บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[2]“ไปให้พ้นหน้าข้า ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก!”
เสียงโวยวายดังลั่นประหนึ่งจะพังสวรรค์ให้เป็นจุณดังออกมาจากปากของแม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือ ดวงตาคมประกายวาวมองคนที่นั่งหมอบบนพื้นเบื้องหน้าอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ ขณะที่เทพชั้นผู้น้อยอันเป็นชนวนเหตุของความกราดเกรี้ยวตัวสั่นเทา มือคว้าเอาเศษซากมวลบุปผชาติที่ตั้งใจจัดใส่ตะกร้ามารวมกันเป็นกองเดียวพัลวัน ก่อนที่น้ำเสียงสั่นระริกจะดังขึ้น
“ขะ...ข้าน้อยขออภัย หลิวซูผู้นี้หาได้ตั้งใจทำให้ท่านแม่ทัพขุ่นเคืองไม่”
ท่าทางหวาดกลัวนั่นดูน่าสงสารยิ่งนัก กระนั้นก็หาได้ทำให้เจี้ยนสืออารมณ์เย็นลงได้เลย กลับกัน... ทำให้เขาเดือดดาลมากขึ้นไปอีก
“หึ! ไม่ตั้งใจทำให้ข้าขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือ? เจ้ามันช่างไม่เจียมตัว เป็นเพียงเทพในโรงครัว ริอ่านจะเทียบเคียงแม่ทัพสวรรค์อย่างข้า จะกำแหงไปหน่อยแล้ว!”
“ข้า...ข้าน้อยขออภัยขอรับ ข้าน้อยช่างโง่เขลานัก ไม่เจียมตัวถึงได้ทำให้ท่านแม่ทัพระคายใจ”
ยิ่งถูกก่นด่าก็ยิ่งก้มหน้ารับความผิด ทั้งที่ความผิดของเขานั้นน้อยนิดยิ่งนัก สิ่งนั้นเริ่มจากการที่หลิวซูหลงรักใคร่แม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือจนไม่อาจกักเก็บความปรารถนาไว้ได้ ในใจของเขานั้นใคร่จะบอกความนัยไป จึงไปเก็บดอกไม้สวรรค์มาร้อยเรียงลงในตะกร้าสานเพื่อนำไปมอบให้ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เหล่าเทพธิดากระทำเมื่อมีใจเสน่หาเทพหนุ่มองค์ใด นั่นก็เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎสวรรค์ ทว่าก็มีการลักลอบทำกันอยู่เป็นเนืองนิตย์ หลิวซูกระทำเช่นนั้นเพราะเผลอไผลคิดไปเองว่าเจี้ยนสือคงจะใจดีดังเช่นเทียนอี้ แม้ไม่มีใจปฏิพัทธ์แต่ก็คงจะรับตะกร้าบุปผชาติไว้ด้วยความยินดี ดังนั้นถึงเหาะมาถึงสวรรค์ชั้นสิบสอง นำมามอบให้ถึงตำหนัก เพราะเหตุนี้ เจี้ยนสือถึงได้บรรลุแก่โทสะ คว้าตะกร้านั่นมาขว้างทิ้ง อีกทั้งสบถด่าทออย่างไม่ไว้หน้า
“ไม่เพียงแต่เจ้าจะทำให้ข้าระคายใจ ยังทำให้ข้าอยากจะดับดวงจิตของเจ้าให้เป็นเถ้าธุลีอีกด้วย เจ้าเทพไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! เทพนั้นมิอาจมีรัก เจ้าลืมไปแล้วหรือไร แล้วนี่เจ้ายังเป็นบุรุษ อีกทั้งยังต่างชั้นต่างบารมีจากข้าอยู่โข กล้าดีอย่างไรกัน!”
