=>
ตอนพิเศษ คนของข้าใครอย่าแตะ 1ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
………………………….
ตอนพิเศษ คนของข้าใครอย่าแตะ 2
เลขานุการสาวคิดว่าตนเองน่าจะถูกโกรธที่นำตารางงานไปบอกคนอื่น แต่จิณณะเป็นคนรักของพิทักษ์ หากถูกโกรธก็ไม่น่าจะมากมายอะไร ซึ่งปรากฏว่าพิทักษ์ไม่ได้โกรธหล่อนจริง เมื่อเช้ามาถึงออฟฟิศก็ยังสั่งงานอย่างเป็นปกติ เสียแต่...หน้าตาของเขานิ่งเฉยเกินกว่าปกติ เดาว่าน่าจะทะเลาะกับจิณณะมา
เรื่องคาดเดากลายเป็นเรื่องมีเค้าจริงขึ้นมาในยามสาย เมื่อจู่ๆก็มีดอกกุหลาบแดงช่อใหญ่ส่งมาที่สนามกอล์ฟ
สาวน้อยสาวใหญ่พากันชะเง้อคอว่าใครเป็นผู้โชคดีได้รับกุหลาบแดงช่อมหึมา สรุปเป็นว่ามันมาถึงมือหล่อน
ทว่าก็แค่ถึงมือ...ก่อนจะผ่านมือไปเพราะคนสั่งมาส่งคือจิณณะ คนรับก็ย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพิทักษ์
หล่อนหอบดอกกุหลาบช่อใหญ่เข้ามาในห้องทำงานของเจ้านาย พอพิทักษ์เห็นก็ถึงกับชะงักงัน
“นั่นคุณเอาเข้ามาทำไม”
“มีคนส่งมาให้คุณทิศค่ะ” เลขานุการสาววางลงบนโต๊ะทำงาน แอบนวดแขนเล็กน้อย เพราะกุหลาบช่อโตนั้นน้ำหนักไม่ใช่น้อยๆเลย และนี่อาจจะเป็นช่อที่โตที่สุดเท่าที่หล่อนเคยเห็นด้วยซ้ำ
เล็กๆไม่ ใหญ่ๆต้องจิณณะ วงศ์กีรติจริงๆ
“ใครส่งมา” พิทักษ์พยายามพลิกหาการ์ดหรือนามบัตร แต่ไม่พบ จึงเงยหน้ามองลูกน้อง หล่อนยิ้มแหยอย่างไม่กล้าตอบ เพียงเท่านั้นเขาก็รู้แล้วว่าจะมีใครแผลงได้เท่านี้
ส่งดอกไม้มาให้เขา แถมช่อใหญ่อย่างนี้ คนทั้งคลับกอล์ฟคงเห็นกันหมด นี่ตั้งใจจะขอโทษหรือหาเรื่องเพิ่ม
“ตัวแสบ!”
เลขานุการสาวได้แต่เงียบ ใจหนึ่งก็เห็นด้วยว่าจิณณะแสบจริงสมกับที่พิทักษ์พูด แต่อีกใจ...จิณณะแสบก็จริง แต่เขาก็แสบอย่างมีเหตุผล หากไม่ถูกคุกคาม เขาจะออกมาขวางดารินอย่างนั้นหรือ แล้วที่เขาทำก็ไม่ได้กระโตกกระตากเป็นเรื่องใหญ่ และธุรกิจก็ไม่ได้เสียหายสักนิด
“วันนี้ไม่มีงานอะไรแล้วใช่ไหม ผมจะออกไปข้างนอก” ไม่ต้องถามว่าออกไปไหน เพราะเขาคว้าเอาดอกกุหลาบช่อโตไปด้วย เลขานุการสาวได้แต่รับคำเสียงอ่อน ถอยให้พิทักษ์เดิน ทว่าก่อนที่เขาจะออก หล่อนก็เอ่ยปากอย่างเกรงใจ
“คุณทิศ ขอโทษนะคะ” ต่อให้เรื่องนี้จะไม่ใหญ่โต แต่การที่หล่อนซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขานุการของเขาแต่กลับให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นมากกว่างาน ก็นับว่าเป็นความผิดอยู่ดี
พิทักษ์หันมามอง
“ผมรู้จักคนของผมดี ต่อให้คุณไม่ทำ เขาก็จะทำให้คุณทำให้ได้”
