19th Night : สารภาพ
นี่เป็นครั้งแรกที่ศานนท์ยอมเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองเป็นชิ้นเป็นอันนับตั้งแต่เขารู้จักหนุ่มใหญ่ ตุลย์ไม่คาดคิดมาก่อนว่า เบื้องหลังฉากหน้าแสนสมบูรณ์แบบนั้น จะซ่อนเรื่องราวชวนให้หดหู่ใจไว้
“เสียใจด้วยนะครับ เรื่องลูกกับภรรยาของคุณ” เขาคงไม่อาจพูดอะไรได้มาก นอกจากปลอบใจ “มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก”
แต่หนุ่มใหญ่กลับเค้นเสียงหึในคอราวกับสมเพชตนเอง
“ไม่ มันเป็นความของฉันนั่นแหละ” ศานนท์กุมหน้าผาก
“นิโคล... เธอเป็นคนเข้มแข็ง ฉันรู้อยู่แก่ใจดีว่าเธอจะไม่โทรมาขอร้องให้ช่วยถ้าหากมันไม่จำเป็น แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังเลือกงาน ทิ้งให้เธอกลับคนเดียวทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าเธอกำลังดันทุรังเพราะไม่อยากให้ฉันต้องเสียงานเสียการเพราะเธอ จะมองมุมไหน มันก็ความผิดฉันอยู่ดี จริงมั้ยล่ะ?”
หนุ่มใหญ่เงยหน้าสบตาเขา เหยียดยิ้มเหมือเย้ยโชคชะตา ตุลย์ก็พูดอะไรไม่ออก
“เธออาจจะคิดว่า เรื่องของนิโคล มันก็แค่อุบัติเหตุไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย ต่อให้ฉันไปรับเธอ บางทีเราทั้งสองคนก็อาจประสบอุบัติเหตุทั้งคู่ก็ได้ หรือต่อให้มันเป็นความผิดของฉันจริง เวลาชีวิตของฉันก็ยังเดินต่อ มันแก้ไขอะไรไม่ได้ ...ก็ใช่ ฉันพยายามลืมแล้ว แต่บางคืน พอหลับตาก็ยังฝันถึงเรื่องวันนั้น อย่างกับมันเป็นส่วนหนึ่งของฉัน...”
ศานนท์ก้มมองฝ่ามือตัวเอง “ได้ยินแบบนี้แล้ว เธอจะเกลียดฉันหรือเปล่า...”
น้ำเสียงนั้นลังเลไม่แน่ใจคล้ายกำลังพูดกับตัวเองเสียมากกว่า
เขาไม่เคยเห็นศานนท์ในมุมนี้มาก่อน ...หนุ่มใหญ่ในมุมที่ยอมเปิดเผยความรู้สึกมากมาย เบื้องหลังความเป็นผู้ใหญ่พึงพาได้ที่ฝ่ายแสดงให้เห็น เขาก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
แต่การสูญเสียคนที่รักเหรอ... ตุลย์ไม่รู้หรอกว่าเจ็บปวดทรมานแค่ไหน
จริงอยู่ในชีวิตของเขา มีคนมากมายผ่านเข้ามาและจากลาไป เขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง และสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างเช่นกัน แต่เหล่านั้นคงไม่อาจเทียบได้กับการจากไปอย่างถาวรของคนสำคัญ แบบที่หนุ่มใหญ่สูญเสียภรรยาให้กับอุบัติเหตุจากรถยนต์
“ผมไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินเรื่องของคุณหรอก...” ตุลย์ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆ ศานนท์ “ผมขอโทษที่ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่”
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมศานนท์ถึงได้ห่วงเขาเกินกว่าเหตุนัก“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ”
ศานนท์เขี่ยนิ้วโป้งบนฝ่ามือตนเอง ดวงตาทอดมองพื้นราวกับยังจมอยู่ในภวังค์ความรู้สึกนึกคิด พาลให้ตุลย์รู้สึกแย่ไปด้วย เขาจึงโพล่งทำลายความเงียบ
“เอ่อ... เรื่องที่คุณพาผมมาที่นี่ คุณบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่ใช่ว่าเพราะคุณอยากเก็บผมไว้เป็นคู่นอน?”
“อือฮึ ฉันไม่เคยโกหกเธอ มีแต่เธอที่ไม่เชื่อ...”
