ตอนที่ ๑๙
๑๐๐%
หลังจากวันที่เจ้าคุณสรอรรถและคุณหญิงผกาไปทาบทามสู่ขอหนูแสน ทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติที่ตนเองเคยใช้ คุณพะยอมที่ง่วนอยู่กับโรงงานน้ำอบน้ำปรุงขนาดย่อมและแป้งกระแจะจันทน์รวมทั้งดินสอพองยังไงก็ยังคงยุ่งอยู่อย่างนั้น ตอนนี้เรื่องงานบ้านงานครัวคุณพะยอมปล่อยให้หนูแสนคุมเองได้โดยไม่ต้องห่วง ทางด้านหนูแสนเองก็ดูแลอาหารการกินของคนในบ้านอีกทั้งงานบ้านงานเรือนไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แล้วยังแวะไปช่วยดูแลคุณหญิงผกาทุกวัน บ่าวในเรือนที่ทำงานบ้านงานเรือนไม่เป็นระบบตั้งแต่คุณหญิงผกาป่วยก็กลับมาทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็งตามเดิม ใครที่ทำงานดีรับผิดชอบงานของตัวเองและดูแลคุณหญิงผกา ท่านเจ้าคุณสรอรรถ คุณเล็กรวมทั้งหลานชายทั้งสองดีหนูแสนก็จะมีรางวัลให้เป็นครั้งคราว ส่วนใครที่เกียจคร้านหลบเลี่ยงงานอีกทั้งไม่มีระเบียบเรียบร้อยก็จะถูกตักเตือน หนูแสนเริ่มเรียนรู้การใช้ทั้งพระเดชและพรคุณเหมือนผู้เป็นมารดา หากบ่าวคนไหนเหลือทนหนูแสนก็บอกไปตามตรงว่าก็คงจะไม่เลี้ยงไว้ ดังนั้นบ่าวในเรือนคุณหญิงผกาที่ไม่มีที่ไปก็จะทั้งเคารพและเกรงหนูแสนอยู่ในที ด้วยรู้ว่าคนนี้จะมาเป็นนายอีกคนบนเรือนใหญ่ เรื่องของคุณเล็กและหนูแสนที่จะตกแต่งเป็นคู่กันนั้นถูกสั่งให้ปิดเงียบห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้ ไม่ว่าจะเป็นลูกเมียเรือนเล็กหรือบ่าวไพร่ก็ห้ามโพนทะนา หากเรื่องคู่รักชายทั้งสองหลุดออกไปสู่หูคนนอกท่านเจ้าคุณสรอรรถประกาศเอาไว้แล้วว่าจะไม่เลี้ยงไว้ และด้วยอำนาจบารมีเขาเองจะลบชีวิตใครก็ได้ ถึงแม้จะเป็นคำขู่แต่เพราะเดิมทีท่านเจ้าคุณเป็นคนเอาจริงเอาจังพูดคำไหนคำนั้น ทั้งเมียรองและบ่าวไพร่ต่างก็กลัวกันหัวหดจึงไม่มีใครกล้าเอาไปโพนทะนาข้างนอกเรือน อย่างมากก็ทำเพียงซุบซิบกันเอง จนเวลาผ่านไปแรมเดือนเสียงซุบซิบก็เบาลงจนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
“พักบ้างเถอะค่ะ”คุณเล็กที่เห็นหนูแสนช่วยบ่าวจัดสำรับกับข้าวเอ่ยขัดก่อนจะฉวยโถข้าววางลงบนโต๊ะแล้วดึงมือหนูแสนยึดไว้ไม่ให้ทำงานต่อ
“เป็นนายไม่ต้องทำทุกอย่างก็ได้ค่ะ”กดไหล่คนน้องให้นั่งลงบนเก้าอี้ หนูแสนส่งยิ้มให้คนรัก
“ยิ่งเป็นนายเขา ยิ่งต้องทำให้เป็นทุกอย่างสิคะ ไม่อย่างนั้นถ้าบ่าวทำอะไรผิดพลาดจะเอาความรู้ที่ไหนไปตักเตือนเขาล่ะคะ”หนูแสนแย้งด้วยเหตุผล
“แต่คุณเล็กอยากให้หนูแสนพักบ้าง หลังๆมานี่คุณเล็กเห็นหนูแสนทำงานไม่ได้หยุดเลย”
ไม่ได้เหนื่อยอะไรนี่คะ หนูแสนสนุก”เจ้าตัวตอบด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อวานเจ้าคุณพ่อไปหาหลวงพ่อมาแล้วนะคะ ได้ฤกษ์มาแล้ว”คุณเล็กบอกด้วยสีหน้าของคนมีความสุข หนูแสนพลอยตาโตตื่นเต้นไปด้วย
“เหรอคะ เมื่อไหร่คะ?”
