สวัสดีค่ะ ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ติดตามเรื่องนี้นะคะ
เนื่องจากหายไปนานมาก คนเขียนก็ลืมตัวละครเหมือนกันเลยทำเป็นแผนผังมาฝากค่ะ
ตอนที่ 11 : ทบทวน
พ่อเลี้ยงตรัยจ้องมองกระดาษเนื้อดีในมือที่ผู้เป็นเจ้าของเพิ่งเปิดกระเป๋าเอาออกมาอวดทันทีที่มาถึงบ้าน ข้อความในกระดาษระบุว่าลูกชายคนเล็กของเขาได้รับรางวัลรองชนะเลิศการเขียนเรียงความวันแม่ที่ทางโรงเรียนได้จัดกิจกรรมไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะเป็นรางวัลที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนักแต่มันก็ได้สร้างความสุขเล็ก ๆ ให้กับคนเป็นพ่อ ตรัยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางลูบศีรษะหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างเอ็นดู
“ลูกเก่งมาก พ่อภูมิใจในตัวลูกนะ”
“ขอบคุณฮะพ่อ” ตามตะวันยิ้มก่อนจะรับเกียรติบัตรมาเก็บลงในกระเป๋า
“ไม่ค่อยจะเห่อเลย” ชลธรแสร้งกล่าวด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ “ตั้งแต่ได้มาพี่ก็เห็นเอาออกมานั่งชื่นชมทุกวัน แถมยังโทร.มาโม้ให้พ่อฟังแล้วด้วยรอบหนึ่ง”
“ก็พ่อยังไม่เห็นของจริงนี่นา” คนโดนแซวตอบเขิน ๆ
“พ่อก็มีของจะให้ลูกเหมือนกันนะ” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวพลางหยิบถุงกระดาษที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาก่อนจะส่งให้ลูกชาย
ตามตะวันยกมือไหว้งง ๆ รับถุงใบนั้นมาเปิดดู พบว่าข้างในมีกล่องของขวัญใบหนึ่ง มือเล็กค่อย ๆ หยิบกล่องนั้นออกมาบรรจงแกะกระดาษห่อของขวัญและทันทีที่ฝากล่องถูกเปิดออกหนุ่มน้อยก็ยิ้มหน้าบานขึ้นมาทันที
“ชอบหรือเปล่า”
“ชอบมากเลยครับพ่อ ขอบคุณครับ” พูดจบก็ดึงกล้องโพลารอยด์สีสดใสมีลวดลายการ์ตูนเล็ก ๆ ในซองกันกระแทกออกมาลูบ ๆ คลำ ๆ ราวกับกลัวว่ามันจะช้ำ “ตามจะเอาไปถ่ายเจ้าแข็งแรง”
“ใครกัน เจ้าแข็งแรง” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างแปลกใจเมื่อรู้สึกว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“ลูกหมาของพี่เต็มที่ฝากพี่ปุ่นเลี้ยงครับพ่อ”
“ปุ่น?”
“พนักงานไปรษณีย์ที่ชลเคยเล่าให้ลุงฟังไงคะ ลุงก็เจอเขาตั้งหลายครั้งแล้ว เขาชอบมาทานข้าวที่เกสต์เฮาส์บ่อย ๆ”
พ่อเลี้ยงตรัยพยักหน้ากับหลานสาวเมื่อถึงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เคยพบกันที่เกสต์เฮาส์ แต่ละครั้งที่เจอก็รู้สึกคุ้นหน้าแต่นึกไม่ออกเสียทีว่าเคยพบกันที่ไหน
.....
