"ไปไหนล่ะ" ผมถามก่อน
"ไปรับน้อง" สมุทรตอบ อดนึกในใจไม่ได้ว่า..
"นี่น่ะนะธุระที่ว่าของนาย" แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะคิดว่าเมื่อกี้เขาคงตั้งใจหาทางจะปฏิเสธผมนั่นแหละ
"น้องคนไหน"
"น้องชาย เมฆ" เขาตอบสั้น ๆ เท่านั้นแล้วเงียบไป ผมขับรถออกโดยไม่ได้ถามต่อว่าโรงเรียนอะไรหรือไปทางไหนแต่ก็ขับไปก่อน เพราะอันที่จริงผมรู้ดีอยู่แล้วว่าน้องชายของเขาเรียนที่โรงเรียนไหน
"นี่คุณอย่าบอกนะครับว่าคุณรู้ว่าน้องชายผมเรียนที่ไหน" สมุทรพูดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ สีหน้าของเขาดูระแวง อีกฝ่ายทำท่าไม่ไว้ใจและดูเหมือนจะเริ่มจับผิดผมแล้ว
"ฉันก็ขับไปเรื่อย ก็นายไม่พูด.." ผมทำน้ำเสียงกวนและปัดไปให้เป็นความผิดของเขา
"ตกลงไปทางไหนล่ะ" ผมถามหน้าซื่อ
"ไปทางบ้านผมนั่นแหละครับ เดี๋ยวผมบอก" สมุทรตอบ ผมพยักหน้า เลื่อนมือเปิดวิทยุฟัง ปกติผมไม่ค่อยฟังเพลงและไม่ค่อยสนใจฟังอะไรเป็นพิเศษนัก ส่วนใหญ่จะฟังข่าวกีฬาบ้าง ระหว่างทางที่รถติดผมก็ไม่รู้จะชวนคุยอะไร ส่วนสมุทรก็เอาแต่เงียบเช่นกัน แอบเหลือบมองเขาบ้างเป็นครั้งคราว
ตืด ๆ ๆ ...ผมหยิบโทรศัพท์มาดู สายโทรเข้าจากไอ้เข้ม
"ว่าไง" ผมทัก
"นายครับ" ไอ้เข้มทักกลับ น้ำเสียงแบบนี้เป็นเรื่องไม่ดีแน่เพราะเวลานี้น่าจะเป็นเวลาที่ไอ้เข้มกำลังทำหน้าที่คอยตามน้องสาวของสมุทรอยู่
"เหมือนจะมีคนตามคุณดาวนะครับ" ไอ้เข้มรายงาน
"รู้ไหมว่าใคร" ผมถามเสียงเรียบเพื่อไม่ให้ฝ่ายที่นั่งอยู่ในรถนั้นผิดสังเกต
"ไม่แน่ใจครับ แต่ไม่น่าจะใช่นักสืบหรือนักฆ่า" ไอ้เข้มวิเคราะห์
"เหมือนมันมาแอบดูอะไรสักอย่าง"
"เหรอ..งั้นมึงก็คอยดูไว้แล้วกัน" ผมสั่งโดยละคำว่า.."เกิดอะไรขึ้นก็จัดการตามสมควร" "เพราะไม่อยากทำให้ภาพลักษณ์เสียไปอีก
"ได้ครับ" ไอ้เข้มรับปาก ผมตัดสายแล้วตั้งใจขับรถต่อไปเรื่อย ๆ คาดคะเนว่าวันนี้ดาวคงไม่ได้ไปรับเมฆด้วยตัวเอง ดังนั้น..สมุทรเลยต้องไปรับแทน
".........." ระหว่างที่ผมขับรถเงียบ ๆ อยู่นั้นผมก็สังเกตเห็นว่าสมุทรหันหน้ามามองผมบ้าง ผมไม่ได้หันกลับไปมองตอบ คล้ายกับต่างฝ่ายต่างก็มีฟอร์มของตัวเอง ดูเหมือนเขาเริ่มจะผ่อนคลายลงบ้างแล้ว เมื่อเห็นอย่างนั้นผมก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกไม่ต่างกันนัก
ผมอมยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อได้สติรู้ตัวอย่างนั้น เท้าแขนอีกข้างกับประตูรถอย่างสบายใจและขับไปทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไร ผมเอื้อมมือกดปิดวิทยุอย่างตัดรำคาญ สมุทรมองตามมือของผมจนสังเกตเห็นได้ รถที่แทบไม่ขยับไปไหน จอดนิ่งค้างเติ่งคันต่อคันทำให้คนในรถรับรู้ได้ถึงความเรียบนิ่งและการเคลื่อนไหวร่างกายเล็กน้อยแผ่วเบาของคนที่นั่งอยู่ด้วยมากกว่าเดิม ผมเหลือบสายตาไปมองสมุทรบ้าง เห็นเขากำโทรศัพท์มือถือไว้ในมืออยู่นานแล้วเหมือนกับรอกลัวว่าใครจะโทรมา ผมอดแปลกใจไม่ได้ที่ไม่เห็นว่าเขาจะหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลาขณะรถติด ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นและทำท่านั่งเป็นคุณชายหน้าตาเฉยไปแล้ว แต่เขาเปล่าทำ
"แล้ว.. ที่บ้านคุณเป็นยังไงบ้าง" อยู่ ๆ สมุทรก็ถามขึ้นโต้ง ๆ ผมหันไปมองเขาเต็มตาแทบจะทันที สมุทรสบตาผมเพียงนิดเดียวก็หันหน้ากลับ เหมือนกับนั่นเป็นการเริ่มบทสนทนาเพื่อชวนพูดคุยทั่ว ๆ ไป
"ก็เรื่อย ๆ..เหลือแค่ฉันกับน้องชายน่ะ นอกนั้น..ลูกน้อง" ผมตอบ สมุทรพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นเราก็เงียบไปอีกประมาณสิบวิ คล้ายกับว่าได้จบบทสนทนาลงดื้อ ๆ ซะแล้ว ผมพยายามมองดูว่าเขาจะมีท่าทีที่จะพูดอะไรต่ออีกไหม ซึ่งดูเหมือนจะไม่มี
"มาเป็นนักมวยค่ายฉันไหม" ผมพูดขึ้น สมุทรหยุดนิ่ง เขาหันมามองผมด้วยสายตาว่างเปล่า ถ้าผมวิเคราะห์ไม่ผิด เขาคงจะตีความผิดเกี่ยวกับการที่ผมต้องการให้เขามาทำงานด้วยกันมากทีเดียว
"ฉันหมายถึง ฉันจะซื้อตัวนายมาเป็นนักมวยค่ายฉัน" ผมขยายความ เสียงแตรรถดังมาจากคันข้างหลัง เนื่องจากผมเอาแต่หันไปจ้องสมุทรจนไม่ยอมเคลื่อนรถไปข้างหน้า สมุทรนั่งเงียบด้วยสายตาลังเลอย่างเห็นได้ชัด เสียงแตรรถบีบดังไล่อีกครั้งทำให้ผมต้องละสายตาจากเขาแล้วหันกลับมาขับรถต่อ หลังจากนั้นเราสองคนไม่พูดอะไรกันอีกเลยจนเกือบถึงโรงเรียนของเมฆ สมุทรเอ่ยปากบอกทาง ทำพฤติกรรมคล้ายกับว่าไม่เคยเกิดบทสนทนาระหว่างเราก่อนหน้านั้นมาก่อนเลยอย่างนั้น
"ฉันรออยู่นี่แล้วกัน" ผมพูดเมื่อจอดรถสนิทที่หน้าโรงเรียน
"คุณกลับเลยก็ได้ เดี๋ยวผมกับน้องไปเองได้ครับ" สมุทรหันมาบอก ผมจ้องหน้าเขานิ่ง อีกฝ่ายก็จ้องตอบไม่ได้ว่าอะไร เขาหลบสายตาผมเหมือนกับต้องการบอกให้ผมหยุดที่จะพูดเรื่องที่เขาไม่อยากรับฟัง สายตาและสีหน้าที่เหมือนกับคนที่ไม่ค่อยอยากมีปากมีเสียงอะไรกับใครนัก ผมเหลือบมองไปที่ประตูโรงเรียน
