^
^
ไม่ขึ้นมาโกด
ปล. ได้ตอนตีสองเหมือนกัน แม่มม กำลังเคลิ้มๆ เซ็งห่าน
..................................................
ตอนที่ 7
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพราะถูกปลุกโดยไอ้เมฆ มันเขย่าตัวผมเบาๆและกระซิบที่หูของผม
“ซัน ตื่นเหอะ ไปกับกูหน่อย”
“ไปไหนวะ กี่โมงแล้วเนี่ย” ผมหยีตาแล้วมองไปรอบๆห้อง ทั่วทั้งห้องยังคงมืดอยู่เลย
ไคล์ยังคงนอนอยู่ข้างๆผม ผมพยายามนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนตอนหลังจากงานจบลง เราแบ่งบ้านกันเป็นสองหลัง และในห้องนอนใหญ่นี้ก็มีผม เมฆ กับไคล์นอนด้วยกันสามคน ส่วนตอนนี้หน้าบ้านบริเวณห้องรับแขกกับห้องนอนอีกห้อง ผมคิดว่าคงจะมีคนนอนระเกะระกะกันอยู่อีกหลายคนแน่ๆ
“ตีห้าจะครึ่งแล้ว เบาๆหน่อย เดี๋ยวไคล์ตื่น” เมฆจุ๊ปาก
“เพิ่งตีห้าแล้วมึงปลุกกูทำมายอ่า เมื่อคืนกว่าเราจะได้นอนก็เกือบตีสองแล้วนะ” ผมงัวเงีย
“ไปเดินเล่นกัน กูอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นกับมึงนะ”
คำว่า “กับมึง” ที่มันเพิ่งพูดทำให้ผมตื่นขึ้นเต็มตาเกือบจะในทันที
“อืมๆ ไปก็ไป มึงไม่สบายใจอะไรรึเปล่าเนี่ย” ผมลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง ไคล์ขยับตัวเล็กน้อย ทำให้ผมกับไอ้เมฆต้องหยุดเคลื่อนไหวลงทันที
“ไปล้างหน้าเถอะ เดี๋ยวกูรออยู่หน้าบ้านนะ” ไอ้เมฆพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปราวๆสิบวิ พร้อมกับเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ผมสังเกตเห็นว่ามันเองก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันตื่นขึ้นมาตั้งแต่กี่โมงกันแน่
ผมรีบล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็วจากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินผ่านเหล่าทหารที่นอนตายกันเกลื่อนในสงครามเซียงกงราวๆห้าศพในห้องนั่งเล่นออกไปหาไอ้เมฆที่หน้าบ้าน เมื่อผมเดินออกไปก็เห็นไอ้เมฆที่ใส่กางเกงขาสั้นสีขาวกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนไม่ได้กลัดกระดุมยืนรออยู่แล้ว
“ป่ะ ไปเดินเล่นดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน” ไอ้เมฆหันมาพูดกับผมพร้อมรอยยิ้ม
“ไอ้เดินน่ะเดินได้ แต่ไม่เอาเดินแล้วเจอเรื่องแบบครั้งก่อนๆแล้วนะครับ ศิลา”
ไอ้เมฆหัวเราะชอบใจ “ถ้าครั้งนี้ยังเจอเรื่องอีก กูว่าเราต้องไปทำบุญเจ็ดวัดล้างซวยซะแล้วว่ะ”
