แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
เขาไม่ชอบมาม่า แต่อยากอ่านเรื่องนี้จะทำไงดี
(เอ๊ะ หรือเรื่องนี้ที่บอกว่าSM หมายถึง คนเขียนเป็นS แล้วคนอ่านเป็นM รู้ว่าเรื่องมันบีบหัวใจแต่ก็ยังติดงอมแงม)
ยกนิ้วให้คนเขียนนะคะที่ปรุงมาม่าชามนี้ได้แซ่บจนคนอ่านน้ำตาไหลเลย
ปล. ตอนจบเค้าก็ขอของหวานอยู่ดี
คุณเข้าใจถูกต้องแล้วคะ่ เอิ๊กๆ
**วันนี้แอบเสียใจ.. ในที่สุดหมู่บ้านเขาก็มาถอนต้นไม้ข้างบ้านเราออกแล้ว อุตส่าห์ปลูกเอาไว้เก็บกินน๊า.... ตอนซื้อเซลก็บอกว่าปลูกได้ แต่พอปลูกแล้ว คนดูแลก็ไม่ให้ปลูก... ต้นไม้ถอนได้... แต่หมาห้ามขี้ไม่ได้... เอาต้นไม้ออกแล้ว ก็เหลือแต่ขี้หมาให้เราเดินเหยียบสินะเนี่ย
แอบบ่นเรื่องขี้ๆ และหมาๆ อิอิ
-------------------------------------------------
红孔雀นกยูงแดง 24
สิบวัน.ให้หลัง แพทย์ก็อนุญาตให้ลู่อี้เผิงกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ ก่อนกลับเขาแวะไปหาต้วนเฟิงที่ย้ายออกจากห้องไอซียู ไปยังห้องปลอดเชื้อ เพราะยังมีเรื่องน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับอาการติดเชื้อตรงแผลไฟไหม้
พอเห็นว่าคนที่เดินเข้าไปเป็นเขา ต้วนเฟิงก็พูดขึ้นทันที “สารวัตร จะออกจากโรงพยาบาลวันนี้แล้วใช่ไหมครับ?”
“อืม” ลู่อี้เผิงพยักหน้า พลางมองดูเพื่อนร่วมงานที่ยังคงมีผ้าพันแผลพันอยู่แทบทั้งตัว ต้วนเฟิงเห็นดังนั้นก็พูดขึ้นอีก “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ พยาบาลเพิ่งเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ผม ตอนนี้ผมสบายขึ้นเยอะเลยล่ะ ไอ้ที่เคยเจ็บๆ ก่อนหน้านี่ก็ไม่ค่อยเจ็บแล้ว”
ลู่อี้เผิงมองต้วนเฟิงอีกรอบ เขารู้มาว่าแผลไฟไหม้ของนายตำรวจคนนี้อยู่ในระดับสอง ซึ่งผิวหนังไม่ถึงขั้นถูกทำลายหมด แต่ความเจ็บปวดนั้นคงไม่ต้องบรรยาย เพราะผิวหนังมีเส้นประสาทกระจายอยู่เยอะที่สุด การที่ต้วนเฟิงยังทำใจแข็งคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริงขนาดนี้ ลู่อี้เผิงอดนับถือไม่ได้จริงๆ
พอเห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่ง ต้วนเฟิงจึงถามขึ้นต่อ “สารวัตรคงไม่ได้มายืนดูผมเป็นมัมมี่หรอกนะ ใช่ไหมครับ?... สารวัตรกำลังจะออกไปจัดการกับไอ้คนที่วางระเบิดรถเราใช่ไหม?”
นอกจากทีมสืบสวนแล้ว ลู่อี้เผิงยังไม่ได้เล่าแผนการที่ว่านี้ให้ใครฟัง แต่เรื่องคดีตระกูลหรง และเรื่องที่หรงสือจื่ออาจจะเป็นคนวางระเบิดรถยนต์ เขาเล่าคร่าวๆ ให้ต้วนเฟิงฟังแล้ว ท่าทางนายตำรวจคนนี้จะมองทะลุสิ่งที่อยู่ในใจเขาออก
“ระวังตัวด้วยนะครับสารวัตร ผมรู้ว่าสารวัตรน่ะเก่ง แต่สารวัตรไม่อึดเหมือนฝากระโปรงรถนะ”
ลู่อี้เผิงหัวเราะออกมา “ผมไม่ไปให้เขางัดเล่นหรอกน่า”
ต้วนเฟิงหันหน้ามามองเขาอย่างจริงจัง “สารวัตร ผมรอสารวัตรมารับกลับไปทำงานด้วยอยู่นะ เพราะงั้น... ตอนที่ผมทำกายภาพบำบัด สารวัตรต้องมาดูให้ได้นะ สารวัตรต้องมาดูหน้าใหม่ของผมด้วยนะ”
ลู่อี้เผิงขบริมฝีปาก ท้ายที่สุดก็เค้นรอยยิ้มออกมาได้ “อืม... ผมจะมาเยี่ยมคุณให้ได้เลยล่ะ”
----------------------------------------
คุยกับต้วนเฟิงเสร็จแล้ว ลู่อี้เผิงก็เปลี่ยนเสื้อผ้า และนั่งรถกลับมาพร้อมกับนายตำรวจติดตามอีกสามคน แผนของเขาคือ กลับไปที่บ้าน ทิ้งกำลังตำรวจไว้เฝ้าหน้าบ้านสักสองคน จากนั้นก็ทำทีว่าผลัดเปลี่ยนเวรกันเป็นระยะ หรงสือจื่อจะต้องอาศัยจังหวะนั้นมาจับตัวเขาแน่ๆ จากนั้น...
