ป ฐ ม บ ท ¬• จ้ า ว ธ า ร า
-๔-
“ช้าๆสิจ้ะ เดี๋ยวมะลิก็เฉามือหมดดอก”
“ข-ขอรับ”
“ค่อยๆทำน่าจะดีกว่านะ”
“ขอรับ”
“คัดมาทีละดอกนะจ้ะ เลือกที่อ่อนตูมหน่อย..ยามร้อยเสร็จจักสวยพองาม”
“ขอรับ”
“น้องพันวังไม่เคยทำมาก่อนเลยรึจ้ะ?”
“ไม่เลยขอรับ” เด็กหนุ่มว่า มือเล็กสั่นหงึกหงักเล็กน้อย “ธรรมดาเรือนเราก็มีอ้ายแม่พิกุลอยู่แล้ว ซ้ำยังไม่มีประเพณีใดต้องใช้มาลัยเท่าไรนัก”
อีกคนหัวเราะเบาๆ “เด็กผู้ชายก็แบบนี้แหละจ้ะ”
“การร้อยมาลัยเป็นหน้าที่ของสตรีรึขอรับ?”
“ไม่เชิงหรอกจ้ะ แค่..เอ่อ นิ้วมือของผู้หญิง ทำสิ่งนี้ถนัดกว่าเท่านั้นเอง”
มือเรียวบอบบางบรรจงแทงเข็มร้อยสอดผ่านคอก้านดอกมะลิอย่างคล่องแคล่ว กิริยายามนั่งพับเพียบบนตั่งหลังตรงตั้งดูอ่อนช้อยงดงามจนใครต่อใครที่พบเห็นต่างต้องหยุดยืนมอง และแม้ว่าร่างโปร่งบางจะทำได้เพียงพับเพียบขากว้างแทงเข็มอย่างงกๆเงิ่นๆนั้น กลับดูซุกซนน่ารักสมวัยอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
“อ้ายพี่หญิงเก่งนัก ท่าทางจะร้อยไปแข่งขายตามวัดได้ไม่แพ้ฝีมือมนุษย์”
พันวังว่า อีกคนขยับยิ้มหวาน ยกมือเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาขึ้นไปทัดใบหูเผยพวงแก้มเนียนนุ่มน่าสัมผัส ก่อนจะหยิบกุหลาบกิ่งหนึ่งออกจากช่อ แล้วส่งให้
“ชายมาลัยจึงจะเลือกกุหลาบที่ออกบานหน่อย แต่ไม่เหี่ยวช้ำ…เช่นนี้”
เจ้าหล่อนขมวดคิ้วหมุ่น เบือนดวงตาไปหาอีกสองบุรุษที่นั่งจิบยาดองอยู่มิได้ห่าง
“จ้าวพี่โคจรสิเด็ดมา ช้ำขึ้นดำขนาดจักหยิบมาร้อยมาลัยได้อย่างไรเล่า”
“ชะอ้าว น้องบุหลัน” คนถูกค่อนแคะถึงกลับกระพริบตาปริบๆ แล้วยกคำอ้าง “แต่ไรมาข้าเคยที่ไหนจะหยิบจับตะไกรไปตัดกิ่งดอกไม้ในสวนกันเล่า เท่าที่เห็นที่มีก็พยายามมากโขแล้ว บางดอกช้ำบ้างอะไรบ้างเป็นหนึ่งในรสชาติของชีวิต”
“จ้าวพี่ก็พูดมากไป ลื่นเป็นปลาไหลเชียว”
“เจ้ามิเคยได้ยินรึ..? ปลาไหลกับจระเข้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกันนะ”
พันวังหน้าแหย “มิเคยสักครั้ง”
“กล่าวอะไรไร้สาระอีกละอ้ายโคจร ดูสิ..เด็กเล็กที่ไหนมาได้ยินจะหลงเชื่อกันเสียหมด” จ้าวผิวเข้มว่า ผลักศีรษะเพื่อนรักไปเสียที
“เฮ้ย เจ้านี่ก็ชักเล่นถึงตัวนัก”
“ก็เจ้าไม่ตั้งใจเก็บดอกไม้ให้
ยอดรักข้านี่หว่า”
แม้คำนั้นคนพูดจะเอ่ยมันออกมาด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ
แต่กลับทำให้อีกสามคนฟังที่เหลือถึงกับชะงักมือไปชั่วครู่ อย่างไร้ซึ่งเหตุผลด้วยกันทั้งหมด
