เสน่ห์รักลูกชิ้นปิ้ง ตอนที่ 64 กิจการของทั้งสองร้าน ลูกค้าเยอะขึ้นทุกวัน เพราะลูกค้าบอกปากต่อปาก ชินพัตน์กับนนทนัฐเลยคุยกันว่าจะรับคนเข้ามาช่วยงานที่ร้าน เลยทำป้ายรับสมัครคนงานช่วยทั้งสองร้านพร้อมๆกัน ชินพัตน์คิดว่าถ้าได้คนมาช่วยเร็วๆก็จะดีมาก เพราะป้ากับจอยจะได้เบาแรงลง นนทนัฐก็เช่นกันมีคนมาช่วยดูที่ร้านเพิ่ม ตัวเข้าเองก็จะได้มีเวลา ทำงานส่วนตัวที่รับปากเพื่อนจะเขียนแบบเรือนหอให้กับเพื่อนสนิทสมัยเรียน ที่ขอร้องมานานแต่นนทนัฐก็ไม่มีเวลาลงมือสักที่ เพราะติดว่ายุ่งกับร้านที่เปิดใหม่ ลูกค้าหน้าใหม่ๆเพิ่มขึ้นทุกวันจนต้องหาคนมาช่วย
“ผมเอาป้ายสมัครงานไปติดที่ตลาดให้ด้วยนะ”ชินพัตน์ที่เดินมาพร้อมอาหารมื้อเย็นส่งให้นนทนัฐที่กำลังง่วนในการเก็บเงินในลิ้นชัก เพราะลูกค้าเยอะมากจนไม่มีเวลาเลย
“ขอบคุณครับ”นนทนัฐของคุณทั้งเรื่องอาหารมื้อเย็นและเรื่องประกาศรับสมัครงาน
“อืม”ชินพัตน์เลี่ยงที่จะไม่เข้าใกล้เพราะเจอมุกเนียนของคนที่นั่งหน้าโต๊ะคอมประจำ จับมือมั้งล่ะ แกล้งพูดโน่นพูดนี้มั้งล่ะ คำพูดที่คอยส่งคำหวานมา ไม่รู้ช่างไปสรรหามาจากไหน คิดมาถึงตรงนี้ ชินพัตน์ก็เอาแต่สายหัว แล้วเดินไปดูเด็กวัยรุ่นเล่นเกมกลุ่มใหญ่ ที่มาประจำ
“ไปไหนครับ”นนทนัฐรีบเงยหน้าจากจานข้าวถาม
“คุณกินข้าวไปเถอะน่า”ชินพันต์ทำบุ้ยหน้าไปที่จานข้าว แล้วเดินออกห่างจากโต๊ะคอม
Rrrr Rrrr
“ว่าไงต้น ยังไม่เข้าหออีกเหรอ”
(กำลังจะเดินกลับเข้าหอครับ เลยโทรมาหาพี่ชินไปด้วยระหว่างเดินกลับ)
“อย่าโหมงานหนักมากนะ รีบนอนพักผ่อนนะรู้ไหม”
(ครับ เอ่อพี่ชินคือผมมีเรื่องปรึกษาครับ)
“ต้น มีอะไรให้พี่ช่วยบอกมาเลยนะไม่ต้องเกรงใจ”ชินพัตน์เห็นว่าคุยนานเลยเดินกลับไปหลังร้านเพื่อกลับไปคุยที่ตึกของตนเอง นนทนัฐก็มองตาม ชินพัตน์ได้แต่ชี้มือชี้ไม้มาทางโทรศัพท์ว่าคุยธุระอยู่ แล้วชี้ไปทางตึกของตนเอง นนทนัฐพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ชินพัตน์คุยกับใคร
(“ต้นยังหาที่ฝึกงานไม่ได้เลยครับ”)
“เดี๋ยวพี่ช่วยหาให้เองต้น”
(“ไม่ทันแล้วละครับ ผมคงต้องไปฝึกงานกับที่เดยวกับเพื่อนนะครับ”)
“ก็ดีแล้วนี้ต้นมีเพื่อนจะได้ไม่เหงา”
(“แต่ต้นไม่อยากไปฝึกเลยครับ มันไกลแล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีเวลากลับมาหายายหรือเปล่าต้นเป็นห่วงยายครับ”)
“เรื่องยายต้นไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่จะแวะไปหายายบ่อยๆเอง ต้นตั้งใจฝึกงานเถอะนะ”
(“แต่ว่า….”)