ตั้งแต่มาถึงที่นี่เราสองคนยังไม่เคยเดินชายหาดด้วยกันตามลำพังในตอนเช้ามืดแบบนี้เลย ผมนั้นเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวาย ส่วนไอ้เมฆก็เป็นคนที่ชอบความเงียบสงบ ถึงหลายๆสิ่งหลายๆอย่างในตัวเรามันจะแตกต่างกัน แต่ความเหมือนในจุดเล็กๆนี้ก็ช่วยหล่อหลอมให้เราสองคนให้เข้ากันได้อย่างดี และทะเลในยามเช้าตรู่ของที่นี่ก็แทบจะไม่ต่างไปจากเมื่อคืนหรือเมื่อคืนก่อนมากนัก มันช่วยมอบความสบายใจและความสดชื่นให้แก่เราทั้งคู่ได้อย่างดีทีเดียว ความมืดที่ยังคงปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นดินและผืนน้ำ กับแสงสว่างรำไรที่กำลังโผล่พ้นผืนน้ำราวกับลมหายใจแรกของพระอาทิตย์ ความอบอุ่นจากแสงแดดน้อยๆที่ค่อยๆคืบคลานสาดส่องไปทั่วเพื่อสร้างวันใหม่ให้ชีวิตของเรานั้น มันช่วยปลอบประโลมความกังวลและความเครียดจากเรื่องราวต่างๆที่เราเพิ่งจะเจอและต้องเผชิญหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดี พระอาทิตย์นี้ก็ช่างยิ่งใหญ่และรู้ใจมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราเหลือเกินที่ไม่พรากความหนาวเย็นไปจากเราในคราเดียว แต่กลับค่อยๆมอบความอบอุ่นให้แก่พวกเราทีละน้อยๆจนกว่ามันจะขึ้นสู่จุดสูงสุดบนท้องฟ้า
“คิดถึงพีเหมือนกันเนอะ” เมฆพูดขึ้นขณะที่เราสองคนยังคงเดินทอดน่องกันอยู่อย่างช้าๆ
“อืมม ถ้ามันรู้ว่าเราเจออะไรมาในช่วงสองสามวันนี้มันต้องเป็นห่วงมากแน่ๆเลยว่ะ ว่าแต่มึงเจ็บแผลรึเปล่า”
“ก็นิดหน่อยนะ คือ....... จริงๆแล้วเมื่อคืนกูก็นอนไม่ค่อยหลับด้วยแหละ มันปวดๆแผลน่ะ”
“แล้วทำไมมึงไม่ปลุกกูวะ แบบนี้มึงก็อดนอนน่ะสิ เมฆ”
“ก็กูไม่อยากกวนมึง ปลุกมึงขึ้นมากูก็ไม่ได้หายเจ็บแผลนี่หว่า แถมมันไม่ได้เป็นมากขนาดนั้นหรอก กูก็แค่รำคาญๆเท่านั้นเอง ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ากูทนไม่ไหวกูต้องบอกมึงแน่ๆ”
“ให้มันได้อย่างนั้นก็แล้วกัน........... แต่ถ้าไม่ไหวก็บอกก็แล้วกัน ไม่ใช่แค่เรื่องแผลนะ แต่หมายถึงถ้าง่วงด้วย มึงจะนอนจะงีบหลับอะไรเมื่อไหร่ก็บอกก็แล้วกัน เข้าใจรึเปล่า”
“ครับผม รับทราบครับ” ไอ้เมฆรับคำพร้อมรอยยิ้ม
เราสองคนต่างคนต่างเงียบกันไปอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ไอ้เมฆจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดออกมาอีกครั้งเบาๆ
“นี่ ซัน มึงชอบพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกมากกว่ากันวะ”
“กูเหรอ....... อืมมมม....... ก็คงเป็นพระอาทิตย์ตกมั๊ง อากาศที่ค่อยๆเย็นลง แสงแดดเศร้าๆสุดท้ายของพระอาทิตย์ กับบรรยากาศที่เหมือนกับกำลังจะกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้งน่ะนะ”
