Lost 37 : การตัดสินใจ
ร่างของเซดิสเดินนำไปขณะที่เหลือต่างก้าวเท้าตามเงียบๆ ร่างในชุดสีดำสนิทก้าวขสลงบนสะพานที่ทำจากหินสีดำสนิทนำพาจากใต้สายน้ำสายใหญ่มายังเบื้องบน แม้จะมีแสงอาทิตย์ส่องสว่าง แต่รอบด้านยังคงมีคบเพลิงประดับอยู่ทั่วไป เสียงคำรามของอสูรที่มักแว่วขึ้นมาตามสายลมบัดนี้เงียบสงบลงแล้ว จึงมีเพียงเสียงสายน้ำไหลหลั่งกระทืบพื้นเช่นปกติ สายลมเย็นสอดเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมอันเจือจาง
บนไหล่ของเซดิสมีร่างของเซธเกาะอยู่ การาเวนตัวไหล่ขยับโผออกจากร่างของอาโลอิสเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรแล้วพร้อมกับกลับมาหาผู้เป้นนายของตน เจ้านกสีดำอิงแอบแนบชิดก้มลงกระซิบเอ่ยคำบางอย่างกับเซดิสเป้นระยะ เสียงนั้นเบาแสนเบาจนไม่อาจได้ยินหากแต่เซดิสก็พยักหน้ารับ ร่างเพรียวนำพวกเขาก้าวขึ้นไปยังเบื้องบน ผ่านสายน้ำและเสียงจอแจของเบื้องล่าง มายังเบื้องบนที่เหลือเพียงความเงียบสงบและเสียงน้ำกระทบแผ่นหินเป็นจังหวะ
ก้าวผ่านทางเดินอันเงียบเชียบมายังโถงใหญ่ที่คุ้นตา เสาสูงทำจากหินสีดำแกะสลักอย่างวิจิตรคอยค้ำยันเพดานสูงลิ่วไม่ให้ทรุดลงไป คบเพลิงถูกแขวนประจำเสาแต่ละต้นเพื่อให้ความสว่าง แม้จะมีแสงสีทองเรืองรองออกมาจากช่องทางลมด้านบนแล้วก็ตาม เซธขยับปีกอีกครั้งไปเกาะลงบนคอนไม่ของตนแล้วนิ่งไซ้ปีกอย่างปรกติ ขณะที่เซดิสเดินนำมาจนถึงบัลลังก์เล็กที่อยู่ใต้บัลลังก์สีดำสนิทสูงตระหง่าน อันเป็นบัลลังก์ของเจ้านรกที่แท้จริง ที่ว่ากันว่าไม่ได้ปรากฏกายมาเนิ่นนานนัก..
ถัดจากบังลังค์เล็กคือหินสีดำปูด้วยพรมสีน้ำเข้มลาดยาว เซดิสผายมือให้คีเรสนั่งลงขณะที่ตนก็ทรุดกายลงข้างๆ อาโลอิส ฟาราส และไคลน์ยืนถัดออกไปจากพรมสีเข้ม อาโลอิสทรุดกายลงคุกเข่าให้ผู้เป็นนายเงียบๆ หากเซดิสถอนใจ
"...ยังจำที่ข้าพูดไว้ได้ใช่หรือไม่?"
"จำได้ขอรับ.." เอ่ยคำตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นอีกครั้ง อาโลอิสมองสบตาผู้เป้นนาย ดวงตาสีเพลิงที่ราวกับมีดวงไฟเต้นระริกนั้นฉายแววบางสิ่งที่ตนไม่อาจหยั่ง
"...ยอมรับมันแล้วใช่ไหม?"