“สิบสองค่ำเดือนอ้ายค่ะ”
เร็วจริง อีกแค่สามเดือนเอง”หนูแสนทำสีหน้าวิตกขึ้นมาทันที
“เร็วเสียที่ไหนคะ คุณเล็กอยากให้แต่งกันเสียวันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ”
“เรือนหอก็ยังไม่เสร็จ กว่าคุณกล้าจะเอาไม้ล่องมาจากปากน้ำโพธิ์ก็เดือนสิบสองนู่นเลยนะคะ”
“คุณเล็กอยากใช้เรือนแพเป็นเรือนส่งตัวมากกว่าค่ะ พอเรือนหอเสร็จตกแต่งเสร็จเราค่อยย้ายเข้าไปอยู่หนูแสนว่าดีไหมคะ?”คุณเล็กบอกความต้องการของตนแต่ก็ไม่ลืมถามความสมัครใจของหนูแสนด้วย
“หนูแสนแล้วแต่คุณเล็กค่ะ”และก็เช่นทุกครั้ง ถ้าหากคุณเล็กพอใจอะไรหนูแสนก็ยินดีที่จะโอนอ่อนตาม
“หนูแสนคะ”คุณเล็กกระชับมือของหนูแสนไว้ เขาคิดว่าการที่มีคนรักโอนอ่อนผ่อนตามมันก็ดี แต่เขาชอบหนูแสนที่คอยเป็นเพื่อนคู่คิดกันมากกว่า
“หากมีอะไรที่หนูแสนไม่ชอบใจ หรือว่าหนูแสนมีความคิดเห็นอะไรที่ต่างกับคุณเล็กหนูแสนบอกคุณเล็กได้นะคะ อีกหน่อยเราต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน คุณเล็กอยากให้หนูแสนมีความสุข อยากให้ชีวิตคู่ของเราสองคนดีเหมือนที่ท่านเจ้าสัวกับคุณแม่ของหนูแสนอยู่ด้วยกันนะคะ”
“โธ่ คุณเล็กคะ เรื่องเรือนแพ หนูแสนเห็นด้วยจริง ๆ นะคะ หนูแสนชอบเรือนแพ ตั้งแต่เล็กจนโตจนถึงตอนนี้หนูแสนรักและผูกพันกับเรือนแพไม่แพ้คุณเล็กเลยค่ะ เราเล่นด้วยกัน กินขนมกินข้าวด้วยกันที่เรือนแพเสียส่วนใหญ่ หนูแสนก็เลยชอบค่ะ จริง ๆ ถ้าคุณเตี่ยไม่ขอให้คุณเล็กแต่งเข้าเรือนหนูแสน หนูแสนก็อยากอยู่เสียที่เรือนแพ เวลาลมพัดเข้ามามันทั้งเย็นกายเย็นใจ”คุณเล็กยิ้มให้กับคำตอบนั้น ความกังวลใจที่มีอยู่คลายลงไป หนูแสนบีบมือของคุณเล็กกลับอย่างขอให้เชื่อใจ เชื่อในคำพูดที่ตนเองกล่าวออกไปนั้นล้วนจริงใจทั้งสิ้น
“เราอยู่ด้วยกันมาชั่วชีวิตของหนูแสนแล้ว หากมีเรื่องอะไรที่หนูแสนชอบหรือไม่ชอบหนูแสนจะไม่ปดไม่ปิดอะไรทั้งนั้นคุณเล็กสบายใจได้นะคะ”เจ้าตัวน้อยส่งยิ้มให้คนเป็นพี่จนคุณเล็กเองก็อดยิ้มตามออกมาไม่ได้