“ไม่มีแต่ เชื่อพี่ทั้งใจฝึกงาน เรื่องทางนี้พี่จัดการเองนะ”
(“ครับ สุดสัปดาห์นี้ผมจะกลับไปบอกยายครับว่าต้นจะไปฝึกงานกับเพื่อนๆ”)
“อืมดีมาก แล้วค่อยกลับมาคุยรายละเอียดที่ฝึกงานให้พี่ฟังอีกที่นะ”
(“ครับพี่ชิน)
“ถึงหอพักหรือยัง”
(“ถึงแล้วครับ”)
“งั้นก็นอนพักซะ ไม่ต้องคิดมากนะรู้ไหม”
(“ครับพี่ชิน”)
“ฝันดีครับ” ชินพัตน์มองโทรศัพท์อีกครั้งเพราะจับน้ำเสียงของต้นกล้าได้ว่ายังกังวลเรื่องที่ฝึกงานแล้วก็เรื่องยายด้วย กลับมาคงต้องคุยให้เข้าใจเพื่อไม่ต้องกังวล
ชินพัตน์ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครมายืนมองอยู่นานแล้ว ได้แต่นั่งมองโทรศัพท์แล้วคิดว่าจะดูแลยายแบบไหนดีที่จะทำให้ต้นกล้าไม่ต้องมากังวลเรื่องนี้อีก คนที่ยืนเงียบมองอยู่นานก็เดินเข้ามาหาก้มใบหน้าถามจากด้านหลัง
“กับผมยังไม่เคยพูดแบบนั้นสักครั้งเลยนะครับ”ชินพัตน์สะดุ้งเล็กน้อยที่อยู่ๆก็มีเสียงถามขึ้นในความเงียบ
“นี้คุณ!!!ผมตกใจนะ เข้ามาเงียบๆ”ชินพัตน์ลุกข้นโวยวายแต่ก็ไม่ดังมากเพราะกลัวจะรบกวนป้าพรกับจอย
“ก็คุยไม่สังเกตเองว่าผมเดินเข้ามานานขนาดไหนแล้ว คุณเอาแต่โทรศัพท์อยู่ “นนทนัฐพูดเสียงเรียบน้ำเสียงติดน้อยใจเล็กๆ
“แล้วคุณจะมาที่นี้ทำไมล่ะ เด็กๆที่ร้านกลับกันไปหมดแล้วหรือไง”ชินพัตน์จับความรู้สึกได้อีกฝ่ายเสียงแข็งทำหน้านิ่ง
“ผมขอโทษครับพี่เข้ามากวนเวลาคุณคุยโทรศัพท์”นนทนัฐเดินกลับร้านไปโดยไม่หันกลับมามองคนที่ยืนอึ้ง เพราะไม่เข้าใจท่าที่ของอีกฝ่ายเลยว่าเป็นอะไร
แค่เดินกลับมาคุยโทรศัพท์แค่นี้ ?
คิ้วขมวดมุนอย่างสงสัย
ชินพัตน์ก็ไม่ได้แก้ความสงสัยของตนเอง เพราะมีเรื่องให้คิดต้องจัดการเลยปล่อยผ่านไปก่อน เพราะยังไงก็แค่อยู่ข้างๆกันแค่นี้คุยเมื่อไรก็ได้ แต่เรื่องต้นกล้ากับยายต้องคิดที่จะทำยังไงให้ต้นกล้าไปฝึกงานได้อย่างสบายใจ และยายก็ไม่ต้องเป็นห่วงต้นกล้าที่ต้องไปฝึกงานไกลๆและนานเป็นเดือนๆด้วย ต้องปรึกษานพคุณพี่ชายของเขาอีกคนท่าจะดี หลายๆคนจะได้ช่วยกันคิด
เช้าวันรุ่งขึ้นก็โทรหาพี่ชายเพื่อปรึกษาเรื่องนี้ แต่ปฏิกิริยาของพี่ชายของเขาตอบกลับมาแปลกๆ เมื่อเริ่มคุยปรึกษาเรื่องฝึกงานของต้นกล้า และเรื่องของยายยังไม่ทันเอยก็โดน สวนกลับมาเป็นคำถามชุดใหญ่
(ชิน ต้นจะไปฝึกงานที่ไหน ไปกับใคร นานแค่ไหน แล้วต้นไม่ห่วงยาย แล้ว……)
“พี่ใหญ่ ใจเย็นๆสิ ถามแล้วไม่คิดให้ผมตอบเลยหรือไง ถามมาเป็นชุดแบบนี้นะ)
(เออ โทษที่ ต้นไม่เคยบอกพี่เรื่องนี้เลย”)น้ำเสียงของนพคุณเหมือนน้อยใจที่ต้นกล้าไม่มาปรึกษาตนเองเลย
“พี่อย่าไม่ว่าต้นเลย ทั้งเรียน ทั้งหาที่ฝึกงาน แล้วไหนจะทำงานพาทไทมก่อนกลับบ้านอีกนะพี่”
(“แล้วทำไมต้องทำอะไรเยอะแยะขนาดนั้นด้วยล่ะ “)
“ก็ต้อนเข้าบอกว่าอยากจะหาที่ฝึกงานใกล้ๆบ้านเพื่อดูแลยายช่วยยายไปด้วย แต่ก็ยังหาไม่ได้สักที่”
“แล้วทำไมต้องทำงานด้วยล่ะ เอาเวลาไปพักผ่อนดีกว่า”)