นายตำรวจทั้งสี่คนขับรถมาถามถนนทางหลวง ขณะที่เลี้ยวออกถนนเลี่ยงเมืองซึ่งเป็นเส้นเปลี่ยว ก็พบว่ามีรถยกคันหนึ่งแล่นตามมา
“มีรถเสียอยู่แถวนี้หรือไงน่ะ” นายตำรวจที่ขับรถอยู่ตั้งข้อสังเกต “ผมไม่เห็นวิทยุรายงานเลย”
“อาจจะถูกเรียกไปยกรถที่อู่ก็ได้นะ แถวนี้มีอู่รถอยู่นี่ ท่าทางจะรีบด้วยนะนั่น ขับเร็วเชียว” นายตำรวจอีกคนพูด นายตำรวจที่เป็นคนขับเลยตัดสินใจขับชิดซ้ายเพื่อปล่อยให้รถยกคันนั้นแซงหน้าไป
“รีบจริงๆ เกิดมาเพิ่งเคยเห็นรถยกขับเร็วขนาดนี้นี่แหละ” นายตำรวจอีกคนหนึ่งพูด ลู่อี้เผิงขมวดคิ้ว “ยกรถที่อู่ทำไมถึงต้องรีบมากขนาดนี้ล่ะ”
“ไม่รู้สิ” หนึ่งในนั้นตอบ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร นายตำรวจที่ขับรถอยู่ก็อุทานเสียงลั่น “เฮ่ย!!”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเบรกดังเอี๊ยด หน้าของลู่อี้เผิงแทบจะทิ่มเข้ากับเบาะรถ ดีที่มีเข็มขัดนิรภัยช่วยดึงเอาไว้อยู่ เสียงโลหะบดอัดกันดังตามมาหลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที จากนั้นถุงลมนิรภัยที่ติดตั้งอยู่ด้านหน้าก็ทำงานโดยอัตโนมัติ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ!?” ลู่อี้เผิงร้องถามทันทีที่ตั้งสติได้ นายตำรวจที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับส่งเสียงอู้อี้เพราะมีถุงลมนิรภัยค้ำคออยู่ “รถ รถยกมันหยุดกะทันหันน่ะ”
“!!!” ยังไม่ทันที่ใครจะได้ทันพูดแสดงความเห็นอะไร เสียงเหมือนโลหะหนักกระแทกกับรถก็ดังขึ้นอีก จากนั้นรถก็ถูกยกสูงขึ้น
“ไอ้บ้านั่น!!” ลู่อี้เผิงโพล่งออกมา ขณะที่รถถูกยกจนลอยเกือบจะตั้งฉากกับพื้น นายตำรวจทั้งสี่พยายามคว้าจับอะไรเอาไว้เพื่อไม่ให้เสียการทรงตัวไปมากกว่านี้ มองเห็นปั้นจั่นสีเหลืองของรถยกถนัดชัดเจนอยู่ตรงกระจกหน้า เสียงลั่นเอี๊ยดๆ ของโลหะที่เสียดสีกันและเสียงหมุนก็ปั่นจั่นขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่บนรถดังมาให้ได้ยินชัดถนัดหู จากนั้น รถยกคันนั้นก็ออกวิ่งอีกครั้ง โดยลากรถของนายตำรวจทั้งสี่ในสภาพเชิดหัวขึ้นหกสิบองศาตามไปด้วย
“นี่มันบ้าไปแล้ว วิทยุบอกศูนย์เร็วเข้า” นายตำรวจที่นั่งอยู่ข้างลู่อี้เผิงตะโกนลั่น ปัญหาคือถุงลมนิรภัยด้านหน้ายังพองอัดนายตำรวจอีกสองคนอยู่ เลยทำให้คว้าจับอะไรไม่ถนัด วิทยุห้อยร่องแร่งตกลงมาเพราะแรงโน้มถ้วง ลู่อี้เผิงจึงเอื้อมมือไปพยายามจะคว้าเอาไว้ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกเหมือนรถด้านหน้าหักเลี้ยวกะทันหัน รถของพวกเขาถูกเหวี่ยงไปด้านข้างอย่างรุนแรง ก่อนเสียงลั่นของโลหะจะดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นพวกเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกเหวี่ยงอยู่ในเครื่องซักผ้า
รถที่ลู่อี้เผิงโดยสารมากลิ้งหลุนๆ ชนเข้ากับคอกกั้นข้างทางอย่างจัง ก่อนจะหยุดสนิทลง ควันจากหม้อน้ำรถที่แตกเสียหายลอยฟุ้งขึ้นมาทันที
ลู่อี้เผิงรู้สึกเหมือนตัวเองหมดสติไปชั่วอึดใจหนึ่ง หลังจากรถหยุดสนิท นายตำรวจหนุ่มก็หันไปมองนายตำรวจที่นั่งข้างทันที นายตำรวจคนนั้นเลือดอาบหน้า ไม่รู้ว่าแค่สลบหรือเสียชีวิตไปแล้วกันแน่ ยังไม่ทันที่ลู่อี้เผิงจะยื่นมือไปแตะชีพจร ก็ได้ยินเสียงนายตำรวจที่นั่งอยู่ด้านหน้าครางขึ้น
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย... โอย... ขาผม..”