หลังจากได้ฤกษ์ยามวันแต่งของคุณเล็กและหนูแสน เจ้าสัวเช็งจึงได้เรียกลูก ๆ มาประชุม รวมทั้งคุณพะยอม เว้นแต่คุณสนที่ถึงแม้มานั่งก็คงไม่รับทราบอะไรกับสิ่งที่กำลังจะพูด แต่คุณพะยอมก็ค้านผู้เป็นสามี
“อย่างไรเสียก็ลูกเราคนหนึ่ง จะบ้าใบ้สติไม่สมประกอบก็ต้องให้รับรู้ด้วย เรากันแม่สนออกไปชั่วชีวิตแล้ว อย่าทำแบบนั้นอีกเลยนะคะท่านเจ้าสัว” เพราะคำขอร้องของภรรยา ตอนนี้คุณสนจึงได้มานั่งเรียงกันกับคุณเสนและหนูแสน
“คุณเตี่ยเรียกพวกเรามามีอะไรหรือขอรับ”คุณเสนผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยถาม เจ้าสัวยกแก้วชาขึ้นจิบ มองหน้าบ่าวด้วยการปรายตา บ่าวที่ทำงานรับใช้มานานจึงเก็บถาดแล้วถอยออกไปจากห้อง ไม่ลืมที่จะหับประตูปิดจนมิดชิด
“เตี่ยอยากเรียกลูก ๆ มาพูดเรื่องมรดกที่เตี่ยจะยกให้แต่ละคน”
“ทำไมต้องรีบล่ะขอรับ คุณเตี่ยก็ยังแข็งแรง”คุณเลยร้องท้วงด้วยความเชื่อที่ฝังรากลึกมานานว่าหากบุพการีหรือญาติผู้ใหญ่คิดแบ่งสมบัติให้ลูกหลานแล้วก็จะตายในที่สุด ใจของผู้เป็นลูกหายวาบราวกับน้ำที่เทซัดลงบนผืนทรายร้อน ๆ
“เตี่ยไม่ได้จะตายวันตายพรุ่งเสียหน่อย แต่ในเมื่อหนูแสนจะออกเรือนก็ต้องมาทำความเข้าใจตกลงกันใหม่ เตี่ยไม่อยากให้ลูก ๆ ผิดใจกันในภายภาคหน้า”เจ้าสัวเช็งไล่สายตาไปที่ลูก ๆ ทีละคน เหมือนเห็นหนูแสนแรกเกิดตัวแดงๆเมื่อไม่นานมานี้ มีคุณเสนคอยหยอกเย้าน้องคนเล็ก ส่วนคนสนก็แยกออกไปเล่นเพียงคนเดียวไม่เอาน้อง เวลาผ่านไปคล้ายลมพัดเพียงชั่วครู่ ลูก ๆ ก็เติบใหญ่จนมีชีวิตมีครอบครัวเป็นของตัวเอง คุณเสนเองเป็นเด็กมีความคิดรอบคอบมาตั้งแต่ยังเล็ก ยามเติบใหญ่ถึงวัยออกเรือนก็เลือกผู้หญิงที่ดี ใจเย็นและเคารพพ่อผัวแม่ผัว เป็นแม่ศรีเรือนเพียบพร้อม มีลูกชายไว้สืบสกุลเป็นรุ่นต่อไป เห็นชีวิตลูกคนโตแล้วเจ้าสัวเช็งก็มีความสุข
เมื่อมองมาที่คุณสน
ลูกสาวคนนี้ในช่วงปีที่ผ่านมาทำให้ท่านเจ้าสัวต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ ทั้งๆที่ลูกสาวควรเป็นลูกคนที่ได้รับการฟูมฟักทะนุถนอมมากที่สุด แต่เพราะคุณสนเกิดในช่วงที่ครอบครัวตกต่ำเจ้าสัวไม่เคยโทษความผิดพลาดของช่วงเวลา ไม่เคยโทษตัวเองว่าในตอนนั้นตัวเองอาจจะยังไม่มีหัวการค้ามากพอจะประคับประคองธุรกิจให้ก้าวต่อไปได้อย่างไม่ลำบาก เจ้าสัวเอาความคิดว่าคุณสนคือตัวซวยมาโยนใส่ลูกสาว นั่นคือสาเหตุที่ทำให้คุณสนกลายเป็นเด็กก้าวร้าว และไม่ฟังใคร ชอบทำตัวให้เด่นกว่าน้อง