“ต้นบอกว่าจะเก็บเงินเอาไปใช้ตอนฝึกงาน จะได้ไม่รบกวนยายนะสิ”
(“โธ่เอย ต้น “)นพคุณถอนหายใจ เป็นห่วง น้อยใจ สงสารปะปนกันไปหมด
“ที่ผมโทรมาหาพี่เพราะว่าต้นตัดสินใจแล้วว่าจะไปฝึกกับเพื่อนที่หาที่ฝึกงานได้แล้วนะ เพราะถึงเวลาต้องแจ้งที่มหาลัยแล้ว แล้วต้องไปยืนหนังสือกับที่ฝึกงานก่อนล่วงหน้าอีกด้วย ต้นเลยกังวลเรื่องยายขึ้นมา แล้วดผุเหมือนจะลังเลเอามากๆเลยตอนนี้”
(“แล้วรายละเอียดเรื่องที่ฝึกงานล่ะ นายรู้อะไรมาบ้าง”)
“ผมยังไม่รู้รายละเอียดอะไรมากหรอก ต้นพึ่งโทรมาบอกผมเมื่อคืน แล้วต้นก็บอกว่าสุดสัปดาห์นี้จะกลับมาเล่าให้ฟังแล้วก็บอกยายเรื่องที่ฝึกงานนี้ด้วย คงลำบากใจน่าดูเลยนะพี่”
(“งั้นวันศุกร์พี่จะลองคุยกับต้นอีกที่แล้วกัน”)
“พี่ใหญ่ อย่าไปดุน้องนะพี่ ตอนนี้ต้นเองก็สับสนลังเลมากพอแล้ว พวกเราต้องให้กำลังใจ และดูแลยายแทนต้นให้เองนะพี่”
(“เออๆ รู้แล้วน่า ไม่ต้องร่ายยาวขนาดนั้นก็ได้ วันศุกร์จะพาแวะไปหาแล้วกัน”)ชินพัตน์ยังติดเคืองน้องชายนิดที่ต้นกล้าเรื่องปรึกษาชินพัตน์ก่อนตนเอง
“ได้พี่ แล้ววันศุกร์ก็ค่อยคุยกันอีกที่แล้วกัน”ชินพัตน์รับคำ แล้วก็วางสายจากพี่ชาย แล้วลงไปที่ร้านเพื่อช่วยคนอื่นเปิดร้าน
หลังจากเปิดร้านเตรียมของพร้อมขาย ชินพัตน์มองไปหน้าร้านเกม ก็เห็นว่ามีลูกค้าเข้ามาเล่นแต่เช้า นนั้นก้หมายความว่า เจ้าของร้านเกมคงเดินมากินข้าวเช้าที่ร้านไม่ได้อย่างแน่นอน เลยสั่งให้จอยเอาข้าวเช้าไปส่ง ส่วนตัวเขาเองก็ตอนรับลูกค้าที่เข้าร้านมาพอดี เลยไม่ได้แวะไปเอง
“อ้าวจอยเอากลับมาทำไมล่ะ”ป้าพรถามขึ้นเมื่อเห็นถาดข้าวที่ทุกอย่างยังอยู่ครบ
“พี่นนท์เขาบอกว่า กินข้าวเช้าแล้วนะสิป้า หนูงงเลยอ่ะ” จอยเอาถาดข้าวไปเก็บ สายหัวอย่างไม่เข้าใจ ป้าพรก็เหมือนกัน
เลยเวลามาเกือบบ่าย 2 โมง ชินพัตน์ที่เว้นว่าจากการเก็บจานเช็ดโต๊ะก็เดินมาถามจอยและป้าพรว่าทานข้าวกันหรือยัง เห็นลูกค้าเริ่มบางตาแล้ว เลยจะชวนกินข้าวพร้อมๆกัน
“ป้าครับทานข้าวพร้อมกันครับ”
“จ้า แปบนะป้าเบาไฟหม้อต้มก่อนจ๊ะ”
“จอย วางมือก่อนมาทานข้าวก่อนเร็ว เดี๋ยวลูกค้ามาอีกจะไม่มีเวลากินมื้อเที่ยงนะ” ชินพัตน์พูดชวน
“จ้าๆ ปิ้ง อันนี้เสร็จแล้วจะไปจ๊ะ”จอยหันมาบอก ปิ้งลูกชิ้นเตรียมไว้ประมาณ 10 กว่าไม้ ก่อนจะเดินมาสมทบที่โต๊ะข้าว
“ป้าครับ ตักต้มจืดตำลึง กับข้าวเปล่าให้ผมชุดหนึ่งครับ”ชินพัตน์นึกได้ว่าคนข้างๆร้านก็คงยังไม่ได้ทานมือเที่ยงเหมือนกัน
“ได้จ้า”ป้าพรหันไปตักอาหารตามที่ชินพัตน์สั่ง
“เออใช่ พี่ชินเมื่อเช้า พี่นนท์เข้าไม่ได้กินข้าวที่จอยเอาไปให้นะ พี่เขาบอกว่ากินข้าวเช้าแล้ว จอยเลยเอากลับมานะ”
“อ้าวเหรอ เอ…ไปกินที่ไหนหว่า?”ชินพัตน์ทำหน้าสงสัยแต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ เพราะเดี๋ยวไปถามตอนไปส่งอาหารอีกที่แล้วกัน
