เขยช่างไฟสะใภ้ช่างยนต์
{06}
“ใครวะ?” โซ่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดเพราะแรงบีบรัดของใครบางคนที่
โอบกอดเขาไว้ยาวนานกว่าค่อนคืน
“ไอ้พอร์ช?” มาตื่นเต็มตาก็ตรงที่ได้เห็นหน้าของผู้ร่วมเตียงชัดๆนี่แหละ
ภาพความทรงจำที่เกิดขึ้นก่อนที่จะหมดสติไปไหลเข้ามาเป็นฉากๆราวกับสายน้ำวน
โซ่ไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน และก่อนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้างเขาถึงได้มานอนอยู่กับมันอย่างนี้
แต่ที่รู้คือ เขาไม่อยู่รอให้มันตื่นขึ้นมาก่อนแน่ๆ เพราะตอนนี้เขาปวดหัวเกินกว่าที่จะมานั่งทะเลาะ
ต่อยตีหรือเถียงกับใครได้อีกแล้ว…มันเหนื่อยจริงๆ
แอ๊ด…
เขาเปิดปิดประตูด้วยความระวังไม่ให้เกิดเสียงดังมากนัก ก่อนที่จะค่อยๆ
เดินลัดเลาะไปตามทางเดินเมื่อเห็นทางลงบันไดอยู่ไม่ไกลจากสายตานัก พอหันมองไปรอบๆ
ถึงได้รู้ว่านี่คือบ้านของพอร์ช เพราะดูจากรูปครอบครัวที่ติดตกแต่งอยู่ตามผนังตั้งแต่ชั้นสี่
จนถึงชั้นสองที่เหมือนว่าจะเป็นเขตแดนส่วนตัวของครอบครัว ส่วนชั้นหนึ่งนั้นแน่นอนว่า
เป็นโชว์รูมรถอย่างที่รู้ๆกัน…ช่างเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉาเสียจริง โดยเฉพาะกับพอร์ชที่
ดูเหมือนว่าจะเป็นศูนย์กลางของครอบครัว เพราะรูปถ่ายที่เขาเห็นนั้นมันมีพอร์ช
เป็นองค์ประกอบหลักอยู่ทุกรูปเลย
“จะกลับแล้วหรอ” เพราะมัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง เลยไม่ทันได้รู้ตัวว่า
มีใครบางคนก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ทางด้านหลังของตัวเองได้สักพักแล้ว
“เอ่อ…ครับ” ด้วยความที่ไม่ทันได้ตั้งตัว โซ่จึงได้แต่หันกลับไปมองเจ้าของเสียง
แล้วตอบคำถามของเขาสั้นๆด้วยคำว่า ‘ครับ’ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร อีกทั้งตอนนี้หน้าตา
เขาคงดูไม่จืด ก็หวังว่าเสี่ยใหญ่เจ้าของบ้านคนนี้จะไม่เข้าใจผิดคิดว่าเข้าเป็นขโมยหรอกนะ
“แล้วเจ้าพอร์ชล่ะ เราไม่สบายไม่ใช่หรอ ทำไมไม่ให้มันไปส่งล่ะ” เขาจ้องหน้าถามหา
คำตอบจากเด็กหนุ่มที่ภรรยาเก็บมาเล่าให้ฟังว่าเป็นคนที่ลูกชายกำลังสนใจ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะจริงจังได้สักแค่ไหน
“ไม่เป็นไรครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณที่ช่วยเหลือครับ” โซ่ก้มหัวยกมือไหว้ขอบคุณ
เตรียมตัวที่จะชิ่งหนี เพราะไม่คุ้นชินในการพูดคุยกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตัวเขา
ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยแบบนี้ด้วยแล้ว มันกดดันเกินไป
“อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ” เสี่ยใหญ่เอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงนิ่งๆที่มาพร้อมกับหน้าดุๆ
ตามสไตล์ตัวเอง ทำเอาโซ่รู้สึกกังวลมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“ผมว่าไม่…”
“อ้าว…ตื่นแล้วหรอครับน้องโซ่ ไปทานข้าวเช้ากับแม่ดีกว่าลูก นี่แม่ตั้งใจทำสุดฝีมือเลยนะ…
ไปทานข้าวกันค่ะคุณ” ยังไม่ทันที่โซ่จะได้ปฏิเสธแม่ของพอร์ชที่บังเอิญผ่านเข้ามาเห็นสามีคุยกับ
เด็กหนุ่มที่ลูกชายพาเข้าบ้านมาพอดีก็รีบเดินแทรกบทสนทนา ก่อนที่จะเดินจูงโซ่เข้าครัวไปทันที
และไม่ลืมที่จะเรียกให้สามีของตนเดินตามเข้าไปด้วย
“แล้วนี่เจ้าพอร์ชยังไม่ตื่นอีกหรอ แย่จริงๆเลย เป็นเจ้าของบ้านแล้วมานอนตื่นที่หลังแขก
ได้ยังไงกันนะเจ้าลูกคนนี้…ฤดีช่วยไปตามเจ้าพอร์ชลงมาหน่อยสิ” เธอจัดที่ให้โซ่นั่งข้างกันกับเธอ
พูดบ่นถึงลูกชายคนเล็กไปเรื่อย ก่อนที่จะเรียกแม่บ้านที่ควบตำแหน่งพี่เลี้ยงของลูกๆเธอมาหลายปี
ให้ขึ้นไปปลุกพอร์ชลงมาทานมื้อเช้าด้วยกัน
“เอ่อ…”
“ปล่อยมันนอนไปก่อนเถอะ ตื่นเมื่อไหร่เดี๋ยวมันก็ลงมาเอง” เพราะสังเกตเห็นท่าทาง
อึดอัดของเด็กหนุ่ม เสี่ยใหญ่จึงเอ่ยปรามพร้อมกับส่งสัญญาณบางอย่างผ่านสายตาไปให้ภรรยา
ที่ใช้ชีวิตด้วยกันมาหลายสิบปีได้รับรู้
“มีลูกใหม่แล้วลืมลูกเก่าแบบผมเลยนะแม่” เสียงของบุคคลที่ดังแทรกเข้ามาท่ามกลาง
มื้ออาหารที่สุดแสนจะอึดอัดใจของโซ่ มันสร้างความลำบากใจให้เขาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อเจ้าของ
เสียงอย่างพอร์ชนั้นเดินมายืนเกาะบ่าเขาทางด้านหลัง แล้วยืนคุยกับพ่อแม่ของตัวเองทั้งอย่างนั้น
“แน่นอนสิยะ เพราะน้องโซ่เขาเรียบร้อยน่ารักกว่าแกเยอะ” แม่ของพอร์ชพูดชมทั้งยังเรียก
โซ่ด้วยคำนำหน้าที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูนั่น ทำเอาโซ่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินขึ้นมา เพราะนานมากแล้วที่
ไม่มีใครเรียกเขาด้วยสรรพนามและน้ำเสียงที่แสนอบอุ่นและอ่อนโยนแบบนี้
“เหอๆ ครับๆ ผมน่ารักสู้น้องโซ่ของแม่ไม่ได้หรอก…ป้าฤดีขอข้าวพอร์ชด้วยครับ” หัวเราะฝืดๆ
กับคำว่าน่ารักที่แม่ตนพูดชมโซ่ เพราะความเป็นจริงแล้วช่างแตกต่างจากที่แม่คิดเหลือเกิน ไอ้นิ่งน่ะนะ
ถึงมันจะนิ่งๆเงียบๆแต่เขามั่นใจเลยว่ามันไม่ได้น่ารักเรียบร้อยอย่างที่แม่พูดอย่างแน่นอน ถ้านับจากหมัด