"ข้ายอ----"
"ช้าก่อน!" เสียงที่แทรกขึ้นมาทำให้ทั้งคู่ชะงัก เซดิสเลิกคิ้วเรียวขึ้นข้างหนึ่งแล้วยิ้มบาง ขณะที่อาโลอิสขมวดคิ้ว หันกลับไปจ้องมองผู้ค้านด้วยท่าทีไม่เข้าใจ
ไคลน์..เทพบุตรผู้ออกปากคันค้านสูดหายใจลึกพลางก้าวขามาประจัญกับอีกฝ่าย เขายืนอยู่ข้างอาโลอิส สีขาวที่เป็นฝ่ายออกปากปกป้องสีดำ นั่นทำให้ผู้เป็นนายทั้งสองต่างรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
"มีอะไรหรือ...ข้านึกว่าตัวเจ้าจะยินดีเสียอีก" เซดิสเอ่ยถามราวกับขบขัน หากใจความนั้นทำให้ไคลน์นิ่ง
"ข้าเพียงแต่คิดว่า มันไม่ยุติธธรม"
"ไม่ยุติธธรม?" เซดิสเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ
"ท่านยึดถือความยุติธรรมเป็นหนึ่ง ข้าคิดเช่นนี้ถูกหรือไม่?" ไคลน์เอ่ยปากถาม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนวาววับ
"ใช่" เซดิสรับคำ สำหรับผู้ที่ต้องปฏิบัติงานในที่แห่งนี้ ผู้ที่ทำนห้าที่ลงโทษวิญญาณชั่วร้ายจำเป้ฯต้องมีความเที่ยงตรงและยุติธรรมสูง มิแะนั้น อาจจะเกิดเรื่องผิดพลาด เช่นลงโทษเบาเกินไป หรือหนักเกินไปแก่สิ่งที่อีกฝ่ายควรจะได้
...ตาชั่งต้องไม่เอนเอียง ไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
"และสอง..ที่ข้ายึดถือ คือพูดคำไหน ย่อมต้องเป็นคำนั้น" เซดิสจ้องมองสบตาเทพบุตรปีกสีขาวผู้อาจหาญกล้ามาต่อคำตน ส่วนผู้ฟังสูดหายใจลึก
"ข้ารู้แล้ว และนับถือในจุดนั้นของท่าน.." คำพูดคล้ายจะสรรเสริญทำให้เซดิสมีท่าทีแปลกใจไม่น้อย สำหรับเทพที่ตนเคยพบเจอ ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ยังมีท่าทีเป็นอริ แต่ครานี้กลับออกปากชื่นชมไปเสียได้ "ดังนั้นข้าจึงได้ถาม..เพราะสิ่งที่ท่านพูด คือทำภารกิจสำเร็จ"
"จะบอกว่า..เพียงเพราะทำภารกิจสำเร็จ ก็ถือว่าโทษทัณฑ์ที่เอ่ยปากไว้ได้จบสิ้นลงกระนั้นหรือ?" เซดิสทวนถามซ้ำ
"เราทำภารกิจสำเร็จแล้ว" ไคลน์ประกาศกร้าว เอ่ยปากเน้นคำว่า"เรา" อย่างชัดเจน และเราที่อีกฝ่ายบอก ก็รวมถึงอาโลอิสเช่นเดียวกัน
อาโลอิสจ้องมองใบหน้าด้านข้างของไคลน์เงียบๆ รู้สึกประหลาดใจ..ทั้งยังดีใจเป็นล้นพ้นที่อีกฝ่ายก้าวเข้ามาเคียงข้างและเอ่ยปากช่วยพูดทั้งยังออกรับแทนเช่นนี้ ท่าทีองอาจไม่หวั่นไหวนั้นทำให้ผู้มองอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ด้วยความปลื้มปิติ หัวใจที่พองฟูด้วยความพึงใจกลบทับความรู้สึกหมองหม่นที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เสียจนหมด และเสี้ยวหนึ่งของหัวใจ ยังบอกออกมาด้วยความยินดีเสียด้วยซ้ำ ที่สถานการณ์เช่นนี้ทำให้อีกฝ่ายมีแก่ใจจะปกป้องเขา
...ช่างดูเห็นแก่ตัวและฉวยโอกาสได้อย่างร้ายกาจ..แต่ทว่าก็ไม่อาจห้ามความคิดได้
