Capitolo Quattro
เขาคนนั้น คงจะอายุไม่เกินสามสิบ ในขณะที่เป็นเอกแน่ใจว่าประกายพรึกคงจะเกินสี่สิบห้าแล้ว เขาเข้าใจโดยที่ไม่ต้องบอกเลยว่าทำไม ทั้งเวนิส ทั้งโรมถึงได้มองพ่อเลี้ยงปานจะกินเลือดกินเนื้ออย่างนั้น ใครเล่าจะยอมรับได้ว่า จะต้องมาเรียกชายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเองว่า “พ่อ”
เวนิสลุกขึ้นเดินอ้อมมานั่งข้างเป็นเอก ให้พ่อเลี้ยงของตนนั่งข้างๆแม่ไปอย่างไม่เต็มใจนัก
“ดาว ทานไม่รอผมเลยน้อยใจจะแย่ ก็รู้นี่ครับว่างานผมเยอะคงตามมาช้าหน่อย” เขาตัดพ้ออย่างหนุ่มน้อยพึงกระทำต่อหญิงสาวแรกรุ่น ราวกับสตรีตรงหน้าอายุไม่ถึงสิบห้า ทั้งที่หล่อนก็คงจะอายุเกือบๆห้าสิบแล้ว!
“แหม ก็ดาวไม่รู้นี่คะ” หล่อนหัวเราะคิก “คิดว่าคงจะทำงานข้างบนแล้วก็สั่งขึ้นไปทานเหมือนทุกคืน ก็เลยทานสลัดรองท้อง รอขึ้นไปทานมื้อดึกพร้อมกับเมฆน่ะค่ะ”
“ผมต้องมาทานกับดาวซี วันนี้ลูกๆ...” พอเห็นสายตาของโรม ชายที่ดูท่าจะชื่อเมฆ ก็ตบประโยคใหม่อย่างสวยงาม “ของดาวมา ผมก็ต้องมาต้อนรับ”
เขายิ้มมุมปากก่อนจะทักว่า
“เว นี่เจอแล้ว สองคนนี้คงเป็นโรม กับมิลานใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดคำว่ามิลานต่อหน้าเป็นเอกอย่างเข้าใจผิด แม้ปากจะกล่าวอย่างมั่นใจ แต่แววตากลับไม่แน่ใจนัก ก็เป็นเอกดูไม่เหมือนฝรั่งเลยแม้แต่น้อย จะว่าเหมือนประกายพรึกก็ไม่เหมือนสักนิด
“อุ๊ยไม่ใช่ คนผมยาวน่ะโรมค่ะ แต่ว่าคนผมสั้นนี่เพื่อนตาโรม ชื่อเป็นเอก”
“อ้อ” ชายหนุ่มว่า “ขอโทษนะครับที่เข้าใจผิด”
ดวงตากลมโต ปากบางได้รูป และรอยยิ้มขาวสะอาดราวกับแผงไข่มุกอย่างนั้น เป็นเอกไม่ประหลาดใจหรอก หากประกายพรึกอยากจะได้เจ้าของมัน มาเป็นของหล่อนคนเดียว เป็นเอกยิ้มให้ จะยกมือไหว้ก็ไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้า แก่กว่าเขาพอที่จะเป็นพี่ให้ไหว้ได้หรือเปล่า!