...ก็เพราะมันเป็นเหตุผลที่ฟังดูไม่น่าเชื่อไงล่ะ ตุลย์ลอบเบ้ปากในใจ“ช่วงนั้นฉันรู้สึกว่างเปล่า ฉันเลยพยายามทำอะไรหลายอย่าง แต่มันก็ยังไม่เติมเต็มความรู้สึกข้างใน จะเรียกว่าเหงาก็ได้มั้ง จนมาเจอเธอพอดี” หนุ่มใหญ่ยิ้มอ่อนๆ “ตอนที่ฉันคุยกับเธอครั้งแรกก็คงเรียกว่าบังเอิญนั่นแหละ ส่วนเธอ... ก็แสดงออกชัดเจนว่าสนใจฉัน”
คำพูดของศานนท์ชวนให้หวนนึกถึงเรื่องในห้องที่ไนท์คลับ สมัยที่ตุลย์ต้องแบกหน้าด้านหน้าทน หาเรื่องร้อยแปดพันอย่างมาคุยกับศานนท์เพื่อให้เจ้าตัวไม่เมินใส่เขา
“ฉันรู้ว่าเธอทำเพราะธวัตสั่งให้ทำ แต่วิธีที่เธอพยายามเข้าหาฉัน มันน่าเอ็นดูดี”
ศานนท์ปรายตามองเขา สบสายตากับหนุ่มใหญ่ขณะที่เจ้าตัวพูดคำว่า ‘น่าเอ็นดู’ ตุลย์ก็เสหลบ พลางเกาหน้าแกร่กๆ แก้เขิน
เขาไม่ได้ใจเต้นหรอก แต่อายเรื่องตอนนั้นมากกว่า...“จากนั้นฉันก็เลยเริ่มสนใจเธอขึ้นมา พอมีเธอไปไหนมาไหนด้วยมันไม่เหงาดี อีกอย่าง... ฉันก็ชอบเวลาที่พูดกล่อมเธอ แล้วทำให้เธอยอมตามน้ำได้ มันรู้สึกดี...”
พูดถึงตรงนี้รอยยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนความภาคภูมิใจเล็กๆ ก็ปรากฎขึ้นบนเสี้ยวหน้า
“ตอนที่ฉันไถ่เธอมาจากธวัต ฉันก็แค่อยากให้เธอมีชีวิตแบบคนปกติทั่วไป ไม่คิดว่าจะให้เธอมาเป็นคู่นอน หรือว่าอยู่กับฉันที่นี่ ทีแรกฉันคิดว่าอยู่ที่นี่สักพัก เดี๋ยวเธอก็คงมาขอกลับไปเอง แต่พอเธอไม่เคยพูดว่าอยากกลับบ้าน แถมยังมีปัญหาเรื่องค่าเทอมคาราคาซังอีก ฉันก็เลยคิดว่าน่าเป็นเพราะเธอไม่มีที่ให้กลับไปมากกว่า...”
จี้ใจดำ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนุ่มใหญ่พูดถูกเผ็ง
...ในตอนนั้น นอกจากที่พักของธวัตแล้ว เขาไม่มีที่ไหนให้กลับไป เงินที่เก็บได้จากงานพวกนั้นก็แทบไม่พอจะจ่ายค่าเทอมด้วยซ้ำ นอกจากความกลัวที่เกิดจากความไม่แน่ใจแล้ว นี่ก็เป็นหนึ่งในอีกเหตุผลที่เขาไม่พยายามหนีจากอาณัติ และยอมโอนอ่อนตามอีกฝ่าย
เพราะต่อให้หนี เขาก็เอาตัวเองไม่รอดอยู่ดี...“...ส่วนเรื่องเซ็กส์ก็เป็นผลพลอยได้เฉยๆ”
ประโยคหลังทำเอาตุลย์แทบเอาเท้าก่ายหน้าผาก
“นี่คุณจะบอกผมว่า ที่ผ่านมาเป็นเพราะผมเสนอตัวให้ เพราะเข้าใจผิดคิดเองเออเองหมดอย่างงั้นเหรอครับ?”
“ฉันก็ย้ำออกจะบ่อยว่าไม่ได้เป็นเจ้าของเธอนี่” หนุ่มใหญ่ยิ้มเจื่อนคล้ายเอ็นดูท่าทีของเขาเสียเหลือเกิน “แต่ว่าฉันชอบเธอจริงๆ นะ มันก็คงยากหน่อยถ้าจะไม่คิดอะไร...”
สายตาที่อีกฝ่ายใช้มองเขานั้นจริงใจและแฝงด้วยการขอร้องเล็กๆ ราวกับกำลังสารภาพความในใจก็ไม่ปาน ทำเอาตุลย์เป็นฝ่ายหลบตาอย่างไม่คุ้นชิน
“เอ่อ...” ตุลย์กระอักกระอั่ว “ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ผมดีใจที่คุณรู้สึกดีๆ กับผม ...จริงๆ นะ คุณดีกับผม คุณไม่เคยกดดันให้ผมทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ให้โอกาสผมทำตามความฝันหลายอย่าง มันมากกว่าสิ่งที่ผมเคยได้ทั้งชีวิตรวมกันด้วยซ้ำมั้ง มากแบบที่ผมคงชดเชยให้คุณไม่ได้ แต่ว่า... เอ่อ... ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ...ผมแค่ไม่รู้สึกกับคุณในเชิงนั้น... ไม่ คือ ผมไม่ได้หมายความว่าผมไม่ชอบคุณ แต่ เอ่อ...”