ดวงตาสีแดงหรุบต่ำ ซ่อนแววตาไว้ไม่ให้ผุ้ใดเห็นด้วยกลัวว่าความปิติยินดีนั้นจะล้นทะลักออกมาเสียจนทุกคนสังเกตได้
....แต่ข้าก็ดีใจ...ดีใจมากจริงๆ
"ใช่แล้ว พวกเจ้าภารกิจสำเร็จ" เสียงของผู้เป็นนายดึงให้ตนละออกจากภวังค์ อาโลิสเงียหน้าขึ้นขณะที่เซดิสเอ่ยขึ้นสั้นๆ ดวงตาสีเพลิงเป็นประกายระริก
"เช่นนั้น ทำไมถึงต้องมีบทลงโทษต่อ?" ไคลน์หรี่ตาลงช้าๆ ด้วยท่าทีไม่พอใจ
"ภารกิจสำเร็จ แต่ตัวเขาไม่ได้เป็นผู้ลงมือเอง...ภารกิจที่อาโลอิสต้องทำคือผู้ปราบอสูรร้าย แต่คนที่ทำลายมันได้ คือเจ้ามิใช่หรือ.." เซดิสหรี่ตาลงช้าๆ มองสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่าย "ซ้ำยังบาดเจ็บ..ต้องนำตัวมาดูแลเช่นนี้ ข้ามิเห้นว่าจะ"สำเร็จ"ที่ตรงไหน"
"ที่แท้แล้ว ความสำเร็จของท่านนับเช่นนี้หรือ?" ไคลน์เอ่ยถามกลับ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ "ที่บาดเจ็บเพราะทำภารกิจ ที่บาดเจ็บเพราะเสี่ยงตาย แล้วทำไมถึงต้องให้เขากลับมารับโทาอีก เพียงเพราะไม่ใช่ผู้ลงดาบสังหาร"
"นี่ข้าฟังผิดไปรึเปล่า..." เซดิสหรี่ตาลงช้าๆ ยิ้มออกมาคล้ายจะเยาะหยัน "เจ้าผู้ซึ่งควรจะยินดีนักหนาที่ผลออกมาเช่นนี้..กลับเป็นอะไรไป รึเพราะได้เผชิญภัยร้ายร่วมกัน จึงเกิดความรักใคร่ห่วงหากันขึ้นมาหรือ.."
"..ข้า" วาจานั้นทำให้ทุกคนชะงัก ไคลน์นิ่งไปครู่ก่อนจะสูดหายใจลึก "..เพียงแต่คิดว่า มันไม่ยุติธธรม"
"ความคิดของเจ้าหาใช่ทุกสิ่ง"
"แต่..."
"ไคลน์..." หลังนิ่งเงียบฟังอยู่นาน เสียงของคีเรสก็ดังขึ้นเบาๆ เมื่อผู้เป้นนายเรียกชื่อของตน ไคลนืก็ชะงัก ดวงตาสีน้ำตาลหันไปมองผู้เป็นนาย และเมื่อเห็นท่าทีหรี่ตามองลงด้วยความไม่พึงใจคล้ายกำลังตำหนิอย่างหนักหน่วงเช่นนั้น ตนก็ต้องหรุบตาลง
"เจ้าไม่ควรคำถามกับความยุติธรรมของนายผู้อื่น" คีเรสจ้องมองมาด้วยดวงตาสีน้ำเงินที่เข้มจัด "หากเขาคิดว่าควรแล้ว ที่จะเป้นแบบนั้น มันก็ย่อมต้องเป็นแบบนั้น จงขอโทษท่านเซดิสเสียที่ทำตัวไร้มารยาท"
คำเตือนที่กล่าวตำหนิชัดเจนนั้นทำให้ผู้ฟังนิ่งงัน ฟาราสมองคนรักของตนด้วยท่าทีใจร้อนทั้งยังรู้สึกแปลกๆ ด้วยวาจาของอีกฝ่าย และ..ท่าทีเฉกเช่นนั้น
...เขานึกสงสัย นึกประหลาดใจมานับแต่ที่ไคลน์นั้นมีท่ทีห่วงหาอาโลอิสอย่างเกินพอดีมาตั้งแต่เมื่ออีกฝ่ายถูกโจมตีด้วยอสูรร้ายตนนั้นแล้ว
แม้จะอยู่ห่างไกลจากจุดนั้น แต่ฟาราสก็จำได้ จำได้ว่าทันทีที่ร่างนั้นร่วงหล่นลงไป ไคลน์ได้รวบรวมกำลังทั้งหมดทำลายเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นด้วยแรงโทสะ ทั้งยังรีบถลามาดูอาการของอีกฝ่ายอย่างห่วงใยนักหนา
...ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดูชิงชัง แต่เหตุใดเจ้าจึงห่วงใยเขานัก
หลายวันที่เจ้าหายไป ช่วงเวลานั้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่..?