อ้ายแสนตาผ่อนลมหายใจ แกล้งทำเป็นไม่สังเกตกับความผิดแผกที่เกิดขึ้นนั่น
เช่นกันกับจ้าวโคจรที่รีบทำตัวให้สมกับเป็นปลาไหลชั้นดี ร่างสูงขยับตัวลุกขึ้นเปลี่ยนที่ เข้าไปนั่งเทียบเคียงกับเด็กหนุ่มร่างโปร่งที่ยังง่วนกับการร้อยมาลัย แม้จะรู้ดีว่าหัวใจตัวเองไม่ใคร่จะอยู่กับเนื้อกับตัวนักก็ตาม
“ไหนดูสิ ละทางฝั่งข้าจะเป็นเช่นไรบ้างหนอ…มีแนวโน้มว่าจะเป็นรูปเป็นร่างบ้างไหม”
คางหยาบวางแตะลงที่ไหล่มน คนตัวเล็กกว่าสะดุ้งเล็กน้อยหันไปเอ็ด
“จ้าวพี่โคจร! ทำเช่นนี้หากเข็มมันปักทิ่มเนื้อข้าเล่าจะทำยังไง!”
“ข้าก็จะเป่าให้หายเจ็บ มามะ เพี้ยง”
“….ข้าจะปักทิ่มมันทะลุตาท่าน!”
“โอ้ย โหดร้ายนัก น่ากลัวที่สุด”
“จ้าวพี่โคจร!”
เด็กหนุ่มร้องลั่นอีกครั้ง แม้จะขู่เช่นนั้นก็ไม่กล้าพอจะกระชับเข็มขึ้นมาแทงหน้าจริงดั่งปากว่า จึงทำได้เพียงวางมือจากเข็มแล้วหันไปตีเพี๊ยะๆที่แขนอีกคน
…แต่ก็ต้องชะงักครู่หนึ่ง
เมื่อหญิงสาวซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามกำลังทอดสายตามองมา ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
…ที่ได้รับยิ้มน้อยๆตอบกลับจากจ้าวโคจรเช่นกัน
เด็กหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนนัก แต่ก็ไม่ได้มากมายอย่างที่คิด
เพียงสถานการณ์นั้นก็มากพอจะทำให้ลำคอแห้งผาก
“เอ่อ…ประเดี๋ยวข้าจักไปเตรียมน้ำดื่มมาก่อนดีกว่า ลอยมะลิเสียหน่อยคงหอมสดชื่นนัก”
อ้ายแสนตารีบเงยหน้าโดยพลัน “งั้นข้าไป….”
“มิเป็นใดดอกอ้ายพี่ เชิญนั่งตามสบายเทอด ประเดี๋ยวข้าก็มา”
..พลพรรคจากอโยธยามาพักเพียงไม่กี่วันก็เห็นความเปลี่ยนแปลง..
พวกเขาทั้งสี่ต่างสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆบางอย่างที่ก่อตัวขึ้น แต่เพราะไม่มีใครสักคนเริ่มจุดประเด็นนั้นขึ้นมา ทุกคนก็ยอมที่จะหลับตา และยอมรับกับสภาพน่าอึดอัดที่ก่อตัวเหมือนคลื่นหมอกช้าๆนี่แต่โดยดี
ค่ำคืนที่ผ่านมาเด็กหนุ่มมิได้ถูกท่านจ้าวเหนือหัวของตนเรียกใช้เลยสักหนนอกจากคืนแรก และทุกคืนหลังจากนั้นอ้ายพี่แสนตาก็จะมาเคาะประตูห้องเพื่อขอนอนก่ายกอดตน ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่มีเหตุผลใดมาปฏิเสธ ซ้ำยังรู้สึกยินดีนักที่จ้าวหนึ่งพึงใจกับตัวเองขนาดนี้ อย่างน้อยก็พอจะกลบเค้าความเจ็บช้ำยามเห็นจ้าวพี่คนดีทอดมองอ้ายพี่หญิงด้วยสายตาหวานลึก
น่าประหลาดใจไม่น้อย…ที่จ้าวแสนตาไม่เคยรับรู้เลย
…หรือบางทีอาจจะรู้