“ฉันโดนปฏิเสธสินะ”
“ไม่ใช่ครับ คือ... ผมไม่ได้รังเกียจคุณ แค่... ไม่รู้สึกกับคุณลึกซึ้งจนเป็นกลายความสัมพันธ์แบบอื่นนอกจาก.. เอ่อ... ‘เพื่อน’” ตุลย์อธิบายไปก็ขยี้หัวไป
จะหมายถึงเพื่อนร่วมเตียง หรือเพื่อนร่วมชายคาก็ช่าง เขาไม่รู้จะนิยามมันยังไง ก็เลยเลือกใช่คำ ‘เพื่อน’ แทน ซึ่งทำให้มันฟังดูแย่กว่าเดิมเสียอีก
“ถูกปฏิเสธจริงด้วย” ศานนท์ยิ้มเจือน
ฝ่ายนั้นเงียบไปเหมือนปิดความผิดหวังไว้ไม่มิด ตุลย์ก็รู้สึกผิดอย่างเสียไม่ได้ “ขอโทษครับ”
“ไม่ต้องขอโทษ ...ฉันเข้าใจ” ศานนท์โบกปัด “ถ้าเธอไม่ได้รังเกียจ แปลว่าเธอยังให้โอกาสฉันล่ะสิ?”
“อา... ก็อาจจะมั้งครับ” ตุลย์ไหวไหล่ มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะตอบได้ในตอนนี้ “แต่ว่าจากนี้ไปคุณต้องไม่ปิดบังผม เพราะถ้าคุณไม่ปิดบัง ผมก็ไม่มีเหตุผลต้องโกหกคุณอีก”
เรื่องที่เขากำลังขอ มันไม่เกี่ยวกับว่ารัก หรือไม่รัก แต่เพราะความสัมพันธ์ ต้องพึ่งพาการเชื่อใจและ หากว่าเขาจะต้องอยู่กับศานนท์ไปอีกนาน เขาก็อยากอยู่โดยที่ไม่ต้องคลางแคลงใจเรื่องใดอีก
“ได้ ถ้าเธอสัญญาว่าจะไม่ปิดบังฉันเหมือนกัน”
“แน่นอน”
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันขออะไรอย่างสิ” จู่ๆ หนุ่มใหญ่ก็เอื้อมมาดึงมือเขาไปหาตัว ทำทีเหมือนขอร้อง ตุลย์งุนงงเล็กน้อย
“อะไรครับ?”
“สัญญาก่อนว่าเธอจะตกลง...”
สบกับแววตาที่เปิดเผยความรู้สึกให้เขาเห็นอย่างหมดเปลือก ก็กลับกลายเป็นว่าเขาปฏิเสธไม่ลงเสียอย่างนั้น
“ครับๆ คุณว่ามาสิ”
---------------------------
สายตาของตุลย์จับต้องไปยังจุดสีแดงแสดตรงกึ่งกลาง พอส่งหมัดตรงเข้ากลางเป้าล่อก็เกิดเสียงกระทบแน่นหนักเป็นจังหวะ สันมือรับแรงกระแทกกับนวมทุกครั้งที่ออกหมัด แต่ความรู้สึกเจ็บปนชานี่แหละ ที่กระตุ้นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดได้ดีนัก
เห็นว่าตุลย์ตามการเคลื่อนไหวของเป้าได้ดีและออกหมัดได้แม่นยำ โค้ชก็สลับบทบาทรุกเข้ามาพัลวัน จังหวะกระทันหันทำให้ตุลย์โยกหลบเป้ายางที่ต่อยเข้ามาอย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก มันจึงเฉียดผ่านหน้าเขาไปถากๆ
“ให้ไวๆ!”