"ข้าขออภัย.." นิ่งไปนาน ท่ามกลางความเงียบที่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำ เสียงของไคลน์ก็ดังขึ้น "...ขออภัยยิ่งนักที่ข้าหยาบคายต่อท่านเซดิส"
"ไม่เป็นไร" เซดิสเอ่ยรับคำเบาๆ ยิ้มออกมาอย่างคล้ายกำลังขบขันในบางสิ่ง
"ทว่า...ข้าก็ยังยืนยันความคิดของตนเช่นเดิม"
วาจานั้นทำให้ทุกสิ่งเงียบกริบ อาโลอิสหันไปมองผู้ที่พุดออกมาราวกับไม่เชื่อหู แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงกับคำพูดเช่นนั้น วลีที่ไม่ต่างกับการราดน้ำมันบนกองไฟ แม้จะถูกโกรธเกรี้ยว แม้จะถูกด่าว่า ก็ยังคงยืนยันความคิดของตน ความคิดที่ว่าตัวเขาไม่สมควรต้องถูกลงโทษอย่างนั้นน่ะหรือ
อาโลอิสกลืนน้ำลายช้าๆ จ้องมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายด้วยความซาบซึ้งปนนับถือ หัวใจที่เคยพองฟูด้วยความปิติที่อีกฝ่ายอ้าแขนปกป้องตนบัดนี้เหมือนจะมีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามา
..ขอบคุณ
มุมปากกระตุกขึ้นคล้ายจะยิ้ม แม้จะอยู่ท่ามกลางสายตาคนหมู่มาก ทว่าอาโลอิสก็ไม่อาจหยุดยั้งแววตาและท่าทีของตนได้ แม้ตอนแรกความดีใจที่มีนั้นจะปะปนด้วยความรู้สึกเห็นแก่ตัวอันชั่วร้าย แต่บัดนี้..ในหัวใจคล้ายจะมีบางอย่างแทรกอยู่..
..จากที่เคยปราถนา เคยภาวนาให้ไคลน์ได้มองเห็น ได้สนใจกันสักนิด
เคยขอว่าเพียงเล็กน้อย..ขอแค่ให้อีกฝ่ายหันมามองบ้าง ขอให้จดจำ ขอให้จำในสิ่งที่เจ้าและข้าร่วมกันทำมาแม้สักนิด
ในยามนี้ ทุกสิ่งได้บอกชัด ว่าอาโลอิสนั้นมีตัวตนอยู่ในหัวใจอีกฝ่ายอย่างที่เขาเคยวอนขอ
..อาจจะไม่ใช่ความรัก เจ้าอาจจะมีคนอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าข้า แม้อีกฝ่ายจะมีฟาราส..มีคนรักเป้นตัวเป็นตนที่รักมากเสียจนยอมทำได้ทุกสิ่ง แต่กระนั้น เพียงเสษเสี้ยวของความห่วงใยและห่วงหา ท่าทีของไคลน์ที่ทุ่มเทกางปีกปกป้อง เอ่ยปากบอกว่าจะไม่เปลี่ยนความคิดของตนแม้มันไม่เหมาะสม แค่นั้น..ก็ทำให้อาโลอิสพึงใจมากพอแล้ว
หัวใจกำลังกระซิบบอก..พอ..พอแล้วที่ได้รับ มีความสุขและปลื้มใจเหลือเกิน แม้จะไม่ใช่รักก็ตามที
..ทว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ละทิ้งทุกสิ่ง
ขอแค่เพียง เจ้าได้จดจำข้าไว้ในหัวใจก็เพียงพอแล้ว..