…แต่เพียง...ปล่อยให้ทุกสิ่งไปตามทางของมันเท่านั้น= = = = = = = = = =
ตกเย็นย่ำ
ครวญปี่พาทย์ระนาดฆ้องจึงออกมาเล่นดนตรีเปิดงานเลี้ยงส่งลา..ด้วยขบวนจระเข้แห่งอโยธยาจะเดินทางกลับพรุ่งนี้ก่อนรุ่งสาง สำรับอาหารลำเลียงจัดเลี้ยงออกมามากมายชนิดที่ว่าแค่เห็นก็อิ่ม ไม่ต้องพูดถึงเหล้ายาปลาปิ้ง…ขาประจำหัวโจกอย่างอ้ายรดินอ้ายสหัสแทบจะเอาหัวจุ่มลงไปในโอ่งเหล้าเสียอยู่แล้ว
เสียงหัวเราะร้องเพลงดังระรื่นไม่ได้ขาด ยามเพลงหนึ่งจบอีกหนึ่งก็ขึ้นเพลงต่อมาโดยพลัน ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งยืนร้องรำเป่าแคนบรรเลงให้จังหวะ อีกกลุ่มหนึ่งกระทบเท้ากับพื้นไม้ให้จังหวะจะโคน เป็นเสียงเสนาะสรวลฟังดูเข้าที
อ้ายแม่พิกุลจับอ้ายกล้ามาแต่งองค์คล้ายกุมารทองหน้าขาว เข้าไปร้องรำทำเพลงกับเขาด้วย เจ้าตัวเล็กวิ่งร่าไปทั่วเรือน นั่นเป็นครั้งแรกที่เด็กชายสามารถซุกซนได้โดยไม่มีใครดุด่า แม้กระทั่งอ้ายแม่พิกุลเองที่ใครต่อใครว่าจอมโหดนักหนา ยังฉีกยิ้มอ่อนๆออกมาได้
..นี่สิถึงเรียกได้เต็มปากว่า ‘งานรื่นเริง’
คืนนั้นฟ้าเปิดสว่าง ดวงจันทร์ที่เคยกลมโตเมื่ออาทิตย์ก่อนเหลือเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง แต่ก็มิได้ทำให้เรือนหมู่หลังใหญ่นี้ลดความสดใสเลยสักนิด ซ้ำเหล่าตะเกียงแก้วยังจุดสว่างไปทั่ว เทียนเล่มน้อยใหญ่ปักไว้ตามราวระเบียง ส่องแสงประกายไหววูบสร้างเงาวิบวับน่าจับมอง หยดย้อยน้ำตาเทียนที่กองกันเหล่านั้นช่างดูเป็นศิลปะที่ไม่มีใครตั้งใจแต่ง
บรรยากาศที่ไม่ว่าใครก็อยากจะลุกขึ้นมาขยับแข้งขา จิบเหล้าดูดฝิ่นอ่อนๆให้เคลิบเคลิ้ม ด้วยหวังจะเสพย์อยู่ยาวไปจนถึงเช้า
พันวังหัวเราะเริงร่าปรบมือไปกับทุกคนในบริเวณนั้น ขนาบข้างด้วยจ้าวแสนตาและจ้าวโคจรเหมือนเช่นปกติ ถัดจากนั้นจึงเป็นแม่หญิงบุหลันซึ่งนั่งตั่งแยกออกไป ปรบมือและหัวเราะอยู่แต่เพียงคนเดียว
จ้าวโคจรเห็นดังนั้น อดมิได้ที่จะนึกทัก
“อ้ายแสนตา ดูสิ…ใยทิ้งแม่หญิงของเจ้าให้นั่งเหงาผู้เดียวอีกเล่า?” คนถูกทักเหลือบสายตามอง แล้วกระแอมกระไอ “แล้วจะให้ข้าทำเยี่ยงไรรึ?
“อย่างน้อยๆก็เข้าไปนั่งใกล้ๆป้อล้อ ชวนหยอกชวนคุยสิ…จักถามมาได้”
“เรื่องนั้นข้ามิถนัดนักดอก นั่งอยู่นี่สิดี..มีอ้ายน้องพันวังให้จับให้ลูบ ไปทางนู้นมีแต่ตบะ ต้องอดทนอดกลั้นเสียหมด”
“เอ๊ะ!” คนถูกพาดพิงถลึงตาขวาง “อ้ายพี่แสนตานี่ก็พูดจาลามกจกเปรตซะจริง! จะหยิกให้เนื้อเขียว”
“เอ้า รึเจ้าจักบอกมิชอบยามข้าลูบ?”
