพอพูดออกไปแล้ว ผมก็รู้สึกอยากตีปากตัวเองแรงๆ สักสามที!
ถึงเหล้ารัมจะไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาก็เถอะ แต่รอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆ กว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นรอยยิ้มหวานที่เหมือนติดจะแซวผมหน่อยๆ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมอยากกลืนทุกคำพูดของตัวเองกลับเข้าไปให้หมด หรือไม่ก็อยากจะมีเครื่องลบความทรงจำแล้วทำให้เหล้ารัมลืมเรื่องปิกาจูไปซะ
เพราะต่อให้จะชอบเจ้าหนูไฟฟ้านั่นขนาดไหน แต่ยังไงสายตาคนนอกผมก็อายุยี่สิบแล้ว มาร้องหาตุ๊กตาเป็นเด็กๆ แบบนี้ มันช่าง.. น่ะ...น่าอายชะมัด!!
"ก็นึกว่าเรื่องอะไร : )" แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าสองข้างแก้มมันร้อนขึ้นกว่าเดิมสี่ถึงห้าเท่า เมื่อถึงเวลาที่อีกฝ่ายตอบกลับมาจริงๆ ไม่ใช่ว่าผมยังไม่ชินกับรอยยิ้มแซวๆ ของเหล้ารัมหรอกนะ แต่พอมันอยู่ในบริบทที่ผมแสดงความเป็นเด็กออกไปแบบนี้ ไม่อายก็บ้าแล้วว่ะ!
เป๊าะ!แต่ในขณะที่ผมกำลังจะหลบตาลงมองพื้นเพื่อบรรเทาความอายให้กับตัวเอง เสียงดีดนิ้วของเหล้ารัมก็ดึงความสนใจของผมไว้ แล้วทันใดนั้น เจ้าปิกาจูทั้งเก้าตัวที่มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกันก็ปรากฏตัวขึ้นบนเตียงโดยพร้อมเพรียง!
ผมรู้ตัวเลยว่าถ้สเป็นผู้หญิงผมคงส่งเสียงกรี๊ดด้วยความดีใจไปแล้ว แต่นี่ผมเป็นผู้ชายใสใสไงครับ ก็เลยเปลี่ยนเป็นกระโจนลงไปกอดปล้ำพวกมันด้วยความคิดถึงแทน
ทั้งกอดทั้งจุ๊บแก้มพวกมันทุกตัวเหมือนที่ชอบทำประจำเวลากลับถึงห้องนอน จนลืมไปว่า...
"คิก.."
...มีใครอีกคนที่กำลังยืนดูการกระทำอันขาดสติของผมอยู่ในตอนนี้!
"เอ่อ..." ผมชะงักตัวลุกขึ้นนั่งหลังตรงทันทีเมื่อได้ยินเสียงหลุดหัวเราะของเหล้ารัมที่ตอนนี้ยืนเกาะอกเอาหนังพิงกำแพง ในขณะที่ริมฝีปากหยักยิ้มขำขัน "ทะ..โทษที พอดีผมลืมตัวไปหน่อยน่ะ"
นี่ถ้าผมเอาผ้าห่มคลุมโปงแล้วแกล้งหลับไปตอนนี้ มันจะเป็นทางออกที่ช่วยให้หายอายมั้ยนะ!?
"ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ตอนเด็กๆ ผมก็เคยติดตุ๊กตาเซนทอร์เหมือนกัน ผมเข้าใจฮ่าๆๆ~" แล้วดูเหล้ารัมดิ ปากบอกว่าเข้าใจ แต่ก็ยังหัวเราะไม่เลิกเนี่ยนะ!? อะ..ไอ้พ่อมดบ้า! "งั้นก็ตามสบายนะ ผมไปอาบน้ำก่อน ถ้ามีอะไรก็ไปเคาะเรียกผมได้เลย ห้องนอนผมอยู่ประตูฝั่งซ้าย ข้างๆ ห้องคุณนั่นแหละ"
"โอเค" ผมตอบรับอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่อยู่ในจุดที่จะต่อปากต่อคำกับเหล้ารัมได้ ก็เลยได้แต่นั่งมองเขาเดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ (ยัง ยังไม่เลิก!) จนกระทั่งร่างสูงเดินไปถึงประตูห้องที่ยังคงเปิดกว้างไว้นั่นแหละ จู่ๆ ผมก็คิดถึงเรื่องที่อยากจะพูดขึ้นมาได้ "เหล้ารัม" เลยตัดสินใจเรียกเขาเอาไว้
"ว่าไง" ส่วนนายพ่อมดก็หันกลับมาหาด้วยแววตาสงสัย ทั้งๆ ที่รอยยิ้มยังคงไม่จางหายไป
"ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามคุณเลยว่าเราต้องทำพันธะสัญญากันเมื่อไหร่" นี่ผมไม่ได้จะเร่งเร้าอะไรนะ แค่ถามไปตามเรื่องเท่านั้นเอง
"อืม... ไว้เป็นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน วันนี้คุณพักผ่อนเถอะ"
"โอเค" พอได้ยินคำตอบ ผมก็หยักไหล่ตอบรับอย่างไม่ซีเรียส ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง ตั้งใจว่าจะหยิบเสื้อผ้าในตู้ไปอาบน้ำบ้าง ถึงแม้ว่าตอนมาจะมาตัวเปล่าก็เถอะ แต่ตอนที่อยู่ที่บ้านน่ะ นายพ่อมดเขาใช้คาถาเสกให้เสื้อผ้าของผมย้ายมาอยู่ที่นี่หมดแล้วแหละ รวมถึงของใช้ที่จำเป็นอย่างแม็คบุ๊คกับพวกหนังซื้อเรียนด้วย (ผมเห็นว่าวางอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือติดกับหน้าต่างฝั่งขวานะ) ในขณะที่หางตาก็เห็นว่าอีกคนกำลังจะเดินออกจากห้องไป
"เดี๋ยวๆ เหล้ารัม" ..ก็เลยเป็นอีกครั้งที่ผมเรียกเขาให้อยู่ต่อ เพราะดันนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้พอดี
ทำเอาอีกฝ่ายที่ถูกเรียกถึงสองครั้งเดินถอยหลังกลับเข้ามายืนกอดอกด้วยหน้าตายิ้มๆ ทำนองว่า 'วันนี้เขาจะได้ออกจากห้องนี้มั้ย?' แล้วยืนรอให้ผมพูด
"ขอบคุณนะ"
แล้วเพียงแค่สามพยางค์จากปากผม ก็ทำให้สีหน้าของเหล้ารัมเปลี่ยนแปลงไป..
จากรอยยิ้มที่เคยแซวๆ ก็กลายเป็นรอยยิ้มของคนที่กำลังรู้สึกยินดี (หรืออย่างน้อยๆ ผมก็คิดแบบนั้น) ซึ่งมันมาพร้อมกับนัยน์ตาสีม่วงอ่อนที่ฉายแววอ่อนโยนทว่าส่องประกายจริงจังกว่าครั้งไหนๆ ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาตอบรับความรู้สึกขอบคุณที่มาจากใจของผมแล้ว
ผมเลยปล่อยให้เขาเดินจากไปอีกครั้งพร้อมกับปิดประตูห้องนอนให้ โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ทว่า..ในใจกลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกมากมายภายใต้ความเงียบเหล่านั้น.. และมันก็ช่างดีกับใจของผมเหลือเกิน
ก็.. ไม่รู้หรอกนะว่าเหล้ารัมจะเข้าใจความหมายของคำขอบคุณที่ผมพูดไปมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเขาถาม ผมคงจะต้องบอกว่า คำขอบคุณนี้มีไว้สำหรับผู้ชายอย่างเขาที่เข้ามาช่วยเหลือในเวลาที่ผมต้องการมากที่สุด ขอบคุณที่ไม่ถอดใจไปเสียก่อนทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าผมกำลังจะตายในอีกไม่ช้า และขอบคุณอย่างยิ่ง..ที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป
เพราะผมรู้ดีว่าหลังจากที่ตัดสินใจย้ายมาอยู่กับเหล้ารัม ชีวิตของผมต่อจากนี้คงจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
หวังว่านะ
ป.ล. หากใครอยากพูดคุยอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใน twitter ฝาก #พ่อมดเหล้า เพื่อง่ายต่อการตามอ่านของคนเขียนนะครับ ขอบคุณมากๆ เลยครับ
my page :
https://www.facebook.com/hamsterisanauthor/