และเท้าที่มันประเคนให้เขาตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าไปทำความรู้จักกับมันอะนะ
“ต้องทำยังไงมึงถึงจะเลิกยุ่งกับกู” โซ่เอ่ยถามขึ้นมานิ่งๆ ระหว่างที่นั่งซ้อนท้ายดูคาติคู่ใจของ
พอร์ชกลับบ้านตามความต้องการของพ่อแม่พอร์ชที่สั่งแกมบังคับมาอีกที ซึ่งพูดปฏิเสธเท่าไรก็ไม่ชนะสักที
จนท้ายที่สุดแล้วเขาก็ต้องยอมให้พอร์ชมาส่งอย่างที่เห็น
พอร์ชไม่ตอบแต่บิดคันเร่งเลี้ยวไปทางตรงกันข้ามกับทางไปบ้านของโซ่ มุ่งตรงไปยังสถานที่
ท่องเที่ยวที่เป็นเหมือนแลนด์มาร์คประจำจังหวัดที่ค่อนข้างสงบเงียบและเป็นส่วนตัวมากในวันและเวลา
ราชการแบบนี้ เพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว จะครึกครื้นอีกทีก็ตอนเย็นๆค่ำๆที่ชาวบ้านพากันมาเดินเล่น
หรือไม่ก็มาเตะบอลออกกำลังกายที่ริมหาดทรายจำลองนั่นแหละ
“ลงสิ” พอร์ชบอกหลังจากที่ดับเครื่องจอดรถในบริเวณที่เงียบสงบไร้ผู้คน
“กูจะกลับบ้าน” ไม่เพียงแค่พูดเปล่า แต่โซ่ทำเหมือนกับว่าจะหันหลังเดินกลับบ้านไปจริงๆ
แต่พอร์ชเรียกรั้งไว้เสียก่อน
“มึงไม่อยากรู้แล้วหรอว่าต้องทำยังไงกูถึงจะเลิกยุ่งกับมึงได้” พอร์ชถาม
“ว่ามาสิ” ทิ้งสะโพกพิงท่อนไม้จำประดับรอฟังคำตอบจากอีกคน
“เป็นแฟนกับกูเจ็ดวัน ถ้ามันไปได้ด้วยดีกูจะขอคบมึงต่อเอง หลังจากนั้นก็แล้วแต่มึงแล้วล่ะ
ว่าจะตกลงหรือเปล่า แต่ถ้ามึงไม่โอเค…กูจะหายไปจากชีวิตมึงทันที” ข้อเสนอที่มาพร้อมกับแววตา
และน้ำเสียงที่มั่นคงของพอร์ชทำเอาโซ่นิ่งเงียบไปในทันที เพราะไม่คิดว่าพอร์ชจะยื่นข้อเสนอที่เป็น
ข้อผูกมัดแบบนี้ออกมา ถึงแม้ว่ามันจะแค่ระยะเวลาสั้นๆก็เถอะ
“ก็ได้ แต่ถ้าครบกำหนดแล้วมึงยังวุ่นวายกับชีวิตกูอยู่อย่างนี้ละก็มึงไม่ได้ตายดีแน่ๆ”
ในที่สุดโซ่ก็ตอบตรงลงออกไป หลังจากที่ยืนคิดทบทวนกับตัวเองอยู่นาน
“นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับมึงแล้วล่ะว่าอยากจะให้กูอยู่ต่อหรือจะให้กูหายไป แต่มึงต้องเขาใจ
ด้วยนะเว้ยนิ่งว่าคำว่าแฟนของกูน่ะมันหมายถึงแฟนจริงๆ ที่พากันไปกินข้าวดูหนัง หอมแก้ม กับมือ
กอด แล้วก็ต้อง ‘จูบ’ ได้ด้วยนะโว้ย” พอร์ชยักคิ้วบอกด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“อ่อ…จูบไอ้นี่อะนะ” พูดบอกพร้อมยกเท้าวาดไปตรงหน้าของพอร์ชแบบด้วยสีหน้ากวนๆ
ไม่มีทีท่าว่าจะสะทกสะท้านกับคำพูดของพอร์ชแม้แต่น้อย
“ยกขาอย่างนี้เดี๋ยวเถอะมึง เดี๋ยวเจอพ่อจับไถนา” พอร์ชทำท่าจะพุ่งเข้าไปขย้ำโซ่
แต่ก็ถูกโซ่ใช้เท้ายันกันไว้เสียก่อน
..
