บทที่ 24
สองวันต่อมาเป็นช่วงที่อึดอัดใจที่สุดตั้งแต่ผมมาอยู่ฮาร์นาส ไม่ใช่ว่าแมทมีท่าทีเปลี่ยนไปหลังจากผมบอกเขาว่าไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องคืนนั้นอีก คุณสิงโตยังคงดูแลผมอย่างดี พวกเราออกไปทำงานแต่เช้าตรู่และกลับที่ห้องพักตอนค่ำด้วยกันเหมือนเดิม เพียงแต่ระยะห่างระหว่างเราสองคนดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น แมทระวังไม่เข้าใกล้ผมมากนัก หรือหากจำเป็นต้องสัมผัสตัวกัน เขาจะพึมพำขอโทษอย่างสุภาพทุกครั้ง ส่วนผมเองก็ได้ยิ้มและบอกเขาว่า ไม่เป็นไร
...แล้วผมก็พยายามบอกตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกันว่า
ไม่เป็นไรท่าทางผิดปกติของเราสองคนอยู่ในสายตาเพื่อนในกลุ่ม โซเฟียกับมาเรียนน่าถึงกับแอบดึงผมไปถามว่า ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมผมกับแมททำเย็นชาใส่กัน ผมได้แต่อ้างไปว่า ผมกำลังทำใจเรื่องแฟนเก่า ไม่ค่อยอยากคุยอะไรกับใครมากนัก ส่วนแมทก็คงไม่อยากกวนผมก็เลยไม่ได้ชวนคุยเหมือนปกติ
โซเฟียหันไปแปลมาภาษามือให้มาเรียนน่า แล้วสองสาวก็หันกลับมา ทำหน้าบูด ส่งภาษามือใส่ผมพร้อมกันฉับๆ โดยโซเฟียออกเสียงกำกับไปด้วย
“พวกเรา-ไม่-เชื่อ”ผมเลยได้แต่ยิ้มเซียวพร้อมกับถอนใจ สีหน้าของผมคงหงอยไปหน่อย เพื่อนทั้งสองเห็นแล้วก็เลยพลอยหงอยตาม
โซเฟียถอนใจเฮือกก่อนจะออกปากว่า “พวกฉันไม่ได้อยากจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคีกับแมทหรอกนะ แค่เป็นห่วง คิดว่าถ้ามีเรื่องอะไรก็อยากให้เคลียร์กัน แต่มาคิดอีกที คีคงยังเครียดเรื่องแฟนเก่าห่วยๆ นั่น ก็คิดอะไรเงียบๆ รอให้อารมณ์ขึ้นดีกว่านี้ก่อนก็ได้ ยังไงคีก็ยังอยู่ที่นี่อีกตั้ง 2 สัปดาห์ มีเวลาคุยกับแมทอีกตั้งเยอะ”
ผมยิ้มแล้วพยักหน้า ไม่ได้บอกพวกเธอว่า ผมอาจจะไม่อยู่นานขนาดนั้น
ผมลองเช็กตารางไฟลท์บินและคำนวณเรื่องการเดินทางแล้ว เที่ยวบินขามาค่อนข้างฉุกละหุก เจ้เคธต้องจองตั๋วให้ผม 3 ไฟลท์กว่าจะมาถึง แต่ขากลับโชคดีที่ได้ไฟลท์บินตรงจากกาต้า ต่อเครื่องที่สนามบินโดฮาแค่ครั้งเดียวก็ถึงกรุงเทพ แถมเป็นตั๋วแบบ Fully Flexible ที่เปลี่ยนไฟลท์ได้ เพียงแต่ต้องโทรไปแจ้งเปลี่ยนไฟลท์ล่วงหน้าและดูว่ามีที่ว่างรึเปล่า
ส่วนการเดินทางจากฮาร์นาส รถบัสของที่นี่จะออกไปรับอาสาสมัครใหม่ที่สนามบิน Hosea Kutako เมืองวินดฮุกตอนเช้ามืดวันจันทร์กับวันพฤหัสบดี วันจันทร์หน้าคงกะทันหันเกินไป วันพฤหัสน่าจะเหมาะกว่า ผมมีเวลาเปลี่ยนตั๋วและบอกลาเพื่อนๆ ...รวมถึงบอกลาใครอีกคนให้เรียบร้อย