"..ฉันรออยู่นี่แล้วกัน" ผมย้ำพูดคำเดิมเป๊ะไม่ขาดและไม่เกิน ก่อนจะหันหน้าไปมองทางด้านนอกเหมือนตัดบทสนทนาเพื่อให้เขาตีความเอาเอง สมุทรไม่ได้ว่าอะไร เขาลงจากรถเดินเข้าไปในโรงเรียน ผมมองตาม เพียงห้านาทีสมุทรก็เดินกลับออกมาพร้อมกับเมฆน้องชายของเขา ทั้งสองเดินจูงมือกันมา ดูเมฆจะงุนงงไม่น้อยเมื่อเห็นว่าสมุทรพาเขามาหยุดอยู่ที่รถของผม สมุทรเดินมาเปิดประตูรถ ผมหันไปมอง เมฆสบตากับผมพอดี เมฆชะงักแล้วเข้าไปกอดแขนพี่ชายตัวเองในทันทีที่เห็นว่าคนขับคือบุคคลแปลกหน้า ผมแสยะปากยิ้ม ๆ ไม่ได้ว่าอะไร อีกฝ่ายดูท่าจะไม่ยอมขึ้นรถง่าย ๆ ซะแล้ว
"สวัสดีพี่เค้าสิ" สมุทรพูดบอก ผมนั่งมองนิ่ง เมฆเหลือบสายตามองผมด้วยสายตาเหมือนคนที่ไม่ไว้ใจใครหน้าไหน แต่สุดท้ายเขาก็ยกมือไหว้ผมอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
"น้องชายผม ชื่อเมฆ" สมุทรก้มตัวลงมาบอก
"รู้แล้วล่ะ" ผมบอก ขยายความซะซื่อตรงเชียว สมุทรนิ่งไป เขาคงนึกไม่ถึงว่าที่จริงผมรู้แทบทุกเรื่องของเขานั่นละนะ สมุทรขึ้นมานั่งในรถก่อน แล้วเอื้อมแขนไปกอดน้องชายตัวเองให้เข้ามานั่งด้านหน้าด้วยกัน โดยให้นั่งอยู่ระหว่างตักของเขาก่อนจะปิดประตูรถ เมฆที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาแอบเหลือบมองผมเล็กน้อย ผมเหล่สายตามองกลับทำเอาอีกฝ่ายก้มหน้างุดกว่าเดิม นี่กำลังสงสัยว่ากูทำอะไรผิดไปรึเปล่า
"ต้องไปที่ไหนก่อนไหม" ผมถามก่อนที่จะออกรถ
"ไม่ครับ" สมุทรหันมาตอบ ผมพยักหน้ารับแล้วขับรถออก สมุทรนั่งกอดน้องชายตัวเองที่เอาแต่ก้มหน้าอยู่นั้นไว้หลวม ๆ ผมไม่ได้ทักอะไรเพราะดูเหมือนว่าไอ้เด็กนี่คงจะเข้ากับคนแปลกหน้ายาก เห็นเมฆแล้วเหมือนเห็นพายุตอนเป็นเด็กยังไงชอบกล อีกอย่างหน้าผมก็คงไม่ได้เป็นมิตรอะไรเท่าไหร่ด้วย ผมไม่ค่อยรู้จักการเข้าหาเด็ก สมัยที่เลี้ยงพายุก็เช่นกัน พายุมักเป็นฝ่ายพุ่งเข้าหาผมและคงติดที่ผมมักจะตามใจมันเสมอ มากไปกว่านั้นบางครั้งผมก็ไม่รู้ว่าการพูดกับเด็กจะต้องพูดทักด้วยภาษาอย่างไร ควรหยอกล้อกันแบบไหนที่จะทำให้เด็กรู้สึกสนิทใจและสนุกไปกับเรา ซึ่งผมไม่คิดจะพยายามเป็นด้วยนะครับเพราะผมคิดว่า..การประดิษฐ์สิ่งใดก็ตามมันมักจะไม่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
"วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง" สมุทรก้มหน้าไปหาน้องตัวเองแล้วกระซิบถามเสียงเบาคล้ายกับเกรงใจที่จะพูดคุยต่อหน้าผม
"การบ้านเมื่อวานคุณครูว่ายังไง" สมุทรยิงคำถามต่อไปทั้งที่ผมเองก็ยังไม่เห็นว่าเมฆจะตอบคำตอบก่อนหน้า
"..ครูชมรึเปล่า" เขายิ้มถาม
"อื้อ!" เมฆพยักหน้าตอบแล้วเงยหน้าอมยิ้มมองพี่ชาย
"หึ ดีแล้ว" สมุทรลูบหัวน้องชายตัวเองยิ้ม ๆ
"ดูข้างนอกสิ" สมุทรบอกแล้วชี้มือออกไปทางกระจกรถ เมฆเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แล้วมองออกไปนอกรถ อยู่ ๆ เมฆก็ขยับตัวเองไปเกาะกับกระจกรถในทันทีอย่างกับสนอกสนใจอะไรสักอย่าง สมุทรหันมามองผม ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้มน้อย ๆ ทางระหว่างโรงเรียนถึงบ้านสมุทรไม่ไกลเท่าไหร่นัก เมื่อมาถึงหน้าปากซอยบ้านสมุทรผมก็จอดรถไว้เพราะขับเข้าไปไม่ได้เนื่องจากมีรถขายอาหารมาจอดปิดทางไว้อยู่ คนแถว ๆ นั้นหันมามอง
"ขอบคุณครับ" สมุทรพูดขึ้น
"เอาเป็นว่า ..ฉันจะให้เงินก้อนนาย" ผมพยักหน้าก่อนพูดขึ้นคนละประเด็น สมุทรเงียบไปชั่วครู่ ตาของเขาไม่ได้มองมาทางผม
"ทำไมคุณถึงพูดเรื่องนี้ตลอด" สมุทรย้อนด้วยน้ำเสียงเรียบนุ่มอย่างเคย น้ำเสียงที่ไม่ตะคอก ไม่ได้ฟังดูโกรธหรือไม่พอใจอะไร
"หึ..เพราะฉันมาเพื่อสิ่งนี้" ผมย้อนตอบแกมหัวเราะ เราหันมาจ้องหน้ากัน
"นายคิดว่าฉันเล่นอะไรอยู่งั้นเหรอ" ผมพูดขึ้น น้ำเสียงยังคงราบเรียบคงเดิม
"..มาหานายเพื่อมิตรภาพสานฝัน ดูเหมือนฉันจีบสาวอยู่งั้นรึไง" ผมว่าพลางถอนหายใจเบา ๆ เมฆนั่งก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จา ผมนึกขำในใจที่ตัวเองย้อนอะไรไปแบบนี้ จีบสาวงั้นเหรอครับ ตามความจริงแล้วผมไม่เคยตื๊อตามจีบใครแบบนี้มาก่อนด้วยซ้ำ ซึ่งนอกจากจะไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะทำแล้ว กลับรู้สึกชอบใจอย่างไรบอกไม่ถูกด้วยซ้ำ
"ฉันจะให้เงินก้อนนาย มากพอที่จะปรับปรุงค่ายมวยใกล้ตายของเพื่อนพ่อนาย น้องนายจะได้คุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้..แล้วก็ นาย..จะได้เรียนต่อ" ผมพูดไม่ได้มองหน้าเขา สมุทรนั่งเงียบ ผมคิดว่าเขาก็คงลังเลอยู่เช่นกัน