ศิธาพัฒน์ทอดสายตามองเจ้าลูกสุนัขสีดำขาวตัวอ้วนที่นั่งชูคอโต้ลมอยู่ที่ตะกร้าหน้ารถพลางยิ้มน้อย ๆ สังเกตมาหลายหนว่าเจ้าแข็งแรงคงจะชอบเวลาที่สายลมเย็น ๆ ปะทะเข้ากับหน้า เพราะมันมักจะนั่งนิ่งเชิดหน้าไม่กระดุกกระดิกให้ต้องเจ้าของต้องคอยระวังเวลาเอาใส่ตะกร้าหน้ารถไปไหนมาไหนด้วยกันเช่นนี้ เสียงหวีดหวิวลอดผ่านริมฝีปากอิ่มเป็นทำนองเพลงโฟล์กซองคำเมืองตลอดทางจนกระทั่งเมื่อถึงที่หน้าเกสต์เฮาส์ซึ่งอยู่สุดปลายถนน ชายหนุ่มค่อย ๆ ชะลออความเร็วลงในขณะที่เจ้าแข็งแรงก็พรวดพราดลุกขึ้นยืนพลางส่งเสียงเห่าพร้อมกับกระดิกหางด้วยความดีใจเมื่อพบหน้าเด็กหญิงชายสามคนที่กำลังยืนรออยู่
“มาแล้วเด็ก ๆ” พี่ชายใจดีกล่าวพร้อมกับอุ้มเจ้าลูกสุนัขส่งให้เด็กชายร่างเล็ก
“ตัวหนักนะเนี่ยแข็งแรง”
“ขอเราอุ้มบ้างสิตาม” เด็กชายตัวอ้วนกลมกล่าวพลางใช้มืออวบ ๆ ลูบหัวเล็ก ๆ ของเจ้าขนปุยอย่างเบามือ
“ก็ได้” พูดจบก็ส่งเจ้าหมาน้อยให้เพื่อนอุ้มบ้าง
“โห! ตัวมันหนักขึ้นเยอะเลยนะครับพี่ปุ่น ไม่เจอแค่สองอาทิตย์เอง” หมูอ้วนกล่าวพร้อมกับชูลูกสุนัขขึ้นในอากาศ หางที่กระดิกไปมาจนแทบจะหลุดบอกให้รู้ว่าเจ้าหมาน้อยก็ชอบให้ทำแบบนี้เสียด้วย
“มันกินจุมากเลย สงสัยพี่ต้องพาไปวิ่งฟิตหุ่นบ้างแล้วละ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ปุ่นต้องพาหมูอ้วนไปด้วยนะคะจะได้ผอม ๆ” เด็กหญิงผมเปียหัวเราะ
“ว่าไงหมูอ้วน สนใจไปวิ่งกับเจ้าแข็งแรงตามที่ยะหยาว่าไหม” ศิธาพัฒน์หันมาถามเด็กชายแก้มยุ้ยที่กำลังส่ายหน้ารัว
“ไม่ได้หรอกครับพี่ปุ่น ขืนหมูอ้วนน้ำหนักลดแม่ต้องเป็นกังวลแน่ ๆ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“ช่ายยยยยย เพราะหมูอ้วนเป็นโลโก้ของร้านนะ”
ศิธาพัฒน์หัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อนึกถึงห้องแถวสองคูหาในตลาดที่เปิดเป็นร้านข้าวขาหมู ซึ่งเจ้าของเป็นคู่สามีภรรยาร่างท้วม มีป้ายแผ่นใหญ่ติดอยู่หน้าร้านมองเห็นได้แต่ไกลเขียนว่า ‘ขาหมูลูกชาย’ กับโลโก้รูปเด็กแก้มยุ้ยคล้ายกับที่เห็นบนฉลากข้างขวดซีอิ๊วขาวที่แท้ก็มีที่มาที่ไปอย่างนี้นี่เอง