ผมยังไม่ได้บอกเรื่องจะเลื่อนวันกลับกับใคร ตั้งใจว่าจะรอให้ถึงวันสุดท้ายของโปรแกรม Exclusive เสียก่อน อย่างน้อยก็อ้างได้ว่า จบโปรแกรมแล้ว ได้เห็นได้ลองทำทุกอย่างแล้ว เกิดคิดถึงบ้านขึ้นมามากๆ ก็เลยอยากกลับเร็วขึ้นเท่านั้นเอง
“คีโอเคแน่นะครับ”
ร็อบที่เดินอยู่ข้างๆ ผมถามขึ้นระหว่างที่เรากำลังทำภารกิจตรวจรั้วกั้นตอนเช้า ผมหันไปหาเขาแล้วพยักหน้า “อื้อ ผมโอเคสิครับ ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
สองวันนี้ผมเกาะติดอยู่กับร็อบ เขาไม่ได้ซักไซ้ผมเหมือนที่โซเฟียกับมาเรียนน่าถาม เพียงแต่คอยมองผมอย่างเป็นห่วงเหมือนตอนนี้ เพื่อนชาวอเมริกันยกมือขึ้นยกมือลูบศีรษะผมทีหนึ่ง ยอมรับง่ายๆ “โอเคก็โอเค แต่ถ้าคีมีเรื่องไม่สบายใจแล้วไม่รู้จะคุยกับใคร ผมพร้อมจะรับฟังนะ”
“ขอบคุณนะครับ” ผมฝืนยิ้มให้อีกครั้ง
ร็อบมองแล้วถอนใจ “เฮ้อ เห็นคีซึมแบบนี้แล้วเป็นห่วงชะมัด ถ้าไม่ติดว่าผมรับปากยัยลิซ่าไว้ว่าจะพายัยนั่นกับพวกเพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเลทรายนามิบ ผมคงอยู่ฮาร์นาสต่อแล้วละ แต่นี่พวกนั้นจองที่พักไว้แล้ว จะปล่อยให้ไปกันเองแต่พวกสาวๆ ก็ไม่ได้เสียด้วย” เขาบ่นพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ปล่อยให้พวกคุณลิซ่าไปกันเองไม่ได้อยู่แล้วละครับ มีแต่ผู้หญิง อันตรายเกินไป”
ผมรีบบอกเขาอย่างร้อนใจ กลัวเขาจะยกเลิกทริปเพราะผมจริงๆ “อีกอย่าง ร็อบเองก็อุตส่าห์มาถึงนามิเบียแล้ว ควรจะเที่ยวให้ทั่ว คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวอีกไม่กี่วันผมก็กลับไทยแล้วเหมือนกัน”
ร็อบทำท่าจะเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่พวกเราเดินมาถึงลานหน้าส่วนกลางที่จะประชุมประจำวันพอดี เห็นแมทที่เดินนำมาหยุดรออยู่ ร็อบก็เลยไม่ได้พูดต่อ พวกเรานั่งลงแล้วรอให้สตีฟกับเฮเลนมาบรีฟว่า กิจกรรมวันนี้มีอะไรบ้าง
ธีมของวันนี้เป็น Baboon Day ตอนเช้าเราจะไปให้อาหารลิงบาบูนที่อยู่ตามธรรมชาติตรงพื้นที่ด้านนอกก่อน คนไทยคุ้นหูกับชื่อลิงบาบูนมากกว่าสัตว์ป่าจากแอฟริกาใต้ชนิดอื่นๆ อาจจะเพราะชื่อของมันจำง่าย แม้ว่าจะไม่มีสวนสัตว์ในประเทศไทยที่มีลิงบาบูนให้ดูมากนัก
รูปร่างของลิงบาบูนค่อนข้างใหญ่ ใหญ่กว่าลิงกังซึ่งเป็นลิงพื้นเมืองของแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่พอสมควร ขนเป็นสีน้ำตาลและใบหน้าสีดำ ลิงบาบูนขึ้นต้นไม้ไม่เก่ง จึงมักจะอยู่ตามเขาหินและอาศัยนอนน้ำ ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่รวมกันเป็นฝูง ฝูงหนึ่งอาจจะมีถึง 200-300 ตัว