“หนูเอกจ๊ะ นี่คุณ เมฆา คนที่แม่จะแต่งงานด้วยไงจ๊ะ” หล่อนยิ้มอย่างเขินอายไม่ต่างจากสาวๆ “เมฆคะ นี่เป็นเอก มัณฑนากรที่ดาวเคยเล่าให้ฟัง เขาจะมาตกแต่งสถานที่ให้”
“อ้อ” เมฆาร้องออกมา ยื่นมือมาให้เป็นเอก เชคแฮนด์ ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย อุ่นใจที่ไม่ต้องชั่งใจอีกต่อไปว่า จะไหว้หรือไม่ไหว้คนตรงหน้านี้ดี “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มาช่วยงาน”
“ยินดีครับ” เป็นเอกยิ้มแหยๆ หันไปสบตาโรมก็รู้ว่าเพื่อนหนุ่มส่งสายตาเขียวขุ่นมาให้ ราวกับต้องการจะสื่อสารในใจว่า “อย่าไปหลงคารมมันเชียวนะ”
“ได้ยินว่าคุณเก่งมาก ผมก็ดีใจครับที่งานแต่งงานของผมจะกลายเป็นงานที่เพอร์เฟคที่สุด ได้สมฐานะของดาวเขา” เมฆายิ้มอย่างจริงใจ ทว่าโรมกลับพูดแทรกขึ้นมาด้วยความขัดใจว่าชายตรงหน้าไม่ได้รักแม่เขาจริง
“เอกคงทำสุดฝีมือครับ คุณเมฆาจะต้องชอบแน่ๆ ไหนๆงานแต่งก็แต่งแค่ครั้งเดียวในชีวิต ไม่ได้แต่งกันได้บ่อยๆจริงไหมครับ นอกจากว่าคุณเมฆาจะอยากแต่งอีกครั้ง” จริงๆโรมกะจะพูดว่า โดยเปลี่ยนใจจากแม่ผมไปแต่งกับคนอื่นอีกละก็ แต่กลัวจะเป็นการหักหน้าแม่เกินไป จึงต่อประโยคว่า“อย่างนั้นเอกคงต้องออมแรงหน่อยไว้ไปตกแต่งสถานที่ให้งานหน้าต่อ”
สีหน้าของเมฆาขรึมขึ้นเล็กน้อย แต่ประกายพรึกกลับไม่รู้เรื่องยังยิ้มแย้มพูดต่อไปอย่างคนอารมณ์ดี “แหมตาโรม เมฆเขาคงไม่แต่งหลายครั้งหรอกจ้ะ ครั้งเดียวเราก็ต้องเชิญแขกมากมายแล้ว”
“ครับ” เมฆาฝืนยิ้ม พยายามตีสีหน้าให้บึ้งตึงน้อยที่สุด
“คุยเรื่องงานแต่ง เราคงไม่มีรดน้ำหรือทำอะไรแบบไทยๆหรอกนะจ๊ะ มีงานเลี้ยงอย่างเดียวตัดเค้ก แล้วก็เลี้ยงโต๊ะจีนเท่านั้น หนูเอกว่าจัดในนี้ดีไหม หรือว่าจะขึ้นไปดูห้องประชุมที่ชั้นลอย แม่ว่าห้องนั้นจะใหญ่กว่านี้ แล้วก็จุแขกได้มากกว่านี้นิดหนึ่งน่ะจ้ะ” ประกายพรึกกอดแขนเมฆาแล้วกล่าวขึ้นมาเรียบๆ ก่อนจะจิ้มชิ้มซูชินี่ส่งเข้าปากอีกคำ
“ผมยังตอบไม่ได้ครับเพราะยังไม่ได้เห็นสถานที่เลย” เป็นเอกเอ่ยขึ้นกลางๆ เขายังให้คำตอบไม่ได้จริงๆ แต่ไม่เห็นด้วยนักที่จะจัดงานในห้องอุดอู้ขนาดนี้ ทั้งๆที่บรรยากาศนอกปาลัซโซ่ ออกจะสวยงาม ควรใช้ทัศนียภาพให้เป็นประโยชน์กว่านี้จะดีกว่า
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ให้ตาเว พาลูกเอกทัวร์รอบรีสอร์ตดีไหมจ๊ะ จะได้รู้ด้วยว่าอยากจะจัดงานตรงไหนอย่างไร”
เวนิสเงยหน้าขึ้นจากแก้วไวน์แดง ส่งยิ้มให้เป็นเอกที่ไม่คิดจะยิ้มตอบ
“ทำไมคุณแม่ไม่ให้ผมพาเอกดูเองล่ะครับ” โรมว่าอย่างฉุนๆเล็กน้อย “เป็นเอกก็เพื่อนผม จะรบกวนพี่เวทำไม”