“ทำใจดีๆ ไว้นะ” ลู่อี้เผิงพูด และรู้สึกตาพร่าไปข้างหนึ่ง พอยกมือขึ้นลูบก็พบว่ามีเลือดติดมือมาเป็นจำนวนมาก
“ผมจะแจ้งศูนย์ เราต้องเรียกรถพยาบาล” ลู่อี้เผิงพูดต่อ และพยายามจะควานหาโทรศัพท์ ในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ทันใดนั้น เสียงโลหะกระทบกันก็ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่รถทั้งคันจะถูกยกขึ้น ลู่อี้เผิงคิดว่าตัวเองอาจจะคอหัก ตอนที่รถกระแทกลงกับพื้น ยังไม่ทันจะตั้งสติดี ตรงประตูรถที่กระจกแตกละเอียด ก็มีตะขอเกี่ยวขนาดเขื่องมาเกี่ยวเอาไว้ จากนั้นประตูก็ถูกดึงออก มือของใครคนหนึ่งยื่นมากระชากตัวเขาออกไปทันที
ตั้งแต่พบกับหงคงฉ่วย ลู่อี้เผิงถูกคว้าคอมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ละครั้งหนักหน่วงรุนแรงอย่างกับเอาคีมมาหนีบ แต่ครั้งนี้เขารู้สึกยิ่งกว่านั้น ราวกับมีรถทั้งคันมาทับอยู่
นายตำรวจหนุ่มถูกมือที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอกระชากตัวออกมาจากซากรถ จากนั้นก็โยนเขาลงกับพื้น ลู่อี้เผิงพยายามจะตะกายตัวขึ้นมา แล้วมือข้างนั้นก็ยื่นมาจับคอเขาเอาไว้อีกครั้ง ลมหายใจของนายตำรวจหนุ่มขาดห้วงทันที
ลู่อี้เผิงเบิ่งตากว้างแทบจะถลนออกมาเพราะแรงบีบ ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือชายอายุราวๆ ห้าสิบหกสิบ ที่มีแผลเป็นตรงกลางหน้าผาก ดวงตาสีดำสนิทจ้องมาที่เขาราวกับจะฆ่าให้ตาย
หรงสือจื่อ!!!!
----------------------------------------------------
หงคงฉ่วยกำลังรำมวยอยู่ ในตอนที่หลี่คงเดินเข้าไปหา พ่อบ้านชรายืนรีรออยู่หน้าประตูพร้อมกับโทรศัพท์มือถือในมือ แต่ยังไม่เอ่ยปากพูดอะไร จวบจนกระทั่งผู้เป็นเจ้านายหันกลับมา
“เขาโทรมาแล้วใช่ไหม?”
หลี่คงมองหน้าเจ้านายของเขา ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ มือของเขาที่ปกติมั่นคงอยู่เสมอ ดูจะสั่นขึ้นมาทันที ในตอนที่ยืนโทรศัพท์เครื่องนั้นให้ หงคงฉ่วยแนบมันเข้ากับหู
“สวัสดี...”
สายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ของลู่อี้เผิง แต่เสียงตอบกลับเปลี่ยนไปแล้ว “สวัสดี... เสี่ยวไป๋จื่อ พี่ดีใจจริงๆ ที่ได้ยินเสียงเธออีก”
ดวงตาของหงคงฉ่วยแข็งทื่อเป็นรูปปั้นในทันที “เสียงพี่ฟังดูทุเรศขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ”
“อืม... แต่เสียงเธอเหมือนเดิมเลย พี่คิดถึงอยู่ตลอดเลยนะ”
“..............”