ยามเติบใหญ่เป็นสาวสะพรั่ง งามลออซ้ำยังมีความสามารถด้านตัดเย็บ แทนที่เจ้าสัวจะเห็นดีเห็นงามสนับสนุน แต่ไม่เลยท่านเจ้าสัวกลับไม่คิดเอาใจใส่หรือภาคภูมิใจในตัวลูกสาวเลยสักนิด แม้แต่จะสนับสนุนก็ไม่คิดจะยื่นมือเข้าช่วยมีเพียงผู้เป็นพ่อตาที่มาคุยว่าอยากให้คุณสนได้มาอาชีพเลี้ยงตัวจึงต้องจำใจยกตึกแถวให้เพื่อเปิดร้านตัดเสื้อ
ทั้งที่รู้ทั้งรู้ เห็นกับสองตาว่ากิจการของลูกสาวเฟื่องฟูขนาดไหน แต่กลับคิดว่าเรื่องสวย ๆ งาม ๆ ของผู้หญิงนั้นเป็นกระแสไม่นานเดี๋ยวคนก็ไปเห่อกับสิ่งใหม่ ๆสิ่งที่เจ้าสัวภูมิใจมีเพียงหนึ่งเดียวคือการที่คุณสนได้ออกเรือนไปกับลูกของเจ้าคุณสรอรรถที่เป็นถึงนายทหารอนาคตไกลและหัวก้าวหน้า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใครไปใครมาก็ออกปากชมลูกเขยไม่ได้ขาดพลอยทำให้เจ้าสัวเช็งที่กำพืดเดิมเป็นแค่เจ๊กที่มาแบบเสื่อผืนหมอนใบได้ยิ้มจนหน้าชื่นขึ้นมาบ้าง
แต่นั่นแหละ ความสุขอยู่กับเจ้าสัวไม่นานเมื่อคุณสนกลายเป็นหญิงวิปลาสไปเสียแล้ว ภาพในวารวันค่อยๆฉายชัดมาว่าตนเองรักลูกสาวน้อยเพียงใด ทุกวันนี้หากคุณสนเอ่ยปากอยากได้หรืออยากทำอะไรเจ้าสัวไม่เคยอิดออดที่จะหามาให้ คุณสนคนใหม่เองก็ปรับตัวเข้ากับคนที่เรือนได้ทีละน้อย จากลูกสาวที่เย่อหยิ่งจองหองกลายเป็นลูกสาวที่พูดน้อยและสงบเสงี่ยม แม้จะชอบคุณสนคนปัจจุบันมากกว่าแต่ก็โหยหาลูกสาวผู้หญิงทะนงในศักดิ์และศรีของตัวเองคนนั้นอยู่ทุกวัน
ส่วนหนูแสน เพราะเกิดมาในช่วงที่การค้าจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง กลายเป็นตัวนำโชคของผู้เป็นพ่อ ความลำเอียงจึงเกิดขึ้น แถมเป็นลูกหลงมาตอนเจ้าสัวอายุมากแล้วยิ่งหลงลูกชายคนเล็กมากกว่าพี่ ๆ เจ้าลูกน้อยนั้นช่างเจรจาพูดจาไพเราะ ใจเย็นเหมือนน้ำ มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ใคร่จะชอบใจนักคือการที่ลูกชายติดคำพูดจากคุณเรือนนู้นมาพูดคะขาจนติดปาก อีกทั้งท่าทางยังนุ่มนิ่มอ่อนโยนกว่าผู้ชายทั่วไป แต่เพราะคุณพะยอมหลงลูกคนเล็กเป็นนักหนาอีกทั้งกิจการที่ดีวันดีคืนจึงทำให้ไม่ได้เข้มงวดและอบรมสั่งสอนมากนัก