สตีฟเล่าว่า บาบูนเป็นสัตว์ป่าที่มีความเสี่ยงสูญพันธุ์ต่ำ แต่ก็ใช่ว่าพวกมันจะไม่ถูกคุกคาม เมื่อ 4-5 ปีก่อนมีข่าวว่า เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งอยู่ติดกับนามิเบีย มีฝูงลิงบาบูนบุกรุกเข้าไปในเมือง บุกเข้าไปในอาคาร ขโมยอาหาร และถึงกับวิ่งไล่ผู้คนที่เพิ่งซื้อของออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต สร้างความโกลาหลไปทั่ว
ลิงพวกนี้เคยอาศัยอยู่บริเวณคาบสมุทรเคปใกล้กับแหลมกู๊ดโฮปมานาน จนกระทั่งผู้คนย้ายถิ่นฐานเข้าไปตั้งรกรากในแถบนั้น พวกลิงถูกล่าแถมยังถูกตัดห่วงโซ่อาหาร จนสุดท้ายเมื่อไม่มีแหล่งอาหารตามธรรมชาติ พวกมันจึงต้องดิ้นรนเข้ามาขโมยอาหารกินในเมือง
ผมฟังเรื่องฝูงลิงบุกเมืองแล้วก็นึกถึงภาพยนตร์ชุด Planet of the Apes ซึ่งเป็นเรื่องลิงกลายพันธุ์ที่เข้าครอบครองโลก พอนึกภาพเจ้าลิงบาบูนฝูงใหญ่ที่กำลังกินอาหารอยู่อีกฝั่งของรั้วกั้นบุกเข้าไปในเมืองเหมือนในหนัง ก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน แต่คิดแล้วมนุษย์เราก็เป็นสาเหตุหลักทั้งในหนังและในโลกจริงนั่นแหละ
กิจกรรมช่วงบ่ายพวกเราต้องแบ่งกันไปดูแลทำความสะอาดพื้นที่อนุบาลลิงบาบูนซึ่งยังไม่ปล่อยออกสู่ธรรมชาติ พื้นที่ของลิงบาบูนค่อนข้างใหญ่ กินอาณาเขตกว้างที่สุดในพื้นที่อนุบาลสัตว์ส่วนกลาง มีทั้งกรงใหญ่แล้วก็กรงย่อย ในกรงใหญ่จะมีบ่อน้ำและสนามให้พวกลิงเล่น
“ตรงกรงใหญ่เข้าไปพร้อมกันหลายๆ คนได้ แต่ส่วนกรงย่อยค่อนข้างแคบ เข้าไปได้แค่ 2 คน วันนี้อาสาสมัครกลุ่มเราส่วนหนึ่งจึงต้องแยกไปทำงานกับอาสาสมัครเก่าที่เคยทำงานแล้ว ขอตัวแทนกลุ่มละ 1 คนก็แล้วกันนะคะ”
เฮเลนบอกกลางวงประชุม ผมเห็นโซเฟียกับมาเรียนน่าหันไปมองหน้ากัน สองสาวคงต้องไปด้วยกันอยู่แล้ว เพราะไม่อย่างนั้นมาเรียนน่าก็จะไม่มีคนแปลภาษามือให้ฟัง กลุ่มเราจึงเหลือแค่ผมกับร็อบ ผมยกมืออาสา
“กลุ่มนี้ ผมไปเองครับ”
ผมบอกเฮเลนก่อนจะหันไปบอกเพื่อนๆ “งั้นผมไปทางโน้นแล้วกัน ไว้เจอกันตอนกินอาหารเย็นนะ”
ผมก้าวเท้าเข้าไปรวมกลุ่มกับตัวแทนที่เหลือ แมทขยับตัวเหมือนจะเดินมาหา แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ชะงัก ใบหน้ารกด้วยหนวดถอนใจก่อนที่เจ้าตัวจะหมุนตัวเดินตามสตีฟไป ผมมองตามหลังร่างสูงหนาไปด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ก่อนจะเดินตามเฮเลนแยกไปอีกทาง
เฮเลนเดินพาพวกเราไปส่งให้อาสาสมัครเก่าที่รออยู่แล้วทีละกรง จนกระทั่งเหลือผมเดินไปถึงกรงสุดท้าย แต่เมื่อเดินไปถึงผมก็กลับชะงัก พอคนที่ยืนอยู่รอเห็นผมเข้าก็ชะงัก พลอยทำหน้าพิพักพิพ่วนไปด้วยเหมือนกัน
อาสาสมัครเก่าที่ผมต้องมาช่วยงานวันนี้คือ...คุณลิซ่า..............................................................