“เสี่ยวไป๋จื่อ สามสิบกว่าปีมานี้ ถึงเธอจะทำร้ายพี่สาหัส แต่พี่รู้สึกภูมิใจที่เธอมีชื่อเสียงโด่งดังได้ขนาดนี้ ชื่อของหงคงฉ่วยสำหรับพี่ฟังเมื่อไหร่ก็ทำให้คิดถึงแผ่นหลังของเธอมากจริงๆ ”
“พี่ไปมุดหัวอยู่ไหนมาตั้งสามสิบกว่าปี”
“ก็อยู่ในฮ่องกงนี่แหละ แต่เธอคงไม่รู้หรอก พี่เฝ้ามองเธออยู่ตลอดเลยนะ เธอเก็บตัวเก่งจริงๆ สามสิบกว่าปีมานี่ พี่หาโอกาสเจอหน้าเธอไม่ได้เลย บารมีเธอก็แก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ พี่ภูมิใจในตัวน้องพี่จริงๆ ”
นัยน์ตาของหงคงฉ่วยปรากฏแววอำมหิตขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “พี่เลิกพล่ามงี่เง่าแล้วพูดเข้าเรื่องมาเลยดีกว่า พี่มุดหัวมาตั้งสามสิบกว่าปี จู่ๆ คงไม่โทรมาเพื่อจะถามสารทุกข์สุกดิบผมแบบนี้หรอก”
ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะ “ใจร้อนจริงนะ คุยกับพี่อีกนานๆ ก่อนไม่ได้หรือไง หรือว่าห่วงเจ้าของโทรศัพท์”
“บอกตรงๆ เลยนะ ผมไม่อยากจะคุยกับพี่สักวินาที” หงคงฉ่วยตอบ “คนของผมเป็นไงบ้าง”
“ยังไม่ตาย” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะพูดต่อ “คนของเธองั้นรึ? พี่หัวเราะได้ไหม เธอเรียกตำรวจว่าคนของเธองั้นรึ? เสี่ยวไป๋จื่อ ไอ้เด็กนี่น่ะ มันลีลาดีนักหรือไง ถึงได้หลงมันขนาดนี้น่ะ ถ้าพี่ตัดของมันทิ้ง ลากไส้มันออกมา เธอยังจะสนใจมันอยู่อีกไหม”
“เห่ยอิง!!” หงคงฉ่วยคำรามเสียงลั่น อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะกรอกเสียงตอบกลับมา “ไม่สมเป็นเธอเลยนะ หลงรักมันจริงๆ หรือไง? เธอยังมีหัวใจให้หลงรักใครอีกหรือ?”
“หุบปากเถอะ” หงคงฉ่วยว่า “ให้ผมพูดกับเขาหน่อย”
“เห็นจะไม่ได้ล่ะนะ แค่นี้พี่ก็บาดหูพออยู่แล้ว”
“........” หงคงฉ่วยเงียบไปพักหนึ่ง แล้วกรอกเสียงลงไปอีก “ถ้าพี่ไม่ให้ผมพูดกับเขา อย่าหวังเลยว่าผมจะทำอะไรตามที่พี่บอก”
“อ้อ... มีข้อต่อรองอีกแล้วหรือ” ทางนั้นตอบกลับมา “แล้วถ้าพี่ให้เธอพูด เธอจะทำตามที่พี่บอกหรือไง?”
“ถ้าพี่แค่อยากจะจับตัวเขาแล้วฆ่าระบายอารมณ์น่ะ วางสายไปเถอะ ผมมีอะไรต้องไปทำอีกเยอะ”
“เธอใจแข็งทนเห็นมันตายได้หรือไงน่ะ?”
“พี่รู้นิสัยผมดีนี่... เอาล่ะ ผมจะวางสายแล้ว พี่จะเอาศพเขาไปทำปู้ยี้ปู้ยำอะไรก็ตามสบายเลย”
ปลายสายแค่นหัวเราะออกมา “พี่ชอบเธอตรงที่เป็นแบบนี้ด้วยนี่แหละ เธอมันใจแข็งจริงๆ ”
พูดจบก็ได้ยินเสียงเหมือนใครสาดน้ำ ก่อนจะได้ยินเสียงไอแค่กๆ จากนั้น ก็ได้ยินเสียงหรงสือจื่อดังขึ้นต่อ “พูดอะไรลงไปหน่อยสิ ให้เขารู้ว่าแกยังไม่ตาย”
หัวใจของหงคงฉ่วยเต้นตึกตึกเป็นจังหวะอยู่ในอก เขานิ่งฟัง รอเสียงตอบกลับนั้น เวลาผ่านไปสักพัก...
“คงฉ่วย.....”
ความอบอุ่นสายหนึ่งพุ่งวาบขึ้นมาในหัวใจทันที หงคงฉ่วยกรอกเสียงกลับไป “เผิงเผิง ยังอยู่ครบดีไหม?”
ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมา “คิดว่าครบนะ”
“อ้อ ดี... ถ้ามีไม่ครบฉันจะได้บอกให้เขาฆ่าเธอไปเลย”
“..............”
จากนั้นเสียงหรงสือจื่อก็เข้ามาแทรกแทน “พอใจรึยังน่ะ?”