“อ้ายพี่!”
“ประเดี๋ยวเถอะเจ้า น้องพันวังนี่ก็ของรักของข้า…ชิชะจะลวนลามมากเกินไปซะแล้ว” จ้าวโคจรขมวดคิ้วปากยื่น เอื้อมไปโอบเจ้าเอวกลมเข้าหาจนแนบชิด “ใยมิไปแสดงความห่วงหาเช่นนี้กับน้องหญิงบ้างเล่า เดี๋ยวสาวเจ้าจะน้อยใจเปล่าๆ”
“ประเดี๋ยวค่อยน่า เวลาที่จะอยู่ร่วมกันยังมีอีกโข ข้าสินานจะมาพิจิตรสักหน…ขอกระชุ่มกระชวยบ้างจะเป็นอะไร”
“นี่มันของข้าว้อย!”
“เจ้าสิทำเหมือนอ้ายน้องพันวังเป็นสิ่งของ เขาก็มีหัวจิตหัวใจ..อยากอยู่กับใครก็ย่อมได้”
“อ้ายนี่ชักวอน….หนอยแน่ะ”
“รึจะปฏิเสธข้า?”
อ้ายแสนตาหัวเราะร่วน หยิบแก้วยาดองขึ้นจิบ
“จระเข้ทุกตัวมีสิทธิทำตามสิ่งที่ใจนึก เพียงอยู่ใต้กรอบการบัญชา…นั่นสิเรียกว่า ‘การปกครอง’ ที่แสนยุติธรรม…มิเห็นด้วยเช่นนั้นรึ?”
ดวงตากลมโตมีประกายบางอย่างที่ประหลาดออกไป แม้อ้ายพี่แสนตาจะไม่ทันสังเกตนัก…แต่ก็จับต้องได้ เช่นเดียวกับจ้าวโคจรที่เงียบไป ก่อนเบือนดวงหน้าคมไปสบกับสตรีหนึ่งเดียวที่กำลัง…จ้องมองอยู่เช่นกัน
นางลุกออกไป
ชายหนุ่มลุกตามโดยพลัน
ไออุ่นที่ละออกไปทันตาเช่นนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกโหวงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขาเบือนเสี้ยวหน้าหันไปมอง…ก่อนที่ร่างคุ้นเคยทั้งสองจะเลือนหายไปกับกลุ่มบุรุษร่างใหญ่ที่เมามายได้ที่และกำลังสนุกสนานกันจนลืมสังขารเหล่านั้น
ก้อนอะไรบางอย่างวิ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่คอจนน่าแขยง
..พันวังหันกลับมา…เลือกที่จะกลืนมันลงไป
“อ้ายพี่แสนตา…”
คำเรียกเสียงค่อยทำให้เจ้าของนามเลิกคิ้ว เอียงหน้ามามองด้วยรอยยิ้มอ่อน
“ว่ากระไรรึ?”
กับเรียวนิ้วที่เอื้อมมาสัมผัสที่ข้างแก้ม แล้วเกลี่ยปอยผมดำขึ้นไปทัดหูให้
เขาก้มหน้าลง ขยับกายเล็กน้อย
“เปล่าขอรับ” ด้วยไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด “…ไม่มี..อะไร…”
“น้องพันวัง..?”
“ข้าแค่อยากเรียกเพียงเท่านั้น”
“อย่าแสดงกิริยาน่าเอ็นดูสิ ประเดี๋ยวข้าจะทนมิไหว”
มือเล็กตีป้าบทันที “ทนกระไรเล่า ทำไมยิ่งอยู่ยิ่งพูดจาบัดสีนัก”
“ก็ช่วยมิได้ ทำท่าน่าปรารถนาทำไม”
“อ้ายพี่!”
“หึ ดูสิ...แก้มแดงอย่างลูกตำลึงขนาด…”
“เรื่องของข้าน่า!” เด็กหนุ่มยกมือถูแก้มแดงตัวเองวืดๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องเสีย “ว่าแต่เจ้าพี่เทอด มิคิดดูแลอ้ายพี่หญิงให้ดีกว่านี้หรอกรึ?”