หรือบางที จิณณะก็เริ่มทำตั้งแต่แรกแล้ว
เขาวางน้ำใจตนเองลงในมือผู้คนที่นี่ พอถึงวันที่ต้องขอความช่วยเหลือ แค่เพียงเอ่ยปาก เรื่องเล็กน้อยอย่างการทำให้พิทักษ์ไม่ว่างในวันที่ดารินนัด ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
คนเช่นนี้ จะควรใช้นามสกุลอื่นใดได้อีก ถ้าไม่ใช่ วงศ์กีรติ ของคุณกอบกุล
…………………
ทุกอย่างเงียบฉี่
จิณณะเหลือบมองโทรศัพท์แทบจะทุกๆนาที แต่ไม่มีสัญญานใดๆจากพิทักษ์เลย
ดอกไม้ถึงแล้วไม่ใช่หรือ พิทักษ์ก็น่าจะได้รับแล้วสิ แต่ทำไมไม่ติดต่อมาสักนิด
“พี่นัยมีแฟนไหม” ไม่รู้จะปรึกษาใคร วิดีโอคอลไปหาชเยนตร์ก็คงถูกด่าที่ไม่ดูเวล่ำเวลาว่าคนละไทม์โซน จะโทร.ไปปรึกษาวรชิตก็เดี๋ยวจะถูกหาว่ารบกวนเวลาทำงานของข้าราชการ มองไปมองมาก็เหลือแค่ดนัยที่ใกล้ชิดและว่างพอจะถูกเรียกมาเป็นศิราณี
“คุณจิณว่าอะไรนะครับ”
อดีตบอดี้การ์ดผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านอันตรายมานับไม่ถ้วน เมื่อถูกส่งมาเป็นเลขานุการที่วันๆทำแต่งานเอกสารดูท่าว่าชีวิตจะปลอดภัยมากขึ้นแล้ว แต่ดนัยกลับมีเรื่องชวนปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน
เจ้านายของคนอื่นเป็นอย่างไรเขาไม่ทราบ ที่ทราบคือเจ้านายของเขาหาเรื่องแผลงชนิดหัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้น
“ผมถามว่าพี่นัยมีแฟนไหม อ่ะ...ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร พี่นัยเคยง้อแฟนไหม” การเปลี่ยนคำถามไม่ได้ทำให้ดนัยตอบง่ายขึ้นเลย เขาทำหน้าปั้นยาก ก่อนจะย้อนถามแทน
“คุณจิณทะเลาะกับคุณทิศหรือครับ”
“ก็...นิดหน่อย” คำว่านิดหน่อยนั้นเบาหวิวจนฟังแล้วไม่น่าจะนิดหน่อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปขอโทษคุณทิศสิครับ”
“พี่นัยรู้ได้ไงว่าผมต้องเป็นฝ่ายขอโทษ”
ดนัยไม่ตอบแต่มองนิ่ง ซึ่งเป็นคำตอบแล้วว่าระหว่างจิณณะและพิทักษ์ คนที่ก่อเรื่องให้ถูกโกรธก็ไม่น่าจะเป็นพิทักษ์หรอก
“เออๆ พี่คิดถูก ผมผิดเอง แต่นี่ผมส่งดอกไม้ไปขอโทษแล้วนะ”
“อะไรนะครับ?” ดนัยคิดว่าตนเองหูเพี้ยน แต่ก็ควรจะเป็นการหูเพี้ยน เพราะสิ่งที่ได้ยินไม่ควรจะเป็นเรื่องจริงเลย
“ผมส่งดอกไม้ไปขอโทษพี่ทิศแล้ว”
“ส่งดอกไม้?!”
“ใช่สิ ช่อใหญ่สุดในร้าน”
“ช่อใหญ่สุด!”
“กุหลาบแดงด้วย”
ดนัยรู้สึกเหมือนหายใจยาก เขารู้ว่าจิณณะไม่ใช่คนโง่ แต่ก็ไม่มีคนฉลาดคนไหนที่ซื้อดอกกุหลาบช่อใหญ่สุดในร้านไปง้อ...คนอย่างพิทักษ์
“แต่พี่ทิศไม่ติดต่อมาเลย...หรือพี่นัยว่า พี่ทิศไม่ชอบ?”
