11
หลังจากงานแถลงข่าวเปิดตัวละคร กระแสตอบรับค่อนข้างดีจนผู้จัดและผู้กำกับอย่างกวินทร์พอใจ ภายในกองถ่ายละครมีแฟน ๆ มาให้กำลังใจกันไม่ขาดสาย และยังมีแฟนคลับส่วนหนึ่งที่มาเพื่อให้กำลังใจพราววริศาแต่กลับไม่พบเธอต่างก็พากันหงุดหงิด ลือกันไปต่าง ๆ นานา
“นี่ อีคุณกร แกได้ยินพวกแฟนคลับเขาลือกันไหม?” กะทิหันมาถามเขาระหว่างที่เดินมาเอาข้าวกล่องไปทานกลางวัน
“เขาลือกันว่ายังไง?”
“นี่แกพลาดข่าวนี้ไปได้ยังไงกัน?”
“ตั้งแต่เช้ามาฉันทำงานยังไม่ได้หยุดเลยเหอะ จะเอาเวลาที่ไหนไปเผือก”
“เออๆ ไม่ต้องเหน็บ จะฟังไหม?”
“ว่ามา”
“ฉันได้ยินว่า แฟนคลับพวกนั้นแอนตี้น้องแหม่มของเราอยู่แล้ว ที่ทำให้พี่ทัชกับน้องพราวเลิกจิ้นกัน”
“มันใช่เรื่องเปล่าว่ะ?”
“ก็นั่นน่ะสิ แต่เพราะวันนั้นมีรถหรูไปจอดที่หน้าสถานี มันก็มีข่าวอีกว่า เจ้าของรถคันนั้นเป็นตัวจริงของน้องแหม่ม หลายคนก็เลยเลิกโจมตีประเด็นนี้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่บอกว่าเจ้าของรถคันนั้นเป็นคนที่ไปเฝ้าน้องพราวที่สตูดิโอเมื่อคราวก่อน”
“คนพวกนั้นก็ลือกันไปเรื่อย ใช่เรื่องจริงรึเปล่าก็ไม่รู้”
“ก็จริง แต่แฟนคลับกลุ่มนี้ดันเอาไปพูด ไปโพสต่างโซเชียลฯ กันอีกน่ะสิว่า มาให้กำลังใจน้องพราวที่กองถ่าย แต่กลับไม่เคยเจอเลย”
“จะไปเจอได้ยังไง ก็เขาไม่ให้คิวพวกเราเลยนี่ กว่าจะได้คิวก็โน่น อีกสองเดือน”
“ก็เออสิ แต่พวกนางทั้งหลายดันไปเล่าลือกันว่าเป็นเพราะนางเอกกับนางรองมีปัญหากันนะสิ”
“เฮ้ย!! ...”
“ฉันละเป็นห่วงน้องม่อนจริง ๆ”
“ม่อนเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”
“แกอย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ว่าแกใช้น้องม่อนเป็นคนมาเบรกอารมณ์น้องแหม่มน่ะ? แล้วแบบนี้ฉันจะไม่ห่วงได้ยังไง”
“แกไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก แหม่มมันเป็นคนตรง เรื่องไหนไม่จริงเธอไม่สนใจหรอก”
“อ่าว แล้วน้องแหม่มจะปล่อยผ่านเรื่องนี้เหรอ”
“คนอย่างแหม่มถ้าไม่มีคนไปถามอะไรเธอ เธอก็จะอยู่ของเธอเฉย ๆ แกทำงานกับแหม่มมาตั้งนาน ลองสังเกตดีๆ สิ เวลาแหม่มเหวี่ยง ส่วนใหญ่เป็นเพราะอะไร”
กรกฤตพูดทิ้งท้ายให้กะทิได้คิด ก่อนจะเดินเลี่ยงไปหาชาริสาและชันดา ที่กำลังนั่งทานอาหารเที่ยงอยู่มุมหนึ่งของกองถ่าย
........................................................................
หลังจากพักกองเพื่อทานอาหารกลางวัน ชาริสายังไม่มีโอกาสได้ทานข้าวเลย เนื่องจากมีนักข่าวเขามารอขอสัมภาษณ์อยู่ไม่น้อย เธอก็ไม่คิดจะหลีกเลี่ยงแต่อย่างใด
“น้องแหม่มค่ะ มีข่าวออกมาว่า น้องพราวขอเปลี่ยนคิวเพราะน้องแหม่มกับน้องพราวมีปากเสียงกันในกอง เป็นเรื่องจริงรึเปล่าค่ะ?”