ชินพัตน์นั่งทานมื้อบ่ายกับป้าพรกับจอยให้เสร็จก่อนแล้วค่อยยกถาดอาหารไปให้ใครบางคน เดินเข้าทางด้านหลังร้าน เพราะหน้าร้านมีลูกค้าเด็กวัยรุ่นเยอะมาก พอเข้ามาถึงที่โต๊ะที่นนทนัฐนั่งก็ต้องขมวดคิ้วกับสิ่งที่เห็น
ชามมาม่า ที่กินหมดแล้วเหลือน้ำอยู่ที่ก้นชามที่พอจะบอกได้ว่ามันคือ ชามมาม่า ชามด่วน กดน้ำร้อนปิดฝา 3 นาทีก็อิ่มได้
“นี้คุณกินมาม่าเหรอ?”ชินพัตน์ถามขึ้น
“ครับ”นนทนัฐตอบเสียงเรียบ หันกลับไปที่หน้าจอคอมอีกครั้ง
“ผมว่าคงไม่อิ่มหรอกใช่ไหมล่ะ เอานี้ผมเอาต้มจืดลูกชิ้นมาให้ กินอันนี้ด้วยสิ จะได้อิ่มๆ” ชินพัตน์ไม่สังเกตสีหน้าอีกฝ่ายเลย พยายามวางถาดไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบชามมาม่าจะเอาไปล้างด้านหลัง แต่ก็โดนขวางไว้
“ผมอิ่มแล้วครับ ขอบคุณสำหรับอาหารครับ” นนทนัฐยือชามมาม่าไปวางที่อ่างแล้วล้างเอง
ชินพัตน์ยังยืนนิ่งอย่างไม่เข้าใจ พอนนทนัฐเดินกลับเข้ามานั่ง และไม่มีท่าที่จะทานอาหารตรงหน้า
“คุณไม่รีบกินล่ะ เดี๋ยวหายร้อนแล้วไม่อร่อยนะ”
“ผมอิ่มแล้วครับ”
“แต่ว่า….”
“ถาดนี้ราคาเท่าไรครับ”
“เอ๊ะ?”ชินพัตน์ไม่เข้าใจ
“เดี๋ยวผมให้เด็กๆในร้านเอาถาดไปส่งให้นะครับ แล้วนี้ครับเงิน” นนทนัฐส่งค่าอาหารใส่มือให้ชินพัตน์แล้วเดินยกถาด ไปหากลุ่มเด็ก ถามหาว่าใครยังไม่ได้กินข้าว ใครหิวมาทานอาหารที่เขาถือมาได้ นนทนัฐบอกเด็กๆพวกนั้นว่าตนเองเลี้ยง เด็กๆพากันมานั่งกินกันกลุ่มใหญ่ นนทนัฐบอกอีกว่าไม่พอไปสั่งเอาได้ที่ร้านข้างๆ แล้วมาเก็บเงินที่ตนเอง ทำให้ชินพัตน์ยิ่งงงไปกับท่าที่แปลกแบบนั้น
เป็นอะไร
โกรธอะไร
ทำไมถึงเป็นแบบนี้
ชินพัตน์กำลังเดินกลับมาที่ร้าน แต่เหมือนมันไกลมากๆระหว่างหลังร้านเกมแล้วเดินไปหลังร้านของตัวเขาเอง ทุกอย่างดูเชื่องช้าไปหมด แต่ละย่างก้าวดูมันช่างหนักอึ้ง ภายในหัวคิดวนเวียนไปมา เกิดอะไรขึ้น?
ตลอดหลายวันมานี้ เจ้าของร้านเกมฝากบอกจอยมาว่าไม่ต้องมาส่งอาหารให้แล้ว เพราะเขาเองหาของกินง่ายๆมาติดตู้เย็นไว้แล้วจะได้ไม่รบกวน เวลาทำงานของทุกคน เมื่อชินพัตน์ได้ฟังแบบนั้นแล้วก็ไม่อยากจะสนใจเรื่อง อาหารในแต่ละมื้อของคนข้างร้านอีกต่อไป เรียกสติตนเองกลับมาที่เรื่องของต้นกล้า เรื่องร้านของตนเอง แล้วก็รับคนมาช่วยงานเพิ่ม
“จอย ไม่มีเพื่อนๆสนใจมาทำงานด้วยกันบ้างเหรอ” ช่วงบ่ายที่นั่งกินข้าวพร้อมกัน ชินพัตน์ก็พูดขึ้นเพราะติดประกาศไปหลายวันแล้วยังไม่มีใครเข้ามาติดจ่อสักคนเลย
“เดี๋ยวจอยลองโทรถามเพื่อนๆดูให้นะจ๊ะ”
“อืม ขอบใจนะ”แล้วชินพัตน์ก็คิดว่าแล้วคนข้างร้านละมีผู้ช่วยหรือยังนะ หลายวันแล้วที่ตัวเขาเองไม่ได้แวะไปที่ร้านนั้นเลย นึกเหตุผลไม่ออกที่จะเดินไป เพราะอาหารก็ไม่ต้องไปส่งแล้ว เลยไม่รู้จะเข้าไปเพราะอะไร
“ตาชิน ตาชิน ชินพัตน์!!”ป้าพรเรียกหลานชายหลายครั้ง จนต้องสะกิดแขนเพื่อให้หันมา
“คะ ครับป้ามีอะไรครับ?”