“ผมว่าไม่น่าจะมีผู้ชายคนไหนชอบนะครับ”
เหมือนจิณณะเพิ่งตื่นรู้ เขาลืมไปได้อย่างไรว่าผู้ชายด้วยกันไม่น่าชอบดอกไม้ช่อใหญ่สุดแพงสุด เขาคิดแค่ว่าอยากจะง้อ แล้ววิธีการง้อที่คิดได้แค่อย่างเดียวก็คือดอกกุหลาบแดงเท่านั้น
เจ้าของห้องทำงานถึงกับหงายหลังผึ่งพิงพนักเก้าอี้ หน้าตาซีดขาวไปแล้ว
“ผมจะทำยังไงดีล่ะทีนี้...”
ดนัยไม่มีคำตอบ จิณณะก็ไม่รู้จะคาดคั้นอะไรได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายออกจากห้องไป ชายหนุ่มนั่งแกร่วอยู่ที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่อย่างสำนึกผิด รู้ว่าผิดที่ไปวุ่นวายกับตารางงานของพิทักษ์ ที่ทำไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจคนของตนเองแต่เพราะฝ่ายหญิงที่เข้าหาอย่างคาดหวังนั่นต่างหาก เขาถึงต้องรีบกันหล่อนออกห่าง
ใช่...เขาหวงแม้กระทั่งพื้นที่รอบกายของพิทักษ์ ทั้งรักทั้งหวง แต่ถ้าถามว่าขาดสติไหม จะขาดได้อย่างไร ในเมื่อวางแผนมาแล้ว ทำให้พิทักษ์ไม่ว่างในวันที่ดารินนัด มาพลาดตรงที่พิทักษ์รู้ได้อย่างไรว่าดารินนัด อ้อ...หรือจะเป็นฝ่ายหญิงบอก
พอคิดได้แบบนั้น จิณณะก็ถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึก เห็นที เขาอาจจะต้อง...
เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น ทำเอาความคิดในหัวหยุดอยู่เพียงเท่านั้น ยิ่งเมื่อประตูถูกเปิดออก แล้วชายหนุ่มร่างสูงก้าวเท้าดุ่มๆเข้ามาพร้อมกับช่อกุหลาบขนาดใหญ่ จิณณะก็ลืมความคิดในสมองไปจนหมด
“พี่ทิศ!” เขาผุดลุกขึ้นอย่างตื่นๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาทำไม แต่การที่พิทักษ์มาปรากฏตัวที่นี่ถือว่าดี...มั้ง
“ส่งไปทำไม” ผู้มาเยือนวางช่อกุหลาบลงบนโต๊ะทำงานของคนรัก ดวงตายังจ้องนิ่งจนจิณณะใจหาย ที่คิดว่าพิทักษ์มาที่นี่ถือเป็นสัญญานดี คงจะไม่ดีเสียแล้ว
“ก็...ส่งไปขอโทษ...พี่ทิศไม่ชอบหรือ”
“แล้วคิดว่าชอบไหม” สีหน้าคนย้อนถามไม่ต่างจากเมื่อวาน หรือเมื่อเช้าที่พวกเขาทานข้าวด้วยกันอย่างเงียบที่สุดนับตั้งแต่เริ่มคบหากัน บอกให้รู้ว่าแม้จะมีกุหลาบแดงช่อใหญ่สุดๆส่งไปให้ แต่อารมณ์ของพิทักษ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย
“ก็...ผมไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร”
“ไม่ต้องซื้ออะไรทั้งนั้น”
“แล้วทำยังไงพี่ถึงจะหายโกรธ ผมรู้ว่าผมผิดที่เข้าไปยุ่งกับเรื่องงานของพี่ แต่ผมไม่อยากให้พี่กับผู้หญิงคนนั้นเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจพี่ แต่ผมไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนั้น”
“แล้วจิณจะทำยังไงต่อไป ถ้าคุณดารินเข้ามาในชีวิตพี่อีก”
จิณณะเงียบ ทว่าดวงตาของเขาที่จับจ้องพิทักษ์ก็ราวกับจะบอกความคิดอ่านได้เป็นอย่างดีแล้ว
จิณณะ วงศ์กีรติคือหลานชายนอกคอกของคุณกอบกุลก็จริง แต่ในเวลาที่ภยันตรายถึงตัวถึงหัวใจ เขากลับเหมือนคุณกอบกุลมากกว่าใคร
ประกายกล้าและแน่วแน่แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง มีหรือพิทักษ์จะดูไม่ออก และเพราะดูออก ถึงได้ส่ายหน้าไปมาราวกับผิดหวัง