“เอ้า ก็พรุ่งนี้โรมจะไปเยี่ยมคุณลุง คุณป้ากับแม่นี่จ๊ะ ลืมแล้วหรือ” ประกายพรึกยังพูดอย่างยิ้มแย้มอยู่ได้ไม่มีความหงุดหงิดให้เห็นมาตลอดชั่วโมงกว่า ที่เป็นเอกเจอหล่อน นึกชื่นชมว่าผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นคนที่อารมณ์ดีเสียจริง “ตาเวก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เลยวานให้ช่วยพาเดินเที่ยวหน่อยแม่ว่า เวเขาคงไม่คิดว่าเป็นการรบกวนหรอกใช่ไหมจ๊ะ”
เวนิสวางแก้วไวน์ลง หลังจากหยิบขึ้นมาแกว่งให้กลิ่นไวน์แดงจากฝรั่งเศสลอยขึ้นจมูกอย่างด่มด่ำมาพักใหญ่แล้วก็พูดขึ้นเบาๆว่า “ผมยินดีครับคุณแม่”
เป็นเอกมองเวนิสขวางๆ จะบอกได้อย่างไรว่าเขาไม่อยากไปกับชายคนนี้เลยให้ตายเถอะ ความประทับใจแรกมันสำคัญมากจริงๆ เมื่อเป็นเอกรู้สึกขุ่นเคืองเวนิสตั้งแต่คืนแรกอย่างนี้แล้ว ยากนักที่จะให้เขาทำใจชอบชายหนุ่มผู้นี้ได้
โรมคงทนเห็นแม่ของตนหยอกล้อกับพ่อเลี้ยงต่อไปไม่ไหว จึงรีบขอตัวกลับบ้านนอนหลังจากเมฆาเข้ามาร่วมวงด้วยได้ไม่ถึงสิบห้านาที โดยอ้างเพียงว่าขับรถมาไกลเหนื่อยมากอยากจะพัก คนแม่ก็ตามใจปล่อยให้ลูกชายคนรองกลับบ้านไปนอนเสีย เมื่อโรมจะกลับเป็นเอกจะทำอะไรได้นอกจากยอมกลับบ้านไปกับโรม ทั้งที่วางแผนไว้ว่าจะนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่ในสวนหน้าปาลัซโซ่สักพักก่อน
ชายหนุ่มเดินออกจากปาลัซโซ่เมื่อลับตาแม่แล้วก็แสดงท่าทางฉุนเฉียวออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก้าวลงบันไดหินสามสี่ขั้นหน้าตัวปราสาทแล้วก็ยืนเท้าเอวมองฟ้าอย่างไม่สบอารมณ์ เป็นเอกรู้ดีว่าต่อให้เขาเป็นเพื่อนที่สนิทกับโรมแค่ไหน แต่หากเป็นเรื่องในครอบครัวแล้ว เขายังถือว่าห่างเหินเกินว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวจึงไม่พูดอะไร แต่ตบบ่าเพื่อนหนุ่มเบาๆเท่านั้น
หนุ่มลูกครึ่งหันมา ยิ้มให้กับเพื่อนของตนอย่างฝืนทำเต็มที
“ยูขึ้นรถไป ไอขับให้เองกลับบ้านไปนอนเถอะอย่าคิดอะไรเลย”
โรมพยักหน้า นึกขอบใจเป็นเอกที่ไม่ถามอะไร คนที่เข้าใจเขามากที่สุดจะเป็นใครได้ถ้าไม่ใช่เป็นเอก เหตุนี้เองโรมถึงได้รักเพื่อนของเขาคนนี้มากที่สุด
“ขอบใจ” เขากล่าว แล้วก็ทำตามที่เป็นเอกบอกอย่างว่าง่าย โยกเบาะข้างคนขับให้เอนหลังลง มือประสานกันไว้ใต้ท้ายทอย มองดูท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยหมู่ดาวอยู่เงียบๆ ตลอดทางที่เป็นเอกขับรถกลับไปบ้านพักของเพื่อนหนุ่มของเขา
“มีอะไรระบายหรือเปล่า” เป็นเอกถามเบาๆ ตามองทางไม่มองคู่สนทนาของเขา ทำให้โรมไม่รู้สึกเหมือนถูกคาดคั้นเอาความจริงอะไรนัก จึงตอบอย่างเต็มใจกลับไปว่า
“ไอไม่อยากให้แม่แต่งงานกับไอ้เมฆานั่น”
“อื้ม” เป็นเอกรับคำ “ไอเข้าใจดี ยูคงไม่อยากให้ใครมาแทนพ่อ”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกเอก ไอ้นั่นน่ะ อายุเท่าพี่เวเองนะ ยี่สิบแปดเองนะโว้ย แม่ไอจะห้าสิบแล้ว มันห่างกันเกินไป” เขาว่าอย่างอัดอั้นตันใจ “ผู้ชายหนุ่มๆ ดีๆ ที่ไหนเขาจะมาชอบคนแก่อย่างแม่ไอวะ”