“เหมอไปถึงไหนแล้ว ป้าจะถามว่าเรียกคนงานที่บ้านมาช่วยก่อนไหม แล้วพอได้คนค่อยส่งกลับแบบนี้ดีกว่าไหม”ป้าพรเสนอความคิด
“งั้นถ้าอาทิตย์นี้ยังไม่มีคนมาสมัคร อาทิตย์หน้าผมจะโทรไปบอกพ่อกับแม่แล้วกันนะครับ” ชินพัตน์รับฟังข้อเสนอของป้าพร
เช้าวันศุกร์ ร้านลูกชิ้นเปิดในเวลาปกติ อย่างเช่นเคย ร้านเกมข้างๆจะเปิดสายกว่าเล็กน้อย ชินพัตน์ได้แต่ยืนมองหน้าร้านที่ยังไม่เปิดอยู่เงียบๆ ป้าและจอยก็สังเกตมาหลายวันแล้ว ไม่เห็นทั้งคู่พูดคุยกันไปมาหาสู่กันเหมือนเคย เลยอดคิดไม่ได้ว่า ทั้งคู่ทะเลาะกันอีกแล้วหรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะครั้งนี้ทั้งคู่ดูเงียบเหมือนมีเรื่องให้คบคิด และดูจะห่างๆกันจนน่าเป็นห่วง
“ป้าครับ วันนี้สายๆผมจะแวะไปหายายที่สวนนะครับ แล้วผมจะรีบกลับมาช่วยนะครับ”
“จ้าๆไปเถอะ “ป้าพรมองออกว่าหลายชายต้องมีเรื่องกังวลหลายๆอย่างแต่ยังพยายามทำตัวปกติอยู่
“จอยพี่ฝากเรื่องเพื่อนของจอยด้วยนะ”
“ได้จ้า เดี๋ยวจอยจัดการให้จ๊ะ”
ชินพัตน์อยู่ช่วยในร้านอยู่พักใหญ่ แล้วประมาณ 10 โมงก็ขับรถออกไปหายายที่สวนตามที่บอกกับคนที่ร้านไว้ นนทนัฐที่เดินออกมาบอกให้เด็กเรียงรถมอเตอร์ไซค์ให้เป็นระเบียบเห็น รถของชินพัตน์ขับออกไป ก็นึกสงสัยเลยเดินไปหาป้าพรกับจอยในร้าน ทั้งคู่ด฿เหมือนจะดีใจมากที่เห็นนนทนัฐแวะมาที่ร้าน ต่างช่วยเรียกให้มาทานข้าว
“พี่นนท์วันนี้ทานอะไรดีพี่?”จอยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เออ พี่ทานแล้วล่ะ ขอบใจนะจอย”
“ตานนท์ ป้าถามจริงๆเถอะ ทะเลาะกับตาชินหรือเปล่าลูก?”ด้วยความเป็นห่วงของป้า
“เออ คือไม่มีครับ พอดียุ่งๆนะครับ เลยไม่ค่อยได้แวะมา”นนทนัฐเลี่ยงไม่เก่ง โกหกก็ไม่เก่งด้วย ทำให้ป้าพรและจอยไม่หายสงสัย
“ดีแล้ว เป็นเพื่อนกันอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้อย่ามาทะเลาะกันเลย จะมองหน้ากันไม่ติดซะเปล่าๆ”ป้าพรพูดเสริม
“เอ่อ แล้วเขาขับรถออกไปไหนครับ?”
“อ้อ พี่ชินบอกว่าจะไปหายายที่สวนนะจ๊ะ”
“……….”นนทนัฐพยักหน้ารับรู้
ชินพัตน์ขับรถมาหายายที่สวน เพื่อจะพูดคุยเรื่องของต้นกล้าให้ยายฟังคราวๆก่อน เพื่อให้ยายสบายใจ และตัวเขาเองก็จะมาดูแลยายช่วงที่ต้นกล้าไปฝึกงาน ชินพัตน์ขับรถมาจอยที่หน้าบ้านที่ประจำ เดินไปหายายบนบ้านก็ไม่เจอ เพราะสายขนาดนี้แล้วยายน่าจะกลับขึ้นบ้านได้แล้ว ไม่น่าจะอยู่ในสวน ชินพัตน์เดินกลับลงมาหายายที่สวนหลังบ้าน เดินไปตาม สวนผักต่างๆอย่างคุ้นเคย เพราะมาช่วยยายเก็บผักประจำ และคิดว่ายายน่าจะเดินมารดน้ำ ใช่ปุ๋ยตรงไหนบ้าง แต่เดินหาจนรอบก็ไม่เจอ เลยเดินอ้อมมาด้านหลังบ้านที่มีทางขึ้นอีกทาง และมีห้องน้ำด้านล่างอีกห้อง ชินพัตน์รูสึกสะดุดใจเลยเดินไปที่ห้องน้ำ เพราะคิดว่ายายอาจจะเข้าห้องน้ำอยู่ก็ได้ เลยทำให้หากันไม่เจอแบบนี้
“ยาย ยายครับ อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่าครับ?”