เริ่มตั้งสติได้ ตุลย์ก็หลบพ้นในจังหวะที่สอง และสาม พอโค้ชเปิดโอกาสให้บุกโดยเปลี่ยนมาตั้งรับ เขาก็สวนหมัดเข้ากลางเป้าล่อได้แม่นยำ
“ทำดีมาก”
ส่วนเรื่องที่ว่าเขามาทำอะไรที่นี่น่ะเหรอ? ...มันก็ต่อเนื่องมาจากสัญญาที่เขาเผลอไปรับปากคืนนั้นนั่นแหละ ด้วยกลัวว่าเขาจะทำอะไรแผลงๆ แล้วเอาตัวไม่รอดอีก หนุ่มใหญ่เลยแก้ปัญหาด้วยการส่งเขามาเรียนศิลปะป้องกันตัว ซึ่งบอกตามตรงว่าตุลย์ไม่เห็นด้วยความคิดนี้เท่าไหร่ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขารับปากไปแล้ว
สองสามวันแรกที่เริ่มเรียน เขาได้แผลฟกช้ำกลับบ้านเต็มตัว ชนิดที่อ่วมจนแทบจะคลานขึ้นเตียง แม้แต่ซินดี้ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดแทบทุกครั้ง เวลาที่เข้ากองถ่ายด้วยสารรูปที่มีรอยเขียวจ้ำๆ อยู่ตามตัว เพราะต้องให้ช่างแต่งหน้าตบรองพื้นกลบอยู่หลายนาทีกว่าจะเริ่มงานได้
ครั้นพอเจ้าหล่อนบ่นกระปอดกระแปด เขาก็ยุให้เธอไปคุยกับศานนท์ โดยหวังว่าบางทีเธออาจจะเปลี่ยนใจหนุ่มใหญ่ได้ แต่ผลที่ออกมาดันตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น
“หน้าท้องหล่อนมันย้วยเกินไป ฉันจะส่งหล่อนให้เทรนเนอร์ส่วนตัวของฉัน แล้วก็คุมอาหารซะ” ว่าไปพลางก็ชี้หน้าเขา
กลายเป็นว่าแทนที่จะได้แนวร่วม เขากลับต้องทรมานตัวเองคูณสอง เพราะเจ้าหล่อนดันเห็นดีเห็นงามด้วยซะอย่างนั้น... จากนั้นตารางชีวิตของตุลย์ถูกจัดใหม่แทบทั้งหมด วันปกติเขาต้องวิ่งตอนเช้า และคุมอาหาร เข้าฟิตเนสสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องบ้าง ขณะเดียวกันก็ต้องแบ่งเวลาให้ตารางถ่ายแบบที่ติดพันอยู่ ส่วนสุดสัปดาห์ก็เรียนศิลปะป้องกันตัวควบคู่ไป ตุลย์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำใจหลับหูหลับตาทนทำไปตามที่ลั่นปากสัญญาไว้
...ถึงแม้ว่าไอ้ตารางบ้านี่จะทำให้เขาอยากเอาหัวฟาดผนังตายก็เถอะเดือนแรกเขาคิดว่าตัวเองจะขาดใจตายเสียแล้ว แต่พอให้เวลาร่างกายปรับตัวจนเคยชิน ตารางชีวิตเขาก็คล้ายจะกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
ตุลย์ลดการ์ดลง ถอดนวม ก่อนจะล่ำลาโค้ชและขอตัวแยกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ล็อกเกอร์ด้านหลัง บ่ายนี้เขามีนัดกับศานนท์ที่สนามกอล์ฟของโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่จริงแล้ว หนุ่มใหญ่ไม่ได้นัดกับเขาหรอก เพียงแต่อยากแนะนำเขากับใครบางคนก็เท่านั้น ซึ่งเขาเองก็ยังไม่ทราบลายละเอียดอะไรมาก เพราะอีกฝ่ายโทรมากระทันหัน
...แต่เดาๆ แล้ว ก็คงอารมณ์เหมือนเสี่ยใหญ่อยากหิ้วเด็กเลี้ยงไปอวดเพื่อนๆ ล่ะมั้งตุลย์เก็บชุดออกกำลังกายใส่กระเป๋า เปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดแขนยาวสีขาวคู่กับกางเกงดำเรียบๆ ก่อนออกก็ๆไม่ลืมเช็คสารรูปตัวเองในกระจก
ถือว่าไม่เสียแรงเปล่าที่เขาอุตส่าห์จัดตารางเวลาและคุมอาหารอย่างเคร่งครัด เพราะรูปร่างของเขาตอนนี้จัดว่า ‘น่าพอใจในสายตาซินดี้ที่สุด’ เพราะแม้แต่เสื้อยืดกางเกงขายาวเรียบๆ ก็ยังใส่ออกมาแล้วจัดว่าดูดีเข้ากับรูปร่างมากทีเดียว
ครืด... ครืด... ครืด... เสียงโทรศัพท์สั่นเรียกให้ตุลย์รีบสาวเท้าออกจากฟิตเนส ขณะที่กดรับสายไปพลาง
“ถึงแล้ว”
“โอเคๆ ฉันจะรีบออกไป”
ตุลย์ออกมานอกอาคาร เห็นว่าเต้ยืนพิงบิ๊กไบค์สีดำคู่ใจ รอเขาอยู่ใกล้กลับประตูทางออก เขาจึงตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายกึ่งรีบร้อน พออีกฝ่ายเห็นเขาในระยะสายตาก็จ้องเขม็งไม่วาง
“มีอะไร?” เขาเลิกคิ้วงุนงง ก่อนจะก้มมองตัวเองเพราะสงสัยว่าเสื้อเปื้อนคราบอะไรหรือเปล่า
“ห๊ะ? เปล่า” คนมองรู้สึกตัวก็ตอบปัดห้วนสั้น
“งั้นก็ส่งหมวกกันน็อคมาเร็วเข้า” ตุลย์กระดิกนิ้วยิกๆ เต้ส่งมันให้ตามสั่ง จากนั้นเขาก็สวมมันแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นมอเตอร์ไซค์ ก่อนที่ ‘เจ้าคนขับรถจำเป็น’ จะเร่งเครื่องขับออกไปโดยไม่ปริปากสักคำ
ตุลย์ลอบยิ้มใต้หมวกกันน็อต เอาเข้าจริงๆ แล้ว เขาก็รู้สึกสนุกดีเหมือนกันที่ได้สั่งอีกฝ่าย เพราะหลังที่สถานะของเต้ถูกเปิดเผย พร้อมๆ กับการ์ดที่คอยตามเขามาเป็นสัปดาห์ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็จะยอมทำตามเสมอ อย่างมากที่สุดก็แค่หน้านิ่วขมวดคิ้วเป็นปมถ้าไม่พอใจมากๆ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าเขาชอบที่ได้แก้เผ็ดอีกฝ่ายแบบนี้...