เจ้าสัวเช็งอยากสร้างธุรกิจให้เจริญมากขึ้น ทั้งหมดนั้นล้วนทำเพื่อลูก ๆ โดยหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญนั้นก็ไม่ใช่ใคร คุณเสนเริ่มตั้งแต่ช่วยยกของ ตรวจนับจำนวน ทำทุกอย่างเหมือนที่ลูกจ้างทั่วไปทำ เรียนรู้งานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ในขณะที่ลูก ๆ คนอื่นได้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองอยากจะใช้ แต่คุณเสนไม่เคยได้รับสิทธิ์นั้นเลย เมื่อต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่จะมีผลต่อไปในอนาคตเจ้าสัวเช็งจึงอยากให้ลูก ๆ มารับรู้ในสิ่งที่ตนเองจะพูด
“อีกไม่กี่วันหนูแสนก็จะออกเรือนแล้ว ลูกทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเราอยู่กับแบบระบบกงสี ถ้าใครแต่งออกก็จะถูกถอดจากกงสีเหมือนครั้งแม่สนออกเรือนไปกับคุณใหญ่ ตั้งแต่เตี่ยค้าขายมา ลูกสามคนมีเพียงพ่อเสนที่คอยแบ่งเบามา เตี่ยจึงอยากจะถามความเห็นของลูก ๆ ว่าถ้าหนูแสนออกเรือนไปเรื่องกงสีจะว่าอย่างไร เพราะแม่สนออกจากกงสีไปแล้ว ถ้าหนูแสนออกเรือนก็จะไม่ได้ตรงนี้อีกหนูแสนจะขัดข้องไหม?”เจ้าสัวจ้องหน้าลูกชายคนเล็ก หนูแสนส่งยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ ดวงตากลมนั้นยังคงใสซื่อและจริงใจเช่นเดิม
“หนูแสนไม่ขัดข้องเลยขอรับคุณเตี่ย คุณพี่เสนทำงานหนักมาตลอดหากคุณเตี่ยจะยกให้ทั้งหมดลูกก็ไม่ขัดข้องอะไรเลย กลับยินดีเสียด้วยซ้ำ เพราะกิจการของเราถ้าไม่ได้คุณพี่เสน หนูแสนก็ไม่รู้ว่ามันจะรุ่งเรืองขนาดนี้มั้ย”
“อย่างนั้นเตี่ยก็สบายใจ”
“แต่ลูกไม่สบายใจขอรับคุณเตี่ย”คุณเสนท้วงขึ้นในทันที สีหน้าของเขานั้นดูจริงจังมากกว่าเดิม
“ลูกคิดว่า น้อง ๆ ควรจะได้ใช้เงินในกงสีเช่นเดิม รวมทั้งแม่สนด้วย”
“ทำไมคิดอย่างนั้นเล่าพ่อเสน?”