ไม่มีเสียงตอบกลับ
ชินพัตน์เลยเดินเข้าไปใกล้อีก ที่หน้าประตูห้องน้ำ ชินพัตน์ตกใจกับสิ่งที่เห็นยายนอนก้มหน้าอยู่กับพื้นห้องน้ำ มีเลือดไหลนองเต็มพื้น ชินพัตน์รีบเข้าไปพยุงตัวยาย
“ยาย ยายครับ ยาย”ชินพัตน์ประคองร่างยายที่นอนนิ่ง ที่ศรีษะมีรอยเลือด น่าจะเกิดจากล้มลงกระแทกพื้น
ชินพัตน์หันมองไปรอบๆ แล้วตั้งสติพยายามกดหาหมายเลขฉุกเฉินต่าง แต่ก็หาไม่เจอ นึกไม่ออกว่าควรจะโทรไปเบอร์ไหนดี ชินพัตน์ไม่ใช่คนในพื้นที่ ไม่รู้ว่าควรโทรไปเบอร์ไหน และสุดท้ายก็กดเบอร์โทรที่คิดว่าจะช่วยเขาได้ดีที่สุดในตอนนี้
“นนท์ รับสิ รับโทรศัพท์สิ” ชินพัตน์รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็รับโทรศัพท์
“ชิน “ นนทนัฐที่ทำตัวไม่ถูกเพราะเขากำลังจะโทรหาชินพัตน์เพื่อขอโทษที่ทำตัวเหมือนเด็กๆ ที่ทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่าย แต่ก็มีสายโทรเข้ามาของคนที่กำลังนึกถึงมาตลอด โทรเข้ามาหาพอดี
“นนท์ช่วยด้วย ยาย ยายหกล้มหัวฝาดพื้น ผมไม่รู้ว่าจะติดต่อใคร อะไรที่ไหน นนท์”
“ชิน ใจเย็นๆนะ เดี๋ยวผมกำลังจะไป เดี๋ยวผมโทรเรียกรถพยาบาลเองนะ ชินประถมพยาบาลเบื้องต้นยายไปก่อนได้ไหม หรือเรียกคนแถวนั้นให้มาช่วยก่อนนะครับ ผมกำลังจะไปนะ”
“ได้ๆ รีบมานะ”ชินพัตน์รีบวางสาย และทำตามอย่างที่นนทนัฐบอกทกอย่าง ตะโกนเรียกคนรอบๆบ้านใกล้เคียง
“ช่วยด้วยครับ มีใครอยู่แถวนี้ไหม มีคนได้รับอุบัติเหตุครับ ยายเป็นลมครับ ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย”
ชินพัตน์ตะโกนสุดเสียง แต่ก็ไม่มีใครสักคน เข้ามาดูเลย จนชินพัตน์เห็นว่า ถ้านานกว่านี้ คงไม่ดีแน่ๆ เลยพยายามอุ้มยายขึ้น เพื่อจะพายายไปที่รถ แล้วขับรถไปส่งยาย แต่ในใจก็กลัวว่าจะไปโดนจุดสำคัญต่างๆ ที่ยายอาจได้รับบาดเจ็บในส่วนที่เขามองไม่เห็น กลัวว่าขยับเขยื้อนยายแล้วจะยิ่งทำให้อาการของยายหนักขึ้นไปอีก ชินพัตน์สับสนไปหมด ใจอยากพายายไปให้ถึงมือหมอ แต่ก็กลัวจะทำให้เกิดผลไม่มีต่อร่างกายของยาย เพราะไม่รู้วิธี
“ช่วยด้วยครับ มีใครอยู่ไหม โทรเรียกรถโรงพยาบาลให้หน่อยครับ ขอเบอร์โทรก็ได้ ช่วยด้วยคร้าบ ฮือๆๆ” ชินพัตน์ เริ่มคุ้มสติตนเองไม่อยู่แล้ว เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เริ่มร้องไห้ออกมาเพราะเป็นห่วง พลาดโทษคนแถวนี้ว่าไม่มีน้ำใจ จนสุดท้ายชินพัตน์ตัดสินใจอุ้มยายขึ้นแล้วพายายไปที่รถอย่างทุลักทุเล แต่แล้วก็ได้ยินเสียงรถขับเข้ามาจอด
“ชิน ยายเป็นยังไงมั้ง” นนทนัฐรับวิ่งไปรับยายจากแขนชินพัตน์ไว้แล้วพายายไปนอนที่แคร่หน้าบ้าน
“ผมไม่รู้ ยายนอนนิ่งแบบนี้นานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ฮือๆ” ชินพัตน์สายหน้าไปมา
“ชิน ใจเย็นๆตั้งสติหน่อย ผมโทรบอกรถพยาบาลแล้วครับ พวกเราต้องดูยายก่อนว่า บาดใจตรงไหนอีกหรือเปล่า”
“ ……….”ชินพัตน์สายหน้าไปมา ไม่กล้าดูว่ายาย บาดเจ็บตรงไหนอีก เพราะตอนอุ้มยายขึ้นมาในอ้อมกอดก็คิดว่า ร่างกายของยายช่างเย็นเชียบ จนไม่กล้าคิดต่อไป
“ชิน ใจเย็นนะ ยายต้องไม่เป็นอะไร “
“………..”ชินพัตน์ก็ยังตัวสั่นยกมือที่เปื้อนเลือดขึ้นมาดู จนนนทนัฐต้องคว้ามือนั้นไว้แล้วปลอบใจอีกครั้ง
“ชินไม่เป็นไรนะ รถพยาบาลกำลังจะมาแล้ว ยายต้องปลอกภัยนะ เชื่อผมสิ”