"ก็แค่นายมาทำงานกับฉัน มันจะยุ่งยากอะไรนักหนา" ผมว่าด้วยรู้สึกหงุดหงิดในใจไม่น้อย ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกหงุดหงิดลึก ๆ ในใจที่ถ้าอีกฝ่ายจะปฏิเสธไม่ยอมมาทำงานด้วยกัน
"สุดท้ายบุญคุณก็จะไม่จบไม่สิ้น" สมุทรที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นคนละเรื่อง ผมหันไปจ้องหน้าเขา
"ให้มันจบที่พ่อผมก็ดีแล้ว" เขาว่า
"ขอโทษด้วย ถ้าต้องบอกว่าที่จริงมันยังไม่จบ" ผมตอบกลับชัดถ้อยชัดคำ
"รู้ไว้ซะ..ว่าถึงลุงยอดยังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายนายก็ต้องทำงานให้ครอบครัวฉันอยู่ดี" ผมย้ำถึงความจริงที่ไม่อยากจะพูดถึง ถ้าเขาไม่กวนจนผมนึกหมันไส้ผมก็จะไม่ตอกย้ำให้มีอารมณ์กันแบบนี้ ที่จริงการทำงานมันก็วนอยู่เท่านี้มาตลอดยาวนานอยู่แล้ว
"เป็นเบ๊ฉัน..แบบไม่มีข้อแม้ด้วยซ้ำ" ผมแสยะยิ้มเยาะถึงความจริงที่เจ้าตัวก็ควรจะรู้อยู่ สายตาที่สมุทรมองมาที่ผมเหมือนกับคนที่พยายามกักเก็บอารมณ์เอาไว้และดูเหมือนจะเอาได้อยู่หมัดอีกแล้ว สายตาแบบที่ทำให้ใจผมเต้นเร่า ๆ อย่างพยายามสะกิดให้อะไรต่อมิอะไรที่ผมพยายามเก็บไว้อยู่นั้นปะทุออกมา
"ขอบคุณพี่เค้าสิ" สมุทรหันหน้ากลับไปพูดบอกเมฆ เหมือนกับตัดบทสนทนาลงห้วน ๆ เมฆหันมาทางผมแต่ไม่ยอมเงยหน้าเลยแต่ก็ยกมือไหว้ผมตามที่พี่ชายตนสั่งอย่างว่าง่าย สมุทรเปิดประตูรถแล้วทำท่าจะลงไป
"ฉันจะมาอีก" ผมพูดขึ้นลอย ๆ บอกอีกฝ่ายให้รับรู้ไว้ก่อน สมุทรหยุดอยู่กับที่ก่อนถอนหายใจให้ได้ยิน
"หึ..อดทนได้ขนาดนั้นก็ตามสบาย" สมุทรย้อนยิ้มกวน ผมแสยะปากยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ทันทีเพราะรู้สึกชอบใจคำพูดและรอยยิ้มแบบนั้น
"รู้สึกเหมือนถูกเชื้อเชิญยังไงบอกไม่ถูก" ผมส่งสายตากะล่อนไปอย่างอดไม่ได้ ทำเอาสมุทรถึงกับนิ่งไป ดูเหมือนว่าเขากำลังใช้ความคิดตีความหมายของสายตาของผมอยู่ละมัง
"คุณน่ะ.." สมุทรเอ่ย น้ำเสียงและสายตาดูเป็นจริงเป็นจัง
"วันหลัง ถ้าอยากมาขอร้องอะไรใครละก็" เขาพูด ผมมองหน้าเขาไม่วางตาเพราะสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังจะบอกอะไร
"คุณควรเลือกใช้คำพูด ให้มันเพราะหูกว่านี้" สมุทรบอก
"เพราะยังไง..." ผมเบะปาก เลิกคิ้วเชิงถาม นี่ยังไพเราะไม่พออีกงั้นเหรอครับ
"ครับ" ผมต่อหางเสียงที่ทิ้งไปเมื่อกี้ด้วยท่าทางกวน ๆ ต่อให้