“พี่อยู่ไหนล่ะ?” หงคงฉ่วยถามกลับไป “ผมจะได้ไปเอาคนคืน”
“บนเรือ” อีกฝ่ายตอบ “พี่หงุดหงิดอยู่หรอกนะ ที่เธอมาเพราะไอ้เด็กนี่ แต่พี่อยากเจอเธอ เพราะฉะนั้น เราระลึกความหลังกันหน่อยก็แล้วกัน พี่อยู่บนเรือ....” จากนั้นเขาก็บอกสีและลักษณะของเรือ “มาคนเดียวนะ เสี่ยวไป๋จื่อ เพราะพี่อยากเจอเธอคนเดียว”
“ผมรู้แล้ว” หงคงฉ่วยตอบ จากนั้นก็พูดขึ้นต่อ “พี่ให้สารวัตรลู่ถือโทรศัพท์แล้วคุยกับผมไปเรื่อยๆ นะ”
“ไม่ได้ยินเสียงมันเธอจะขาดใจตายหรือไง?” อีกฝ่ายย้อน หงคงฉ่วยแค่นเสียงต่อ “เปล่า ผมกลัวถูกพี่ต้มเปื่อย พอไปถึงแล้วเขามีไม่ครบสามสิบสอง ผมก็ไปฟรีน่ะสิ”
ได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะเสียงลั่น “ห่วงมันจริงนะ ก็ได้ พี่ตามใจเธอทุกอย่างอยู่แล้ว พี่จะให้มันพูดโทรศัพท์กับเธอแล้วกัน รีบๆ มานะ พี่รออยู่”
โทรศัพท์เงียบไปอีกครั้ง จากนั้นเสียงของลู่อี้เผิงก็ดังขึ้น “คงฉ่วย ตกลงเอาไงน่ะ”
“เผิงเผิงนึกอะไรพอจะพล่ามออกมาได้บ้างล่ะ?” อีกฝ่ายย้อนถาม และพูดต่อ “ฉันจะไปหาเธอแล้ว พล่ามให้ฉันฟังหน่อยก็แล้วกัน ฉันอยากแน่ใจว่าเธอจะยังครบสามสิบสองประการดี ตอนที่ฉันไปถึงน่ะ”
“อืม.... ผมอยากกินปลาหิมะที่บ้านคุณน่ะ” ลู่อี้เผิงว่า หงคงฉ่วยหัวเราะขึ้นมา ขณะเดินไปเปลี่ยนเสื้อ
“ได้ จบงานนี้ฉันจะสั่งหลี่คงให้หาเตรียมเอาไว้”
“ผมอยากเดินเที่ยวที่คฤหาสน์คุณด้วย”
“อืม... ฉันจะให้เสี่ยวจือพาเธอเที่ยวก็แล้วกัน”
“ผมอยากไปว่ายน้ำที่บ้านคุณด้วย”
“อืม...”
“อ่างอาบน้ำที่บ้านคุณผมก็อยากจะลงแช่...”
“เผิงเผิง” หงคงฉ่วยเรียกชื่ออีกฝ่าย “ถ้าเขาอัดเธอหรือตัดอะไรเธอเร็วขึ้น ก็เพราะเธอพูดแบบนี้นี่แหละ ฉันเดาว่าตอนนี้เขาคงจ้องเธอเหมือนกับจะฆ่าให้ตายอยู่ใช่ไหมล่ะ”
“คุณเดาถูกเผงเลย” อีกฝ่ายตอบ “แต่ผมไม่รู้จะคุยอะไรกับคุณนี่นา”
“ไม่มีคดีอะไรสงสัยเลยหรือไง ช่วงนี้น่ะ”
“ผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาลนะ ที่สงสัยมีแต่คดีนี้นี่แหละ” เงียบไปพักหนึ่ง ลู่อี้เผิงจึงพูดขึ้นต่อ “อ้อ.. หัวผมแตกด้วยล่ะ แต่ท่าทางแผลมันจะปิดแล้วมั้ง”
ได้ยินเสียงหงคงฉ่วยถอนหายใจตามมา “ฉันว่าโรงพยาบาลคงไม่รับรักษาเธอแล้วล่ะ” เขากล่าว ก่อนจะรับเสื้อจากพ่อบ้านมาสวม
“คงฉ่วย” หลี่คงเรียกชื่อเขาในตอนที่ผู้เป็นเจ้านายก้าวออกมาด้านนอก หงคงฉ่วยหันหน้ากลับไปมอง
“ให้ผมไปด้วยเถอะครับ”
หงคงฉ่วยมองดูใบหน้าแก่ชรานั้นพักหนึ่ง แล้วจึงยิ้มออกมา “ไม่ต้องหรอก พ่อบ้านไปแล้วใครจะจัดการที่นี่ให้ฉันล่ะ...”
หลี่คงเม้มริมฝีปากเหี่ยวย่นจนเป็นเส้นตรง “คงฉ่วย.....”
คนถูกเรียกเดินเข้ามาใกล้เขา ก่อนจะพูดต่อ “ช่วยฉันอีกสักครั้งเถอะนะ....”
-------------------------------------------
“เผิงเผิง พูดให้เสียงดังหน่อยนะ ฉันอยู่บนเรือ เครื่องมันเสียงดังน่ะ” หงคงฉ่วยพูดหลังจากระโดดขึ้นไปบนเรือและติดเครื่องแล้ว
“อ้อ.. ผมคิดว่าคุณจะขี่เจ็ตสกีมาซะอีก” เสียงของลู่อี้เผิงดังตอบกลับมา หงคงฉ่วยกรอกเสียงกลับไป “อย่างี่เง่าไปหน่อยเลยน่า ที่ที่เธออยู่ไม่ใช่ว่าใกล้ๆ ฝั่งนะ อีกอย่าง ฉันไม่อยากเปียกน้ำในอากาศหนาวแบบนี้หรอก”
“อะ..อ้อ.. อืม... ” เงียบไปพักหนึ่ง ลู่อี้เผิงจึงพูดขึ้นต่อ “คะ...คงฉ่วย มีอะไรที่พูดแล้วรู้สึกร้อนขึ้นบ้างมั้ย?”