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร แต่วางดอกไม้ลงบนโต๊ะทำงานของคนรัก ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป หัวใจของจิณณะเย็นเยียบราวกับถูกแช่แข็งภายในชั่ววินาที ไม่อาจแม้แต่จะอ้าปากร้องเรียก สิ่งเดียวที่ทำได้คือหลุบตาลงมองกุหลาบที่ไร้ค่าตรงหน้า
รู้สึกเหมือน...เขาเสียใครบางคนไปแล้ว…
…………………
ดนัยรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างจิณณะและพิทักษ์มาโดยตลอด นับตั้งแต่ถูกสั่งให้มาดูแลความปลอดภัยเขาก็เริ่มรู้ว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณเทียมแต่อย่างใด กลับเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับหลานชายของคุณเทียมที่สุด หลังจากเรื่องราวร้ายแรงผ่านพ้น ความสัมพันธ์ของจิณณะและพิทักษ์เข้ารูปเข้ารอย คนนอกอย่างเขาพบว่าแม้ทั้งสองคนจะไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย กลับเข้ากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ ทว่า...คราวนี้อาจจะเป็นครั้งแรกที่ความไม่เหมือนกันเลย กำลังสร้างรอยร้าวนำไปสู่การแตกหัก
“คุณจิณไม่กลับบ้านหรือครับ”
เย็นมากแล้ว และเลิกงานแล้ว แต่จิณณะที่ปกติมักจะพุ่งตัวกลับบ้านทันที กลับยังนั่งหมุนเก้าอี้ไปมาอยู่ที่โต๊ะ
“ยัง...พี่นัยจะกลับแล้วหรือ”
ดนัยไม่ตอบแต่มองอีกฝ่ายนิ่ง จิณณะรู้ว่าที่อดีตบอดี้การ์ดยอมทำงานเป็นเลขานุการให้เขา ไม่ใช่เรื่องปกติ อีกฝ่ายคงถูกสั่งให้มาดูแลความปลอดภัยแม้ว่าเรื่องของไพศาลจะยุติแล้ว
และหนึ่งในการรักษาความปลอดภัย ย่อมไม่ใช่การปล่อยจิณณะเอาไว้เพียงลำพัง แม้จะเป็นในออฟฟิศของตนเองก็ตาม
หลานชายคุณกอบกุลถอนหายใจเบา แล้วเอ่ยปากอย่างหมดท่า
“ไปดื่มกันไหม”
เวลานี้เขาไม่รู้ว่าจะใช้อะไรเยียวยาจิตใจตนเองได้ดีไปกว่าการดื่ม ทว่าดนัยกลับตอบเรียบ
“นั่นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหานะครับ”
จิณณะทำหน้าปั้นยาก เรื่องนี้เขาก็รู้ว่าการดื่มของมึนเมาเป็นเพียงการผลักปัญหาออกไป หลังสร่างเมาแล้วปัญหาเดิมก็ยังคงอยู่
เพียงแต่...ยังไม่อยากกลับบ้าน ยังไม่อยากเจอหน้าคนที่เมินหนี ยังไม่อยาก...คิดถึงปัญหาเหล่านี้อีกแล้ว
“ชานมไข่มุกล่ะ”
ในเมื่อไม่ได้อย่างหนึ่ง ได้อีกอย่างที่ไม่เหมือนกันเลยก็ได้
ดนัยมองเจ้านายของตนเอง จิณณะในเวลานี้ไม่เหมือนจิณณะคนก่อนๆที่เขาเคยรู้จักเลยสักนิด จิณณะยามสู้กับไพศาลนั้นอำมหิตและอันตราย ในขณะที่จิณณะเวลาอยู่กับพิทักษ์กลับเหมือนเด็กผู้ชายซนๆทำแต่เรื่องแผลงๆทั้งๆที่รู้ว่าจะต้องถูกดุ ส่วนจิณณะในเวลานี้ที่ถูกพิทักษ์เมิน ก็หงอจนหน้าหดเหลือไม่ถึงสามนิ้ว
“ถ้าอย่างนั้นเอารถผมไปแล้วกันครับ แล้วขากลับผมจะไปส่ง”
ไม่มีเสียงคัดค้าน เจ้านายของดนัยได้แต่พยักหน้ารับเอื่อยๆแล้วลุกจากเก้าอี้เดินนำออกจากห้องทำงานอย่างหมดอาลัยตายอยาก เลขานุการหนุ่มมองตามแล้วถอนหายใจอีกเฮือก
เด็กซนที่ถูกดุจนคุ้นชิน มาวันนี้ถูกเมินเลยกลายเป็นเด็กจ๋องไปเสียแล้ว
..........................