“เพราะเราทุกคนเป็นลูกคุณเตี่ย แม่สนกับหนูแสนเองก็เป็นน้องของลูก ถึงทั้งคู่จะไม่ได้ไปช่วยงานที่ห้างแต่แม่สนก็ช่วยคุณแม่ทำงานอยู่ที่บ้าน จริงๆเป็นเราเองไม่ใช่เหรอขอรับที่ผลักน้องออกไปจากงานที่ห้างทั้ง ๆ ที่เราก็รู้กันดีว่าแม่สนเดิมนั้นมีหัวการค้าแต่เพราะเป็นผู้หญิงเราถึงไม่มอบงานให้น้องเลย ตอนนี้ก็กลับมาอยู่ที่เรือนด้วยกันแล้วถึงจะไม่-ได้ใช้เบี้ยอัฐอะไรมากแต่น้องก็ควรได้มีส่วนร่วมในกงสี ส่วนหนูแสนเองถึงไม่ได้ไปช่วยที่ห้างแต่เรื่องบัญชีหนูแสนก็ทำให้อยู่ตลอดแล้วหนูแสนยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในโรงงานน้ำอบน้ำปรุงของแม่ถึงจะออกเรือนน้องก็ยังจะช่วยแม่อยู่ดังนั้นลูกจึงเห็นสมควรว่าให้ทุกคนได้มีส่วนใช้เงินกงสีกองนี้ หากคุณเตี่ยไม่สบายใจจะแบ่งเป็นส่วนๆให้น้องก็ได้ คุณเตี่ยจะขยายกิจการตามที่คุยกับนายเล็กไว้ถ้าจะหาผู้ร่วมลงทุนอย่างนั้นส่วนแบ่งในห้างคุณเตี่ยก็แบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ให้น้อง ๆ เป็นผู้ถือหุ้นเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วรับรายได้จากทางนั้นก็ได้ขอรับ ในตอนนี้คุณเตี่ยยังแข็งแรงอยู่เราก็ใช้ระบบกงสี แต่หากไม่สบายใจก็เรียกคุณพระพินิจมาทำพินัยกรรม แบ่งยกให้แต่ละคนเหมือนที่เจ้าคุณตาทำก็ได้ขอรับ”คุณเสนเสนอวิธีให้กับผู้เป็นพ่อ ถึงแม้ตนเองจะทำงานหนักกว่าน้อง แต่นั่นเป็นเพราะเขาเต็มใจทำ สำหรับน้องสองคนนั้น คุณสนเพราะเป็นน้องสาวแม้จะมีที่หลายร้อยไร่กับเครื่องเพชรนิลจินดาแต่นั่นไม่ทำให้เงินพอกพูนได้ถ้าไม่ตัดขาย ด้วยความทรงจำที่หายไปพลอยทำให้ความสามารถที่มีอยู่เลือนหายไปด้วยคุณสนจึงมีหน้าที่แค่ช่วยงานคุณพะยอมบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ อยากได้อะไรตนและผู้เป็นแม่ก็จะเป็นคนหามาให้ ค่าใช้จ่ายไม่ได้มากเท่าตอนที่ยังดี ๆ อยู่ ส่วนหนูแสนนั้น สำหรับคุณเสนแล้ว แม้อายุจะเลยยี่สิบปีมาแล้วแต่หนูแสนก็ยังคงเป็นเจ้าน้องน้อยที่คอยดูแลบ้านช่องให้เป็นระเบียบสะอาดสะอ้านกลับจากทำงานเหนื่อย ๆ ก็มีอาหารอร่อยถูกปากรออยู่ไม่ได้ขาด แถมยังช่วยเลี้ยงลูก ๆ ให้กับเขาและคุณอุ่นเรือน เรื่องบัญชีก็ทำอย่างละเอียดรอบคอบเงินไม่เคยตกกระเด็นสักสลึง หากไม่มีหนูแสนแล้วคุณพะยอมผู้เป็นแม่ที่อายุมากขึ้นทุกวันก็คงจะเหนื่อยมากเพราะน้ำอบน้ำปรุงที่ทำนั้นมีลูกค้ามากขึ้นทุกวัน
บ้านหลังนี้ขาดลูกคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นทุกคนควรมีส่วนร่วมในทรัพย์สินที่หามาได้ เพราะแต่ละคนนั้นต่างก็มีหน้าที่ต้องทำ
เจ้าสังเช็งเมื่อฟังคำตอบจากบุตรชายคนโตแล้วก็เผยรอยยิ้มที่นาน ๆ ครั้ง จะได้เห็นสักหน
ในใจของผู้เป็นพ่อนั้นชุ่มชื่นราวกับมีน้ำทิพย์สักล้านหยดร่วงลงมารดหัวใจ
ในความเป็นพ่อเป็นแม่นั้นเห็นลูกเติบโตได้ดิบได้ดีนั้นคือความสุขอย่างหนึ่ง