“ดีกว่านี้เช่นไรล่ะ”
“แบบที่….” คนพูดรู้สึกเหมือนไอร้อนพุ่งขึ้นมาที่หน้า
“….กับข้า” น้ำคำนั้นทำให้คู่สนทนาขยับยิ้มกว้าง…กระดกแก้วเหล้าขึ้นจนหมด แล้วขยับตัวเข้ามาใกล้จนชิด ท่ามกลางเสียงระนาดบรรเลงสดจากอ้ายอินทร…ที่ดูท่าทางหน้าก่ำแดงคล้ายเมามายหนัก
จ้าวหนุ่มโน้มคอลงมากระซิบที่ริมหู
“ข้าพึงใจจะดูแลใคร…ข้าก็ทำ” “แต่ข้า…”
“เจ้าเป็นของอ้ายโคจร” ดวงหน้าคมละออกไป “ข้ารู้”
“….อ้ายพี่แสนตา…”
“แต่แค่สักหน่อยแค่นี้ ถ้ามันไม่ได้ทำให้เจ้าลำบากใจนัก..” เขาระบายยิ้มกว้างขึ้น ดวงเนตรคู่คมจ้องตรงมาไม่ได้ห่าง “…ข้าก็ขอแค่เก็บเกี่ยวอีกประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น”
เด็กหนุ่มเงียบ ก้มหน้าลงมานิ่ง
แต่อีกคนกลับถามย้ำ “หากเจ้าไม่ว่าอะไร…”
“ข้าจะว่าอะไรท่านได้…”
“ตามแต่ที่ใจนึก พันวัง” เขาย้ำ “ข้าก็บอกไปแล้วมิใช่รึ?”
…ตามแต่ที่ใจนึก…
…..แล้วใจเจ้าเล่า…จะนึกอะไรได้…. พันวังรู้สึกคล้ายร่างกายตัวเองอ่อนยวบลงไปทุกครั้งที่นึกถึงถ้อยความนี้ ด้วยเกิดมาในตระกูลรับใช้คนสนิทของจ้าวมาโดยตลอด แม้ว่าตนจะมีบรรดาศักดิ์เทียบได้กับข้าหลวงชั้นสูงในเมืองมนุษย์ ก็มิได้หมายความว่าตนเองมีสิทธิตัดสินใจเรื่องใหญ่น้อยมากมายกว่าใครเขานัก
กระนั้นความหึงหวงจนเจ็บปวดที่อยู่ในใจ กลับทำให้เขากล้า
“หากอ้ายพี่แสนตามิมัวระวังอยู่ เกรงใจจะถูกคาบไปกินเสียนั่นสิ” อ้ายแสนตายิ่งระเบิดหัวเราะหนัก ผิวคล้ำกร้านบนดวงหน้าขึ้นสีแดงจัดจนไม่รู้ว่าอารมณ์ที่ว่ามาจากอาการเมามายรึไม่
อย่างไรก็ดี จ้าวหนุ่มได้เอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ
“ใครกันเล่าจะกล้า ข้าก็ประกาศกร้าวไปเสียแต่เนิ่นว่านางเป็นของข้าเช่นนั้นแล้ว”
“ชิชะ ไปเอาความมั่นใจนั่นมาจากไหนกัน”
“แม่หญิงของจ้าวนะ” มือกร้านเอื้อมมาหยิกแก้มหมั่นไส้ “ฤๅเจ้าจะบอกว่าตนคิดจะฉวยโอกาสกับอ้ายแม่หญิง? มิน่าเล่าพักนี้จึงได้ดูสนิทใจกันนัก”
“ท่าจะบ้า ข้าน่ะรึ?”
“ใช่สิ ทำเนียนตะล่อมเป็นน้องชายหน้าซื่อ ที่จริงแล้วใจคดคิดอยากจะแอ้มนางมิใช่รึ?”