“ยูพูดเหมือนดูถูกแม่” เป็นเอกออกความเห็น “คุณประกายพรึกเขาอาจจะดีมากจนทำให้เมฆาไม่สนใจอายุ และรูปลักษณ์ก็ได้มั้ง คนเรารักกันมันไม่ได้อยู่แค่รูปร่างหน้าตา อายุอะไรอย่างนี้เท่านั้นนี่นา”
“ก็จริง แต่ห่างกันยี่สิบปีเนี่ย มันไม่เยอะไปหรือ อายุเท่าลูกเลยนะ”
เป็นเอกถอนใจ
“สรุปโกรธแม่งั้นซีที่ไปรัก ผู้ชายเด็กกว่า”
“ใช่” โรมตอบขวางๆ “ไม่รู้แม่คิดยังไง มันหวังสูบเลือดสูบเนื้อแม่อยู่แล้ว อายุห่างกันขนาดนี้ มาหลอกเอาสมบัติใครเขาก็ดูออก พูดกันให้แซ่ด แม่ก็น่าจะรู้ทันอยู่ว่าเขาหลอก ก็ยังจะยอม”
“แม่ยูคงจะเหงานั่นแหละ” เป็นเอกว่าเบาๆ “ยูอยู่คอนโดกะไอ น้องยูอยู่เมืองนอก ถ้าให้เดา พี่ยูก็คงแยกมาอยู่ต่างหากด้วย ลูกๆไม่อยู่กับเขาสักคน พ่อยูก็ไม่อยู่แล้ว คุณประกายพรึกก็คงจะเหงา ว้าเหว่ อยากหาที่พึ่งทางใจน่ะ”
เงียบไปสักพัก จนรถแล่นมาจอดหน้าบ้านของโรมพอดี
“ถ้าแม่มีความสุข ไอก็คงต้องยอมใช่ไหม” เขาหันมาหาเป็นเอก พูดอย่างคนที่มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างที่นานๆครั้งจะทำ “ไอไม่ควรขัดความสุขแม่ใช่ไหม”
เป็นเอกพยักหน้า
“ต่อให้มันไม่เหมาะสมก็ตามหรือ”
“ต่อให้มันไม่เหมาะสมก็ตาม” เป็นเอกตอบเบาๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าไปในบ้าน โรมกระชากยางรัดผมออกจากหางม้า สะบัดหัวแรงๆให้ผมตกลงมายุ่งกระจายอยู่บนกรอบหน้าตามเดิม
“รำคาญ รัดผมจนตึงหนังหัวไปหมด ไอจะอาบน้ำละนะยูอาบทีหลังเหมือนเดิมละกัน” เพื่อนหนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียนว่า
“ตามใจ” เขาตอบเพื่อนหนุ่มก่อนจะตะโกนไล่หลังไปว่า “แต่มัดผมอย่างนั้นก็ดูดีนะเว่ย โรม ไอชอบ”
เป็นเอกไม่เห็นว่าโรมหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง ยิ้มที่มุมปากก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัว เดินเข้าห้องน้ำไป
เป็นเอกอาบน้ำทีหลังโรม และอาบนานเสียด้วยกว่าจะออกมาอีกครั้งก็เกือบยี่สิบนาที ชายหนุ่มอาบน้ำนานอย่างนี้เสมอหากต้องการผ่อนคลาย ต่างจากโรมที่มักจะอาบเร็วตลอดไม่ว่าจะอยู่อารมณ์ไหนพอย้ายจากหอมาอยู่กับโรมแล้ว เป็นเอกจึงตกลงกับเพื่อนหนุ่มว่าเขายอมอาบทีหลังโรม เพราะยังไงฝ่ายนั้นก็อาบเร็วอยู่แล้วไม่ต้องรอนานอะไร
ชายหนุ่มนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกจากห้องน้ำมาก็ชะโงกหน้ามองที่ห้องนั่งเล่นมองหาเพื่อนว่ารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง แต่ก็พบเพียงห้องว่างเปล่า จึงสรุปว่าเพื่อนของเขาคงขึ้นห้องนอนไปแล้ว เลยกลับไปแต่งตัว ใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นอย่างพร้อมจะนอนแล้ว เป็นเอกเดินขึ้นไปดูที่ชั้นบนก็พบว่าเพื่อนหนุ่มนอนหลับไปแล้วจริงๆ แต่เขากลับยังไม่ง่วงเสียเลยเพราะเพิ่งนอนไปตื่นหนึ่งก่อนกินข้าวเย็น จึงคิดหาอะไรทำสักพักก่อน