ไม่แปลกหากเจี้ยนสือจะโกรธเกรี้ยว เขาเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ต่างๆ ของสวรรค์ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ทหารเทพองค์ใดในการดูแลละเมิดกฎเพียงเล็กน้อย เขาก็หาได้ปรานีทั้งสิ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ถูกเปรียบเทียบดั่งอสรพิษร้าย
“ขะ...ข้าน้อยขออภัย” หลิวซูทำอะไรไม่ได้นอกจากจะคุกเข่าคำนับจนหน้าผากติดพื้น พร่ำพูดคำเดิมไม่หยุดหย่อน
ทว่าก็หาได้ทำให้เจี้ยนสือระงับโทสะได้เลยแม้แต่น้อย
“กล้าละเมิดกฎสวรรค์ถึงเพียงนี้ หนำซ้ำยังทำให้ข้าอับอาย ข้าคงจะปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้”
อับอายที่ว่านั้นหมายถึงเพราะหลิวซูเป็นเทพบุรุษ การถูกอีกฝ่ายรักใคร่หาใช่เรื่องยินดี ขนาดเหล่าเทพธิดาที่เคยหลงใหลกับรูปโฉมของเขา เจี้ยนสือยังไม่ไว้หน้า ประสาอะไรกับหลิวซูกันเล่า
พูดจบก็สะบัดมือ อาวุธประจำกายก็ปรากฏขึ้นมา หลิวซูกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาไม่ได้คาดหวังให้เป็นเช่นนี้ เห็นทีการเป็นเทพของเขาคงดับสูญแต่เพียงเท่านี้แน่
แต่สวรรค์ก็หาได้ไร้เมตตาขนาดนั้น เทียนอี้ที่แวะเวียนลงไปยังโรงครัวสวรรค์ไม่พบเจอหลิวซูจึงกลับมายังเบื้องบนและแวะเวียนไปหาเจี้ยนสือ หมายจะร่ำสุราทิพย์เป็นการแก้เบื่อเข้ามาเห็นสหายกำลังบันดาลโทสะใส่หลิวซูพอดีก็รีบปรี่เข้าไปห้ามปราม
ดาบของเจี้ยนสือสะบัดลงมา ดาบของเทียนอี้ก็เข้าสกัด เสียงของโลหะกระทบดังกัมปนาท ครั้นเจี้ยนสือเหลือบมอง เทียนอี้ก็เปิดปากออกมาพลัน
“เกิดเหตุอันใดขึ้น ไยเจ้าต้องลงไม้ลงมือกับซูซูถึงเพียงนี้!”
ฟังดูก็รู้ว่าไม่พอใจ แต่คนที่ไม่พอใจยิ่งกว่าคือเจี้ยนสือ
“เจ้านั่นนำตะกร้าบุปผชาติมามอบให้กับข้า เจ้าคิดว่าข้าเดือดดาลด้วยเหตุผลใดกันเล่า!”
เพียงเท่านั้น เทียนอี้ก็เข้าใจได้โดยพลัน ชำเลืองไปมองหลิวซูที่ยังคงตัวสั่นงันงก คุกเข่าอยู่ทางด้านหลังอย่างไม่เชื่อสายตา
“นี่เจ้าบอกไปหรือ?”
ไร้ซึ่งคำตอบจากหลิวซู มีเพียงใบหน้าซีดเผือดเท่านั้น
“หึ! ที่แท้เจ้าก็รู้กัน ในเมื่อเจ้ารู้ว่าหลิวซูละเมิดกฎสวรรค์ เหตุใดจึงไม่ห้ามปราม!” กลายเป็นว่าเจี้ยนสือเอาผิดกับสหายตนแล้ว
เทียนอี้ออกแรงผลักให้อีกฝ่ายออกห่าง จากนั้นถึงได้ลดดาบในมือลง
“เพราะข้าหาได้เห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงจึงไม่ได้บอกไป”
“ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอย่างนั้นหรือ? มันทำให้ข้าอับอาย เจ้าเข้าใจหรือไม่!? หากเทพองค์อื่นรู้ มีหวังข้าคงถูกนำไปเล่าขานเป็นเรื่องขบขันว่ามีเทพบุรุษมามีใจปฏิพัทธ์ด้วยเป็นแน่!”