เฮ้อ เขานี่มันเจ้าคิดเจ้าแค้นซะจริงๆ! บิ๊กไบค์สีดำขับฉวัดเฉวียงแทรกผ่านช่องแคบๆ ท่ามกลางจราจรติดขัด เพราะคล่องตัวกว่า พวกเขาจึงมาถึงสนามกอล์ฟโดยไม่เสียเวลามากนัก วนรอบสนามรอบใหญ่ๆ อยู่พัก
พวกเขาก็สะดุดตากับแผ่นหลังของศานนท์ไกลๆ เจ้าตัวกำลังเดินคุยกับผู้ชายอายุอ่อนกว่าเล็กน้อย ขณะที่ในมือถือไม้กอล์ฟแขว่งไปมาตามจังหวะก้าวเท้า ด้านหลังมีแคดดี้ และชายฉกรรจ์เดินตามอย่างละสองคน
เห็นแบบนั้นเต้จึงจอดรถ ปล่อยเขาลงเดินเข้าไปด้านในสนามหญ้า นับว่าศานนท์กับชายคู่สนทนาอยู่ไกลลิบจากเขาเอาเรื่องอยู่ โชคดีที่การ์ดสะดุดตากับเขาเข้าพอดี จึงเรียกให้ศานนท์หยุด พอหนุ่มใหญ่เห็นว่าเขากำลังเดินเข้ามาหา ก็หันไปคุยกับคู่สนทนาสลับกับมองเขา
“นี่ไง เด็กของซินดี้ที่ผมพูดถึง ตุลย์ นี่คุณปัญ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด” ศานนท์แนะนำฝ่ายนั้นให้เขารู้จัก ตุลย์ก็ยกมือไหว้ตามมารยาท
คู่สนทนาพยักหน้ารับรู้ “ชื่อตุลย์ใช่มั้ย คุณศานนท์เล่าเรื่องให้ฟังเยอะมาก”
“ใช่ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เป็นเกียรติมากๆ” ตุลย์ยิ้มรับ
“เช่นกัน ...ดูเหมาะกับบทกว่าที่คิดไว้นะเนี่ย ยิ่งเป็นเด็กซินดี้ด้วย ท่าทางใช้ได้เชียว” คุณปัญหารือกับศานนท์ไปพลาง ก่อนจะพุ่งเป้าความสนใจมาที่เขา “ได้เรียนการแสดงมาหรือเปล่า”
“กำลังเรียนอยู่ครับ เพิ่งผ่านกลางภาคมาเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ว่าผมพลาดละครเวทีคณะปีนี้” ตุลย์หัวเราะทีเล่นทีจริง
“ไม่มีปัญหาๆ แค่มีพื้นฐานการแสดงบ้างก็พอแล้ว” พูดกับเขาจบ ฝ่ายนั้นก็หันไปหาศานนท์ “เรื่องนี้เดี๋ยวผมขอเรียกประชุมฝ่ายก่อน จะให้คำตอบสิ้นเดือนนี้แล้วกันนะครับ คุณศาน”
“ตามสะดวกเลยครับ”
ศานนท์ปรายมองเขาแล้วยิ้มบางๆ โดยไม่พูดอะไร เป็นสัญญาณว่า ‘ธุระ’ ดังกล่าว เสร็จเรียบร้อย ตุลย์จึงขอตัวล่ำลาคุณปัญ
“เจอกันแถวล็อบบี้ตอนที่ฉันกลับไปนะ” หนุ่มใหญ่ไม่ลืมทิ้งท้าย
“ครับ เจอกันครับ”
ตุลย์แยกตัวออกมา ขณะที่สองทั้งคนนั้นเดินพลางคุยพลางไปยังจุดที่ตีลูกค้างไว้
นับว่าเป็นการสนทนาที่ทำให้เขางุนงงได้เรื่องเพราะไม่เคยทราบลายละเอียดใดๆ ล่วงหน้า แต่เดาว่าอีกฝ่ายคงกำลังพยายามดันเขาผ่านคอนเน็คของเจ้าตัวนั่นแหละ
เห็นที่เย็นนี้คงต้องถามศานนท์ให้กระจ่างเสียหน่อย---------------------------
เต้ขับพาเขามาส่งหน้าโรงแรมก่อนที่เจ้าตัวจะเลยไปหาที่จอดมอเตอร์ไซด์คู่ใจ ตุลย์จึงเดินเข้ามารอด้านในก่อน