“ที่เป็นอยู่นั่นยังน่าร้อนใจไม่พออีกหรือไง?” อีกฝ่ายสวนทันที ได้ยินลู่อี้เผิงหัวเราะ ก่อนจะตอบกลับมาเสียงสั่น “อะ.. อืม..ผะ.. ผมว่า ยังร้อนไม่พอหรอก..”
หงคงฉ่วยขมวดคิ้ว “เผิงเผิง เสียงเธอเป็นอะไรน่ะ”
“อ้อ..อะ..อืม... พะ.. พอดีว่า.. ผมตัวเปียกอยู่น่ะ.. แล้ว...ตรงนี้ก็ลมแรงสุดๆ ด้วยสิ”
“?!!”
“คะ.. คงฉ่วย... ตัวคุณอุ่นใช่มั้ย?”
“เผิงเผิง” หงคงฉ่วยเรียกชื่อเขาอีกรอบ “เลิกแกว่งปากสร้างความซวยให้ตัวเองทีเถอะ พูดอะไรที่มันไม่กวนประสาทเขาจะได้มั้ย..”
อีกฝ่ายหัวเราะแบบฟันกระทบกันกึ่กๆ “ผะ.. ผมว่า.. ผมทำอะไรก็ดูกวนประสาทเขาทั้งนั้นแหละ... คะ..คงฉ่วย กังฟูนี่.. ยิ่งแก่ยิ่งเก่งหรือ?”
“ก็แล้วแต่คน” หงคงฉ่วยพูด ก่อนจะอธิบายต่อ “แต่เขาเป็นระดับอัจฉริยะ ให้ฉันเดานะ เธอโดนเขาซัดร่วงตั้งแต่ยังไม่ทันมองเลยล่ะสิ”
“ขะ.. เขาเอารถยกมายกรถผมเลยล่ะ”
“?!!”
“ผะ.. ผมเชื่อแล้วว่าเขาบ้า”
“เออ... แต่ฉันจะบอกอะไรให้ เธอก็บ้าพอๆ กับเขานั่นล่ะ เรือลำใหญ่รึเปล่า”
“ใหญ่” อีกฝ่ายตอบ “ไม่รู้ว่าจะเท่าเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนรึเปล่านะ แต่เรือลำใหญ่จริงๆ ผมไม่เห็นใครเลยนอกจากเขา แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ เพราะอาจจะซ่อนตัวอยู่ก็ได้”
“อืม...” หงคงฉ่วยตอบ พลางเร่งเครื่องเรือสปีดโบ้ทพุ่งทะยานออกไปบนผืนน้ำ ที่อาบด้วยละอองแสงอาทิตย์สีทองช่วงสุดท้ายของวัน
---------------------------------------------
ชีวิตในวัยเด็กของหรงสือจื่อ เขาไม่เคยได้อ้าปากเรียกใครว่าแม่เลยสักครั้ง
แม่ของเขาเสียชีวิตลงในวันที่เขาเกิด และพ่อของเขาก็ไม่ยอมแต่งงานใหม่ ตัดสินใจเลี้ยงดูลูกชายด้วยตัวเอง
หรงสือจื่อโตมาในฐานะคุณชายคนเดียวของบ้านตระกูลหรง นอกจากแม่แล้ว เขามีทุกสิ่งทุกอย่าง พ่อของเขาพร่ำสอนเรื่องวิชาบริหารและกังฟูตั้งแต่เล็ก ด้วยตั้งเป้าว่าลูกชายคนเดียวคนนี้จะโตขึ้นเป็นผู้นำตระกูลที่ยอดเยี่ยม และหรงสือจื่อก็ทำได้ดีทุกประการ
ชีวิตในวัยเด็กของเขาเหนือกว่าเด็กคนอื่นๆ ในทุกรูปแบบ แต่หัวใจของเขากลับเหมือนมีรูกลวงโบ๋ที่ไม่รู้ที่มาที่ไป เขาอยากมีใครสักคนอยู่ใกล้ๆ ใครสักคนที่เป็นเพื่อนเล่นกับเขาได้ ใครสักคนที่จะอยู่ใกล้ๆ เขา โดยไม่พร่ำสอน บ่น หรือสั่งให้ทำอะไร
แล้ววันหนึ่ง ตอนเขาอายุสักแปดขวบเห็นจะได้ พ่อของเขาก็พาเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาที่บ้าน บอกว่าต่อไปนี่คือน้องชายของเขา เด็กผู้ชายคนนั้นอายุสักสามขวบ ผิวขาวละเอียด ผมสีดำสนิท นัยน์ตากลมโตเหมือนลูกกวางน้อย เวลายิ้มออกมาเหมือนโลกทั้งโลกมีแต่ความสดใส พอได้ยินเสียงเด็กคนนั้นเรียกเขาว่าพี่ชาย ช่องว่างกลวงโบ๋ในจิตใจของเขาก็เหมือนจะเต็มตื้นจนกระทั่งล้นทะลัก
หรงไป๋จื่อ
หรงสือจื่อท่มเททุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่เขาจะทำได้ในตอนนั้นให้น้องชายคนนี้ทันที น้องชายตัวเล็กๆ ที่แสนน่ารัก
ตั้งแต่มีน้องชาย ชีวิตของเขาก็มีสีสัน มีความสุขเป็นที่สุด ไปไหนจะได้ยินเสียงเรียก พี่จ๋าๆ เขาแทบไม่อยากจะปล่อยมือน้อยๆ ที่จูงอยู่นั้นเลยสักครั้ง