ที่แท้ที่เจี้ยนสือโกรธนั้นหาใช่เรื่องการละเมิดกฎสวรรค์ แต่เป็นเพราะเขาห่วงชื่อเสียงของตนมากกว่า หลิวซูชะงักงันในตอนนี้ ในใจเจ็บปวดพร่างพราย เทียนอี้เข้าใจในสิ่งที่เจี้ยนสือพูดและเข้าใจอุปนิสัยหลงระเริงในบารมีของสหายเป็นอย่างดี แต่ทว่า...ใจของเขากลับเข้าข้างหลิวซูที่บัดนี้ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา
“ข้าก็เห็นว่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องหัวเสียถึงเพียงนี้แต่อย่างใด เจ้าใจเย็นลงก่อนเถิด ซูซูไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าขุ่นเคือง” ไม่เพียงแต่เข้าข้าง ยังแก้ตัวให้อีกด้วย
หากแต่เจี้ยนสือไม่ฟังอีกต่อไปแล้ว เขาหงุดหงิดเสียจนทนไม่ไหว ออกปากไล่อย่างไม่ไว้หน้า
“ข้าจะใจเย็นลงแน่เมื่อเจ้าลากเจ้าเทพนั่นออกไปจากตำหนักข้า และเก็บมวลบุปผชาติที่นำมาไปให้หมดสิ้น อย่าให้เหลือเศษซากด้วย!”
ยิ่งฟังก็เหมือนมีหนามทิ่มแทงลงมากลางใจ หลิวซูได้แต่ขานรับเสียงพร่าว่า ‘ขอรับ’ ขณะที่เทียนอี้ได้แต่เหลือบมองและพยายามจะพูดกับเจี้ยนสืออีกครั้ง
“เจี้ยนสือ เจ้าน่ะ...”
“ข้าจะออกไปข้างนอก หากกลับมาแล้วยังเห็นเจ้าอยู่ในตำหนักข้า อย่าหาว่าข้าไร้เมตตา”
พูดยังไม่ทันจบ เจี้ยนสือก็เอ่ยแทรกขึ้นมา อีกทั้งยังเป็นการพูดกับหลิวซู พลันก้าวเท้าเหยียบย้ำดอกไม้ทิพย์สีสดและบดขยี้มันเสียพินาศ เช่นเดียวกับใจของหลิวซูที่ถูกบดขยี้จนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี แต่นั่นยังไม่ทำให้เจี้ยนสือพอใจ ครั้นเห็นเทพชั้นผู้น้อยมองมายังเท้าของตน เขาก็พูดออกมา
“และจงจำไว้ให้ขึ้นใจ ต่อให้ผ่านไปอีกกี่ร้อยกี่พันปี ข้าก็จะไม่มีวันรักเจ้า เทพอย่างข้าจะไม่ลดตัวลงไปชายตาเทพชั้นต่ำเช่นเจ้าเป็นอันขาด ข้าจะไม่ละเมิดกฎสวรรค์เพื่อเจ้า”
สิ้นเสียงก็เดินจากไป ปล่อยให้หลิวซูนั่งจมจ่อมอยู่กับความผิดหวัง
ในคราแรกที่พบเจอเจี้ยนสือ เขาหาได้มีอุปนิสัยเช่นนี้มิใช่หรือ?