ผมเดินถือคราดกับถังใส่เศษใบไม้เข้าไปในกรงขนาดกว้างประมาณ 4 x 4 เมตร คุณลิซ่ายืนกอดอกรออยู่ด้านในแล้ว วันนี้เธอแต่งตัวทะมัดทะแมงกว่าทุกวัน สวมเสื้อแขนยาว กางเกงวอร์มขาห้าส่วน รวบผมบลอนด์เกล้าเป็นมวยเก็บเรียบ ใบหน้าสวยจัดมองผมนิ่งโดยไม่เอ่ยทักอะไร ผมได้แต่ยิ้มแหย เตรียมอ้าปากทักทายตามมารยาท
“ฮาย ลิซ่า..เป็นไงบ้างครั...
อุ๊ปส์”คำทักเปลี่ยนเป็นเสียงอุทานเมื่อลูกลิงบาบูนตัวหนึ่งกระโดดจากซี่ลูกกรงไปเกาะกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง เฉี่ยวศีรษะผมไปนิดเดียว ผมสะดุ้งโหยง เบิกตากว้าง ขณะที่เจ้าลิงตัวนั้นหันกลับมามองแล้วแยกเขี้ยวขู่ฟ่อใส่
คุณลิซ่ายื่นขวดนมขวดเล็กให้เจ้าลิงตัวนั้น มันคว้าไปขวดนมไปกระดกคอดูดแล้วไม่สนใจผมอีก ส่วนคนที่เพิ่งป้อนนมลูกลิงก็หันมาทางผม เตือนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อย่าทำท่ากลัว ลิงพวกนี้ฉลาด ถ้าหงอใส่ มันจะข่มแล้วก็คอยแกล้ง ยืดหลังตรงไว้ อย่าทำตัวงอ ต้องทำให้มันรู้ว่า เราตัวใหญ่กว่าแล้วก็แข็งแรงกว่า”
คุณลิซ่าสอน ส่วนผมได้แต่กลืนน้ำลายแล้วพยักหน้าหงึกๆ
ตอนนี้ผมกลัวทั้งคนทั้งลูกลิงเลยละครับหลังจากนั้นผมก้มหน้าก้มตากวาดพื้นเก็บเศษใบไม้ตามหน้าที่ ขณะที่คุณลิซ่าให้อาหารพวกลิง เราต่างคนต่างทำงานโดยไม่ได้คุยกัน แต่ผมก็สัมผัสได้ว่า สาวสวยผมบลอนด์คอยมองมาทางผมอยู่เป็นระยะ
ตั้งแต่วันที่คุณลิซ่าไม่สบายจนแมทต้องพาไปห้องพยาบาล ผมก็ไม่ได้เจอเธออีก มาเจอกันอีกทีวันนี้ ท่าทางของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ชวนคุยล้วงถามโน่นนี่เหมือนตอนที่เจอกันแรกๆ คงเพราะแมทปฏิเสธเธอจริงจังไปแล้ว ลิซ่าถอยห่างจากแมท เธอก็เลยพลอยวางตัวเหินห่างกับผมไปด้วย
...คือไม่ชวนคุยก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เล่นจ้องผมนิ่งๆ แบบนี้ ผมก็อึดอัดเหมือนกันนะผมนึกในใจแต่ไม่กล้าชวนเธอคุยลดบรรยากาศอึดอัดเหมือนกัน
คุณลิซ่ารอจนลูกลิงบาบูนกินนมหมดขวดแล้วก็เก็บขวดนมใส่ตะกร้า หญิงสาวยืดตัวขึ้น ยื่นแขนไปข้างหน้าแล้วดึงตัวเจ้าลิงน้อยที่เกาะอยู่บนซี่กรงเข้าไปกอดอย่างง่ายดายเหมือนเวลาอุ้มเด็กทารก ผมอดอุทานอย่างทึ่งไม่ได้