คนกล่าวท่าทางไม่ได้จริงจังนัก ตบท้ายด้วยการหัวเราะลั่นเสียหนึ่งครั้ง
คนฟังเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงตามกลับไปบ้าง
“…ถ้าอ้ายพี่หญิงสนใจตัวข้า คงปฏิเสธมิได้”
“นั่นประไรเล่า”
“อ้ายพี่แสนตานี่ เอ๊ะ ดูทางข้าเสียบ้าง”
“เจ้าก็เป็นหนึ่งบุรุษมิใช่รึ? จะจีบอ้ายแม่หญิงข้าก็คงมินึกคลางใจนัก”
“ได้” เด็กหนุ่มฮึดฮัด เหยียดหลังตรง “ข้าสิไปจริงแล้ว”
“ช้าก่อนน้องพันวัง” คนโตตัวขำจนตัวโยน รีบคว้าข้อมือน้อยให้นั่งลงที่เดิม ”ดูพูดเข้าสิ…ข้าคงทนเห็นเจ้าอยู่กับใครมิได้ดอก”
“ขี้ปด”
“ยกเว้นกับอ้ายโคจรล่ะคนหนึ่ง” ว่าแล้วก็หยิบแก้วขึ้นมาอีกครั้ง นายรับใช้คนสำคัญจึงรีบรินเหล้าให้อย่างรู้งาน
จ้าวหนุ่มยกกระดกจนหมดในคราเดียว ก่อนจะทอดมองออกไปที่กลางวงรื่นเริงนั่น แลเห็นอ้ายสหัสกับอ้ายรดินเล่นเหยียบเท้ากันอยู่ดูท่าตลก ยิ่งเห็นแล้วก็นึกขำ…แม้นดวงตาคู่คมจะเจือไปด้วยประกายบางอย่างที่มิสู้ดีนักก็ตาม
ส่วนคู่สนทนาก็ไม่รู้จะทำหน้าเช่นไรดี เด็กหนุ่มทำได้เพียงเงียบอยู่เช่นนั้น…คำปลอบใจคงไม่มีมีค่ามากเกินไปกว่าลมปาก ยิ่งในสถานการณ์น่าหวั่นเกรงเช่นนี้
ด้วยตนเป็นหนึ่งคนของอีกฝั่ง..กับจ้าวแสนตาผู้แสนดี
นานนัก…กว่าสุรเสียงแหบทุ้มจะเอื้อนเอ่ยออกมาก่อน
“..น้องพันวัง”
“ขอรับ?”
“…เจ้า…เคยคิดจะกลับอโยธยากับข้าบ้างรึไม่?” น้ำคำนั้นเลื่อนลอยมาตามลม ราวกับจงใจทำให้คล้ายกับว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจที่จะเอ่ยมันออกมา
เด็กหนุ่มรู้สึกหน้าร้อนผ่าว..เขาไม่มั่นใจเท่าไหร่นักว่าคนตรงหน้าเอ่ยชักชวนคำนั้นออกมาเพราะฤทธิ์สุรา หรือเพราะนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าตัวปรารถนาจริงๆ
“อ้ายพี่แสนตา…ข้า…”
“พอเทอด ไม่มีอะไรดอก” ชายหนุ่มรีบขัดขึ้นเสีย วางแก้วลงขยับกายเอนไปด้านหลังเสียหน่อย “ข้าคงจะดื่มหนักไปจริงๆสำหรับคืนนี้…ถึงได้พูดเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้แบบนั้นออกมา”
“ข้า….” มือน้อยกำผ้านุ่งจนยับยู่ยี่ “ข้า…ขอบคุณ…ท่านมาก”
“เจ้ามิต้องขอบคุณดอก”
“แต่ข้า…”
“…หากวันใดที่เจ้ารักใครสักคนขึ้นมาจริงๆ เจ้าจักไม่ปรารถนาคำขอบคุณจากคนๆนั้น” มือใหญ่เอื้อมมาสัมผัส ประคองแกะมือน้อยข้างหนึ่งขึ้นมาทาบที่กลางแผ่นอกกว้าง “…เพราะเจ้ามิเคยฝืน…ที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อคนๆนั้นเลยสักครั้ง”
“อ้ายพี่…”
“ชี่…เจ้ามิต้องพูดสิ่งใดแล้ว”
ปลายนิ้วหนึ่งแตะต้องลงบนริมฝีปาก เป็นสัญญาณบอกให้อีกคนลดเสียงลง
“หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้ามีความสุขมาก…และโปรดสบายใจเทอด”