ล็อบบี้โรงแรมนี้จัดได้ว่าค่อนข้างใหญ่และดูโปร่งตา เนื่องจากตกแต่งด้วยกระจกใส แสงอาทิตย์ยามบ่ายที่ลอดผ่านตาม่านไม้ไผ่ทำให้ภายในสว่างนวลตา จากมุมนี้ ซ้ายมือเขาสามารถมอเห็นสนามกอล์ฟเขียวขจีที่ทอดยาวออกไปไกล ส่วนด้านขวาเป็นโซนที่นั่งเปิดโล่งเชื่อมกับนอกอาคาร จัดไว้สำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการโดยเฉพาะ และมีเคาท์เตอร์บาร์อยู่ด้วย แต่เนื่องจากยังเป็นช่วงกลางวัน ทางโรงแรมจึงเปิดขายแค่เครื่องดื่มธรรมดาเท่านั้น
ตุลย์สังเกตุเห็นว่ามีชายราวสี่ห้าคนจับกลุ่มกันอยู่ตรงมุมหนึ่งใกล้กับประตูเชื่อมออกไปด้านนอก บ้างก็นั่งเก้าอี้ บ้างก็ยืนพิงโต๊ะ ต่างคนต่างกำลังคุยกันออกรส ก่อนที่สายตาเขาจะสะดุดกับบุคคลหนึ่งในนั้นที่คุ้นหน้าดี นั่นก็คือ ‘อเนก’
ตุลย์ก็เข้าใจทันทีว่านี่คือ 'ล็อบบี้‘ ที่ศานนท์กล่าวถึงเมื่อครู่
เห็นว่าเต้ยังมาไม่ถึง เขาจึงถือโอกาสนี้ไปที่บาร์แล้วสั่งเครื่องดื่มราวๆ สิบขวดคละกัน ก่อนจะหิวถุงตรงไปยังโต๊ะ แต่จังหวะซื้อของเสร็จแล้วกลับหลังหันก็พบว่าเต้ยืนจังก้าอยู่ห่างจากเขาสองก้าว กอดอกมองถุงในมือด้วยสีหน้าที่เหมือนจะถามว่า ‘ซื้อมาทำไมเยอะแยะ’
เห็นแบบนั้นตุลย์จึงล้วงหยิบเกลือแร่ขวดหนึ่งส่งให้อีกฝ่าย แต่แทนจะรีบรับ เต้กลับทำหน้างุนงงกว่าเดิม
“อะไรเล่า? ก็ซื้อมาให้ไง”
“...........”
หมอนี่มันเด๋อรึไง?ตุลย์ชักมือกลับแล้วทำท่ายื่นให้อีกรอบ คราวนี้อีกฝ่ายถึงรับ
“เอาละ ไปที่โต๊ะกัน”
เต้พนักหน้าหงึกทีนึงก่อนเดินตามเขาที่โต๊ะเป้าหมาย การ์ดคนนึงสังเกตเห็นเขาก่อน คนอื่นๆ ถึงได้หันมองตามอเนกรู้ตัวแทบจะคนสุดท้าย แต่นอกเหนือจากอเนกแล้ว ตุลย์ไม่คุ้นหน้าชายฉกรรจ์เหล่านี้เท่าไหร่นัก
“อ้าว! เด็กๆ มานั่งเร็วๆ ๆ ” อเนกกวักมือเรียกยิกๆ น้ำเสียงขี้เล่นเป็นนิสัย
ตุลย์ยิ้มขำ ก่อนจะวางถุงลงบนโต๊ะกลางวงที่ว่างอยู่ “ผมซื้อมาฝาก ขอโทษพี่ๆ ที่ทำให้วุ่นวายคราวนั้นนะครับ”
“คิดมากครับ เรื่องแค่นี้จิ๊บจอย” การ์ดคนหนึ่งว่า พร้อมจีบนิ้วทำท่าประกอบว่าเล็กน้อยแค่ไหน
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ไม่มีใครบาดเจ็บอะไรแล้ว” อเนกเสริม
“เอ้า ไอ้เปี๊ยก! ไม่เจอกันนานนะเนี่ย สูงขึ้นรึเปล่าวะ” จู่ๆ หนึ่งในการ์ดตวัดมือรัดคอเต้ทีเล่นทีจริง เล่นเอาอีกฝ่ายหัวสั่นหัวคลอน
“เออ ก็โตขึ้นตามเวลา” เต้รัดคอคนที่แก่กว่ากลับ
“ตอนแรกนึกว่ามึงจะแกร็นตายเท่าแค่นี้แล้วซะอีก” คนพูดทำท่าประมาณส่วนสูงเท่าเอว “แล้วเดี๋ยวนี้เลิกไปท้าตีกับเขารึยังวะ”
“เลิกแล้ว ไปชกเวทีมวยแทน”
“เอาเว้ย เข้าท่า! ไอ้เปี๊ยกมันเป็นนักมวยแล้ว”
“เปี๊ยกตรงไหนวะ มันตัวเท่ามึงแล้วเนี่ย” การ์ดอีกคนแย้ง “อีกหน่อยมึงก็กลายเป็นไอ้เปี๊ยกแทนมันแล้วมั้งน่ะ”
“หยามกูไปแล้วโว้ย! แน่จริงมางัดข้อ แพ้กูเลี้ยงข้าวยกโต๊ะเลยอะ” คนพูดว่าจบก็ถกแขนเสื้อ วางข้อศอกตั้งฉากกับพื้นโต๊ะ “มาๆ ไอเปี๊ยก! รับคำท้าเปล่า?”