“แต่กูชอบพระอาทิตย์ขึ้นนะ แสงสีส้มที่ค่อยๆทอดผ่านพ้นน้ำออกมาช้าๆ ความหนาวเย็นค่อยๆจางหายไปเป็นความอบอุ่น และความเงียบสงบสุดท้ายที่เราจะสามารถซึมซาบได้ก่อนที่ความวุ่นวายของชีวิตจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง มันเหมือนกับว่าเป็นช่วงเวลาอันมีค่าที่สุดที่ธรรมชาติมอบให้แก่เราในช่วงเวลาเพียงอึดใจแค่ไม่กี่วินาทีที่เราต้องรีบตักตวงไว้น่ะ”
“อืม กูเข้าใจที่มึงพูด มึงรู้มั๊ยว่ามึงตอบสมกับเป็นมึงจริงๆเลยนะ” ผมโอบมันเข้ามาไว้ในเอวเบาๆ กลัวว่ามือจะไปโดนแผลเข้า “ว่าแต่นี่มึงยังไม่ได้ทำแผลเลยใช่มั๊ย”
ไอ้เมฆส่ายหน้า “นี่ แล้วมึงเคยคิดถึงขอบฟ้าบ้างมั๊ยวะ”
“ขอบฟ้าเหรอ” ผมนิ่วหน้า
“ช่าย ขอบฟ้าน่ะ เส้นต่อระหว่างผืนน้ำกับท้องฟ้า เส้นต่อระหว่างพื้นดินกับผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ มึงว่ามันเป็นยังไง”
“ไม่รู้ว่ะ อันนี้กูตามมึงไม่ทันแล้ว” ผมส่ายหัวเบาๆ
“ก็ไม่มีอะไรต้องตามหรอก ก็แค่ มึงคิดดูดิ่ มึงเป็นท้องฟ้า หรือแม้แต่ตัวพระอาทิตย์เองก็ตามน่ะนะ ไคล์เป็นผืนน้ำ สมมติว่าเป็นน้ำทะเลนี่ก็ได้ พีเป็นผืนดิน ส่วนกูก็เป็นก้อนเมฆ หรือเป็นแค่ก้อนหินที่ได้แต่มองพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกอยู่ทุกวัน เราทุกคนได้เห็นและได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลาทุกช่วงเวลาของวัน ทั้งช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดของพระอาทิตย์ตก และช่วงเวลาที่ยินดีที่สุดยามพระอาทิตย์ขึ้น....... แต่เส้นขอบฟ้าล่ะ เป็นยังไง”
“แล้วมึงว่ามันเป็นยังไง”
“กูว่ามันก็คงจะเหนื่อยน่าดูล่ะมั๊งนะ” เมฆค่อยๆทิ้งตัวนั่งลงลนพื้นทราย สายตาจับจ้องไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นน้ำขึ้นมาช้าๆเบื้องหน้า
“เหนื่อยเหรอ ทำไมวะ” ผมนั่งลงข้างๆมัน
“ก็มึงดูสิ มันต้องรับภาระเป็นคนที่คอยแบ่งกั้นระหว่างความสุขและความเศร้าของวันเอาไว้นะ นี่ถ้าลองนึกง่ายๆ ถ้ามันเขยิบขึ้นไปสูงกว่านี้อีกสักหน่อย พระอาทิตย์ก็คงตกเร็วขึ้นและกว่าจะขึ้นก็คงช้าลงอีก ใช่มั๊ยล่ะ แถมถ้ามันไม่สามารถทอดยาวเคียงคู่ไปกับท้องฟ้าและพื้นน้ำได้แบบไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ล่ะก็ ความงดงามทั้งหมดนั้นมันก็คงจะไม่มี”
“กูพอจะเข้าใจแล้ว มึงหมายความว่าขอบฟ้านั้นก็มีความสำคัญในตัวของมันเองมากไม่แพ้ทุกๆสิ่ง แต่คนเรากลับไม่ค่อยได้คิดถึงมันกันใช่มั๊ย”
“ใช่ แต่ถึงจะสำคัญมากขนาดไหนนะ มันก็ยังไม่มากไปกว่าความสวยงามของช่วงเวลาสั้นๆยามพระอาทิตย์ขึ้นและตกอยู่ดีนั่นล่ะ......... นี่ และมึงลองคิดดูสิว่าทำไมมันถึงได้ถูกเรียกว่าขอบฟ้า ทำไมไม่เรียกว่าขอบดินหรือขอบน้ำ”
“เออ อันนี้น่าคิด แล้วมึงคิดไว้รึยังว่าทำไม กูว่ามึงต้องมีคิดเอาไว้แล้วด้วยแน่ๆใช่มั๊ย”