คนตรงหน้าปรือตายิ้มออกมา
และทุกครั้งที่อ้ายพี่แสนตายิ้ม หัวใจดวงน้อยจะรู้สึกผ่อนคลายราวได้ยกก้อนตะกอนแข็งออกจากอกเสียทุกครั้ง
…ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“…ข้ามิเคยวาดหวัง ว่าจักแทนที่อ้ายโคจร”= = = = = = = = = =
สองสัปดาห์หลังจากขบวนจระเข้อยุธยาเดินเรือกลับไป
…จ้าวโคจรก็ซึมเซาลงอย่างเห็นได้ชัด
และแม้นว่าเด็กหนุ่มจะถูกเรียกไปบริการเสียแทบจะคืนเว้นคืน ก็เป็นปกติยามจระเข้ในเผ่าเข้าฤดู พันวังเองก็มิได้ต่างกันนัก เขารู้สึกร้อนรุ่มอยู่ตลอดแม้ว่าร่างกายเพิ่งผ่านความหฤหรรษ์มาไม่ได้ชั่วยาม เช่นเดียวกับจระเข้ทุกตัวในเรือน ซึ่งบางตัวยอมรับสภาวะไม่ไหวถึงกับยอมตอนทิ้งเสียอย่างอ้ายอินทร หรือบางตัวก็เพียงเชื้อเชิญสหายสนิทเข้ามาเล่นเพื่อน แล้วก็จบลงในนั้นแทบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
มีเพียงอ้ายกล้าเท่านั้นแหละที่ยังคงเริงร่าด้วยไม่รู้ว่าฤดูคืออะไร เป็นข้อดีหนึ่งของเด็กที่ยังอายุไม่ถึงวัยเจริญพันธุ์ มิต้องรู้สึกถึงความอัดอั้นคับแน่น หรือแม้กระทั่งความสุขสมจนเจียนจะขาดใจ
…เช่นในวาระนี้… “อ…อะ อ๊า..! จ-จ้าวพี่…จ้าวพี่…”
เรือนร่างบอบบางพาลจะบอบช้ำเสียหมดเมื่อส่วนสัดที่แข็งแกร่งกระแทกสวนมาจากเบื้องล่าง เรียวขาที่ชันขึ้นกับเตียงนอนขูดตามรอยปักของผืนฟูกจนขึ้นแดงด้านเช่นเดียวกับข้อศอกบอบบาง แรงเสียดสีทำให้ร่างกายขยับเคลื่อนไปทุกส่วนราวพร้อมจะขยี้บั้นเอวนี้ให้หักกร่อนลงเสีย
มือใหญ่ประคองสะโพกมนให้โก่งสูงขึ้น โน้มลำคอลงมาเก็บเกี่ยวความหอมหวานจากซอกคอและฝากรอยรักไว้ทั่วแผ่วหลังขาวเนียน มือเล็กจิกลงบนปลอกหมอนนุ่ม ซุกหน้าหนีเข้ากับเตียงอย่างห้ามไม่อยู่ทั้งตัวโคลงหนัก
รวดร้าวไปทั้งกาย..
..แต่ปลายยอดแห่งความปรารถนานั่นกลับรออยู่ไม่ไกล…
“อ๊าา..!!” หนึ่งครั้งที่ร่างทั้งร่างกระตุกเกร็งไม่ได้จังหวะ ส่วนอ่อนไหวที่ปลดปล่อยออกมาอ่อนยวบลงไปเพียงเล็กน้อย ต่างเพียงร่างที่ทาบทับอยู่ด้านหลังมิได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น สะโพกแกร่งยังคงบดเบียดความแข็งขืนเข้าออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งช่องทางนั้นแดงช้ำไปหมด
“จ้าวพี่..หยุด…พอก่อน…อ…ข้า….”
เสียงหวานกรีดร้องสลับหอบหายใจจนหอบไปหมด ก่อนจะปิดเปลือกตาแน่น
“….ข้าเจ็บ..!!” คำนั้นทำให้คนตัวโตกว่าหยุดชะงัก
ชายหนุ่มได้สติขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ก่อนยอมถอนร่างกายออกมาทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความร้อนรุ่ม แล้วประคองร่างบางขึ้นมาจูบปลอบ
“…คนดี…” เขาว่า “…เจ็บมากรึเปล่า…?”