“โอ้โห คุณเก่งจังครับ ไม่กลัวมันกัดเอาเหรอ”คุณลิซ่าตวัดสายตามองผมทีหนึ่ง ไม่ได้ยิ้มรับคำชม แต่กลับชี้นิ้วไปที่ตะกร้าซึ่งวางอยู่บนพื้นกรง “หยิบผ้าอ้อมในนั้นมาให้หน่อย”
“หือ ครับ?” ผมถามอย่างงุนงง ก็เลยโดนถอนใจเฮือกใส่ไปอีกที
“ผ้าอ้อมสำเร็จรูปในตะกร้า...หยิบมาให้หน่อย แล้วก็ใส่ให้เจ้านี่ด้วย” อีกฝ่ายบอกพลางก้มลงมองเจ้าลิงที่เกาะตัวเองหนึบ
“เห? ผมเหรอครับ?” คราวนี้ผมถามเสียงดัง
คุณลิซ่าหรี่ สีหน้าขุ่นมัวแบบกึ่งๆ จะรำคาญ เธอออกปากเร่ง
“ถ้าไม่ใช่นายแล้วใครจะทำ ฉันต้องอุ้มมันอยู่เนี่ย เร็วหน่อย”
“ครับๆ” ผมรีบรับคำแล้วก้มตัวลงไปหยิบผ้าอ้อมสำเร็จรูปในตะกร้า เป็นผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กทารกไซส์เล็กสุดนั่นแหละ พอเอามาใส่ให้เจ้าลูกลิงที่เริ่มตัวโตหน่อยพวกนี้แล้วก็พอดีเปี๊ยบ
ผมพยายามใส่ผ้าอ้อมอย่างเก้ๆ กังๆ กลัวทั้งลูกลิงกลัวทั้งเจ้าแม่ลิงที่กำลังมองผมด้วยสายตาหงุดหงิด
พวกเราช่วยกันใส่ผ้าอ้อมให้ลิงอีก 2 ตัวที่เหลือ พอเสร็จแล้วคุณลิซ่าก็ปล่อยเจ้าลิงตัวสุดท้ายกลับไปเกาะยางรถยนต์เก่าที่ผูกโซ่ร้อยไว้เป็นที่เล่น ก่อนจะหันมาทางผมแล้วถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “ได้ยินร็อบเล่าว่า นายทะเลาะกับแมทหรือ?”
“เอ่อ...ไม่ได้ทะเลาะนะครับ” ผมตอบอึกอัก นึกในใจว่า นี่ร็อบเอาเรื่องผมไปเมาท์ให้น้องสาวเขาฟังด้วยเหรอเนี่ย “ผมแค่...มีเรื่องต้องคิด แล้วก็เกิดโฮมซิคขึ้นมานิดหน่อย ก็เลยดูนิ่งไปเท่านั้นเอง ร็อบเป็นห่วงมากไปแล้ว”
ผมพยายามออกตัว แอบนึกในใจอย่างหวาดเสียว นี่ร็อบคงไม่ได้ไปเปรยกับคุณลิซ่าว่าอยากล่มทริปนามิบเพื่ออยู่ฮาร์นาสต่อเหมือนที่บอกผมเมื่อเช้าหรอกนะ ไม่อย่างนั้นคุณลิซ่าได้กินหัวผมแน่
“อ้อ” หญิงสาวผมบลอนด์ทำเสียงอือออ
ผมฝืนยิ้มเลยเอ่ยต่อ “ฝากคุณบอกร็อบด้วยนะครับ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง ผมอาจจะกลับไทยสัปดาห์หน้านี้แล้ว”
คราวนี้คุณลิซ่าขมวดคิ้วฉับ “กลับไทยสัปดาห์หน้า? ตอนที่ฉันถามคราวก่อน นายบอกว่าจะอยู่ที่นี่หนึ่งเดือนไม่ใช่หรือ”