“ม่ายรู้สิ” ไอ้เมฆยักไหล่ “กูว่าอาจจะเป็นเพราะมันกั้นท้องฟ้ากับเบื้องล่างล่ะมั๊ง ไม่ได้สำคัญว่ามันกั้นท้องฟ้ากับน้ำหรือดินหรืออะไร แต่เป็นกั้นท้องฟ้ากับเบื้องล่างทั้งหมด”
“สรุปแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นท้องฟ้าอยู่ดี”
“ก็คงใช่แหละ คนเราน่ะทำลายทั้งพื้นดิน พื้นน้ำ และท้องฟ้า ทั้งน้ำเน่า ป่าไม้หมด แผ่นดินทรุด และยังขยะอีก แต่มีแค่มลภาวะทางอากาศเพียงอย่างเดียวนี่แหละที่แทบไม่สามารถทำลายความสวยงามของท้องฟ้าไปได้เลย แบบว่า ถ้าโอโซนโหว่ทีมึงก็ตายกันแบบไม่ต้องคิดกันเลยล่ะนะ เพราะตาเรามันมองไม่เห็นนี่”
“แล้วทำไมจู่ๆวันนี้เมฆถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะครับ ซันไม่ได้จะขัดคอนะ แต่แปลกใจตั้งแต่เห็นเมฆตื่นแต่เช้าขนาดนั้นแล้ว ทั้งๆที่เมฆน่ะน่าจะเป็นคนที่เหนื่อยที่สุด” ผมโอบบ่ามันแล้วใช้มือลูบหัวมันช้าๆ
ไอ้เมฆนั่งเงียบไปพักหนึ่ง ตอนนี้พระอาทิตย์ก็กำลังทอแสงโผล่ขึ้นจากเส้นขอบฟ้าจนเกือบจะเต็มดวงแล้ว ความมืดมิดที่ปกคลุมเราอยู่ทั้งคู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆจางหายไป กลายเป็นความสว่างสดใสและความอบอุ่นที่ค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามาภายในใจของเราอีกครั้งหนึ่ง
“มึงรักกูมากมั๊ย ซัน” ไอ้เมฆถามขึ้น
“มาก มากเท่าๆกับที่มึงรักกูนั่นแหละ เมฆ”
“แล้วมึงมั่นใจมั๊ยว่ามึงจะไม่ทำอะไรให้กูต้องเสียใจ ไม่ทำอะไรให้กูต้องเจ็บช้ำอีก”
“ไม่มั่นใจเลยสักนิด ตอนอยู่ที่อังกฤษมันก็เรื่องนึงนะ แต่พอกลับมาไทยแบบนี้กูก็ยิ่งรับปากมึงไม่ได้เข้าไปใหญ่ กูเคยบอกแล้วนี่ว่ากูรักมึงมากก็จริง แต่ว่ากูก็สัญญาอะไรกับอนาคตมากไม่ได้ แต่กูจะทำให้ดีที่สุดเพื่อเราทั้งสองคน”
“อืม กูก็เหมือนกัน........ ถ้ามึงถามคำถามเดียวกันกับกูน่ะนะ กูก็คงตอบแบบเดียวกันนั่นแหละ กูรักมึงมากจริงๆ กูไม่อยากทำให้มึงต้องเสียใจรึอะไรหรอกนะ แต่ว่ากูก็ไม่มั่นใจในตัวเองเลยว่าถ้ามันเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะ เราสองคนจะต้องเสียใจกันมากขนาดไหน กูอยากจะดีที่สุดสำหรับมึง ไม่อยากจะทะเลาะกับมึง แต่ในเมื่อตอนนี้เรากลับมาอยู่ในสังคมเดิมของเราแล้ว เราอยู่ในที่ๆพูดภาษาไทย ความคิดมุมมองแบบคนไทย และที่สำคัญเรามีกันและกันอยู่แค่นี้แล้ว ไม่มีพ่อแม่มึง ไม่มีพี และเผลอๆก็ไม่มีไคล์ด้วย เพราะเขาก็ต้องเรียนและใช้ชีวิตของเขาไป ส่วนพ่อกูก็แทบไม่เคยชินกับการเห็นเราอยู่ด้วยกันแบบนั้นเลย กูว่าจากนี้ไปเราคงต้องพึ่งพาตัวเองแบบสุดๆว่ะ ทั้งเรื่องชีวิตคู่ ชีวิตส่วนตัว เรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องเงิน และเรื่องอื่นๆอีกร้อยแปด”