"ส่วนนี่ แถวบ้านผมเรียกประชด" สมุทรพูดแล้วลงจากรถไปทันที ผมมองตามยิ้ม ๆ
"ดื้อด้าน" ผมว่าไล่หลัง ตามองตามหลังสมุทรที่เดินจูงมือน้องชายตัวเองเข้าซอยไปแล้ว ยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
"แม่งเอ๊ย!" ผมกัดฟันสบถอย่างอารมณ์เสีย ทุบมือเข้าที่พวงมาลัยอย่างระบายอารมณ์ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังหงุดหงิดอึดอัดอะไรด้วยซ้ำ
- - - - - - - - - - - - - - -
วันศุกร์ 16:30 น. ค่ายมวยชัยโรจน์ สาขาใหญ่
"เอ้า! เร็ว ๆ ๆ ๆ ๆ!!" พี่ธานตะโกนเสียงดังลั่นค่าย ทุกวันศุกร์ตอนเย็นลูกน้องคนสนิทของผมจะมีฝึกหนักเป็นประจำ ซึ่งจะเป็นการฝึกโหดพิเศษกว่าวันอื่น ๆ และแม้จะฝึกหนักจนร่างกายพวกมันแย่แค่ไหน ในทุกเช้าของวันเสาร์ทุก ๆ คนจะต้องตื่นมาซ้อมตั้งแต่เช้ามืดเหมือนเดิม ซึ่งการฝึกในช่วงเช้าวันเสาร์ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ศาสตร์และศิลปะป้องกันตัวด้านอื่น ๆ เช่น กังฟู เทควันโด โดยมีคู่ซ้อมเป็นพายุหรือผมเป็นต้น ส่วนใหญ่เช้าวันเสาร์ ผม พี่ธานและพายุจะเน้นเป็นพิเศษเพราะปกตินั้นวันอื่น ๆ ลูกน้องผมจะซ้อมด้วยตัวเองและเน้นไปที่มวยเป็นหลักเสียมาก วันเสาร์ก็เสมือนวันครอบครัว อันที่จริงพวกเราชอบการรวมตัวกันในเช้าวันเสาร์ที่โรงฝึกในบ้านมากทีเดียว
"ไอ้เด่น!" พี่ธานตะคอกใส่ไอ้เด่นที่ดูจะซิตอัพพร้อมชกได้ยืดยาดช้ากว่าชาวบ้านเขา หลังจากที่ผมลงนวมเสร็จ ผมเดินแอบมาหยุดยืนยิ้มมองพวกมันอยู่ทางด้านหลัง วันนี้ผมลงนวมซ้อมกับลุงลอย ซ้อมทุกอย่างเป็นปกติ ชั่งน้ำหนัก ตรวจเช็คร่างกายเพื่อดูความพร้อมของร่างกาย วันนี้ยังคงจัดหนักตามเคย อีกทั้งอากาศก็ค่อนข้างร้อนเป็นพิเศษทีเดียว
"เอาให้มันเร็ว ๆ เหมือนตอนที่มึงหางกระดิก ระริกระรี้เห็นสาวหน่อย" พี่ธานกัดฟันบ่นพร้อมกับเดินเข้าไปตบหัวไอ้เด่นเต็มแรง นักมวยที่อยู่รอบ ๆ ได้ยินพากันหัวเราะ
"โอ๊ย" ไอ้เด่นร้องแต่ก็ยังไม่หยุดซิตอัพพร้อมชกไปด้วย มันคงรู้ว่าถ้ามันหยุดมันจะโดนหนักกว่านั่นเป็นแน่ ผมถอดผ้าพันมือออกอย่างใจเย็น
"คุณไฟครับ" นพเดินเข้ามาหา
"นพ"..นักมวยฝีมือดีในค่ายของผมอีกคน มันทำชื่อเสียงไว้ให้มากมายทีเดียว ผมเหลือบมอง มือก็ไม่หยุดทำงาน