"เจ้า....." เซดิสกระตุกยิ้ม ดวงตาสีเพลิงมองดูใบหน้าที่จ้องมองมายังตนอย่างแน่วแน่ขณะที่เอ่ยปากพูดอย่างไม่กลัวจะได้รับโทษทัณฑ์
"ท่านเซดิส" ก่อนที่จะมีใครได้เอ่ยปากตัดสินหรือต่อว่า เสียงของอาโลอิสก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าเฉยชานั้นไม่ได้ปะปนด้วยความกลัว แต่หากถูกฉาบทับด้วยบางสิ่ง..ที่คล้ายกับความพึงใจอันเบาบาง "ข้าตัดสินใจแล้ว"
"อย่างไร..?"
"กฏต้องเป็นไปตามกฏ ท่านกำหนดมาเช่นไรมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น ข้าไม่อาจพิชิตอสูรร้าย ทั้งยังบาดเจ็บจนต้องรักษา ถือว่าไม่ควรจะได้รับการอภัย.."
"อาโลอิส.."
"ดังนั้น ข้าจะขอก้มหน้ารับความคิดตามที่ท่านเอ่ยไว้" อาโลอิสตอบพลางก้มหน้าลงคุกเข่าเงียบๆ
"เจ้..."
"ขอบคุณมาก..ที่ท่านช่วยพูดให้ข้า" อาโลอิสพูดขึ้นมาทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากพื้น "เพียงแค่นี้ก็รู้สึกขอบคุณ และซาบซึ้งยิ่งแล้ว"
"...และจะยอมงั้นรึ?" ไคลน์เอ่ยถามกลับ น้ำเสียงห้วนจัดด้วยความไม่พอใจ
"ข้ายอม" อาโลอิสตอบสั้น "ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยเหลือ..แต่นี่คือสิ่งที่ข้าเลือกแล้วเช่นกัน"
"ดี" เซดิสเอ่ยรับคำ กระตุกยิ้มพลางหันไปหาไคลน์ที่ยังคงมีทีท่าหงุดหงิดฉุนเฉียว "เจ้าตัวเขายอมรับผิดแก่ข้าเองแล้ว หวังว่าท่านจะเข้าใจนะ.."
คำพูดนั้นไม่ต่างจากคำเยาะหยัน วาจานั้นทำให้ไคลน์สูดหายใจลึก ชั่วครู่หนึ่งนึกอยากกระทืบบาทตวาดอึงด้วยความไม่พอใจ แต่ตนก็รู้ว่าไม่อาจทำได้ เมื่อผู้ต้องโทษนั้นยอมรับผลของมัน "คนนอก"ก็ต้องถอยหลังออกไป
...แม้จะหงุดหงิดด้วยความขัดเคืองใจแค่ไหนก็ตาม
ไคลน์จ้องมองร่างของผู้ที่ยังคงทรุดกายคุกเค่าก้มหน้าลงข้างๆ หัวใจเต้นถี่รัวคล้ายไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิด..ความตาย การดับสูบ สิ่งที่อีกฝ่ายนั้นต้องพบเจอกำลังหมายถึงการต้องจากไปตลอดกาล แล้วเหตุใด...ถึงได้..