“เออ ก็เอาดิ” เต้ทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้าม ตั้งข้อศอกบนพื้นโต๊ะรับคำท้า
สถานการณ์เปลี่ยนปุบปับกลายเป็นลานปะลองกำลังอย่างเร็วเสียจนตุลย์ตามไม่ทัน ตอนนี้กลายเป็นว่าพวกเขากำลังมุงดูการแข็งงัดข้อของเต้กับการ์ดคนหนึ่งโดยที่มีเดินพันเป็นมื้ออาหาร คนอื่นๆ ก็เริ่มส่งเสียงฮือฮาอย่างครึกครื้น ส่วนอเนกหยิบเครื่องดื่มขวดหนึ่งจากในถุงมากระดกตื่นเพลินๆ สบายใจ
ทีแรกเขาคิดว่าเต้เป็นคนนอก แต่ดูทว่าอีกฝ่ายจะสนิทกับพวกการ์ดมากกว่าที่เขาคาด“เต้รู้จักกับพวกพี่เหรอครับ?” ตุลย์ถามการ์ดคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา ซึ่งเป็นชายมีอายุกว่าและดูไม่ฮือฮามุงเชียร์ตามคนอื่นๆ สักเท่าไหร่
คนถูกถามละลายตามมายังเขา
“อ๋อ ไอ้เต้น่ะเหรอครับ รู้จักกันมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกแหละครับ เห็นมาตั้งแต่สมัยสองขวบโน้น ส่วนใหญ่คนที่อยู่มานานก็รู้จักกันหมดนั่นแหละครับ”
ตุลย์พยักหน้าเหมือนถึงบางอ้อ
เขาว่าแล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไร“มันเป็นลูกคุณกานต์น่ะ สมัยนั้นคุณกานต์ยุ่งตลอด เลยเอามันมาฝากให้เลี้ยงบ่อยๆ เห็นมาตั้งแต่เล็กๆ ตอนนี้ก็เลยเอ็นดูเหมือนเด็กข้างบ้านไปแล้ว”
“อ๋อ เป็นลูกชายของคนในนี้เหรอครับ”
“ครับผม ลูกคุณกานต์” เห็นเขาทำหน้าเหมือนไม่รู้ว่า ‘คุณกานต์’ คือใคร เจ้าตัวจึงขยายความต่อ “คุณหนูคงไม่รู้จักคุณกานต์เพราะเขาลาออกไปจะสี่ปีได้แล้ว คุณกานต์เป็นคนสนิทของเสี่ย...”
“เฮ้ยๆๆ เอาแล้วเว้ย” เสียงฮือฮาดังขัดจังหวะ เมื่อการ์ดคนนั้นออกแรงงัดจนหน้าแดงหน้าดำส่งผลให้ตำแหน่งมือโอนเอียงมาอีกฝั่งและทำให้เต้ตกเป็นรอง
“หูย ไอ้ไก่แม่งตบเด็กว่ะ” “เฮ้ย! ออมมือให้เด็กมันหน่อยดิวะ” การ์ดข้างตัวเขาตะโกนเชียร์
“โว้ย! เด็กห่าอะไร มึงมาลองแรงมันก่อนมั้ยล่ะ แรงเยอะเท่าควายได้มั้ง!” เสียงหัวเราะครึกครื้นดังตามหลัง ก่อนที่การ์ดมีอายุข้างๆ เขาจะเล่าต่อ
“ถึงไหนแล้วนะครับ ..อ๋อ เรื่องคุณกานต์ เสี่ยไว้ใจคุณกานต์มาก เพราะจบนอกบริหารมา เรื่องฝั่งธุรกิจอะไรต่างๆ ของบริษัท เมื่อก่อนจะทำก็ต้องผ่านคุณกานต์หมด แต่เขาไม่ค่อยยุ่งเรื่องสีเทาเท่าไหร่ พวกนี้เสี่ยจะมีมือซ้ายอีกคนคอยจัดการแทน ก็ถ้าให้เทียบ... ตอนนี้อเนกเป็นมือซ้าย คุณกานต์ก็เป็นอดีตมือขวาเสี่ยนั่นแหละ”
ตุลย์ขมวดคิ้วฉงนคล้ายไม่ค่อยเชื่อนัก
เต้เป็นลูกชายของมือขวาคุณศานนท์..?เจ้าของประโยคพนักหน้าให้ เหมือนกำลังยืนยันคำถามในใจของเขา
“........”