น้องชายของเขาน่ารักกว่าสิ่งอื่นใดในโลก
แต่หรงสือจื่อไม่ได้อยู่กับน้องชายที่เขารักตลอดเวลา ผู้เป็นพ่อแยกห้องพวกเขา น้องชายคนนั้นต้องไปนอนอยู่ในห้องเล็กๆ หลายครั้งที่หรงสือจื่อแอบไปดู ดูหน้าน้องชายคนนั้นตอนกำลังหลับ น่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด
พอโตขึ้นมาหน่อย หรงสือจื่อก็พยายามจะเอาใจน้องชายตัวน้อยของเขาทุกอย่าง ไม่ว่าอยากจะได้อะไร ขอแค่ให้เอ่ยปาก หรงสือจื่อจะพยายามหามาประเคนน้องชายคนนี้ให้ได้ แม้จะต้องแลกกับการถูกเฆี่ยนตี เขาก็ยอม
เขาชอบรอยยิ้มบนใบหน้านั้นเป็นที่สุด
กระทั่งหรงไป๋จื่อบอกเขาว่าอยากได้ดวงจันทร์ เขายังหาวิธีไปเอาลงมาให้ พอเอาลงมาไม่ได้ เขาก็หาวิธีพาน้องชายขึ้นไปแทน เพิ่งมารู้เอาหลังจากนั้นเหมือนกันว่า เขาเกือบทำให้น้องชายจากไปอย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว
ถึงอย่างนั้น หรงสือจื่อก็ยังพยายามเอาอกเอาใจน้องชายตัวน้อยๆ ของเขาต่อไป จนกระทั่ง พ่อของเขาสั่งให้ไปเรียนต่อที่ไต้หวัน
การต้องห่างกับน้องชายที่เขารักเอ็นดูมาตลอดหลายปี สร้างความอึดอัดทรมานให้เขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หรงสือจื่อคิดไปต่างๆ นานา กลัวว่าจะมีใครมาแย่งความรักของน้องชายไปจากเขา ไม่รู้ว่าป่านนี้หรงไป๋จื่อจะยังคิดถึงเขาอยู่อีกหรือไม่ ในที่สุด เขาก็ต้องเขียนจดหมายขอร้องให้ทางบ้านส่งข่าวคราวและรูปถ่ายของหรงไป๋จื่อมาให้เขาเป็นระยะๆ ถึงได้พอคลายความคิดถึงลงไปบ้าง
แต่นับวัน รูปถ่ายน้องชายที่ส่งมายิ่งน่ารักเกินจะทน ถึงจะเป็นรูปถ่ายขาวดำ แต่หรงสือจื่อแทบจะเห็นเลยว่าผิวนั้นขาวแค่ไหน ริมฝีปากนั้นแดงขนาดไหน กระทั่งเหมือนจะได้ยินเสียงน้องชายพูดกับเขาผ่านรูปถ่ายอยู่
นึกไม่ออกอีกว่าอะไรในโลกนี้ที่จะน่ารักไปมากกว่านี้ หรงสือจื่อไม่สนใจใครทั้งนั้น ได้แต่หลงใหลรูปถ่ายน้องชายของตนอยู่นานเป็นปีๆ จนกระทั่งได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง
หรงสือจื่อถึงได้รู้ว่า เขาคลั่งรักน้องชายจนเกินกว่าจะควบคุมตัวเองได้อีกแล้ว เป็นครั้งแรกที่เขาทำให้หรงไป๋จื่อร้องไห้เหมือนคนบ้า เป็นครั้งแรกที่หรงไป๋จื่อบอกว่าเกลียดเขา แต่หรงสือจื่อควบคุมตัวเองไม่ไหวอีก
เขาอยากได้ทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างจากน้องชายคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม น้ำตา เสียงหัวเราะ คำด่าประนาม ทุกสิ่งทุกอย่าง อยากให้สายตาคู่นั้นจับจ้องตัวเองเพียงแค่คนเดียว
เขาคลั่งไคล้หลงใหลในทุกสัดส่วน หรงไป๋จื่อทำให้เขาคลั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมหัวใจ และบางครั้งก็เป็นยาพิษกัดกร่อนหัวใจของเขา
ถึงแม้หรงไป๋จื่อจะเกลียดเขากระทั่งฆ่าเขาทิ้งไปแล้วหนหนึ่ง แต่พอรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ความหลงใหลคลั่งไคล้นั้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย
เขาเฝ้ารอ.. รออย่างอดทน รอเวลาที่เขาจะได้ตัวหรงไป๋จื่อกลับมาอีกครั้ง