"ลูกค้าผู้หญิงพวกนั้นเค้าอยากซ้อมกับคุณน่ะครับ" นพยิ้มแหยพูดบอกอย่างเกรงใจ มันรู้ว่าปกติผมจะไม่ค่อยเป็นเทรนเนอร์ให้ลูกค้า หรือพูดได้ว่าปกติไม่เคยเป็นเลยมากกว่า ยิ่งมาแบบที่ไม่ค่อยเป็นมวยด้วยแล้วยิ่งไม่อยากซ้อมให้ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างขี้หงุดหงิดในบางโอกาส เมื่อใจไม่อยากอดทนต่ออะไรก็มักจะไม่ทนทำสิ่งนั้น ๆ ต่อ และแอบมีส่วนชอบความรุนแรงในศิลปะของมวยอยู่นิด ๆ เวลาที่คู่ซ้อมไม่เต็มเหนี่ยวด้วยแล้วมักจะรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองปล่อยไปไม่สุดและเมื่อไหร่ที่ไม่สุด ผมมักจะหงุดหงิด
"มึงปฏิเสธไปไม่เป็นรึไง" ผมกระซิบพูดกลับด้วยน้ำเสียงโทนเดียวและขยับปากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่คิดจะหันไปมองผู้หญิงกลุ่มดังกล่าวที่ไอ้นพบอกด้วย เพราะเกรงว่าลูกค้าจะรู้ได้ว่าผมปฏิเสธโต้ง ๆ แบบนี้
"แต่ว่า.." ไอ้นพทำสีหน้าลำบากใจ
"นั่นนางเอกดังเลยนะครับ เค้าบอกว่า..มาเพราะ เอ่อ" ไอ้นพพูดตะกุกตะกักเมื่อผมเริ่มจ้องมันนิ่งอย่างเอาเรื่อง ผมถอนหายใจเพราะไม่อยากหงุดหงิดใส่มัน ไอ้นพยิ้มเจื่อนหน้าเสีย
"บอกว่ากูมีฝึกลูกน้องแล้วกัน" ผมพูดแกมสั่ง
"ครับ" ไอ้นพพยักหน้ารับก่อนเดินไป ผมเดินตรงไปหาพี่ธาน พี่ธานมองมาที่ผมก่อนส่ายหัวเซ็ง ๆ ให้ถึงพฤติกรรมลูกน้องที่ไม่เอาไหนในการควบคุมของตัวเอง ผมหัวเราะ
"สมควรแล้วที่พายุบอกว่าพวกมึงมันห่วยแตก" ผมอดบ่นไม่ได้ พวกมันคงได้ยินชัด พากันอมยิ้มน้อย ๆ ทั้งที่ยังไม่หยุดซ้อม
"กูให้มึงหยุดไปทำงานที่มึงชอบ" ผมเดินไปหาไอ้เด่น มันเหลือบมองผมอย่างระแวงแต่ก็ยิ้มเหมือนรู้ว่าตัวเองมีความผิดอะไร
"แต่มึงก็คงเอาเวลาแปดสิบเปอร์เซ็นต์ แอบไปบริหารบั้นเอวมึงมาสินะ" ผมยืนเท้าเอวมองมันอย่างรู้ไส้รู้พุง ไอ้เข้ม ไอ้รุ่งและไอ้หินพากันหัวเราะ พี่ธานที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกมันยืนเท้าเอวยิ้มกว้าง
"เปล่าครับ!" ไอ้เด่นตะโกนปฏิเสธเสียงดังฟังชัด
"เปล่าเหรอ" ผมมองต่ำลงไปที่ไอ้เด่น มันอมยิ้มหลบสายตาผม
"ลุกนั่ง สลับซิตอัพห้าสิบครั้ง" ผมสั่งเสียงเบา
"เร็ว ๆ!" ผมตะโกนย้ำใส่พร้อมนำเท้าเขี่ยขาไอ้เด่นด้วย
"ครับ!" ไอ้เด่นรับสั่ง มันกระโดนลุกขึ้นยืนแล้วลงนั่งทันที พอเสร็จจากนั้นมันก็กลับมาซิตอัพ
"ชกด้วย" ผมว่าอีก ไอ้นี่มันฉลาดแกมโกง ที่แบบนี้พอสั่งอะไรมันก็ทำตามแบบนั้น พอไม่สั่งก็เสือกไม่ทำ สั่งให้ซิตอัพก็ซิตอัพอย่างเดียวเลย