..และทำไม ทำไมข้าถึงต้องร้อนรนเสียปานนี้
"ไคลน์.." ฝ่ามือขาว เย็นเแยบวางลงบนมือของตนที่กำแน่นแล้วออกแรงดึงเบาๆ ทำให้ละออกจากภวังค์ ไคลน์ไม่รู้เลยว่าตนแสดงท่าทีเช่นใดออกไปกระทั่งเสียงสั่นๆของฟาราสแทรกขึ้นมาในอนุสติ ฝ่ามือน้อยๆที่คอยดึงรั้งและเสียงกังวานใสที่เคยปลอบให้ทุกสิ่งผ่านไปได้อย่างราบรื่น..ทุกอย่างของคนรักที่คอยฉุดรั้งและทำให้ตนใจเย็นลง บัดนี้..ดูราวกับไม่มีผล
เพราะไม่ว่าฟาราสจะเอ่ยปากเรียกเช่นไร หัวใจก็ยังร้อนรนราวกับถูกไฟเผากระนั้น..
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยังคงจ้องมองไปยังร่างในชุดสีดำข้างกาย คนผู้นั้นยังแน่นิ่ง ไม่ได้มีท่าทีหวั่นไหวหวาดกลัว หรือเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความอาลัยแม้นสักนิด
...อาโลอิสต้องใจจะจากไป
ความจริงที่ตนรับรู้นั้นทำให้หัวใจสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่อาจระงับ
แม้จะเอ่ยปากบอกว่าเมื่อพ้นจากที่แห่งนั้นไปแล้วทุกสิ่งจะเป็นเพียงภาพฝัน แม้จะเอ่ยวาจากเช่นนั้น แต่ดูเหมือนตัวเขาจะดูถูกอำนาจของหัวใจมากเกินไป เพราะยิ่งเมื่อห่างเท่าไหร่ มันก็ยิ่งร้องเรียกหามากขึ้นเท่านั้น
อาโลอิส...อาโลอิส
หัวใจสั่นไหว..เย็นเฉียบด้วยความหวาดหวั่น มันกำลังสะท้านด้วยความรู้สึกสูญเสียที่กระหน่ำเข้าจู่โจมอย่างไม่มีที่มาที่ไป แค่เพียงคิดว่าจะไม่มีอีกแล้ว ไคลน์ก็ขยับขาก้าวเท้าไปต่อความ ทำตัวก้าวร้าวซ้ำยังขัดคำสั่งผู้เป้นนายอย่างที่ไม่เคยทำ และไม่ควรจะเป้นเช่นนั้นแม้แต่น้อย..
เพราะได้ใกล้ชิดกัน เลยเกิดผูกพันธ์ขึ้นมา กระนั้นหรือ..
คำพูดของเซดิสผู้เป็นนายของเจ้าของดวงตาสีแดงประกายคู่นั้นวาบมาในห้วงคิด ไคลน์เม้มปากเข้าหากันช้าๆ ด้วยรู้ว่ามันคือความจริงที่ตนไม่อาจปฏิเสธได้
เพราะได้เห็น และได้สัมผัสหัวใจดวงนั้นแล้วว่าเป็นเช่นไร จึงไม่อาจปล่อยไปอย่างที่ควรเป็น..