“พี่ปุ่น ยะหยา หมูอ้วน เข้าบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวตามจะไปเอากล้องแล้วเรามาถ่ายรูปกับเจ้าแข็งแรงกัน” ตามตะวันกล่าวพลางเลื่อนเปิดประตูรั้วนำทุกคนเข้าไปในบ้าน
ศิธาพัฒน์เดินไปนั่งกับชลธรที่หน้าเคาน์เตอร์มองพวกเด็ก ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นกับเจ้าขนปุยตัวอ้วนอยู่ที่สนามหญ้า เจ้าหมาน้อยวิ่งไล่คนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเนื่อย บางครั้งก็นอนหมอบลงกับพื้นรอซุ่มโจมตี เมื่อสบโอกาสขาสั้น ๆ ก็วิ่งไล่กวดคนที่เข้ามาแหย่จนลื่นไถลกลิ้งไปกับผืนหญ้าพาให้เด็ก ๆ ได้หัวเราะคิกคักในความตลกของมัน พอเหนื่อยเข้าทั้งคนทั้งสุนัขต่างก็หยุดหอบแต่อยู่นิ่งได้ไม่นานก็เริ่มวิ่งวนไปมาอีกราวกับใส่ถ่าน
“ไม่น่าเชื่อเลยนะ ทั้งที่เคยมีเรื่องต่อยกันจนหน้ายับขนาดนั้นแต่กลับมาเป็นเพื่อนกันได้” สาวร่างบางเอ่ยขึ้นขณะมองน้องชายคนเล็กที่กำลังยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเพื่อน ๆ
“เด็ก ๆ ก็อย่างนี้แหละครับ โกรธกันแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ลืมแล้ว”
“สองคนพี่น้องเหมือนกันไม่มีผิด เจ้าพี่ชายน่ะลองเลือดขึ้นหน้าแล้วละก็ต่อให้หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนไม่เคยกลัวอยู่แล้ว นี่พี่ยังขำที่นายเต็มกลับมาเล่าให้ฟังไม่หายเลย ตอนที่เปิดประตูห้องฝ่ายปกครองเข้าไปเจอสภาพหมูอ้วนน่ะ คิดไม่ถึงว่าตามจะทำได้ขนาดนั้น”
“ฟังที่ตามเล่า ตอนนั้นก็คงเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้วจริง ๆ แหละครับ”
ชลธรพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันไปปรามน้องชายที่กำลังวิ่งหน้าเริดเข้ามาพร้อมกับชูภาพถ่ายในมือ
“สวยไหมครับพี่ชล พี่ปุ่น” ตามตะวันกล่าวพร้อมกับอวดภาพที่ถ่ายกับเพื่อน ๆ และเจ้าลูกสุนัขตัวกลมให้พี่ ๆ ดู
“สวยมากจ้ะหนุ่มน้อย อืม...น่าจะส่งไปให้เจ้าของเขาดูเนอะ เผื่ออยากกลับมาเลี้ยงเองบ้าง” คำพูดของพี่สาวทำให้ตามตะวันต้องหันไปสบตาศิธาพัฒน์อย่างขอความคิดเห็น
......