ไอ้เด่นซิตอัพสลับชกลมพร้อมกับลุกนั่งอยู่อย่างนั้นไปได้ครู่ใหญ่ ๆ มันถูกจัดหนักกว่าใครเพื่อน ผมกับพี่ธานยืนมอง ครูมวยคนอื่น ๆ ที่เห็นเหตุการณ์ว่าไอ้เด่นได้ชุดพิเศษก็พากันแซว ไอ้เด่นยิ้มเขินใหญ่
"ขาอ่อนเหรอ หือ..ขาอ่อน" พี่ธานกัดฟันยิ้ม ๆ ด้วยความหมันไส้ที่เห็นไอ้เด่นทำท่าจะไม่ไหวแล้ว พี่เขาเดินไปเตะเข้าที่ขาไอ้เด่นไปด้วยเป็นระยะแต่ไอ้เด่นก็ยังทำหน้าที่ไปไม่หยุด
"เหนื่อยไหม" ผมถาม
"ไม่เหนื่อยครับ!" ไอ้เด่นตะโกนตอบ
"เหนื่อยไหม!" ผมย้ำถามอีกครั้ง
"ไม่..เหนื่อย ครับ" ไอ้เด่นตอบเสียงหอบ
"ดี..ไม่เหนื่อยก็ทำไป!! ทำจนกว่ากูจะเหนื่อย" ผมบอก
"หึ" พี่ธานหัวเราะ ผมเดินไปหาลุงลอยที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของค่าย ลุงแกมองตรวจตราไปรอบ ๆ ค่ายมวย ผมเดินไปนั่งลงข้าง ๆ ลุงลอยหันมามอง
"ลุงรู้จักค่ายศรไกรไหม" ผมถามตรงประเด็น ไม่ได้มีเวลานั่งคุยกับลุงเป็นเรื่องเป็นราวสักที
"ศรไกร" ลุงขมวดคิ้วทำหน้านึกไปครู่หนึ่ง
"อ๋อ..ค่ายของศรไกรสมัยก่อน" ลุงพูด ผมพยักหน้าตอบประมาณว่า..นั่นแหละ
"เคยดังนี่ ตอนนี้เงียบหายไปแล้ว" ลุงว่า
"ลุงเคยรู้จักเหรอ"
"ก็ไม่สนิทหรอกนะ แต่ก็พอเคยเห็นหน้ากันบ้างในสนาม..เจ้าของค่ายแกก็เป็นคนดีนะ รุ่นก่อนน่ะ..รุ่นบุกเบิก รุ่นหลังนี้ลุงก็ไม่ค่อนแน่ใจว่าเป็นยังไง" ลุงขมวดคิ้วพูด
"ทำไมรึ" ลุงถามกลับ
"ไฟว่า..จะซื้อตัวนักมวยคนนึงมาน่ะ" ผมตอบ เป็นคำตอบที่พูดให้ฟังเท่านั้นเพราะทุกการตัดสินใจในค่ายนี้ขึ้นอยู่ที่ผมคนเดียว ลุงลอยมองหน้าผมเหมือนอยากได้คำอธิบาย
"แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะยอมมารึเปล่า" ผมพูดแกมหัวเราะ
"เล่นตัวเหรอ..ฝีมือดีรึไง" ลุงถามด้วยสีหน้าสนใจขึ้นมา ผมหัวเราะเพราะชอบคำพูดของลุงแก
"ก็พอได้อยู่นะ เผิน ๆ ดูเป็นคนขยันดีน่ะ" ผมหันไปอมยิ้มให้ลุง
"หึ" ลุงลอยหัวเราะ ลุงลอยเป็นคนที่เอ็นดูคนขยันและแกเองก็รู้ว่าผมเป็นคนชอบคนขยันมาก ผมคิดว่าคนเราต้องขยันทำมาหากิน ขยันเรียน ชีวิตต้องใฝ่ดี การใฝ่ดีอย่างแรกที่ต้องนำพามาก่อนนั่นก็คือ..ความขยัน หลังจากนั้นสิ่งที่จะตามมาเองคือ..ความมีวินัย ถ้าขาดความขยันไปผมไม่คิดว่าการวินัยมันจะตามมาได้อย่างสมบูรณ์แบบน่ะนะ
"เล่นตัวพอดู รักค่ายอย่างกับจ่าฝูง" ผมบ่นลอย ๆ ไปอย่างนั้น ลุงลอยหัวเราะอีกครั้ง