เขาตัดสินใจเปิดประตูออกจากบ้านไปทางด้านหลัง
แม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่บริเวณนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด แสงไฟจากในตัวบ้าน และแสงจันทร์ในคืนนั้นส่องสว่างเสียจนเป็นเอกเห็นแทบจะทุกอย่างรอบกาย คลองสายเล็กๆ ไม่กว้างนักทอดตัวอยู่ด้านหลัง หากข้ามคลองไป ฝั่งตรงข้ามก็คือละเมาะไม้ดูโปร่งกินพื้นที่กว้างไปจนถึงฉากหลังที่เป็นภูเขาสูงทะมึนยาวไปจรดที่บ้านสีชมพูและยังดูเหมือนจะยาวต่อไปหลังบ้านนั้นถึงทุ่งกว้างใหญ่อีกด้วยมองไปทางซ้ายก็พบว่า คลองสายนี้ ทอดยาวไปจนอ้อมหลังบ้านหินสีน้ำตาลหลังใหญ่ดูสูงสง่านั้นและจากคำบอกเล่าของโรม มันคงทอดตัวไปจนถึงกรันปาลัซโซ่อีกด้วย
เมื่อตามองเลยไปถึงบ้านหลังใหญ่นั้น เป็นเอกก็เห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่หลังบ้านบนม้านั่งที่หันหน้าไปยังลำคลอง อุ้มกีต้าร์ตัวใหญ่ไว้ในมือ ดีดเป็นทำนองที่ไพเราะเสียจากเป็นเอกอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ทั้งๆที่ก็รู้ว่าผู้ที่กำลังเล่นอยู่นี้คือใคร เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็ได้ยินเสียงุ้มลึกร้องเพลงคลอกีต้าร์มาเป็นเพลงที่เขาเคยฟังผ่านหูทว่าไม่รู้ว่าคือเพลงอะไร จับคำร้องได้ประมาณหนึ่งเท่านั้น
“...ฉันรักเธอโดยที่ไม่รู้จัก... และฉันรักเธอตั้งแต่แรกพบหน้า”
เป็นเอกรู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ไม่กี่ก้าวจากชายหนุ่มเจ้าของบทเพลงที่แสนไพเราะนั้น พอหนุ่มผู้นั้นเห็นว่ามีคนแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหา เขาก็หยุดเล่น หยุดร้อง วางกีต้าร์ลงเพ่งมองอย่างพินิจ พิจารณาว่าเป็นใครกันแน่
“ผมเอง เป็นเอก” เขาเอ่ยเบาๆ
“อ้อ” เจ้าของบ้านร้องออกมา ลุกขึ้นยืน แล้วก็ผายมือเชิญให้เป็นเอกนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย “เชิญนั่งครับ”
“ผมแปลกใจเหลือเกินว่านอกจากจะเล่นเปียโนได้รื่นหูดีแล้ว คุณยังร้องเพลงได้เพราะมาก และเล่นกีต้าร์เก่งเหลือเกินด้วย” เป็นเอกเอ่ยชม “หัดมานานหรือยังครับ”
“เปียโนนี่เรียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ว่ากีต้าร์นี่เพิ่งจะเริ่ม” เขายิ้มตอบ เป็นเอกจึงสังเกตได้ว่า ผมที่เปียกด้วยมูสเมื่อครู่ บัดนี้ เปียกชื้นนิดๆด้วยน้ำ และชุดสูทเต็มยศก็เปลี่ยนมาเป็นเสื้อคอกลม กางเกงขาสั้นธรรมดาๆเท่านั้น แสดงว่าอาบน้ำมาแล้วเรียบร้อย
“เก่งจังครับ แล้วเล่นอะไรได้อีกหรือเปล่า”
“ผมเล่นไวโอลิน” หนุ่มรุ่นพี่ตอบ “ไว้มีโอกาสจะเล่นให้ฟัง”