“เย็นนี้ไปกินข้าวกันไหม”
เต็มฟ้ามองข้อความที่เพิ่งพิมพ์ส่งเข้าไปในโปรแกรมสนทนาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เพียงไม่นานก็ปรากฏการแจ้งเตือนว่าคนที่ปลายทางได้อ่านแล้วแต่ก็ไม่มีข้อความใด ๆ ถูกตอบกลับมา ชายหนุ่มถอนใจพลางเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง รวบดินสอที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะลงในกล่องจากนั้นก็ลุกออกจากห้องทำงานไป
ชายหนุ่มเดินออกจากบริษัทตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าตั้งใจว่าจะกลับไปที่หอพัก แต่แล้วโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ทำให้ต้องหยิบมันขึ้นมาดูอีกครั้งพลันใบหน้าเรียบเฉยก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง
“ว่าไง”
‘เราเห็นเต็มส่งข้อความมา’ คนปลายสายกล่าว
“อืม..ก็เห็นว่าวันนี้ไม่ต้องอยู่ดึก เผื่ออยากกินข้าวด้วยกัน”
‘วันนี้เรานัดกับเพื่อน ๆ จะไปตีแบดน่ะ’
“เราก็แค่ถามเฉย ๆ เผื่ออยากเจอกัน เห็นว่าวันนี้ภูมิว่าง”
‘ก็ว่างแต่เรานัดเพื่อนตีแบดไง เรานัดเพื่อนเอาไว้แล้ว ทำไมเต็มไม่ถามให้เร็วกว่านี้ล่ะ’ คนปลายสายกล่าวเสียงแข็ง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ไว้วันอื่นก็ได้”
‘นี่ไม่ได้โกรธกันใช่ไหม’
“จะโกรธทำไม เรื่องแค่นี้”
‘เจอกันทั้งที ภูมิก็อยากเจอเต็มนาน ๆ อยากไปเที่ยวด้วยกัน อยู่ด้วยกันทั้งวัน เจอกันแค่ไม่กี่นาทีจะเจอกันไปทำไม เต็มเข้าใจใช่ไหม’
ทั้งที่วันนี้อุตส่าห์รีบทำงานให้เสร็จและปฏิเสธนัดเพื่อนเผื่อเอาไว้เพราะเห็นว่าเป็นวันว่างของว่าที่คุณหมอ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้คิดเหมือนกันก็ไม่เป็นไร ไม่เจอกันวันนี้วันหน้าก็ยังมี เมื่อได้ยินเสียงโวยวายของใครสักคนที่ดังแทรกขึ้นมาเต็มฟ้าจึงตัดสินใจตัดบท
“อืม..เข้าใจแล้ว ภูมิไปเถอะเดี๋ยวเพื่อนรอ”
หลังจากวางสายก็เสียบหูฟังเข้ากับโทรศัพท์ปลายนิ้วเลื่อนหาเพลงฟังไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถึงถานีรถไฟฟ้า ทันทีที่ก้าวขึ้นไปบนสถานีก็เห็นบรรดาหนุ่มสาวอ๊อฟฟิศต่างก็ดูรีบเร่งแม้จะเป็นเวลาเลิกงานแล้วก็ตาม บางคนเดินมาด้วยกันแต่กลับไม่ได้คุยอะไรกันเลยเพราะมัวแต่คุยกับอีกคนในโทรศัพท์ ในขณะที่บางคนก็ไม่ทันระวังเดินชนคนอื่นบ้างถูกคนอื่นชนบ้างแต่ก็ไม่มีแม้คำขอโทษเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก แม้เหล่านี้จะเป็นภาพที่เห็นอยู่ทุกวันแต่ก็ไม่ทำให้เต็มฟ้ารู้สึกชินสักที ในที่สุดดวงตาที่ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างสูงของใครคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนเท้าแขนกับแผงกั้นหันหลังให้ความวุ่นวายภายในสถานี ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่เดินขวักไขว่ไปมาด้วยความรีบเร่งเขากลับยืนสงบนิ่งทอดสายตามองออกไปยังที่ไหนสักที่ซึ่งเต็มฟ้าก็ไม่อาจคาดเดาได้ ชายหนุ่มถอดหูฟังพร้อมกับเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินเข้าไปทักเมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายคือซีเนียร์ดีไซเนอร์ที่บริษัทซึ่งตนเองทำงานอยู่
“พี่ตัง มายืนทำอะไรตรงนี้น่ะพี่ เห็นออกมาตั้งนานแล้วผมคิดว่าพี่กลับไปแล้วเสียอีก”
“กำลังรอคนน่ะ”
“สามสิบห้าหรือสี่สิบ”
“อะไรวะไอ้เต็ม” คนถูกถามขมวดคิ้วมองไอ้เด็กกวนประสาทตรงหน้า
“ถ้าสามสิบห้าก็ธรรมดา สี่สิบก็พิเศษ พี่ตังนี่ไม่วัยรุ่นเลยว่ะ ผมหมายถึงรอคนพิเศษหรือเปล่า” เต็มฟ้าทำหน้าทะเล้น สังเกตจากอาการของคนของอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่เขากำลังรอยังไงก็ต้องเป็นคนพิเศษแน่ ๆ
“เออ แสนรู้เหลือเกินนะ” คนไม่ทันมุกกล่าวอย่างหมั่นไส้
“แล้วทำไมมารอตรงนี้ล่ะพี่ ทำไมไม่เข้าไปข้างใน”
“เดี๋ยวพี่ต้องกลับไปทำงานต่อ ใกล้จะปลายปีก็แบบนี้แหละ งานเยอะ”
“ทำแบบนี้ทุกวันเลยเหรอพี่”
“ถ้าไม่ติดว่ามีงานด่วนแบบวันนี้ก็นั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านพร้อมกันเกือบทุกวัน ต่างคนต่างทำงานก็ต้องอาศัยเจอกันแบบนี้แหละถ้าไม่อยากรอให้ถึงเสาร์อาทิตย์”
“เจอกันแค่ไม่กี่นาทีเนี่ยนะพี่”
“มันก็ยังดีกว่าไม่ได้เจอไม่ใช่เหรอ” ตฤณกรสบตาคนถาม “ถ้าอยากมีเวลามากกว่านี้ก็แค่นั่งย้อนกลับไปรอเขาที่สถานีที่เขาจะขึ้น แล้วก็นั่งไปส่งสถานีที่เขาลง แค่นี้ก็มีเวลาเพิ่มขึ้นอีกตั้งหลายนาที”
เต็มฟ้าพยักหน้าพลางเท้าแขนลงกับแผงกั้น เข้าใจความรู้สึกนั้นดี หากในใจเกิดความรู้สึกอยากจะเจอแล้ว ต่อให้เพียงนาทีเดียวก็มีค่าเหลือเกิน
“เป็นอะไรวะ เงียบเลย”
“กำลังคิดถึงใครคนหนึ่งที่มองเรื่องเวลาตรงข้ามกับพี่อยู่น่ะ”
“เพิ่มลูกชิ้นหรือเปล่า”
เมื่อรู้ตัวว่ากำลังโดนเอาคืนใบหน้าเคร่งขรึมก็ค่อย ๆ เจือด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง ชายหนุ่มพยักหน้าคำตอบคำถามเมื่อครู่พลางผ่อนลมหายใจยาว
“จริง ๆ ของแบบนี้น่ะอยู่ที่ว่าเราจะมองมันยังไง สมมติแกเดินจากป้ายรถเมล์หน้าบริษัทไปร้านกะเพราเป็ดก้นซอย” ตฤณกรยกตัวอย่าง
“ผมไม่ชอบกินเป็ดอ่ะพี่”
“เออ สมมติว่าแฟนแกชอบกินก็ได้”
“แล้วไงต่อ”
“สมมติแฟนแกชอบกินกะเพราะเป็ดมาก แบบขาดไม่ได้ กินจนจะเดินส่ายเป็นเป็ดอยู่แล้ว”
“พอ ๆ พี่ แล้วยังไงต่อ”