คนฟังผ่อนลมหายใจช้าๆ ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้ข้างในติดขัดนัก
“ข้า…ข้าแค่อยาก…พักก่อน…”
“ตามแต่เจ้าปรารถนา”
“มาทางนี้เทอด..” เด็กหนุ่มปรือตามองอ่อน ขยับตัวกลับมาก้มหน้าลงไปใกล้หว่างขาร้อนผ่าวนั่น “หากปล่อยไว้เช่นนี้คงไม่ดีนัก ข้าสิจัดการให้”
โคจรหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนก้มมองอีกคนที่กำลังบำเรอสุขให้ตนอย่างมีความหมาย
มิใช่น้องพันวังจะไม่เคยชินกับความรุนแรงนี้ หากเพียงมากเกินไปคงไม่พอดี บทรักที่เร่าร้อนและยาวนานมาตลอดตั้งแต่หลังมื้อเย็นนั้นคงจะเป็นภาระที่หนักหน่วงกับร่างกายเล็กๆนี่ไปหน่อย พักนี้ต้องยอมรับว่ามันยากเหลือเกินที่จะหักห้ามใจกับการระบายความต้องการ
ยิ่งนึกถึงดวงหน้าแม่หญิงบุหลัน…ดวงใจนี้ก็เปี่ยมไปด้วยความสับสน
ไม่ว่าจะเสพย์สุขกับใครอีกสักกี่คน…ก็ไม่อาจลบเลือนสิ่งนั้นไปได้เลย
จ้าวโคจรเองก็รู้สึกมิสู้ดีนักยามคิดเช่นนั้น จะเอาอ้ายเด็กหนุ่มไปเทียบเคียงกับแม่หญิงนั่นได้เช่นไร ซ้ำหนึ่งนางนั้นยังหาใช่ของส่วนตัวไม่ ป่านนี้อ้ายแสนตาคงระเริงสุขสนุกจนมิรู้วันคืน
..แค่คิดกลางอกก็ปวดนัก
“อึก…”
ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นครางอ่อน ก่อนปลดปล่อยความต้องการผ่านริมฝีปากอีกคนจนเปรอะเปื้อนที่พวงแก้มและปลายคาง ถึงกระนั้นส่วนแข็งขืนก็ยังมิได้สิ้นฤทธิ์เลยสักนิด
ร่างโปร่งบางผละใบหน้าออก ยกปลายนิ้วเลียเช็ดให้เสียเสร็จสรรพ
“หากต้องการ…ข้าจะชิมรสให้อีกเสียรอบ”
พันวังกล่าว ไม่ได้มีท่าทีล้อเล่นในกระแสเสียงนั้น
แต่คนฟังกลับหัวเราะ แล้วสั่นศีรษะ “มิต้องดอก น้องพักก่อนสักตื่นเทอด”
“แล้วเจ้าพี่…?”
“ข้าสิเหนื่อยเช่นกัน อีกมินานก็คงพักตามไปด้วย”
“…ขอรับ”
รับคำแต่โดยดีไม่มีคัดค้าน
ว่าแล้วก็ปิดปากหาวเสียหนึ่งครั้ง หันไปหยิบคว้าผ้ามาเช็ดทำความสะอาดร่างกาย โชคดีที่ร่างแปลงนี้แข็งแกร่งนัก มิเช่นนั้นคงได้เลือดตกยางออกกันเสียหมด
จ้าวหนุ่มพิจมองเรือนร่างที่เต็มไปด้วยรอยสีกุหลาบนั่น ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว
“น้องพันวัง…”
“ขอรับ?”
“บอกสิ…ข้าเคยอ่อนโยนกับเจ้ารึไม่?” คนฟังยิ้มหวาน “จ้าวพี่สิอ่อนโยนกับข้าทุกเมื่อเชื่อวัน ใยกังวลเช่นนั้นเล่า”
“หากข้ากระทำรุนแรงไป….”
“เพียงเจ็บและเหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้น จ้าวพี่อย่าได้วิตกไปเลย” เด็กหนุ่มกล่าว แม้น้ำเสียงจะอ่อนแรงนัก “ข้าจักเตรียมนอนแล้ว...แล้วจ้าวพี่….?”
“นอนเสียเถอะ”
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจอ่อน โน้มคอลงมาจุมพิตเบาๆที่หน้าผาก
“ข้าภาวนา...ให้เจ้าหลับฝันดี” หากได้พูดถ้อยคำนี้กับเจ้าก็คงดี…
…แม่หญิงบุหลัน…TBC===========================