แต่การที่พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันไม่เอาแต่ประโยชน์เข้าตนนั้นคือสิ่งที่พ่อแม่ปารถนามากที่สุด หากวันนี้คุณเสนรับข้อเสนอว่าตนเองควรได้รับมรดกไปคนเดียวเต็ม ๆ เจ้าสัวเช็งคงต้องคิดใหม่
“ถ้าพ่อเสนคิดเห็นเช่นนั้นเตี่ยก็จะทำตามที่บอก ระหว่างนี้ก็ใช้เงินกงสีกันไป ใครจะใช้จะทำอะไรถ้าเรื่องไม่ใหญ่มากก็ไปขอกับพ่อเสน แต่ถ้าจะลงทุนทำอะไรในภายภาคหน้าก็มาบอกกับเตี่ย ส่วนเรื่องทรัพย์สินต่าง ๆ เตี่ยจะให้คุณพระท่านมาทำพินัยกรรมเอาไว้ ลูก ๆ ทุกคนไม่ต้องห่วงเตี่ยจะให้ตามสมควร ตามความสามารถของแต่ละคน สำหรับแม่สนหากสติยังไม่กลับคืนหากเตี่ยกับแม่ตายไปอย่าทิ้งน้อง อย่าทิ้งพี่นะลูกนะ อีกอย่างเตี่ยขออย่างเดียว เมื่อเตี่ยตายไปจงเลี้ยงดูแม่ให้สุขสบายในบั้นปลายพวกเจ้าทำให้เตี่ยได้หรือไม่?”
“ได้ขอรับ”ทั้งคุณเสนและหนูแสนต่างตกปากรับคำ คุณเสนลุกจากเก้าอี้ลงไปนั่งคุกเข่าแล้วกราบลงบนตักผู้เป็นพ่อด้วยความนอบน้อมเคารพ ก่อนจะถอยออกให้หนูแสนได้เข้าไปกราบผู้เป็นพ่อบ้าง
“สน ไปกราบคุณเตี่ยสิลูก”คุณพะยอมแตะแขนคุณสนเบาๆพยักหน้าให้กับลูกสาวคนเดียวที่นั่งฟังอย่างไม่เข้าใจอะไรนัก รู้เพียงแต่ว่าผู้เป็นพ่อฝากฝังตนเองให้พี่น้องดูแลในบั้นปลาย หญิงสาวรับรู้ได้ถึงความรักที่ผู้เป็นพ่อมีให้ ดังนั้นจึงคลานเข่าเข้าไปหาแล้วกราบลงบนตักผู้เป็นพ่อ มือหนาเหี่ยวย่นตามวัยลูบศีรษะลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างอ่อนโยน ความอุ่นวาบแล่นเข้ามาในหัวใจอย่างประหลาด เป็นความปิติและสัมผัสที่คล้ายจะโหยหา คุณสนเงยหน้าช้อนตามองผู้เป็นพ่อก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนหวาน
“สนรักคุณเตี่ยนะเจ้าคะ”เจ้าสัวเช็งยิ้มรับกับคำหวานของลูกสาว
“เตี่ยก็รักสนเหมือนกัน”
ทางด้านเรือนของเจ้าคุณสรอรรถนั้นก่อนวันแต่งของคุณเล็กกับหนูแสนบรรดาลูก ๆ ของเจ้าคุณสรอรรถก็กลับมาบ้านกันอย่างพร้อมเพรียง คุณกลางเองก็ยอมทิ้งลูกๆมาช่วยเตรียมงาน เป็นแม่งานใหญ่หัวเรี่ยวหัวแรงแทนผู้เป็นแม่ได้มากโข คุณหญิงผกาได้ปรึกษากับคุณพะยอมว่าให้ทำพิธีเสียที่เรือนนี้ ถือว่าทำบุญบ้านไปในตัวเพราะตั้งแต่ผ่านเรื่องร้าย ๆ มา ก็ยังไม่เคยทำบุญอีกเลย เพื่อความสบายใจของคุณหญิงผกาคุณพะยอมก็ยินยอมแต่โดยดี
ด้านเมียรองของเจ้าคุณสรอรรถก็พลอยได้อานิสงส์ชื่นมื่นไปด้วยเมื่อคุณรองที่รับราชการทางหัวเมืองลาราชการกลับมาบ้านด้วย คุณชื่นจัดเรือนเตรียมห้องรอลูกชายเป็นครึ่งค่อนเดือนเพราะคราวนี้จะกลับมาหลายวันพอให้ผู้เป็นแม่ได้แช่มชื่นบ้าง
“พ่อรอง พ่อรองของแม่”คุณชื่นกางอ้อมแขนออกสวมกอดลูกชายเพียงคนเดียวที่ก้าวขึ้นมาบนเรือนด้วยความดีใจ ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนเปื้อนยิ้มแบบคนมีความสุข
“มาเหนื่อย ๆ กินข้าวกินปลามาหรือยังลูก แม่ให้อีผินมันเตรียมของว่างให้กินรองท้องก่อน พ่อรองหิวมั้ยลูก?”