“…….”ชินพัตน์ เริ่มดึงสติกลับมาอีกครั้ง พยักหน้ารับฟัง นั่งคุกเข้ากับพื้น บีบนวดปลายมือของยายที่เย็นชืดอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นให้กลับมามีเลือดวิ่งอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรนะ ยายต้องปลอดภัย”
และไม่นาน เสียงรถพยาบาลก็เข้ามาใกล้ ชินพัตน์ได้ยินก็รีบวิ่งออกไปหน้าบ้านเพื่อไปดักให้สัญญาณบอกว่า บ้านยายอยู่ตรงนี้
“คุณช่วยยายด้วยนะครับ” ชินพัตน์รีบนำบุรุษพยาบาลกับนางพยาบาลที่วิ่งลงจากรถไปหายายทันที่
“ค่ะ /ครับ “รับคำแล้วต่างพากันวิ่งไปดูอาการของยาย แล้วนำตัวยายขึ้นรถ ส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ชินพัตน์ขอติดรถโรงพยาบาลไปด้วย นนทนัฐก็ขับรถตามไป
“คุณพยาบาล ยายเข้าเป็นอะไรมากไหมครับ “ชินพัตน์ร้อนใจรอเวลาที่พยาบาลตรวจเบื้องต้นเสร็จก็รีบขึ้น
“คนไข้สลบนานแค่ไหนแล้วค่ะ”
“ผมไม่แน่ใจ ผมพึ่งมาหายายแกเมื่อตอน 10 โมงกว่าๆครับ มาถึงก็เห็นยายนอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้นห้องน้ำแล้วครับ”
“คนไข้น่าจะเป็นลมล้มนะคะ แล้วแรงกระแทกทำให้ศีรษะฝาดกับพื้นอย่างแรง เสียเลือดมาก แล้วก็ไม่ได้สติด้วย”
“แล้ว ยายจะเป็นอะไรมากไหมครับ”
“ต้องถึงโรงพยาบาล แล้วตรวจเช็คให้ละเอียดอีกครั้งนะคะ ตอนนี้ยังบอกอาการที่แน่นอนไม่ค่ะ”
รถฉุกเฉินวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าโรงพยาบาล มีทีมแพทย์มายืนรอรับอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่พายายนอนรถเข็นแล้วรบวิ่งไปยังห้องฉุกเฉิน ชินพัตน์ก็วิ่งตามไปดู แต่ก็โดนพยาบาลห้ามเข้า บอกให้รออยู่ด้านนอก ชินพัตน์ที่ร้อนใจ เนื้อตัวที่เปื้อน เดินวนไปมาอยู่ที่กชหน้าห้องฉุกเฉิน ไม่นานนนทนัฐก็วิ่งเข้ามาหา เดินเข้ามากอดปลอมชินพัตน์ที่ดจะขวัญเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้นเอามากๆ
“ไม่เป็นไรนะครับ ยายถึงมือหมอแล้วนะ ยายต้องปลอดภัย เชื่อผมสิ” นนทนัฐโอบกอดลูกแผ่นหลังที่สั่นเทาของชินพัตน์ ให้คลายความกังวล
“ถ้าผม ฮือๆ ถ้าผมไม่ไปหายาย ฮึก ยายจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ฮือๆๆ” ชินพัตน์นึกขึ้นมาก็รู้สึกเสียใจ รู้สึกผิดปะปนกันไปหมด
“มันเป็นอุบัติเหตุ เราไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าโทษตัวเองเลยนะชิน ยายก็คงรู้สึกไม่ดีแน่ๆ ถ้าชินมานั่งโทษตัวเองแบบนี้”
“ยายต้องปลอดภัยเชื่อผมสิ ยายเป็นคนดี พระท่านต้องคุ้มครองคนดี “
“……”ชินพัตน์นิ่งฟังคำปลอบ
“พระทานส่งคุณไปช่วยยายไงครับ ให้ไปช่วยเหลือยายตอนที่ยายกำลังลำบาก แล้วตอนนี้เราก็ได้ช่วยให้ยายได้มาถึงมือหมอแล้ว ยายต้องปลอดภัย เชื่อผมสิ อย่าคิดมากนะครับ” นนทนัฐกอดปลอบ ลูบศีรษะชินพัตน์ไปมา
“……”ชินพัตน์พยักหน้ารับรู้
เวลาผ่านไปนานเป็นชั่วโมง ชินพัตน์ และนนทนัฐก็นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ตาจ้องมองไปที่ประตูห้องอย่างมีความหวัง การรอคอยที่แสนยาวนาน
นนทนัฐกุมมือชินพัตน์ไว้ตลอดเวลา
แล้วประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดขึ้น ทั้งคู่วิ่งเข้าไปหาหมดที่เดินออกมาถามหาญาติ
“ผมครับ ผมเป็นคนรู้จักกับยายเองครับ ยายเป็นยังไงบ้างครับ”