..
..
ย้อนกลับไปเมื่อตอนตีสอง…
ด้วยความอยากรู้ที่มาพร้อมกับอาการนอนไม่หลับเพราะว่ามีโซ่มานอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆกัน
พอร์ชจึงคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงขึ้นมาต่อสายหา ‘แวน’ หรือที่เพื่อนๆเรียกติดปากกันว่า ‘ไอ้แว่น’
เพราะว่าตอนเด็กๆเจ้าตัวนั้นเคยติดใส่แว่นไร้เลนส์อยู่หลายปีกว่าจะเลิกได้ เพราะว่าอยากจะได้เบอร์ติดต่อ
ของบุญล้อมที่คนกว้างขวางหรือจะเรียกอีกอย่างว่าชอบเสือกเรื่องของชาวบ้านอย่างแวนน่าจะหาให้ได้ไม่ยาก
‘โทรมาตอนนี้มึงอยากให้บรรพบุรุษมึงนอนสะดุ้งเพราะโดนกูด่าใช่ไหมครับไอ้เหี้ยพอร์ช! กูจะนอน!’
และก็เป็นอย่างที่พอร์ชคาดไว้ไม่มีผิดว่าจะต้องโดนแวนด่าเอาเพราะไปรบกวนเวลานอนที่แสนมีค่าของเจ้าตัว
แต่แล้วยังไงล่ะ? ก็คนมันอยากรู้นี่หว่า
“อย่าหงุดหงิดสิครับพี่แวนสุดหล่อ น้องพอร์ชคนนี้แค่อยากจะไหว้วานให้พี่แวนช่วยอะไรสักเล็กน้อย
แรกกับโซโลรุ่นฉลองครบสีห้าปีของแท้ที่มึงยังไม่มีเลยเอ้า…เอาไม่เอา…นี่กูทุ่มสุดตัวเลยนะเว้ย”
เพราะกลัวว่าเพื่อนจะไม่ยอมตกลงช่วยเหลือแต่โดยดี งานนี้พอร์ชเลยต้องเสนอข้อต่อรองที่น่าสนใจยื่น
ไปยั่วกิเลสเพื่อนรักสักหน่อย
‘เออๆ ว่ามา’ ทำเป็นหงุดหงิด แต่แท้จริงแล้วแวนแทบจะกระโดดขึ้นมากรี๊ดซะให้รู้แล้วรู้รอด
แต่กลัวว่าพ่อกับแม่ที่นอนอยู่ห้องข้องๆจะลุกขึ้นมาแพ่นกบาลแตกเสียก่อนที่จะได้โซโลตัวใหม่ที่รอคอยมาแสนนาน
“หาเบอร์ไอ้มหาช่างไฟเพื่อนไอ้นิ่งให้กูหน่อย” พูดบอกความต้องการของตัวเองกลับไป
‘เอาเมื่อไหร่’
“ตอนนี้…เดี๋ยวนี้”
‘โอ้ย…ไอ้พอร์ช! ไอ้ฉิบหาย! ตอนนี้มันตีสองครับเพื่อน! ตีสองนะไม่ใช่สองทุ่มใค
รเขาจะตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์มึ๊งงง…’ เพียงแค่ได้ยินคำบอกกล่าวของเพื่อนรักที่โคตรเอาแต่ใจ
ทำเอาแวนแทบจะพ่นไฟ
“ก็มึงนี่ไง…เอาน่า คิดซะว่าทำเพื่อท่านโซโลสุดที่รักของมึงก็แล้วกัน”
พอร์ชตอบกลับอย่างกวนๆ ย้ำเตือนถึงของกำนัลที่เพื่อนจะได้รับหากว่าทำงานที่เขาไหว้วานได้สำเร็จ
‘ขอสิบนาที แล้วก็อย่าลืมโซโลกูล่ะ มึงเบี้ยวเมื่อไหร่กูยุให้ไอ้โซ่กระทืบไส้แตกแน่’
แวนพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วก็หายเงียบไปกับสายลม หลังจากนั้นสิบนาทีพอร์ชก็ได้เบอร์โทรของบุญล้อมอย่างที่ต้องการ
‘ครับ’ เสียงที่ตอบรับสายของบุญล้อมช่างสุภาพ ซึ่งแตกต่างจากเพื่อนเขาอย่างสิ้นเชิง
“นี่เบอร์มหาใช่ไหม กูพอร์ชนะ” ทั้งที่มั่นใจว่าเป็นเสียงของบุญล้อมแน่แล้ว แต่พอร์ช
ก็เลือกที่จะเอ่ยถามกลับไปตามมารยาท
‘ไม่ใช่ครับ แต่ถ้าจะคุยกับลุงมหาไว้พรุ่งนี้ผมจะติดต่อกลับไปนะครับ’ บุญล้อมที่อยู่
ปลายสายก็ตอบกลับมาอย่างเกรียนๆไม่ต่างกัน เพราะรู้สึกหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายโทรมาหาเขาแท้ๆ
แต่กลับทำตัวไร้มารยาทสิ้นดี ไม่ว่าจะเป็นเวลาโทรหรือน้ำเสียงกวนๆนั่นก็ตาม
“เพื่อนมึงอยู่กับกู” เพราะไม่อยากจะยืดเยื้อไปมากกว่านี้ พอร์ชจึงพูดบอกไปตามตรง
แม้ว่าจะไม่ใช่ความตั้งใจแรกที่เขาจำต้องโทรหาบุญล้อมก็เถอะ แต่ดูเหมือนว่าถ้าไม่บอกออกไปแบบนี้
เจ้าตัวจะเกรียนใส่เขาไม่เลิก
‘อยู่ที่ไหน! คุณโซ่เป็นอะไร ทำไมถึงต้องไปอยู่กับคุณ’ ประโยคบอกเล่าสั้นๆที่ได้ยินทำ
เอาบุญล้อมตาสว่าง ในหัวมีแต่เรื่องให้คิดไปหมด เพราะเกรงว่าเพื่อนรักจะอยู่ในอันตราย
หรือเป็นอะไรร้ายแรง เพราะคนอย่างโซ่ไม่มีทางที่จะยอมค้างอ้างแรมกับพอร์ชแบบยินยอมแต่โดยดีอย่าแน่นอน
“ใจเย็นเว้ย! มันแค่ตากฝนจนไม่สบาย แล้วที่ต้องมานอนอยู่ที่บ้านกูก็เพราะว่ามันไข้
ขึ้นจนไร้สติบอกทางกับบ้านกับกูไม่ได้ก็เท่านั้นเอง มึงอย่าทำโวยวายเหมือนกูหลอกเพื่อนมึง
มาปล้ำสิ…ถึงแม้ว่าจะอยากก็เถอะ” พอร์ชบอก
‘แล้วโทรมาทำไม หรือว่าจะให้ผมออกไปรับคุณโซ่’ แม้ว่าจะวางใจได้ไม่เต็มร้อย
แต่อย่างน้อยตอนนี้โซ่ก็ปลอดภัย
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวมันตื่นเมื่อไหร่กูจะไปส่งมันเอง แต่ที่กูโทรมาเนี่ย”
พอร์ชเม้มปากแน่น หยุดพูดไปพักหนึ่งเมื่อเห็นว่าโซ่ขยับตัวเปลี่ยนท่านอน
‘ว่าไง…ตกลงแล้วคุณโทรมาหาผมทำไม’ บุญล้อมเอ่ยเร่ง เมื่อเห็นว่าพอร์ช
เงียบไปเฉยๆ ส่วนพอร์ชที่จับโทรศัพท์แนบหูฟังบุญล้อมอยู่ตลอดก็ค่อยๆขยับลุกลง
จากเตียงเบาๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการนอนของโซ่ ก่อนที่จะเดินย่องไปคุยตรงนอกระเบียงห้อง
“เออๆ กูแค่อยากจะรู้ว่า เพื่อนมึงชอบคนแบบไหนก็เท่านั้นเอง” ในที่สุดพอร์ชก็ได้