“แต่กูรู้ว่ามึงทำได้ เมฆ กูมั่นใจ แล้วมึงน่ะก็ชอบทำพูดนั่นพูดนี่ แต่จริงๆแล้วมึงก็ผ่านอะไรต่ออะไรมามากตั้งเท่าไหร่แล้วไม่รู้ และไอ้เรื่องที่มึงพูดมาทั้งหมดมันก็เป็นเรื่องธรรมดาจะตาย ใครๆเขาก็ทำกันทั้งนั้น เอาล่ะ กูรู้ว่าจริงๆแล้วมึงไม่ได้กังวลเรื่องพวกนั้นมากขนาดนั้นหรอกใช่มั๊ย” ผมหันไปมองหน้ามันตรงๆ
“ก็......... ไม่เชิงหรอก” ไอ้เมฆตอบแล้วเงียบไปอีกครั้งหนึ่ง
ผมถอนหายใจเบาๆ “นี่ มึงฟังกูนะ ตั้งแต่ที่เราคบกันมาเนี่ยเราสองคนเคยทะเลาะกันกี่หน”
“มึงพูดจริงหรือพูดเล่นวะที่ถามคำถามนี้” มันหัวเราะออกเบาๆ “เป็นร้อยได้มั๊ง ใครจะมานั่งนับ มึงจะบ้าเหรอ”
“ไม่ดิ่ เอาแบบทะเลาะกันจริงๆจังๆสิ แบบที่งอนกันโคตรๆ เครียดกันสุดๆ แบบแทบแตกหักกันไปเลยน่ะ”
คราวนี้ไอ้เมฆทำท่าคิดบ้างแล้ว “ถ้าถึงกับแตกหักนี่หายากนะ แต่ถ้าดูรวมๆก็คง........ ราวๆห้าหกครั้งได้มั๊ง”
“นั่นแหละคือเรื่องสำคัญ มึงคิดดู คบกันมาสามปีทะเลาะกันจริงๆจังๆห้าครั้งน่ะนะ เมฆ แล้วอะไรมันจะทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปได้อีก เรารักกัน มึงรักกูมาก กูใจร้อน แต่มึงใจเย็น บางครั้งกูยอมมึง บางครั้งมึงยอมกู เท่านี้เองที่ทำให้เรายังคงมีทุกวันนี้ เพราะงั้นมึงก็ไม่ต้องคิดมากอีกแล้ว เข้าใจรึเปล่า”
“กูเข้าใจ....... แล้วกูถามหน่อยว่าเมื่อคืนมึงโกรธกูจริงๆมั๊ยที่กูเจ็บตัวน่ะ”
“โกรธสิ โกรธมากด้วย แต่ถึงยังไงกูก็เป็นห่วงมึงมากกว่า แล้วก็รู้สึกขอบคุณมึงด้วยที่มึงไม่ขึ้นอารมณ์ใส่กูตอบน่ะ ไม่งั้นเราคงได้ทะเลาะกันจริงๆจังๆอีกครั้งแน่”
“ถ้าเป็นปกติกูก็คงเถียงมึงแหละนะ แต่ตอนนั้นมันเจ็บ แถมยังพอเห็นสีหน้ามึงทั้งสองคืนติดๆกันแบบนั้นแล้วกูก็เถียงมึงไม่ลง กูเองถึงจะเป็นคนใจเย็นกว่ามึง แต่เวลาปะทุแล้วกูก็แรงใช่มั๊ยล่ะ แต่ว่านะ ซัน กูกลัวจริงๆ กูกลัวว่าถ้าเมื่อวานกูต้องเจ็บหนักไปแล้วมันจะเป็นยังไง....... ไม่ใช่นะ กูไม่ได้กลัวเจ็บกลัวตายหรอก แต่กูกลัวว่าถ้ากูเป็นอะไรไปมึงจะทำยังไง มึงคงจะต้องโทษตัวเอง ทำร้ายตัวเอง และที่แย่ที่สุดก็คือเราสองคนอาจจะต้องเลิกกันไปเลยก็ได้ ใช่มั๊ย”
“ไม่เมฆ กูไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก ถึงกูจะโกรธตัวเองยังไงกูก็ไม่คิดจะเลิกกับมึง”
“ไม่จริงหรอกซัน” เมฆส่ายหน้า “มึงก็รู้ว่ามึงต้องเป็นแบบนั้น เริ่มแรกมึงจะพาลกูก่อน แต่เพราะว่ากูเจ็บมาก ได้รับบาดเจ็บโดยที่มึงช่วยอะไรไม่ได้ มึงก็จะกลับมาพาลตัวเอง โทษตัวเอง ทำร้ายตัวเองด้วยความคิด แล้วมึงก็จะเริ่มไม่คุยกับกู เพราะมึงรู้สึกแย่ จากนั้นอะไรๆมันก็จะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ และสุดท้าย.........”