คราวนี้เขาจะไม่ยอมให้ใครมาพรากน้องชายไปจากเขาอีก
---------------------------------------------
เกิดมาลู่อี้เผิงไม่เคยเห็นสายตาของใครน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ถูกล่ะ ทำงานมาห้าปี เขาเคยเจอกับฆาตกรโหด คนไข้โรคจิต และอีกสารพัด กระทั่งบุคคลในตำนานอย่างหงคงฉ่วย ที่มีแววตาเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวลึก ก็ยังไม่เคยทำให้เขารู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจขนาดนี้มาก่อนเลย
ดวงตาที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้นิ่งสนิท แต่กลับให้ความรู้สึกกดดันอย่างที่สุด ถ้านี่คือแววตาของคนบ้า ลู่อี้เผิงคิดว่าเขากำลังเจอคนที่บ้าเสียยิ่งกว่าบ้าซะแล้ว
“คุณใช่หรงสือจื่อจริงๆ หรือ?” นายตำรวจหนุ่มถามออกไป ทั้งๆ ที่โทรศัพท์ยังแนบหูอยู่นั่นแหละ ชายวัยห้าสิบใกล้หกสิบมองเขาสักพัก ก่อนจะแค่นยิ้มออกมา “อืม.. แต่ก่อนฉันเคยถูกเรียกแบบนั้น”
ลู่อี้เผิงกลืนน้ำลาย กาลเวลาทำร้ายร่างกายของคนเราได้มากจริงๆ หรงสือจื่อตอนนี้ต่างจากรูปถ่ายเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง แต่หากบุคลิกบางอย่างยังคงหลงเหลืออยู่ อย่างวิธีมองคนยังไงล่ะ
“ทำไมคุณถึงต้องวางระเบิดรถผมด้วย?”
“รู้อะไรไหม..” หรงสือจื่อพูดเสียงเรียบ แล้วเดินเข้ามาใกล้ “ถ้าแกไม่ใช่คนโปรดของน้องชายฉันล่ะก็ ฉันจะระเบิดแกให้เละ สับแกเป็นชิ้นๆ เผาให้มอดเป็นเถ้า แล้วเอาโยนลงชักโครกไปเลย”
ลู่อี้เผิงกลืนน้ำลายเฮือก ขณะที่อีกฝ่ายเค้นเสียงพูดกับเขาต่อ “แกมันก็ไอ้เด็กเพิ่งเกิดไม่กี่วัน แต่บังเอิญโชคดีได้กอดน้องชายที่น่ารักของฉัน แถมเขาก็ดันหลงแกมากเสียด้วย รู้ไหมว่าสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยหลงใครเลย แกทำอะไรเขากันแน่ หา!!”
มือแข็งแรงเหมือนคีบเหล็กคู่นั้นยื่นมาเค้นคอเขาอีกรอบ “แกได้อะไรจากเขาไปบ้าง? เขาเคยให้แกแตะต้องตัวมั้ย? แต่ท่าทางแกจะได้เข้าๆ ออกๆ บ้านเขาบ่อยนี่ แกเคยแตะเขาแล้วล่ะสิ ระยำเอ๊ย อย่างแกมันสมควรจะถูกเลาะนิ้วทิ้งทีละนิ้ว”
นายตำรวจหนุ่มพยายามจะสูดหายใจเข้าปอดเต็มที่ อีกฝ่ายจ้องเขาด้วยสายตาเชือดเฉือน “ถ้าไม่ติดว่าแกเป็นของเล่นสุดหวงของน้องชายฉันล่ะก็ ฉันฆ่าแกทิ้งไปแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ รับรองว่ายังไงๆ แกก็ไม่รอดแน่ๆ ฉันแค่อยากเห็นเขาดีใจตอนเจอแกครบถ้วนสมบูรณ์ดีอยู่ จากนั้น....”
นิ้วที่กำอยู่แน่นขึ้นเรื่อยๆ จนลู่อี้เผิงคิดว่าเขาใกล้จะขาดอากาศตายอยู่แล้ว
“ฉันจะฆ่าแกทิ้ง เขาจะได้เห็นแกตายไปต่อหน้าต่อตา”
“อะ.. ไอ้โรคจิต” ลู่อี้เผิงเค้นเสียงออกมาได้คำหนึ่ง ขณะที่หน้าแดงก่ำจนใกล้เขียวเต็มที่ ทางนั้นเบิ่งตามองเขา ก่อนจะหัวเราะออกมา “เชิญด่าไปเถอะ อีกไม่นาน แกก็จะได้ไปสบายแล้ว”
ทันใดนั้นก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังแทรกเข้ามา
“เห่ยอิง ปล่อยเขาได้แล้ว”
--------------------------------------------------------------