“เรื่องมีปากเสียงกันนั้นไม่จริงค่ะ แหม่มกับพราวเราคุยกันปกติดี ส่วนเรื่องที่พราวขอเปลี่ยนคิวนั้น สาเหตุมาจากอะไรคงต้องไปถามกับพราวเอาเอง เรื่องนี้แหม่มไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ”
“หากจะต้องร่วมงานกันในครั้งถัดๆ ไป น้องแหม่มจะรับงานร่วมกับน้องพราวไหมครับ?”
“ก็อย่างที่บอกพี่ๆ นักข่าวไปนะคะ ว่าแหม่มกับพราว เราไม่ได้มีเรื่องอะไรผิดใจกัน เราคุยกันปกติ ดังนั้นหากต้องร่วมงานด้วยกันอีก แหม่มก็ยินดีค่ะ”
นักข่าวถามคำถามเดิม ๆ เรื่องการเป็นคู่จิ้นกับทัชชาอีกทั้งเรื่องที่ทั้งสองจะรับงานโฆษณาร่วมกัน ชาริสาก็ตอบทุกคำถามไปตามความจริง อย่างตรงไปตรงมา จนกระทั่งนักข่าวยอมรามือ ไม่มีคำถามเพิ่มเติม เธอจึงไปหาชันดา ซึ่งมีพัสกาญยืนรออยู่ข้าง ๆ อย่างเป็นห่วง เธอยิ้มให้เขาเล็กน้อย
“ดื่มน้ำก่อน จะได้สดชื่น” พัสกาญส่งขวดน้ำให้กับเธอ “เหนื่อยไหม?”
“ไม่หรอก หิวมากกว่า ไม่รู้ว่าวันนี้มีอะไรให้ทาน”
“ทางกองเตรียมก๋วยเตี๋ยวไก่มะระไว้ให้ค่ะ แต่ของพี่แหม่มคงจะเย็นชืดหมดแล้ว” ชันดาบอกเสียงอ่อย เพราะเธอเป็นคนไปจัดเตรียมมาให้ตั้งแต่ก่อนพักกอง
“ไม่เป็นไร พี่กินได้ เกาเหลา ใส่มะระเยอะ ๆ ใช่ไหม?”
“ค่ะพี่ ไม่ใส่ถั่วงอก”
“ดีมากน้องรัก” ชาริสานั่งลงและทานเกาเหลาของเธอไปเงียบ ๆ โดยมีชันดาและพัสกาญนั่งค่อยบริการอยู่ไม่ห่าง
การกระทำทุกอย่างของชาริสาในขณะนี้ ต่างตกอยู่ในสายตาของนักข่าวหลายคน ไม่เว้นแม้แต่ภาริช ที่เอาแต่จ้องมองคนทั้งสามอย่างสนอกสนใจ
“พี่ภาริช ยังคาใจอะไรอีกเหรอ เห็นจ้องน้องแหม่มไม่วางตาเลย”
“ไม่มีอะไรแล้ว เพียงแต่...พี่คุ้น ๆ หน้าหนุ่มแว่นคนนั้น”
“อ่อ นายเฉิ่มนั่น น้องเห็นทำงานในกองนี้แหละ เหมือนจะเป็นผู้ช่วยของทีมคอสตูมนะ”
“น้องรู้จักเหรอ?”
“ไม่รู้จักหรอก ได้ยินคนในกองเขาพูดถึงน่ะ ว่านิสัยน่ารัก แต่ชอบเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว แต่เท่าที่เห็นตอนนี้...” หญิงสาวมองตรงไปยังกลุ่มคนทั้งสาม “ไม่รู้ว่าต้องการจะเกาะกระแสนางเอกดัง เพื่อหวังผลรึเปล่า หลัง ๆ น้องเห็นเขาตามติดน้องแหม่มอยู่ ยิ่งกว่าน้องดาผู้จัดการส่วนตัวเสียอีก”
“...”
“พี่ภาริชไม่ต้องไปสนใจคนประเภทนี้หรอก พี่ก็รู้ คนแบบนี้มีอยู่เยอะไปหมด เขาก็คงเรียกร้องความสนใจจนกว่านักข่าวอย่างเราจะสนใจเขานั่นแหละ”
“น้องคิดอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ ไม่เชื่อพี่ก็คอยดูต่อไปสิ จบงานนี้ หมอนั่นก็คงจะไปเกาะกระแสดาราคนอื่นต่อนั่นแหละ ก็จนกว่าตัวเองจะเกิดนั่นแหละน้า...” นักข่าวรุ่นน้องส่ายหน้า ก่อนจะเดินจากไป แต่ภาริชกลับไม่ได้คิดแบบนั้น หนุ่มแว่นคนนั้น เหมือนเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
.........................................................................