เข้าถึงประเด็นสำคัญเสียที หลังจากที่พูดอ้อมโลกอยู่นาน
‘ชอบคนแบบไหนน่ะผมไม่รู้หรอก ผมรู้แต่ว่าคุณโซ่มักจะแพ้ทางคนตรงๆ
กล้าได้กล้าเสีย แต่ไม่โอ้อวด อบอุ่น อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ แล้วที่สำคัญเลยคือ
คนๆนั้นจะต้องเป็นหลักคอยปกป้องซับพอร์ตความรู้สึกของเขาได้ครับ อ่อ…แล้ว
ก็ห้ามบีบบังคับหรือทำให้เขาอึดอัดใจเป็นอันขาดนะครับ ไม่อย่างนั้นเขาจะปิดกลั้น
และกันตัวเองออกจากคุณไปตลอดชีวิต’
“นั่นเพื่อนมึงหรือสูตรคณิตวะ? ซับซ้อนฉิบหาย” พอร์ชอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นออกมา
เมื่อได้ยินในสิ่งที่บุญล้อมบอก เขาก็รู้สึกมึนไปหมด เพราะไม่คิดว่าโซ่จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนขนาดนั้น
‘นั่นก็เป็นเพราะว่าในจิตใต้สำนึกของมนุษย์เรามีการสร้างกลไกลป้องกันตัวเองไงครับ
มันจึงไม่แปลกเลยที่คุณโซ่จะกันตัวเองจากทุกสิ่งอย่าง…ออกจากความทรงจำที่เจ็บปวด’
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่บุญล้อมพูดทิ้งไว้เป็นปริศนาก่อนที่สายจะตัดไปอย่างไม่บอกกล่าว
และพอร์ชเองก็ไม่ได้โทรกลับไปแต่อย่างใด เพราะเขาได้รู้ในสิ่งที่อยากจะรู้ทั้งหมดแล้ว
ถึงแม้ว่าจะมีอีกหลายอย่างที่รู้แต่ยังไม่เข้าใจก็ตาม…เอาเป็นว่าเขาจะค่อยๆเรียนรู้และ
ทำความเข้าใจในตัวตนของโซ่ไปด้วยตัวของตัวเองก็แล้วกัน…ถ้ามีโอกาสนะ
..
..
..
“เดี๋ยวตอนเย็นกูมารับไปกินข้าว” หลังจากคุยกันเรื่องข้อตกลงในการเป็น
แฟนเจ็ดวันเรียบร้อยแล้ว พอร์ชก็ขับรถมาส่งโซ่ที่บ้าน เขาถึงได้รู้ว่าบ้านของโซ่นั้นคือ
ค่ายมวยชื่อดังประจำจังหวัดที่สร้างนักสู้ลูกไอ้เข้มาแล้วหลายคน
“บ้านกูมีข้าวกิน” แต่ดูเหมือนว่าโซ่จะไม่ให้ความร่วมมือเลยแม้แต่น้อย
เพราะเจ้าตัวเอ่ยปฏิเสธด้วยคำพูดเกรียนๆที่มาพร้อมกับสีหน้าและท่าทางกวนๆนิ่งๆ
ของเจ้าตัว ก่อนที่จะหันหลังเดินเข้าบ้านไป แต่เชื่อเถอะว่า ยังไงเย็นนี้เขาก็จะกลับมา
ลากมันไปกินข้าวด้วยกันจนได้ แต่ตอนนี้ต้องปล่อยไปก่อน เพราะถึงเวลาที่เขาต้อง
กลับไปทำงานช่วยที่บ้านแลกกับเงินเดือนพิเศษที่ต้องแบ่งไปส่งเป็นค่างวดรถอยู่เกือบครึ่ง
TBC.
ใครรู้วิธีลงรูปช่วยบอกคนเขียนทีจ้า คนเขียนอัพรูปไม่ได้สักที