“ก็พอดี...ผมเกิดคิดถึงบ้านขึ้นมาน่ะครับ ก็อีกไม่กี่วันจะหมดโปรแกรม Exclusive แล้ว เลยคิดว่า กลับบ้านดีกว่า พี่สาวผมจองตั๋วแบบ Flexible ให้ ถ้ามีที่นั่งว่าง ผมก็เลื่อนตั๋วกลับก่อนได้”
ผมอ้างเหมือนที่คิดว่าจะอ้างกับพวกเพื่อนๆ หรือเจ้เคธ แต่ดูเหมือนคุณลิซ่าจะไม่เชื่อ เธอเลิกคิ้วแล้วแค่นเสียงถาม “โฮมซิคก็เลยอยากกลับบ้านก่อน หรือว่าจริงๆ แล้วนายตั้งใจจะหนีหน้าใครกันแน่”
ผมหลบตาเธอแล้วงึมงำปฏิเสธ “ไม่ได้หนีสักหน่อยครับ”
ผมรู้แหละว่า ทำแบบนี้ก็เท่ากับหนีหน้าแมท แต่ผมยอมเป็นคนขี้ขลาดหนีไปเสียดีกว่าจะปล่อยให้เราสองคนต้องอยู่กันแบบอึดอัดอย่างนี้ไปอีกเกือบครึ่งเดือน แค่สองวันที่เรามองหน้ากันไม่ติดก็กระอักกระอ่วนจะแย่แล้ว ผมไม่อยากให้แมทต้องลำบากใจไปมากกว่านี้ ไม่งั้นคงกลายเป็นว่า การที่ผมมาฮาร์นาสทำให้แผนพักร้อนของเขาพังหมด
คุณลิซ่ามองผมนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะโพล่งถามขึ้นมาว่า
“แทนที่จะกลับไทย ไปเที่ยวนามิบกับพวกฉันไหม”“เอ๋?” ผมเบิกตากว้างอย่างงุนงง “ไปเที่ยวทะเลทรายนามิบ...กับพวกคุณลิซ่าเหรอครับ?”
“อืม นายเคยบอกเจนกับคอร์เดียว่า อยากไปเที่ยวนามิบแต่ไม่สะดวกเพราะไม่มีรถไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นไปกับพวกฉันก็ได้ รถที่ร็อบเช่ามาค่อนข้างใหญ่ นั่ง 5 คนได้สบายๆ อีกอย่าง ฉันจองที่พักที่ Sossusvlei ไว้ 2 ห้อง แยกชายหญิง ร็อบพักคนเดียว มีเตียงว่างอีกเตียงพอดี นายไปแจมด้วยก็ได้ ช่วยหารแค่ค่าน้ำมันรถก็พอ”
“อย่าเลยครับ พวกคุณไปกันเป็นเพื่อนเป็นพี่น้อง ถ้าผมไปด้วย จะอึดอัดกันเสียเปล่าๆ” ผมค้านเสียงอึกอัก
“ถ้าอึดอัด ฉันไม่ชวนหรอกย่ะ ร็อบน่ะอยากให้นายไปด้วยแน่ๆ อยู่แล้ว เห็นพูดถึงนายทุกวันจนฉันจะเอียนตาย”
หญิงสาวว่าแขวะผมเสียอย่างนั้น ก่อนจะอธิบายต่อ “พวกฉันแพลนว่าจะเที่ยวนามิบ 3 วัน แล้วตีรถกลับมาวินดฮุก รอขึ้นเครื่องกลับบ้าน ส่วนนายก็ขึ้นรถบัสของฮาร์นาสที่มารับอาสาสมัครใหม่ที่สนามบินตอนวันพฤหัสกลับมาที่นี่ได้พอดี สนใจไหม”
“สนใจน่ะ สนใจอยู่หรอกครับ แต่ทำไมคุณลิซ่าถึงชวนผมละ” ผมถามออกไปตรงๆ
สาวผมบลอนด์ฟังแล้วระบายลมหายใจพรืดใหญ่