ผมนั่งนิ่ง เพราะรู้ว่าไอ้เมฆพูดถูกทุกอย่าง มันเป็นคนที่เข้าใจผมได้ดีที่สุดจริงๆไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย
“กูกลัว ซัน กูกลัวว่ามันจะเป็นแบบนั้น กูขอให้มึงสัญญากับกูสักข้อใหญ่ๆจะได้มั๊ย กูรู้ว่ามึงไม่ชอบสัญญา กูเองก็ไม่ชอบ แต่เรื่องนี้มันสำคัญกับกูมากจริงๆ”
“ก็ได้..... มึงลองพูดมาสิ ถ้ากูคิดว่ากูทำให้ได้และอยากพยายามที่จะทำ กูก็จะสัญญา”
“แต่ก่อนที่จะพูดเรื่องสัญญา มึงต้องเชื่อกูก่อนนะว่ากูจะดูแลตัวเอง กูพยายามแล้วที่จะไม่ทำให้มึงต้องเป็นห่วงอีก กูจะพยายามไม่เข้าไปยุ่งกับปัญหา แต่ถ้ามันมีปัญหาเกิดขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรน่ะนะ กูก็จะไม่ทำให้มึงต้องเป็นห่วงแน่นอน”
“ได้ กูเชื่อมึงเรื่องนั้น คือจะว่าไปปกติกูก็เชื่อมึงอยู่แล้วล่ะนะ แต่พอเจอเข้าจริงๆมันก็อดรู้สึกไม่ดีไม่ได้”
“กูเข้าใจ” เมฆพยักหน้า “และนั่นแหละที่กูอยากถามมึงก่อนสักข้อ มึงว่าถ้ามึงกับกูกลับสถานการณ์กัน กลายเป็นมึงได้รับอันตราย มึงคิดว่ากูจะเป็นห่วงมึงมากขนาดไหน”
ผมถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้ของมัน ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้หรือไม่เคยได้คาดคิดคำตอบมาก่อน แต่เป็นเพราะคำถามๆนั้นผมก็เคยถามตัวเองและเดาคำตอบไปเองหลายต่อหลายครั้งแล้วด้วยเหมือนกัน
“ใช่แล้ว ซัน กูก็คงจะไม่วิตกจริตมากเหมือนกับที่มึงเป็นหรอก และนั่นก็เป็นคำสุภาพของประโยคที่ว่า ‘กูไม่ได้เป็นห่วงมึงมากเท่าที่มึงเป็นห่วงกูนะ’ ด้วย...... คือ กูคิดว่ามึงคงรู้ดีว่ากูน่ะรักและเป็นห่วงมึงมากๆๆๆอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่มากขนาดนั้นเท่านั้นเอง ดูอย่างเวลาที่มึงไม่สบายสิ กูก็เป็นห่วงมึงมาก คอยดูแลมึงตลอดเวลา แต่มึงเองต่างหากที่จะไม่ค่อยสนใจกับเรื่องพวกนั้นมากนัก ใช่มั๊ยล่ะ เพียงแต่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่มันไม่ใช่แค่อาการเจ็บป่วย แต่เป็นอะไรเหมือนที่กูโดนเมื่อคืน มึงน่ะจะบ้าไปเลย ส่วนกูกลับจะรับมือได้ดีกว่ามาก มึงรู้มั๊ยว่าเป็นเพราะอะไร”
“คงเป็นเพราะ......... ไม่สิ ไม่รู้ว่ะ กูไม่แน่ใจ” ผมส่ายหน้า