สยามย่อมเป็นทางเลือกลำดับต้นๆ สำหรับคนที่คิดจะเอาชานมไข่มุกและขนมหวานมาเป็นเครื่องปลอบใจ ร้านขนมชื่อดังในย่านนี้และเวลานี้ ไม่ว่าจะร้านไหนก็มีชานมไข่มุกเป็นออพชั่นเสริมกันทั้งนั้น
จิณณะยกบิงซูเมลอนและสตรอเบอร์รี่มาวางบนโต๊ะ ทำเอาชายหนุ่มที่มีแก้วชานมไข่มุกวางอยู่ตรงหน้าถึงกับเงยหน้ามองแทบไม่ทัน ทว่าดูเหมือนคนสั่งขนมหวานสองถ้วยจะไม่รู้สึกอะไร ทรุดตัวลงนั่งได้ก็ส่งช้อนให้
“อ่ะ เผื่อพี่อยาก”
ดนัยได้แต่กะพริบตาปริบๆ รับช้อนมาถือ แล้วมองคนที่เริ่มตักบิงซูเย็นฉ่ำและเนื้อผลไม้เข้าปาก ขนมหวานหน้าตาหวานๆดูจะไม่เหมาะกับการมาตั้งตรงหน้าผู้ชายวัยทำงานสองคนเลย แต่ดนัยไม่ใช่คนใส่ใจสายตาคนอื่น พอกวาดมองแล้วไม่เห็นภยันตรายนอกจากสายตาอยากรู้อยากเห็นของสาวๆโต๊ะหนึ่งที่มองมา เขาก็หันกลับมาสนใจคนที่ตักขนมหวานเย็นเข้าปากแต่หน้าตาดูจะไม่รื่นรมย์ไปกับรสชาติของมันสักนิด
“พี่นัยอยากกินอย่างอื่นรึเปล่า ผมเห็นมีแพนเค้กด้วยนะ เอาไหม ผมไปสั่งให้”
“ไม่ครับ”
“ชานมไข่มุกร้านนี้ก็อร่อยนะ ชิมรึยัง” จิณณะบุ้ยใบ้ไปทางชานมไข่มุกแก้วตรงหน้าดนัย แน่นอนว่าแก้วนี้ดนัยก็ไม่ได้เรียกร้อง แต่เป็นสายเปย์อันดับหนึ่งที่ซื้อมาวางให้ เลขานุการหนุ่มอยากบอกใจจะขาดว่าชิมแล้ว อร่อยจริงแต่หวานจนน้ำตาลจะขึ้นตา
“คุณจิณบอกคุณทิศรึยังว่ายังไม่กลับ” ดนัยเปลี่ยนเรื่อง ทำเอาช้อนที่กำลังตักสตรอเบอร์รี่เข้าปากถึงกับชะงัก
“ยัง...”