พัสกาญช่วยกรกฤตเก็บของเรียบร้อยก็เตรียมกลับไปพักผ่อน โดยมีกรกฤตไปส่งดังเดิม ระหว่างที่รอกรกฤตที่ลานจอดรถ ก็พบกับชาริสาและชันดาที่กำลังจะกลับเช่นกัน
“ไอ้กรไปไหนละ ถึงให้ม่อนมารออยู่คนเดียวในที่มืด ๆ แบบนี้” ชาริสาบ่นกับเขาอย่างหัวเสีย
“ถึงมันจะมืด มันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นสักหน่อย แหม่มก็อย่าไปว่ากรมันเลย”
“เข้าข้างกันตลอด”
“พรุ่งนี้เราไม่ได้มาที่กองถ่ายนะ ตอนนี้แหม่มมีเอมกับพี่กะทิคอยช่วยดูแลอยู่ เราก็เบาใจ”
“อืม ไม่ต้องเป็นห่วง พรุ่งนี้รู้สึกว่าแหม่มจะมีถ่ายอยู่นิดหน่อยเท่านั้น ใช่ไหมยัยดา”
“ค่ะ พรุ่งนี้พี่แหม่มมีถ่ายแค่ 2 ตอน รวมแล้วแค่ 3 ซีนเท่านั้นเอง แต่บ่ายมีงานโชว์ตัวนะคะ”
“อืม เรารอกรเป็นเพื่อนม่อนก่อนค่อยกลับก็แล้วกันนะ”
“ค่ะ” ชันดาพยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่ต้องหรอก เรารอกรคนเดียวได้ เดี๋ยวกรก็มา”
“นี่ แหม่มให้ยัยดาลองสังเกตพี่ทัช ยัยดาบอกว่า เขาก็แอบมอง ๆ ม่อนอยู่เหมือนกันนะ” ชาริสาไม่สนใจคำปฏิเสธของเขา
“ใช่ค่ะพี่ม่อน ดามักจะเห็นพี่เขามองตามพี่ม่อนไป ตอนที่ม่อนปลีกตัวออกไปนั่งทำงานคนเดียว”
“ม่อนไปทำอะไรให้นายพระเอกนั่นติดใจ ถึงได้คอยแอบมองม่อนแบบนี้”
“พี่แหม่ม พูดน่าเกลียด ดาก็ไม่เคยเห็นพี่ม่อนจะไปสุงสิงกับเขาเลย แต่ก็น่าแปลกที่เขาคอยจับตาดูพี่ม่อนแบบนี้”
“ไว้ดาลองถามพี่กะทิดูสิ นางอาจจะพอรู้อะไรก็ได้นะ”
“อย่าไปยุ่งกับเขาเลย เราเองก็ตั้งใจว่าจะอยู่ห่าง ๆ เขาไว้”
“ทำไมละ ในเมื่อเขารู้สึกดีกับม่อน คบหาเป็นเพื่อนกันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่เหมือนอีตาบ้ามันต์ ถึงจะต้องไปหลบเลี่ยง”
“ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะเขาเป็นพระเอกดังก็ได้ แล้วสีของสิ่งนั้นอีก”
“พี่ม่อนก็ไม่ใช่ไก่กาที่ไหนสักหน่อย” ชันดาบ่นเบา ๆ แต่เขาก็ได้ยิน
“มายืนเม้าท์อะไรกันมืด ๆ แบบนี้?” กรกฤตเดินเข้ามาบริเวณที่พวกเขายืนอยู่
“รู้ด้วยเหรอว่าลานจอดรถมันมืดน่ะ แล้วปล่อยให้ม่อนมายืนรอคนเดียวแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหน?”
“อ่าว ไอ้ม่อนมันเป็นผู้ชายไหม ใครจะมาทำอะไรมัน”
“เฮียเจมส์ก็เป็นผู้ชาย”
“เรื่องที่เกิดกับเฮียเจมส์มันเป็นอุบัติเหตุเหอะ”
“ไม่รู้แหละ แต่แกไม่ควรจะปล่อยม่อนมายืนรอมืด ๆ แบบนี้คนเดียว”
“ก่อนแกจะว่าฉันแกถามมันซะก่อน ว่ามันหนีออกมาทำไม ฉันกับเอมตามหามันให้ควัก”
“ม่อน?”