“เวลามึงป่วยน่ะ กูจะคอยดูแลมึง แต่พอกูป่วย มึงจะรู้สึกเฉยๆเพราะมันก็แค่อาการป่วย เดี๋ยวกูก็หาย มึงจะเป็นแนวๆนั้น แต่พอเป็นเรื่องแบบเมื่อคืนและเมื่อคืนก่อน กูกลับจะรู้สึกเฉยๆส่วนมึงจะกลายเป็นตรงกันข้าม นั่นก็เป็นเพราะ กูน่ะ ไว้ใจมึง กูเชื่อว่ามึงดูแลตัวเองได้ และถ้ามึงได้รับบาดเจ็บขึ้นมา กูก็จะดูแลมึงไม่ต่างกับตอนที่มึงเป็นหวัดหรืออะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ว่ากูจะไม่พูดว่าทำไมมึงถึงได้รับบาดเจ็บมา มันไม่สำคัญสำหรับกูเท่าไหร่หรอก แต่มึงน่ะจะกลัวผลลัพธ์ของมันมากกว่า พอผลมันออกมาว่ากูได้รับบาดเจ็บแบบนี้ มึงก็จะโล่งใจขึ้นนิดหน่อยที่กูไม่ตาย แต่ก็จะบ่นเรื่องที่ผ่านไปแล้วแบบสุดๆ นั่นเป็นเพราะมึงยังคงไม่เชื่อใจกูว่ากูเอาตัวรอดได้มากเท่าที่กูเชื่อใจมึงเท่านั้นเอง กูพูดถูกมั๊ย”
ผมเงียบไปพักหนึ่ง พยายามกลั่นกรองสิ่งที่มันพูด “ก็อาจจะจริงของมึง...... กูขอโทษก็แล้วกัน ก็อย่างที่กูบอกนั่นแหละ กูไว้ใจมึงนะ ทุกครั้งเลย อย่างเมื่อตอนคืนแรกตอนก่อนเกิดเรื่องกูก็รู้อยู่แล้วว่ามึงจะต้องปลอดภัย ส่วนไอ้พวกเหี้ยนั่นนั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัว และสุดท้ายมันก็ออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ ถึงมึงจะเจ็บตัวนิดหน่อยก็เถอะ แต่กูก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และมึงก็ชอบกับการได้ตกอยู่ในสถานการ์อันตรายและกดดันแบบนั้นด้วยนี่นะ แต่ไม่ว่ากูจะพยายามสักเท่าไหร่ ลึกๆแล้วกูก็ยังกลัวอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ เมฆ แต่ต่อไปกูจะพยายามไม่คิดมากอีกก็แล้วกัน”
“กูเข้าใจมึงนะ เพราะกูก็กลัวเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ใช่ไม่กลัวเลย เรื่องแบบนั้นพลาดไปนิดเดียวมันก็ถึงตายได้ง่ายๆเลย กูเองก็เป็นห่วงมึงเท่าๆกับที่มึงห่วงกูนั่นแหละ ซัน และกูก็เป็นห่วงตัวเองด้วย เพียงแต่ว่าการแสดงออกของเรามันต่างกันเท่านั้นเอง......” ไอ้เมฆถอนหายใจออกเบาๆ “แต่คราวนี้เรามาพูดถึงคำสัญญากัน ซัน กูอยากให้มึงสัญญา สัญญาว่าจะรักตัวเองไม่น้อยไปกว่ารักกู สัญญาว่าจะรักขอบฟ้าที่คอยกั้นระหว่างความสุขและความเศร้านั้นให้ไม่น้อยไปกว่าที่มึงรักความเศร้าในยามพระอาทิตย์ตกดิน สัญญาที่จะเก็บรักษาขอบฟ้านั้นไว้เป็นขอบฟ้าเส้นเดียวกับกูตลอดไป และสัญญาว่าเวลาของเราสองคนจะเดินไปพร้อมๆกัน ไม่มีวันที่ขอบฟ้าจะยาวเกินไปกว่าเข็มวินาทีเด็ดขาด”
ผมเงียบไปอีกครู่หนึ่ง พยายามทำความเข้าใจกับคำสัญญาที่มันต้องการ และถึงแม้ผมจะไม่รู้ความหมายของคำทุกๆคำที่มันพูดออกมาอย่างแน่ชัดว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่อย่างน้อยๆผมก็คิดว่าผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่ามันต้องการจะสื่ออะไรกับผม
เวลา ความผูกพัน ความรัก และเส้นขอบฟ้า..........