“คุณทิศจะเป็นห่วงเอานะครับ คุณไม่เคยกลับบ้านผิดเวลา”
“ก็ผิดดูมั่งสิ” จิณณะตีรวน ทีท่าเหมือนจะไม่สนใจใยดีแต่ดวงตากลับหลุบต่ำมองแต่ถ้วยขนมหวานสีสดใส
“คุณกำลังสร้างปัญหาให้ตัวเองเพิ่ม” ประโยคนี้ของดนัยทำเอาเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นในคอคนฟัง ดวงตาเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“เขาจะได้รู้ไงว่าคบกับผมแล้วมีแต่ปัญหา” พอพูดออกไปแล้ว จิณณะก็ยังอยากกัดลิ้นตัวเองแรงๆ เขาไม่ใช่คนช่างน้อยอกน้อยใจ ไม่ใช่คนประชดประชัน แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพิทักษ์ นิสัยน่ารำคาญเหล่านี้กลับผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ดนัยไม่พูดอะไรอีก ดูก็รู้ว่าต่อให้เตือนอะไร จิณณะก็มีแต่อารมณ์ขุ่นมัวบังตา เขาปล่อยให้อีกฝ่ายกินขนมหวานสองถ้วยด้วยหวังว่าใจจะเย็นลง
จากหนึ่งทุ่ม เข้าสู่สองทุ่ม และสามทุ่ม
ขนมหวานสองถ้วยไม่หมดแต่ละลายกลายเป็นน้ำไปหมดแล้ว ในขณะที่จิณณะเอาแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกของร้าน ทว่าดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้หยุดสายตาอยู่กับแสงไฟระยิบระยับของย่านการค้าใจกลางเมืองแห่งนี้เลย
“คุณจิณคิดจะกลับกี่โมงครับ” เสียงของดนัยปลุกสติคนที่จมจ่อม จิณณะได้สติหันมองก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาสามทุ่มครึ่งแล้ว ภายในร้านขนมที่ตอนแรกพลุ่กพล่านก็เหลือเพียงไม่กี่โต๊ะ พอมองออกไปนอกหน้าต่างกระจก สยามที่เคยครื้นเครงก็เหลือผู้คนเดินไปมาแค่เพียงประปราย
“ถ้าพี่นัยจะกลับ ก็กลับไปก่อนเถอะ”
“แล้วคุณจิณจะกลับยังไง”
จิณณะเพิ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้ว่าการที่เขาให้ดนัยขับรถพามาไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีเลย
“ผมเรียกแท็กซี่ได้”
“แท็กซี่ที่ไหนจะรับล่ะครับ บ้านไกลออกขนาดนั้น”
บ้านที่ว่าคือบ้านของพิทักษ์ที่อยู่นอกเขตกรุงเทพฯออกไปอีก แต่สำหรับจิณณะ เวลานี้เขาไม่คิดจะกลับบ้านหลังนั้นในขณะที่ความสัมพันธ์ของเขาและเจ้าของบ้านอยู่ในภาวะมึนตึงกันแบบนี้
บ้านหลังนั้นมีแต่ความทรงจำที่ดี ความทรงจำที่เขาและพิทักษ์มีความสุข เข้าอกเข้าใจ และเป็นที่พึ่งให้กันและกัน
“ผมจะกลับไปนอนบ้านพ่อแม่”
ดนัยนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะย้อนถาม
“บอกคุณทิศแล้วหรือ”
ชื่อของพิทักษ์กวนอารมณ์จิณณะให้ขุ่นอีกครั้ง หากเป็นปกติก็อยากจะบอกอยู่หรอก แต่เวลานี้แม้แต่หน้ายังไม่มองกัน ถ้าให้เสนอหน้าโทร.ไปบอกเกิดอีกฝ่ายตัดสายทั้งๆที่พูดไม่จบ เขาจะรู้สึกอย่างไร
“ไม่บอก”
ดนัยส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกเถอะครับ” เขาเอ่ยแล้วพยักเพยิดไปทางด้านหลัง จิณณะชะงักไปอึดใจหนึ่ง เสี้ยวใจบอกว่าไม่มีทางที่พิทักษ์จะมาที่นี่ แต่สายตาของดนัยบอกให้เขาหันไปมอง ชายหนุ่มจึงต้องหัน
แล้วพอหัน เขาก็ถึงได้เห็น
พิทักษ์ยืนอยู่ข้างหลังเขา
จิณณะอ้าปากค้าง รีบหันกลับมามองลูกน้องที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“พี่นัยบอกเขาหรือ?!”