“แกก็พาแฟนไปกินกะเพราเป็ดไง จากป้ายรถเมล์หน้าบริษัทไปร้านกะเพราเป็ดก้นซอยใช้เวลาห้านาที ป้าเจ้าของร้านผัดอีกห้านาที กินอีกห้านาที เดินกลับมาที่ป้ายรถเมล์อีกห้านาที รวมเบ็ดเสร็จยี่สิบนาที”
“เอาให้ฮานะพี่ตัง” เต็มฟ้าหรี่ตามองคนเจ้าหลักการพลางกอดอกรอฟังสิ่งที่เขากำลังพูดต่อไป
“นี่ไม่ได้พูดให้ขำนะโว้ย”
“อ่ะต่อ ๆ ไม่ขัดแล้ว”
“ยี่สิบนาทีนี้คือเวลาที่แกสองคนจะได้อยู่ด้วยกัน ถ้าแกคิดว่ามันเป็นแค่ยี่สิบนาทีมันก็เป็นเวลาที่ไม่นานหรอก แต่ถ้าคิดว่ามันตั้งยี่สิบนาที เท่านี้แกก็จะรู้สึกว่าแกมีเวลาอยู่ด้วยกันนานตั้งยี่สิบนาทีแล้ว พี่ถึงบอกไงว่ามันแล้วแต่เราจะเลือกมอง”
“พี่ตังจะอ้อมไปร้านกะเพราเป็ดทำไมเนี่ย” เต็มฟ้ากล่าวพลางเกาศีรษะแกรก “มันแหม่ง ๆ ตรงกะเพราเป็ดนี่แหละ แต่โดยรวมก็ถือว่ายอมรับได้”
“นี่อุตส่าห์พูดให้สบายใจ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะ”
“ผมว่ายกตัวอย่างให้หิวมากกว่า” พูดจบก็ยกมือลูบท้องตัวเอง “ผมว่าผมรีบไปดีกว่า เริ่มหิวแล้ว”
“เออ จะไปไหนก็ไปเถอะ” ตฤณกรกล่าวพลางโบกมือไล่
“แหม กลัวผมจะเป็นก้างละสิ”
“เปล่า....” ร่างสูงลากเสียงพลางขยับกรอบแว่นตา “กลัวปลายเท้าลั่นต่างหาก” แม้จะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มส่งมาให้ เป็นรอยยิ้มที่บรรดาสาว ๆ ในอ๊อฟฟิศต่างให้นิยามว่ามันคือ ‘ยิ้มใจละลาย’ เป็นรอยยิ้มที่เต็มฟ้าเองก็เคยเห็นอยู่บ่อย ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสาว ๆ จึงได้พากันหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้
“พี่ตังใจร้ายว่ะ ผมไปดีกว่า” หนุ่มรุ่นน้องกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้ จากนั้นเขาก็เดินไปที่ประตูทางเข้าเพื่อแตะบัตรให้ประตูเปิดออก
เมื่อผ่านประตูเข้ามาในสถานีเต็มฟ้าก็เดินปะปนไปกับผู้คนจำนวนมาก ต่างคนต่างมุ่งหน้าไปยังบันไดเลื่อนที่ทอดตัวขึ้นสู่ด้านบนของสถานี รอเพียงไม่นานรถไฟฟ้าก็เคลื่อนเข้ามาจอดเทียบชานชาลา ร่างสูงก้าวเข้าไปยืนเบียดเสียดกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ในขบวนรถก่อนที่ประตูจะปิดลง สังเกตว่าแม้รอบตัวจะรายล้อมไปด้วยผู้คนจำนวนมากแต่ทั้งขบวนกลับมีแต่ความเงียบ นัยน์ตาสีดำมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางบรรดาหนุ่มสาววัยทำงานที่ต่างกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับสมาร์ทโฟนในมือ ถ้าไม่เล่นเกมก็พิมพ์ข้อความโต้ตอบกับใครสักหรือเสพข่าวสารความบันเทิงจากโซเชีลมีเดีย ในขณะที่หลายคนต่างก็กำลังอยู่ในโลกของตัวเอง โลกซึ่งเข้าถึงได้โดยปลายนิ้วสัมผัส แต่เต็มฟ้ากลับเลือกที่จะยืนปล่อยใจคิดอะไรไปเรื่อยจนลืมสนใจไปเลยว่ารถไฟฟ้าได้ผ่านสถานีใดมาแล้วบ้าง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีบางคนเริ่มขยับแทรกตัวเดินไปยืนรอที่ประตูทางออกขณะที่รถชะลอความเร็วลงและมาจอดสนิทที่สถานีหนึ่ง ชายหนุ่มทอดสายตามองผ่านกระจกออกไปยังชานชาลาฝั่งตรงข้าม ซึ่งภาพที่เห็นก็ไม่ได้ต่างไปจากในขบวนนัก