“เราแค่อึดอัดสายตาของคุณทัชน่ะ”
“ทำไม ม่อนเห็นอะไร?”
“ไม่รู้สิ... ออร่าของเขามัน...โหยหา คาดหวัง คิดถึง มันหลากหลายไปหมด จนบางทีเราก็ตามเขาไม่ทัน”
“มึงก็ไม่ต้องไปสนใจเขาสิ”
“กูพยายามอยู่ แต่บางทีกูก็อึดอัด”
“ม่อนทำใจให้สบายเถอะ เราก็อยู่ของเราไป เขาก็อยู่ส่วนเขา ถ้าเขาไม่มาระรานม่อนก็ไม่ต้องไปสนใจเขา”
“ใช่ มึงอย่าเพิ่งคิดอะไรมาก งานมึงยังมีอีกเยอะแยะ เอาหัวเอาสมองไปนั่งคิดงานเถอะ”
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปพักผ่อนกันเถอะค่ะ พี่ๆ อย่าเพิ่งไปกดดันพี่ม่อนเลย พี่ม่อนทำอะไรแล้วสบายใจ ดาสนับสนุนเต็มที่” ชันดาสรุป จากนั้นคนทั้งหมดก็ต่างแยกย้ายกลับไปขึ้นรถของตนเอง
การพบเจอของคนทั้ง 4 อยู่ในสายตาของนักข่าวอย่างภาริช เพราะตั้งแต่วันงานแฟนมิตติ้ง เขาก็คอยติดตามดูชาริสาตลอด และตอนนี้เขากลับอยากรู้ว่าหนุ่มแว่นนั่นเป็นใครกันแน่มากกว่า ถึงได้คุ้นหน้าเช่นนี้
........................................................................
หลังจากเสร็จงานที่กองถ่าย ทัชชาก็เข้ามายังบริษัทของคุณอธิรุธ เพื่อลองเสื้อผ้าหรูภายใต้ชื่อแบรนด์พัสกาญ ซึ่งเป็นแบรนด์ดังและได้รับความนิยมมากไม่แพ้แบรนด์จากต่างประเทศเลยทีเดียว
“คุณรุธนี่ก็สุดยอดนะ ที่สามารถติดต่อเจ้าของแบรนด์พัสกาญได้ นี่ถือว่าเป็นนิตยสารสัญชาติไทยเล่มแรกเลยนะที่ได้ถ่ายภาพแฟชั่นเสื้อแบรนด์นี้” อามันต์ชวนคุยระหว่างที่เดินเข้าไปยังสตูดิโอของบริษัทฯ
“ฉันก็เคยเห็นแบรนด์นี้ลงปกต้องหลายเล่ม ไม่เห็นจะแปลกเลย”
“นายเคยเห็น แล้วเคยสังเกตไหมล่ะ ว่ามันเป็นนิตยสารหัวนอกทั้งหมด”
“ถึงจะหัวนอก แต่ยังไงบรรณาธิการก็เป็นคนไทย”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ ที่ได้ลงเพราะสำนักงานใหญ่ติดต่อให้ต่างหาก”
“ฉันจำได้ว่าแบรนด์นี้เป็นแบรนด์ไทยไม่ใช่เหรอไง แล้วทำไมคนไทยด้วยกันถึงติดต่อกันยาก”
“เท่าที่ฉันรู้มา เจ้าของแบรนด์พัสกาญเป็นไฮโซตระกูลดัง แต่ตระกูลไหน ยังไงฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะ เพราะเขาค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว และดูเหมือนว่าจะอยู่เมืองนอกมากกว่าประเทศไทย”
“เขาคงเป็นดีไซเนอร์ระดับอินเตอร์สินะ”
“ใช่ พัสกาญนี่เป็นแบรนด์ลูกของแบรนด์ YNW นะ ที่ออกแบบและผลิตเพื่อจำหน่ายในไทยเท่านั้น”
“แปลกนะ ทำเพื่อขายที่นี่ แต่ไปลงนิตยสารที่อื่น”
“ก็เพื่อโปรโมทแบรนด์ไทยยังไงล่ะ”
“ดูนายจะชื่นชมดีไซเนอร์คนนี้มากเลยนะ”
“อืม ก็เขาทำให้ประเทศเราเป็นที่รู้จักนี่ ทั้งที่ตัวเองอยู่เมืองนอกแท้ ๆ”
“ถ้ารักบ้านเกิดจริง จะไปอยู่เมืองนอกทำไม”
“นี่ทัช นายดูจะไม่ค่อยชอบเจ้าของแบรนด์นี้เลยนะ”
“ไม่ใช่ไม่ชอบ แค่ฟังแล้วหมั่นไส้”
“เอาเถอะ ๆ นายโชคดีแค่ไหนที่ได้งานนี้”
“ที่ได้ใส่ชุดของพัสกาญนี่นะ?”