นอกจากดนัยแล้วก็ไม่มีใครอีกที่จะบอกเรื่องเขาหนีมานั่งกินขนมหวานอยู่ในสยามจนพิทักษ์ตามมาถูกแบบนี้
“คุณไม่ใช่เด็กๆ ทำผิดแล้วไม่หนีสิครับ” ดนัยเอ่ยเรียบๆ ทำเอาจิณณะพูดไม่ออก ถูกดุว่าไม่ใช่เด็กก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องคือคนที่เขายังไม่อยากเจอหน้าเป็นฝ่ายเดินเข้ามาที่โต๊ะแล้ว จิณณะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะมาทำไม ทั้งๆที่เมื่อตอนกลางวันเป็นฝ่ายพิทักษ์เองที่ทิ้งเขา แล้วเดินจากไป
“คุณจิณไม่ได้เอารถมา และจะกลับไปนอนที่บ้านวงศ์กีรติ ถ้าอย่างไร ผมฝากคุณทิศช่วยพาคุณจิณกลับด้วยนะครับ” ตอนที่พิทักษ์เดินเข้ามาที่โต๊ะ จิณณะก็ยังเงียบ ต้องเป็นฝ่ายดนัยที่ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยปาก เพียงเท่านั้นคนที่นั่งเงียบเพราะมีแต่คำถามล้านแปดในหัวว่าพิทักษ์มาที่นี่ทำไมก็ถึงกับรู้สติ
“เดี๋ยวสิ! ใครบอกว่าผมจะไปกับ...” เขายังไม่ทันประท้วง ดนัยก็ก้มลงมอง สายตาของเลขานุการหนุ่มอดีตบอดี้การ์ดนั้นทั้งดุทั้งเอาเรื่อง ราวกับจะบอกว่าอย่าก่อปัญหามากไปกว่านี้
“กลับไปกับคุณทิศครับ” เป็นประโยคบอกเล่าที่น้ำเสียงสั่งชนิดไม่ให้ความรู้สึกว่าเป็นการบอกเล่าแต่อย่างใด จากนั้นเขาก็หันไปทางพิทักษ์
“พรุ่งนี้คุณจิณมีประชุมตอนสิบโมงครึ่งนะครับ” ดนัยพูดเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะหมุนตัวออกจากโต๊ะไป
…………………………
จิณณะรู้ว่าเขาไม่ควรสร้างปัญหาใดๆอีก แม้จะไม่อยากกลับไปพร้อมกับพิทักษ์ แต่เมื่ออีกฝ่ายออกปากว่าให้เดินตามมา เขาก็ยอมลุกจากโต๊ะเดินตามอย่างเว้นระยะห่าง พอขึ้นรถ เขาก็ยอมนั่งเงียบจนกระทั่งรถออกสู่ถนนใหญ่ถึงได้เอ่ยความตั้งใจของตนเองอีกครั้ง
“พาผมไปส่งที่บ้านพ่อแม่ที”
“แล้วทำไมไม่กลับบ้านเรา” คำว่า ‘บ้านเรา’ นั้นชวนให้หัวใจไหววูบจนต้องเม้มปาก จิณณะอยากบอกว่าเขาไม่อยากให้บ้านหลังนั้นมีความทรงจำแย่ๆอย่างการที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาระหองระแหง
“ผมจะกลับไปนอนบ้านพ่อแม่” เมื่อไม่คิดจะตอบคำถาม สิ่งที่พูดจึงเป็นการย้ำความตั้งใจเดิม
“นั่นไม่ใช่การตอบคำถาม พี่ถามว่าทำไมไม่กลับบ้านเรา”
“ก็ผมไม่อยากกลับ!”
“ขอเหตุผล”
ฝั่งหนึ่งตะเบ็ง ฝั่งหนึ่งเรียบเฉย ราวกับอยู่คนละโลก
“ผมไม่อยากกลับก็คือไม่อยากกลับ! ถ้าพี่ไม่ไปส่งก็จอด! ผมจะเรียกแท็กซี่!” จิณณะในเวลานี้มีแต่อารมณ์ ชวนให้หวั่นใจว่าหากพิทักษ์ยังมุ่งมั่นขับรถออกนอกกรุงเทพเพื่อกลับบ้าน เจ้าตัวอาจเปิดประตูกระโจนออกจากรถได้ทุกวินาที คนขับตัดสินใจเปิดไฟเลี้ยวพารถหรูเข้าสู่อาณาเขตของโรงแรมใจกลางเมืองที่อยู่ระหว่างทาง
“พี่มาที่นี่ทำไม” จิณณะตะลึงงันกว่าจะหาลิ้นเจอก็ตอนที่อีกฝ่ายเข้าสู่อาคารจอดรถแล้ว
“มาคุย” พิทักษ์ตอบเพียงเท่านั้น ก่อนจะพาคนรักออกจากรถเข้าโรงแรมทันที
………………….