“ได้ กูสัญญา และกูขอเดิมพันด้วยขอบฟ้าของกูเลย”
ไอ้เมฆยิ้มกว้างแล้วชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มผมเบาๆ แต่เมื่อมันผงะออกผมก็กลับประคองใบหน้าของมันให้เข้ามาใกล้แล้วประทับจูบลงบนริมฝีปากของมันอีกครั้ง
เราสองคนลุกขึ้นยืนแล้วจับมือเดินทอดน่องกันต่อออกไปได้อีกสักหน่อย พลันสายตาของเราก็ไปสะดุดอยู่ที่ก้อนหินสองก้อนบนพื้นทรายตรงหน้า
“เมฆ เมฆดูนั่นดิ่” ผมชี้ให้มันดูก้อนหินสีขาวและสีดำผิวกลมเกลี้ยงขนาดเล็กที่วางอยู่เคียงคู่กันเบื้องหน้า
“มีคนจงใจวางไว้หรือมันบังเอิญมาหล่นอยู่คู่กันวะเนี่ย สวยดี” เมฆพูดพร้อมกับก้มลงไปหยิบมันมาถือเอาไว้ในมือ
“ก้มๆเงยๆเนี่ย ไม่เจ็บแผลเหรอ ไอ้ตัวดี จริงๆแสบเก็บให้ก็ได้นี่” ผมพูดแบบไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักแล้วก็เดินเข้าไปโอบเอวมันเอาไว้
“ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก เอาเป็นว่า เมฆจะเอาอันก้อนสีดำเนี่ยให้ซันเก็บไว้ ส่วนเมฆจะเก็บก้อนสีขาวเอาไว้เอง ดีมะ” ไอ้เมฆยื่นก้อนสีดำให้แก่ผม “เมฆรู้ว่าซันชอบสีดำ และซันก็เหมาะกับสีดำมากกว่าจริงๆด้วยว่ะ”
“ม่ายอาว กูจะเอาสีขาว” ผมพูด
“ทำไมอ่ะ มึงชอบสีขาวเหรอ เอ้า งั้นก็ได้” ไอ้เมฆสลับมือเป็นยื่นก้อนสีขาวให้ผมแทน
“เปล่า กูชอบสีดำอย่างที่มึงพูดนั่นแหละ มันเป็นตัวแทนของกูได้ดีกว่าสีขาวจริงๆ มึงนั่นแหละคือสีขาว เมฆ แต่เพราะงั้นไงกูถึงอยากได้มึงมาเก็บเอาไว้ แล้วกูก็อยากให้มึงเก็บกูเอาไว้กับตัวด้วย แบบนั้นดีมั๊ย”
ไอ้เมฆยิ้มกว้างอย่างพอใจ “มันจะเป็นของสำคัญชิ้นแรกที่เรามีคู่กันนอกเหนือจากแหวนของพ่อและแม่ของกูนะ รักษาเอาไว้ดีๆอย่าให้หายไปจากตัวล่ะ”
“กูมีไอเดียที่จะเก็บมันเอาไว้กับตัวตลอดด้วย แต่เอาไว้เราค่อยไปทำมันพร้อมๆกันทีหลังก็แล้วกัน” ผมหยิบหินสีขาวก้อนนั้นขึ้นมาหมุนมองดูช้า จากนั้นก็หันกลับไปมองไอ้เมฆที่กำลังพินิจมองดูก้อนหินในมือของมันอยู่เช่นกัน “นี่ เมฆ กูสัญญากับมึงไปแล้วนะ แล้วมึงจะไม่สัญญาอะไรกับกูบ้างเลยเหรอวะ”
ไอ้เมฆหันกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง แล้วก็คว้ามือข้างที่ผมถือก้อนหินก้อนนั้นอยู่ขึ้นไปถือไว้ในมือ จากนั้นมันก็ก้มลงมาจูบที่ก้อนหินสีขาวในมือของผมเบาๆ
“ซันครับ เมฆขอสัญญาด้วยก้อนหินก้อนนี้เลย ว่าเมฆจะรู้สึกทุกอย่างกับซันแบบเดียวกันกับที่ซันเพิ่งให้คำมั่นสัญญาเอาไว้กับเมฆ และเมฆก็จะขอเดิมพันด้วยเข็มวินาทีที่ไม่เคยมีวันหยุดเดินของเมฆเพิ่มไปอีกเลยด้วย”