“ยังไม่หิวขอรับคุณแม่ เมื่อครู่รองแวะไปกราบคุณแม่ใหญ่ที่เรือนมาท่านเลี้ยงขนมมาบ้างแล้วขอรับ”คุณรองที่กราบแม่เสร็จเอ่ยตอบแล้วพากันไปนั่ง
“กลับมาถึงบ้านแทนที่จะแวะมาหาแม่ก่อน ไม่มีเลย กลับแวะไปหาคนอื่นก่อน”คุณชื่นทำเสียงน้อยอกน้อยใจ
“โธ่แม่ ก็รถมันต้องจอดหน้าเรือนใหญ่กระผมก็ต้องแวะกราบคุณแม่ใหญ่ก่อนสิขอรับ เธอเห็นแล้วไม่ขึ้นไปก็เดี๋ยวจะเคืองใจกันเปล่า ๆ “คนลูกกล่าวตอบอย่างง้องอน
ก็แล้วไป นึกว่าคิดถึงคนอื่นก่อนคิดถึงแม่ รองซูบไปหรือเปล่าลูก มาคราวก่อนดูตัวใหญ่กว่านี้นี่”คุณชื่นจับเนื้อจับตัวลูกชายที่ดูซูบลงและคล้ำขึ้น แม้ดวงหน้าจะละม้ายคล้ายคุณเล็กแต่กลับไม่ดูมีสง่าเท่าลูกเรือนนู้นเลยสักนิด
“กลับมาอยู่บ้านนานก็ดี แม่จะขุนเสียให้อ้วน ช่วงนี้ก็เข้าไปหาเจ้าคุณพ่อท่านบ่อย ๆ นะลูก คุณเล็กดันอุตริแต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน คุณใหญ่ก็มาตาย ตอนนี้ก็เหลือแค่รองแล้วนะลูกที่จะเป็นลูกชายคนเดียวเป็นผู้สืบสกุลเพียงคนเดียวแล้ว ทำตัวให้เจ้าคุณพ่อท่านรักท่านเมตตา อีกหน่อยเรือนใหญ่ท่านก็จะยกให้รองได้ครอบครอง”
“คิดอะไรอย่างนั้นกันเล่าแม่ รองไม่เคยคิดจะประจบสอพลอใครไม่ว่าจะพ่อหรือเจ้านาย อีกอย่างตาเล็กก็ยังอยู่ไม่ได้ไปไหน พี่ใหญ่เองถึงจะเสียไปแล้วแต่เธอก็มีลูกชายตั้งสองคน แม่อย่าให้รองทำอะไรแบบนั้นเลยนะอย่างไรเสียตาเล็กก็เป็นน้องของรอง คุณพี่กลางกับแม่น้อยก็ด้วย แม่อย่าพูดอะไรที่ทำให้รองต้องบาดหมางกับพี่ ๆ น้อง ๆ เลยนะขอรับ รองขอตัวไปพักก่อนนะแม่ เดินทางมาไกลเหนียวตัวเหลือเกิน”คุณรองผละจากแม่เข้าห้องไปทันที ไม่ฟังเสียงร้องเรียกตามหลังของผู้เป็นแม่เลยสักนิด คุณชื่นได้แต่ถอนหายใจหนักใจขัดใจไปหมดที่ลูกชายไม่ได้ดั่งใจ
....................................