“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ เนื่องจากเป็นลมล้ม ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะ ต้นแขนข้างซ้ายกระดูกร้าว ต้องเข้าเฝือกอ่อนนะครับ คนไข้ก็อายุมากแล้ว ต้องคอยระวังให้มากๆนะครับ รอคนไข้ฟื้นอีกที่ นอกนั้นก็มี่อะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ”
“ขอบคุณครับหมอ ขอบคุณมากๆครับ”ชินพัตน์และนนทนัฐยกมือไหว้คุณหมอ
ยายโดนส่งตัวไปที่ห้องพิเศษที่ชินพัตน์ติดต่อไว้ เพื่อให้ยายได้นอนพักห้องดีๆ แล้วเข้าไปเยี่ยมอาการยายที่ยังคงนอนหลับอยู่ พยาบาลบอกว่า อีกไม่นานก็จะฟื้นขึ้นมาเอง เพราะร่างกายต้องการพักผ่อน พอได้น้ำเกลือเข้าไปแล้วก็จะปรับสภาพร่างกาย ให้ฟื้นขึ้นมาได้
ชินพัตน์เข้ามานั่งเฝ้ายายอย่างใกล้ชิด กุมมือยายไว้ตลอดคิดเพราะคิดว่าถ้าตนเองไม่ไป หรือไปช้ากว่านี้ ยายคงไม่ได้มาอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้แน่ๆ น้ำตาชองชินพัตน์ก็เริ่มไหลขึ้นมาอีกครั้ง นึกไปถึงว่าถ้าเป็นพ่อแม่ขอตัวเขาเองด้วย จะทำยังไง ไม่อยากให้เหตุการณืแบบนี้เกิดขึ้นมาอีก
“ชิน ผมว่าคุณกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีไหม แวะไปดูที่ร้านด้วย ป้าพรกับจอยจะเป็นห่วงนะครับ”นนทนัฐลูบหลังเบา
“แต่ว่า…..”
“ไม่เป็นไร ผมอยู่เป็นเพื่อนยายเองนะ คุณรีบกลับไปดูร้าน แล้วค่อยมาใหม่ดีว่า จอยกับป้าจะได้หายเป็นห่วงด้วยดีไหม”
“ครับ” ชินพัตน์นึกถึงร้านและความกังวลของคนที่ร้าน
“แล้วร้านของคุณล่ะ”
“ผมปิดร้านแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ห่วงก็แต่ร้านคุณนั้นแหละ กลับไปก่อนเถอะแล้วค่อยมาใหม่นะครับ” นนทนัฐพูดเสียงอ่อน ยิ้มเล็กๆส่งให้เป็นกำลังใจ
“ขับรถผมกลับไปก่อนนะ ส่วนเรื่องรถคุณว่างๆค่อยกลับไปเอา” นนทนัฐส่งกุญแจรถของตนเองให้
“………..”ชินพัตน์เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นนี้แล้ว ก็ไม่สามารถหยุดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอีกครั้งได้ โผล่เข้ากอดอีกฝ่ายที่ที่ยืนอยู่
“นนท์ นนท์ผมขอบคุณคุณมากเลยนะ ฮึก ถ้าไม่มีคุณผมทำอะไรไม่ถูกแน่ๆเลย ฮึก” ชินพัตน์กอดนนทนัฐแน่น ซบหน้ากับซอกคออุ่นของอีกฝ่าย รู้สึกได้ถึงความรักความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้เขาเสมอมา
“………….”นนทนัฐยกยิ้มเล็ก ลูบแผ่นหลังที่สะอื้นเบาๆ บอกคำขอบคุณจากความรู้สึกที่มีออกมาจนหมด แค่นี้เขาก็มีความสุขมากที่ได้ทำอะไร เพื่อใครสักคน ไม่ต้องการคำขอบคุณ แต่ต้องการให้คนคนนั้น ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่ลำบาก และจะไม่ทำให้เสียใจ แค่นี้เขาก็มีความสุขมากแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ “นนทนัฐดึงชินพัตน์มามองแล้วเช็ดคราบน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา ชินพัตน์จับมือนันไว้ แล้วแนบใบหน้าลงบนฝ่ามืออุ่นนั้น
หลับตาแล้วซึมซับความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาให้รู้สึกอุ่นใจทุกครั้ง
ไม่ว่าอะไรจะผ่านเข้ามา ร้ายแรงเพียงใด
แค่มีคนคนนี้อยู่ข้างกาย เขาก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว
ความรักครั้งนี้จะเป็นอย่างไร
เขาพร้อมที่จะเดินไปพร้อมกับคนคนนี้
ยอมแล้วครับ
ยอมแล้ว
“นนท์”ลืมตาขึ้นมาจากความอบอุ่นนั้น และจองมองใบหน้ามีที่รอยยิ้มกลับมาให้เขาเสมอ
“ครับ”
“ผมรักคุณ” ชินพัตน์ก็โผล่เข้ากอดอีกฝ่ายอีกครั้ง