“เพราะฉันเกลียดการวิ่งหนีปัญหาที่สุดน่ะสิ เห็นใครทำแบบนี้แล้วก็หงุดหงิด ทนไม่ได้ทุกที”เธอยกมือเท้าเอว จ้องผมแล้วร่ายต่อ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่า ระหว่างนายกับแมทมีเรื่องปัญหาอะไรกัน แต่ฉันรับไม่ได้ที่หนุ่มหล่อล่ำบึ้กที่ปฏิเสธสาวสวยสุดเพอร์เฟคอย่างฉันจะมาถูกเด็กอย่างนายทิ้งอีกทอด พ่อยักษ์นั่นน่ะฉันอ่อยแทบตาย เสียเวลาไปเป็นอาทิตย์ๆ ยังไม่ติดเบ็ด นายตกได้แล้วจะมาสะบัดทิ้งเหมือนของไม่มีค่าไม่ได้นะยะ”
ผมฟังคุณลิซ่าแล้วก็พยายามเรียบเรียงสิ่งที่เธอพูด แต่ยิ่งคิดยิ่งงง รู้แค่ว่า เธอไม่พอใจที่ผมจะทิ้งแมทกลับเมืองไทยไปก่อน ผมกำลังจะอ้าปากอธิบายว่า ผมไม่ได้ทิ้งแมทแบบนั้น แต่คุณลิซ่ากลับเอ่ยต่อเหมือนจะสอน
“ฉันว่าสถานการณ์ของนายไม่ได้เลวร้ายขนาดต้องหนีกลับไทยหรอกน่า ถ้าอึดอัดก็แค่ลองถอยห่างออกมาสักหน่อย คิดอะไรได้แล้วค่อยกลับมาเคลียร์กันใหม่ ดีกว่าหนีหายไปแล้วมานั่งเสียใจซะเอง”
ผมจุกไปนิดหนึ่งเมื่อถูกจี้ใจดำ เลยประชดเธอกลับเสียงอุบอิบ “คุณลิซ่าพูดง่ายจังนะครับ”
คนถูกประชดกลับยักไหล่ไม่สะทกสะท้าน “แล้วทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องยากละ โอกาสเจอหนุ่มฮอตแถมนิสัยดีไม่ได้วนมาบ่อยๆ นายทิ้งไปแล้วจะมาเสียดายทีหลัง” คุณลิซ่าสรุป ก่อนจะถามผมว่า
“ว่ายังไง ตกลงจะไปไหม? ไปเที่ยวทะเลทราย 4-5 วัน ให้เวลาตัวเองไปคิดให้ตก แล้วค่อยกลับมาใหม่”
ผมนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ ไปเที่ยวที่อื่นสัก 5 วันกลับมาฮาร์นาสอีกทีก็เหลืออีกแค่อาทิตย์กว่าเท่านั้นก็ถึงกำหนดกลับบ้านแล้ว ติดรถเพื่อนไปเที่ยวก็ดูเป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้นกว่าคิดถึงบ้านแล้วอยากกลับเร็วเสียอีก ดูจากเมื่อกี้ที่ผมอ้างกับคุณลิซ่าแล้วเธอไม่เชื่อ ไปอ้างกับเจ้เคธหรือพวกโซเฟียกับมาเรียนน่า พี่สาวผมกับเพื่อนๆ ก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน
สุดท้ายผมจึงพยักหน้าให้คุณลิซ่า
“ตกลงครับ ผมขอไปเที่ยวนามิบด้วยคนนะ”.............................................................................