กลายเป็นว่าคนรอบตัวเขาล้วนแต่เกี่ยวพันกับศานนท์ทั้งสิ้น แม้เต่เต้ที่คิดว่าเป็นแค่คนปากพล่อยที่เหม็นหน้าเขา ก็กลับเป็นถึงลูกชายอดีตมือขวาของศานนท์...คิดมาถึงตรงนี้ตุลย์ก็แอบขนลุก ดูเหมือนว่า ‘โลกของศานนท์’ ที่เจ้าตัวเลิกปกปิดจากเขาจะเต็มไปด้วยเรื่องน่าพิศวงกว่าที่คิด
หลุดจากภวังค์ความคิดกลับมาจดจ่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก็พบว่าเต้กำลังพยายามต้านทานแรงของคู่ต่อสู้สุดกำลัง เพื่อให้ข้อมือกลับมาอยู่ ณ จุดกึ่งกลางอีกครั้ง ทว่าต้านได้ไม่นาน ก็ถูกดันกลับลงไปในตำแหน่งที่เสียเปรียบอีก ก่อนจะหลังมือจะถูกกดแนบพื้นในเวลาต่อมา เป็นอันว่าผู้ชนะ ส่วนผู้แพ้ก็คือเต้
เต้ก็ถอนหายใจเฮือกราวกับเสียดาย “อดกินข้าวฟรีแล้วดิ”
“เออ อดบ้างเหอะ แรงเท่าควายขนาดนี้” คนชนะบ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะมองมาที่เขา แล้วกวักมือ “คุณหนู ลองบ้างสิ”
ถูกชวนตุลย์ ตุลย์ก็ผละจากการ์ดที่มีอายุ สลับที่กับผู้ชนะแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเต้อย่างไม่อิดออด
“พี่ว่าผมแพ้หรือชนะ?”
“หืม เต้มันหมดแรงแล้ว คุณหนูชนะสบายๆ ชัวร์!”
“พี่พนันมั้ยล่ะ ถ้าผมแพ้พี่เลี้ยงข้าวทุกคน แต่ถ้าผมชนะ... ผมเลี้ยงเอง” ตุลย์ยิ้มขำที่ข้อเสนอมันกลับตาลปัตรกัน แต่ถึงอย่างนั้นคนฟังก็ดูจะเห็นดีเห็นงามกับเขา
“เอ้าจัดไปสิครับ! ถ้าคุณแพ้ผมเปิดโต๊ะเลี้ยงเลยอะ”
“พูดแล้วพูดให้จริงนะเว้ย”
“กูเคยเบี้ยวเหรอ”
“เออ ถ้าเบี้ยวนัดกูจะฟ้องเสี่ย” คราวนี้เป็นอเนกที่ลากเก้าอี้มานั่งคั่นข้างหว่างเขากับเต้ ผันทำหน้าที่เป็นกรรมการอย่างสนอกสนใจ ตุลย์ตั้งศอกบนโต๊ะ จับกำฝ่ามือเต้ที่หน้าตาจริงจังตลอดเวลาเป็นปกติ
“พร้อมนะ? สาม... สอง... หนึ่ง!”
สิ้นสัญญาณ พวกเขาทั้งคู่ก็เริ่มออกแรงต้านข้อมือของกันและกัน ตุลย์สูดหายใจเข้าปอดเฮือกเหมือนเต้แรงเยอะกว่าที่เขาคิด ซึ่งมันก็แน่นอยู่หรอก ชายหนุ่มชกมวยมาไม่รู้กี่ปี จะให้เทียบกับเขาที่เพิ่งเรียนได้แค่เดือนเดียว มันก็คนละชั้นเกินไป
ตุลย์ดันข้อมือเต้ให้เอียงไปหาเจ้าตัวได้นิดเดียว เต้ก็ต้านแรงคืนกลับมาได้ทุกครั้ง กลายเป็นว่าตำแหน่งมือของพวกเขาเคลื่อนไหวไปมาแค่นิดเดียวเท่านั้น จากนั้นก็จะกลับมาอยู่ตรงกึ่งกลาง แต่ยิ่งกินเวลานานตุลย์ก็ยิ่งต้านทานพละกำลังอีกฝ่ายได้น้อยลง ไม่นานเขาก็ตกเป็นรอง ก่อนที่จะถูกกดจนหลังมือแตะพื้น เป็นอันแพ้ไปในที่สุด
“พี่แย่แล้วล่ะ”
เขาหันไปยิ้มเจือนๆ ระคนขี้เล่นให้การ์ด ฝ่ายนั้นหัวเราะตอบ ก่อนจะชูมือสองข้างขนานศีรษะเป็นเชิงยอมแพ้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนอื่นๆ
“โอเคๆ ครับ เลี้ยงก็เลี้ยง นัดวันมาเลย”