“ใช่ นายเป็นนายแบบคนไทยคนแรก และคนเดียวของงานนี้เลยนะ”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็พี่รุธเขาใช้นายแบบจาก 4 คนจาก 4 ประเทศในเอเชียยังไงละ”
“อ่อ ฉันเป็นตัวแทนคนไทย?”
“ใช่ ที่สำคัญพี่รุจยังไม่ได้เลือกนายแบบที่จะใส่ชุดพิเศษของพัสกาญนะ”
“โห่...ต้องมีชุดพิเศษด้วย”
“ไอเดียวของคุณอิงลิช เขาอยากให้ออกแบบชุดพิเศษสำหรับนิตยสารของเขา”
“อ่อ”
“วันนี้หลังจากลองชุดแล้ว พี่รุธกับทีมงานเขาจะเลือกนายแบบที่ใส่ชุดนี้อีกที”
“อืม มันก็แค่ชุดพิเศษ”
“นี่นายไม่ตื่นเต้นเลยเหรอ”
“ไม่”
ทัชชาพูดจบก็เดินมาถึงส่วนที่อธิรุธกำลังคุยงานอยู่กับทางทีม อามันต์จึงรีบก้าวเข้าไปทักทาย ก่อนที่ทัชชาจะเริ่มงานพร้อมกับนายแบบคนอื่น ๆ
........................................................................
อิงลิชออกมาต้อนรับพัสกาญถึงลานจอดรถภายในบริษัทฯ ซึ่งพัสกาญก็ยังเหมือนเดิม ขับรถมาด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีคนขับรถหรือคนติดตามให้วุ่นวาย
“คุณพัส ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
“สวัสดีครับคุณอิงลิช มายืนรอแบบนี้ผมเกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ อิงลิชซะอีกที่ดีใจที่คุณพัสให้เกียรตินิตยสารของอิงลิช”
“ผมเพิ่งทราบว่าคุณอิงลิชเป็นบรรณาธิการนิตยสารฉบับนี้ด้วย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ของรุธนะคะ คู่หมั้นของอิงเอง”
“อ่อ”
“เข้าไปคุยกันด้านในดีกว่าค่ะ ตรงนี้ร้อนจะแย่ อากาศที่เมืองไทยก็ร้อนมาก คุณพัสไม่ชิน เดี๋ยวจะป่วยเอา”
“ผมแข็งแรงดีครับ แค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอกครับ” ทั้งสองคนเริ่มเดินกันไป คุยกันไปโดยมีเลขาของอิงลิชเดินตามอยู่ไม่ห่าง จนกระทั่งมาถึงบริเวณสตูดิโอที่นายแบบกำลังลองชุด และถ่ายรูปฟิตติ้งกันอยู่
“คุณพัสจะเข้าไปดูนายแบบที่รุธเลือกไว้ใกล้ ๆ ไหมคะ?”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมค่อยดูรูปที่คุณอิงลิชส่งมาให้ที่หลังก็ได้ครับ เราไปจัดการเรื่องเอกสารของเรากันเถอะครับ”
“ตายแล้ว นี่คุณพัสรีบรึเปล่าคะเนี่ย อิงขอโทษจริง ๆ นะคะ ดันพามาเถลไถล”
“ไม่ได้รีบอะไรหรอกครับคุณอิงลิช เพียงแต่ผมไม่อยากเข้าไปวุ่นวาย เดี๋ยวคุณรุธจะเสียงาน เสียเวลา”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทางนี้ค่ะ”
อิงลิชพาพัสกาญเดินไปยังส่วนออฟฟิศ เพื่อคุยรายละเอียดและเซ็นต์สัญญา เพราะชุดที่พัสกาญออกแบบให้กับนิตยสาร จะไม่มีวางจำหน่ายที่ไหน นอกจากสั่งซื้อผ้านิตยสารของอธิรุธเท่านั้น
........................................................................