เงียบกันไปพักหนึ่งเวนิสก็ถามขึ้นมาอีกว่า “โรมล่ะไม่ออกมาด้วยกันหรือ”
“หลับไปแล้วล่ะครับ” เป็นเอกตอบ “ผมนอนไม่หลับก็เลยออกมาเดินเล่น ไม่คิดว่าจะได้ยินเพลงอะไรเพราะขนาดนี้”
พูดจบประโยค ลมก็พัดมากระทบผิวหนังเปลือยเปล่าที่มีเพียงเสื้อกล้ามบางๆเท่านั้นที่ให้ความอบอุ่นได้ ชายหนุ่มตัวสั่นระริก
“ใส่เสื้อกล้ามบางๆออกมาเดินตอนกลางคืน กลางเขาอย่างนี้น่ะหรือ”เวนิสส่ายหัว แววยียวนอย่างในห้องอาหารกลับมาแล้ว จะให้เป็นเอกมองว่าเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์นานกว่านี้สักหน่อยก็ไม่ได้ “ไม่รู้หรือไงว่าเลยน่ะเป็นจังหวัดที่หนาวที่สุดในเมืองไทย”
“ไม่รู้ซีครับ ก็ในบ้านมันอุ่นนี่ ถ้ารู้คงไม่ใส่แต่เสื้อกล้ามออกมาหรอก”
หนุ่มลูกครึ่งหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยถามว่า “จะเข้าไปข้างในไหม” พอเห็นว่าเป็นเอกส่ายหัวปฏิเสธก็พูดต่อ “งั้นเดี๋ยวผมมา”
หายไปพักเดียว ก็กลับมาใหม่ พร้อมถ้วยเซรามิกควันฉุยสองแก้วและผ้าห่มหนาๆพาดบ่ามาด้วย เวนิสยิ้มให้แม้รอยยิ้มจะดูอบอุ่น จริงใจเพียงใด เป็นเอกก็ยังขุ่นเคืองเรื่องที่ชายหนุ่มลองภูมิภาษาเขาที่กรัน ปาลัซโซ่อยู่ดี
“ผมชงช็อกโกแลตร้อนทิ้งไว้เหยือกหนึ่ง รินมาเผื่อ ดื่มเสียจะได้หายหนาว” เขายื่นถ้วยนั้นให้ เป็นเอกก็รับไปก่อนจะกล่าวขอบคุณ “แล้วนี่ห่มเสียเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ไม่เป็นไรครับผมเกรงใจ สักพักก็กลับแล้ว”
“ไม่ได้ คุณเป็นเพื่อนน้องผมก็เท่ากับเป็นน้องผมด้วย อีกอย่างคุณต้องมาจัดงานแต่งให้แม่ผมถ้าปอดบวมตายไปเสียก่อนแม่ผมจะเอาใครไปจัดงานให้ล่ะครับ” เวนิสยื่นผ้านั้นให้อีกครั้ง แต่เป็นเอกก็ยังไม่รับ ชายหนุ่มจึงกระหวัดผ้าผืนนั้นรอบตัวหนุ่มน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วบ่งบอกชัยชนะ
มันน่าซัดหมัดเข้าสักเปรี้ยงที่ปลายคางเสียจริง!
*****************************************************
เมื่อวานเหมือนเว็บจะล่ม ผมเข้าไม่ได้เลยพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ได้ ก็เลยไม่ได้มาลงวันนี้เลยลงทีเดียว 2ตอนเลยครับ
อย่างที่หลายๆคนตั้งข้อสังเกต เรื่องนี้ผมตั้งใจเขียนให้อ่านง่ายๆมากกว่า “คุณชาย” แต่ให้มีกลิ่นอายของความเป็นอิตาลี และภาษาอิตาเลียนเข้ามาเจือให้เรื่องน่าสนใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าใครที่ชอบเกี่ยวกับอิตาลี (อย่างคุณเบอร์ลิน) ก็หวังว่าจะถูกใจนะครับ
คุณเบอร์ลินเดาถูกอีกแล้ว จริงๆเป็นผู้ช่วยผมเขียนเรื่องนี้หรือเปล่าครับ555+
อาทิตย์หน้าเจอกันคงตื่นตาตื่นใจกับภาพสวยๆของรีสอร์ตด้วย แล้วถ้าใครเริ่มหลงรักเวนิสละก็ อาทิตย์หน้าจุใจแน่ครับ
วันพรุ่งนี้จะอัพคุณชายด้วย อย่าลืมไปอ่านนะคร้าบ
:]