ไม่อยากให้จากไป ไม่อยากให้หายไปไหน แม้ว่าข้าจะยังมีใครอยู่ก็ตาม
หันไปมองเจ้าของดวงตาสีท้องฟ้าที่ฉายแววกังวล ไคลน์เม้มปากเข้าหากันช้าๆ ทั้งที่อีกฝ่ายนั้นเป้นคนรักที่
แสนงดงามคอยเคียงข้างตนมาตลอด ทั้งที่พยายามทุกอย่างเพื่อให้ฟาราสกลับมา แต่ในยามนี้ ตัวเขากลับมีหัวใจมอบให้ผู้อื่นอย่างน่าละอายนัก
...แม้จะรู้ แม้รู้ดีว่าตนนั้นผิด แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้ง
"ไคลน์.." เสียงของฟาราสดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อตนขยับมือ แกะปลายนิ้วเล้กๆนั้นออกเพื่อจะเผชิญหน้า
"...ไคลน์" น่ำเสียงของผู้เป็นนายดังขึ้น ทั้งตำหนิ และต่อว่าให้ตนเลิกกระทำการอุกอาจเฉกเช่นนั้น
..เสียแต่..ทุกอย่างล้วนจะไม่เข้าหู
ไคลน์หมุนกายมาเบื้องหน้าอีกครั้ง โดยที่มือข้างหนึ่งของตนถูกคนรักกุมไว้ ใบหน้าที่ดูเด็ดเดี่ยวมากนับสบตากับเซดิสและผู้เป้นนายตน ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวาน
"ข้าขออภัยยิ่งนัก..ในความหยาบคายเช่นนี้.." ไคลน์สบตาเซดิส พลางน้อมศรีาะลงเป็นการขอลุแก่โทษ ท่าทีนั้นของเขาทุกให้ฟาราสถอนใจเงียบๆ และคีเรสก็ดูจะพอใจ ที่ทุกสิ่งสามารถจบลงได้อย่างไม่โกลาหลนัก
"เอาเถิด..ข้ายกโทษให้" เซดิสยิ้มน้อยๆ โบกมือคล้ายไม่คิดจะเอาเรื่องราวใดๆ
"แต่ทว่า.." หากประโยคต่อมาทำให้ทุกคนชะงัก "ข้ามีข้อสงสัย"
"เชิญว่ามา"
"เมื่อไม่สำเร็จก็มีโทษ แล้วข้าผู้ทำภารกิจสำเร็จ ย่อมต้องมีรางวัลหรือไม่?"
".........." เซดิสเลิกคิ้วน้อยๆ ท่าทีฉงนกับคำพูดของอีกฝ่าย
"มี.." คีเรสเอ่ยตอบกับผู้เป็นลูกน้องของตน เมื่อได้ฟังดังนั้น ไคลน์จึงสูดหายใจลึก ค่อยเบี่ยงฝ่ามืออกจากปลายนิ้วของคนรัก ก่อนจะนิ่งลงคุกเข่าเงียบๆ
"สิ่งที่ข้าขอ...ได้ทุกสิ่งใช่หรือไม่"
"หากพวกข้าให้ได้" น้ำเสียงของเซดิสฉายแววทั้งถูกใจและอยากรู้ ดวงตาสีเพลิงระริกไหวจ้องมองร่างของไคลน์ที่บัดนี้คุกเข่าลงตรงหน้า ข้างๆกับอาโลอิสที่ยังคงก้มลงมองพื้นหินสีดำเงียบๆ
"หากเป็นเช่นนั้น.." ใบหน้าหล่อเหงาแหงนเงยมาสบมองผู้มีอำนาจเหมือกว่าทั้งสองอีกครั้ง แววตาคู่สีน้ำตาลนั้นวาววับนัก ยามที่เจ้าตัวสูดหายใจลึก และเอ่ยบอกคำขอของตนเสียงดังฟังชัด
"ข้าขอให้ท่านยกเลิกโทษของอาโลอิสซะ!"
น้ำเสียงกังวานไปทั้งโถงใหญ่ ถ้อยคำเด็ดขาดนั้นยังสะท้อนก้องในความทรงจำ อาโลอิสเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาสีแดงประกายจ้องมองผู้ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ อย่างลืมตัว..
++++++++++++++++++++++++++++++
หล่อ..
ตอนนี้หล่อมาเลยค่ะ 555
รัศมีพระเอกจับมากแม้จะโดนทุกคนรุมด่ามาตั้งแต่ต้นเรื่อง55 ขุ่นไคลน์ของเราเพิ่งมาเหล่อเอาตอนนี้นี่เองง
แต่ตอนนี้ฟาราสแอบน่าสงสาร...โถ่ เหมือนจะรู้ชะตากรรมตัวเองอยู่กลายๆนะ
(ชะตากรรมที่ว่าคนดีจะไม่มีที่อยู่ในนิยายของอิปุ้ย)
ส่วนเรื่องจะเป้นยังไงมารอดูตอนต่อไปกันค่าา
ปล. นิยายยังเปิดจองอยู่นะคะะ ใครสนใจสอบถามได้เลยเน้ออ