เมื่อประตูรถไฟฟ้าเปิดออกผู้โดยสารในขบวนก็ทยอยกันเดินออกไปจนภายในดูโล่งไปถนัดตา หายใจสะดวกชนิดที่ไม่ต้องกลัวว่าจะไปรดต้นคอใคร เสียงกรุ๊งกริ๊งของพวงกุญแจลูกกระพรวนดังขึ้นหลังจากสัญญาณเตือนประตูปิดเงียบลงเรียกสายตาหลายคู่ให้จับจ้องไปที่เด็กชายชั้นประถมปลายในชุดลูกเสือที่เพิ่งขึ้นมาจากสถานีเมื่อสักครู่ เขาสะพายเป้ใบโตจนพวกผู้ใหญ่อดรู้สึกหนักแทนไม่ได้ นอกจากจะสะพายเป้แล้วที่มือยังลากกระเป๋าลากมาด้วยอีกหนึ่งใบ มือเล็ก ๆ ข้างที่เหลือเลือกกำชายเสื้อของเด็กหนุ่มที่ยืนข้าง ๆ กันเอาไว้แทนการเกาะราวเหล็ก นั่นคงเป็นเพราะมันให้ความรู้สึกอุ่นใจมากกว่า แม้จะต้องโคลงเคลงด้วยแรงเหวี่ยงของขบวนรถบ้างแต่ร่างสูงก็เป็นหลักยึดที่ดีในยามนี้
“พี่กันต์ ก้องขอซื้อหมูปิ้งหน้าปากซอยได้ไหม” เด็กชายตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือการ์ตูน
“นะ ๆ พี่กันต์นะ”
“เดี๋ยวก็โดนแม่ดุหรอก” เด็กหนุ่มมัธยมปลายกล่าวพลางปิดหนังสือการ์ตูนเก็บลงเป้นักเรียนที่หนีบใช้แขนหนีบเอาไว้ก่อนจะสะพายขึ้นหลังโดยไม่ได้สนใจสายตาเว้าวอนของน้องชายเลยแม้แต่น้อย มือใหญ่ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังดังจากในกระเป๋ากางเกงออกมาเลื่อนอ่านข้อความที่เพิ่งถูกส่งมาจากนั้นก็พิมพ์ข้อความตอบกลับไป
“ถ้าพี่กันต์ไม่บอกแม่ก็ไม่รู้หรอก เดี๋ยวก้องจะรีบกินให้หมดนะ ๆ พี่กันต์นะ นะ ๆ”
เสียงออดอ้อนนั้นทำให้พี่ชายต้องถอนใจเฮือกในที่สุดก็จำใจพยักหน้า
“เย้ พี่กันต์ใจดีจัง”
“พอเลย ไม่ต้องมาทำประจบ อาทิตย์นี้ซื้อให้กินสองวันติดกันแล้วนะ” พูดจบเด็กหนุ่มก็เก็บโทรศัพท์เอื้อมมือรั้งกระเป๋าลากจากน้องชายมาถือเอาไว้เสียเองก่อนที่ทั้งคู่จะจูงมือกันเดินฝ่าผู้คนไปยืนรอที่หน้าประตูทางออก เต็มฟ้าเบนสายตาจากเงาสะท้อนในกระจกจ้องมองเด็กชายตัวเล็กที่กำลังเดินห่างออกไป อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากเขาไม่อายุต่างจากน้องชายถึงสิบเอ็ดปีก็คงได้จูงมือกันไปโรงเรียนแบบนี้ทุกวันแน่ ๆ ขายาวก้าวตามสองพี่น้องเมื่อเสียงขานชื่อสถานีซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดินดังขึ้น และเมื่อประตูเปิดออกอีกครั้งก็เป็นเวลาที่ต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง
(มีต่อค่ะ)