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ๆ คีถึงตกลงจะไปกับพวกคุณร็อบ”แมทถามด้วยน้ำเสียงเกือบจะเป็นหงุดหงิด วันนี้พอกลับมาถึงที่พัก ผมก็บอกเขาเรื่องที่คุณลิซ่าชวนไปเที่ยวนามิบด้วย พอรู้ว่าผมตอบตกลงไปแล้ว คุณสิงโตขมวดคิ้วมุ่นทันที
ผมก้มหน้าหลบสายตาเขา ตอบเสียงเบา “ผมแค่...เบื่อนิดหน่อยน่ะครับ อยู่ฮาร์นาสมาตั้งครึ่งเดือน มีแต่ทุ่งหญ้ากับท้องฟ้า ผมอยากไปเที่ยวที่อื่นบ้าง อีกอย่าง มาถึงนามิเบียทั้งที ผมก็อยากไปทะเลทรายนามิบอยู่แล้ว พอคุณลิซ่าชวน ผมก็เลยตกลง”
“ถ้าคีอยากไปเที่ยวนามิบ ฉันพาไปเองก็ได้ ไม่ต้องกวนพวกลิซ่ากับคุณร็อบ” แมทบอกเสียงจริงจัง
“ไม่ครับ! แมทไม่ต้องพาผมไปหรอก”ผมรีบเงยหน้าขึ้นปฏิเสธเขาเสียงร้อนรน “แค่คุณขับรถไปรับผมที่สนามบินมาถึงที่นี่ แถมยังคอยดูแลผมตั้งหลายวัน ผมก็เกรงใจมากแล้ว คุณมาพักร้อนที่ฮาร์นาสเพราะตั้งใจจะมาทำงานดูแลสัตว์ป่า จะมาเสียเวลาพาคนอื่นเที่ยวได้ยังไงครับ”
“คีไม่ใช่คนอื่นสำหรับฉัน ฉันเคยบอกแล้วนี่ว่า ฉันยินดีจะดูแลคี”
แมทเอื้อมมือมาจะลูบศีรษะผม แต่ผมผละถอยหนีไปนิดหนึ่ง เขาชะงักก่อนจะถอนใจ เอ่ยปากยอมตกลงในที่สุด
“ถ้าคีอยากไปเที่ยวกับพวกคุณร็อบ ก็ไปเถอะ แล้ววันพฤหัส ฉันจะขับรถไปรับคีที่วินดฮุกเอง ไม่ต้องรอรถบัสที่ไปรับอาสาสมัครใหม่”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมกลับมากับรถของฟาร์มก็ได้ ผมไม่อยากกวน...”
ผมแทรกขึ้นมาอีก แต่คราวนี้แมทจ้องผมแล้วดุเสียงเข้ม
“เลิกดื้อได้แล้ว คีตะ! ถ้าคลาดกับรถบัสของฟาร์ม คีจะกลับมาโกเบบิสยังไง อีกวันพวกคุณร็อบก็ต้องขึ้นเครื่องกลับอเมริกา คีอยู่ที่วินดฮุกคนเดียว มันอันตรายเกินไป ฉันไม่ว่าถ้าคีจะไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ควรจะรู้ด้วยว่า ทำยังไงตัวเองจะไม่เดือดร้อน และไม่ทำให้คนอื่นเป็นห่วง”
เขาดุผมยาวเหยียด แต่พอเห็นผมเม้มปาก พูดไม่ออกที่ถูกเขาดุเป็นครั้งแรก คุณสิงโตก็พยายามสะกดอารมณ์ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนลง “รอฉันไปรับเถอะ ฉันรับปากกับเคธี่ว่าจะดูแลคีให้ดี อย่าให้ฉันผิดสัญญาเลยนะ”
อะไรๆ ก็เจ้เคธ...ผมนึกในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป เพียงแต่ก้มหน้า ฝืนกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ครับ”
...........................TBC..............................
ส่งงานจ็อบเสร็จก็รีบมาต่อเลยค่ะ ยังคงหน่วงกันต่อไปอีก
ตอนนี้ลูกแมวน้อยทำท่าจะบินหนีกลับซะแล้ว แต่ถูกแม่เสือเกี่ยวคอไว้เสียก่อน (พี่ชายเป็นจากัวร์ น้องสาวก็จากัวร์นะคะ) ส่วนตัวแล้วเราชอบเขียนตัวละครผู้หญิงให้เก่งและฉลาดค่ะ (ใครอ่านเรื่องอื่นๆ ก็คงพอมองออก) คุณลิซ่าเองตอนแรกอาจจะเปิดตัวเหมือนนางอิจฉาตามละคร แต่ตอนหลังก็มีพาร์ทให้โชว์ความเริ่ดเหมือนกัน เราชอบมากๆ และหวังว่าจะถูกใจผู้อ่านทุกท่านนะคะ ^^
ตอนหน้าจะตามน้องคีข้ามประเทศไปเที่ยวทะเลทรายนามิบ ซึ่งอยู่อีกภูมิภาคหนึ่งของประเทศนามิเบียนะคะ วิวสวยขาดใจ แต่ใจลูกแมวน้อยจะรับรู้ความสวยงามรึเปล่าก็ไม่รู้
cr. pix by GenesJourney pixabay.com
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามด้วยค่ะ หากท่านผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร คอมเมนท์ได้ท้ายตอน หรือในทวิตเตอร์ #คุณสิงโตที่รัก ก็ได้ค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่า /โค้ง