พัสกาญรอดตัวอย่างหวุดหวิด อันที่จริงเขาก็ไม่อยากจะเสียมารยาทกับคุณอิงลิช แต่เพราะเห็นว่าทัชชาเป็นหนึ่งในนายแบบที่อยู่ตรงนั้น มันทำให้เขาจำเป็นต้องเลี่ยงออกมา
“อ่านสัญญาแล้ว คุณพัสติดประเด็นไหนไหมคะ?”
“ไม่ครับ ไม่ทราบว่าให้ผมเซ็นต์ไหน?”
“ตรงนี้ค่ะ” อิงลิชเปิดไปยังหน้าที่เขาจะต้องเซ็นต์ เมื่อเซ็นต์เอกสารเสร็จ ประตูห้องก็เปิดออกมาพร้อมด้วยบรรณาธิการนิตยสารตัวจริง เขาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้
“สวัสดีครับคุณพัส เชิญนั่ง ไม่ต้องเกรงใจ” อธิรุธเดินเข้ามายืนข้าง ๆ อิงลิช ก่อนที่ทั้งหมดจะนั่งลง
“สวัสดีครับ คุณรุธ”
“เมื่อครู่ผมเห็นคุณพัสเข้าไปที่สตูฯ ทำไมอิงไม่พาคุณพัสเขาไปดูนายแบบของเราล่ะ?”
“อิงชวนแล้วค่ะ แต่คุณพัสเกรงว่าจะไปรบกวนงานของคุณ”
“แล้วนี่คุยกันไปถึงไหนแล้วละครับ”
“ผมเซ็นต์สัญญาเรียบร้อยแล้วครับ”
“อ่อ ผมเพิ่งจะพบคุณพัสเป็นครั้งแรก ขอโทษนะครับ คุณพัสอายุเท่าไรครับ เห็นคุณยังเด็กอยู่เลย”
“26 ครับ”
“หืม...อายุเท่านี้ มีแบรนด์เสื้อเป็นของตัวเองแล้ว เก่งจังเลยนะคะ เอ่อ...คุณพัสค่ะ อิงได้ยินมาว่า คอลเล็กชั่นใหม่ของ YNW คุณพัสได้ร่วมออกแบบด้วยใช่ไหมคะ?”
“ก็นิดหน่อยครับ”
“ผมนี่โชคดีนะครับ ที่ได้อิงช่วยติดต่อคุณให้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีโอกาสได้เจอตัวคุณแน่ ๆ ท่าทางงานจะยุ่ง แล้วนี่คุณพัสต้องเดินทางไปฮ่องกงเมื่อไรครับ”
“ผมยังไม่ได้แพลนเอาไว้ครับ”
“แต่สิ้นเดือนนี้ ก็จะถึงงานแฟชั่นวีคของ YNW ที่จะจัดที่ญี่ปุ่นแล้วนะคะ คุณพัสจะทำงานทันเหรอคะ?”
“ของที่ญี่ปุ่น ผมส่งงานไปแล้วครับ”
“เด็กรุ่นใหม่นี่เก่งจริง ๆ เลยนะคุณอิง”
“จริงค่ะ เดิมทีอิงก็พอทราบว่าคุณพัสมีความสามารถมากอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะทำงานเก่งขนาดนี้”
“เอ่อ คุณพัสครับ ถ้าผมจะขอสัมภาษณ์คุณพัสลงนิตยสาร ไม่ทราบว่าคุณพัสพอจะให้โอกาสนิตยสารของเราได้ไหมครับ”
“ผมไม่สะดวกในเรื่องนั้นจริง ๆ ครับ ต้องขอโทษคุณรุจด้วย แต่ถ้าหากมีงานอื่นจะให้ผมช่วยเหลือ ผมยินดีช่วยเต็มที่”
“รุจอย่าทำให้คุณพัสลำบากใจเลยค่ะ อีกอย่างคุณพัสก็ปฏิเสธมาในอีเมลแล้ว”
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมตื่นเต้นไปหน่อยที่ได้ร่วมงานกับคนที่มากความสามารถอย่างคุณพัส ไม่เป็นไรครับ เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน”
พัสกาญได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ หลังจากนั้น เขาก็คุยกับทั้งสองคนอีกสักพักก็ขอตัวกลับ เนื่องจากอธิรุธยังคงไม่ยอมแพ้ ค่อยหว่านล้อมขอสัมภาษณ์เขาทุกครั้งที่มีโอกาสได้เอ่ย
To Be Continued