หยาดน้ำตาไหลอาบทั่วใบหน้า ก่อนจะหยดลงสู่พื้น หลิวซูใช้มือทั้งสองข้างกอบเอาเศษซากของดอกไม้ทิพย์ใส่ในตะกร้าที่คว่ำอยู่ตรงหน้า พยายามที่จะสะกดกลั้นความเสียใจไว้แล้ว แต่ไม่อาจทนได้ไหว
เทียนอี้เห็นแล้วก็เวทนายิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายเจ็บปวดมากกว่า พลันทิ้งตัวลงนั่งยองๆ ตรงหน้าหลิวซู หมายจะช่วยเก็บกวาดเศษซาก ทว่าก็ถูกอีกฝ่ายปรามเอาไว้เสียก่อน
“ท่านแม่ทัพเทียนอี้ไม่ต้องช่วยข้าน้อยหรอกขอรับ ประเดี๋ยวมือของท่านจะเปรอะเปื้อน”
“ไม่เป็นไร” เขาว่าเสียงแผ่ว นั่นยิ่งทำให้หลิวซูร้องไห้หนักมากขึ้นไปอีก
“เพราะข้าจุติจากวิญญาณชั้นต่ำ เมื่อเป็นเทพก็มีตบะไม่แก้กล้า กิเลสตัณหายังคงหลงเหลือ ทำให้มิอาจหักห้ามใจได้ จึงเป็นที่ระคายใจให้แก่ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ ความผิดของข้าในครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก”
ถึงจะร้องไห้เสียจนใบหน้าดูไม่ได้ แต่ก็ยังงดงามในสายตาของเทียนอี้เสมอ เขาใคร่อยากจะซับน้ำตาให้อีกฝ่ายนัก และก็ต้องรวดร้าวในอกเสียจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงเมื่อหลิวซูเอาแต่โทษตนเอง
“เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าไม่ดีเอง เพราะข้าไม่เจียมตัว ต่อให้คนที่ข้ารักหาใช่ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือแต่เป็นเทพองค์อื่น ผลก็คงจะเป็นเช่นนี้”
“หากคนที่เจ้ารักเป็นข้า ข้าคงจะไม่ทำกับเจ้าเช่นนี้” เทียนอี้อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
คำที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรียกให้หลิวซูเหลือบมองใบหน้าของเทพตำแหน่งแม่ทัพใหญ่อีกองค์ สีหน้าของเทียนอี้บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้พูดไปอย่างนั้น ...สิ่งที่เขาพูดนั้นสัตย์จริง ก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมมากุมมือของหลิวซูที่อยู่บนพื้น
“หากคนที่ใจของเจ้าปรารถนาเป็นข้า ข้ายินดีที่จะสละทุกสิ่งเพื่อทำให้เจ้ามีความสุข”
หลิวซูมองคนพูดอย่างตะลึงงัน ก่อนที่เทียนอี้ดึงร่างนั้นเข้ามากอด เสียงร่ำไห้ของเทพชั้นผู้น้อยดังก้องไปทั่วตำหนักของเจี้ยนสือราวกับจะขาดใจ เขาช่างโง่เขลานัก ไยไม่เคยมองเห็นเทียนอี้อยู่ในสายตามาก่อน หากเขามีใจปฏิพัทธ์ต่อเทพผู้นี้ ดวงใจของเขาคงไม่ย่อยยับป่นปี้เป็นแน่ แต่ตอนนี้สายไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรในใจก็มีแต่เจี้ยนสือ
ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ออกจากปากของเทียนอี้ เขาไม่ได้คาดหวังสิ่งใดตอบแทนจากการกระทำนี้ มีเพียงอยากจะปลอบประโลมคนในอ้อมแขนด้วยใจจริงเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แขนทั้งสองข้างนี้ก็ยินดีที่จะโอบกอดยอดดวงใจไว้ตราบนิรันดร์...
------------------------
เต็มตอนมาแล้วค่ะ เมื่อวานแอบอู้ไปนิด 555
ตอนนี้พี่หมาน่าน้วยมากเลยโดนนุ้งแมวน้อยซะหนำใจ
ตอนหน้าน่าจะเฉลยปมชาติแรกทั้งหมดค่ะ ตอนที่ 21 เริ่มปมชาติที่สอง ปมซับปมซ้อนมากๆ 555
ตอนใหม่เจอกันพรุ่งนี้นะคะ
ป.ล.หนูแดงกำลังเริ่มเขียนเรื่องใหม่อีกเรื่อง เป็นแนวพีเรียดเกาหลี พระเอกเป็นท่านหมอ
ส่วนนายเอกเป็นแม่ทัพค่ะ เรื่องนี้จะเป็นแนวอิงประวัติศาสตร์หน่อย ใครชอบแนวนี้ไปตามอ่านกันได้ที่นี่นะคะ
เรื่องนี้หวานจนตัวแตกตาย เอาให้เบาหวานขึ้นตากันไปข้าง 55 >>
우리 영원히✶สวรรค์มิอาจพราก