Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 38
ทุกนาทีมีค่า
“พ่ะ พี่รามคะ” รินลณีรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาพี่ชายที่กำลังนั่งกอดอกครุ่นคิดอะไรอยู่นานสองนานคนเดียวตรงโซฟาที่เอาไว้รับรองลูกค้าหลังจากที่เจ้าตัวยอมปล่อยให้อินทัชไปพักผ่อนที่ที่ตัวเองอยากจะไป โดยให้ขรรค์ หมอเงินและจักรตามไปด้วย
ส่วนเจ้าจอมกับรินลณีก็ยืนอยู่ห่างๆ จากพี่ชายของตนเอง แต่ก็รวบรวมความกล้าเข้าไปหา ไม่อยากปล่อยให้มันคาราคาซังแบบนี้
“มีอะไร” ถามห้วนๆ
หญิงสาวหน้าเสียไปเพราะไม่เคยมีสักครั้งที่พี่ชายจะใช้น้ำเสียงและสีหน้าแบบนี้ตอบรับหรือคุยกับเธอเลย แต่รินลณีก็เข้าใจดีว่าเธอเป็นต้นเหตุความแค้นของพี่ชาย
“ริน...ขอโทษนะคะ”
“เรื่องอะไรอีกล่ะ พี่เห็นว่ารินขอโทษไปเยอะแล้วนี่ ยังไม่หมดเหรอ” รามินทร์อดที่จะประชดประชันน้องสาวตัวเองไม่ได้ แม้จะรู้ว่าน้องต้องเสียใจก็ตามที
“พี่ราม” เรียกพี่เสียงเครือ น้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้งจนรามินทร์ต้องเบือนหน้าหนี เจ้าจอมที่ยืนข้างๆ กับลูกพี่ลูกน้องวัยเดียวกัน ก็เอื้อมไปจับมือบางแล้วบีบเบาๆ เพื่อส่งผ่านกำลังใจ
“ที่จริงแล้วรินก็สำนึกผิดแล้วนะพี่ราม และเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีรินที่ผิดคนเดียวด้วย” เจ้าจอมพูดขึ้นเพราะทนไม่ได้ที่รามินทร์เหมือนจะไม่รับฟังอะไรใครทั้งนั้น
“จะบอกว่าจอมก็มีส่วนผิดงั้นสิ”
“เปล่า...จอมไม่ได้ผิด เพราะที่ผ่านมาจอมพยายามบอกพี่รามหลายครั้งแล้ว แต่พี่รามต่างหากที่ไม่เชื่อ ไม่คิดจะฟังจอมเลย อีกคนที่ผิดก็คือพี่ราม พี่รามต่างหาก ถ้าพี่รามปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป ไม่แค้น ไม่เคืองอะไรพี่อิน เรื่องก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก” เจ้าจอมว่า
ร่างแกร่งนั่งฟังอย่างเงียบๆ คิดตามในสิ่งที่น้องชายพูด
“พี่โกหกกับพี่อินว่ารินตายแล้ว แล้วเพราะอะไรรู้ไหมที่พี่อินยอมให้พี่แก้แค้น เพราะพี่อินมีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบ แค่ได้ยินว่าชื่อตัวเองเกี่ยวข้องกับการตายของใครสักคน พี่อินก็ยอมรับผิดชอบแต่โดยดี แม้ตัวเองรู้ดีแก่ใจว่าไม่มีความผิดก็ตามเถอะ ถ้าจอมเป็นพี่อิน จอมก็จะทำแบบเดียวกัน”
ที่เจ้าจอมพูดมามันถูกหมดทุกอย่าง น้องไม่มีความผิดอะไร เพราะเจ้าจอมทั้งเตือน ทั้งคอยบอกว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดมาเสมอ คนที่ผิดคือเขาเอง ที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอินทัช
พอทุกอย่างมันพลิกกันไปหมด รามินทร์ก็รู้สึกเคว้ง
มันไม่ต่างอะไรกับการที่จับคนบริสุทธิ์มาฆ่า...เป็นแพะรับบาปให้กับรินลณี
“พี่เอง...ก็อยากให้เข้าใจพี่ด้วย หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น พี่ฝันร้ายมาตลอด พี่ฝันว่ารินไม่อยู่กับพี่แล้ว รินฆ่าตัวตายและตายต่อหน้าพี่ พี่ฝันแบบนี้อยู่บ่อยๆ และยิ่งรินไปอยู่ต่างประเทศ มันยิ่งทำให้พี่รู้สึกว่ารินไม่อยู่แล้วจริงๆ พี่เลยไปหาหมอ ปรึกษาหมอ และทานยาตามที่หมอสั่ง...แม้มันจะดีขึ้นแต่ก็ไม่หายขาด พี่เลยคิดว่าถ้าพี่แก้แค้นอินมันได้ พี่คงจะหายจากไอ้ฝันร้ายบ้าๆ นี้แน่นอน...” เจ้าของรีสอร์ทสารภาพออกมาเสียงเบาหวิวคล้ายคนจะหมดแรง
เจ้าจอม รินลณีตกใจ ไม่รู้มาก่อนว่าพี่ชายตนจะมีอาการทางปราสาทขนาดต้องปรึกษาหมอ ต้องทานยาแบบนี้ แต่พอเจ้าจอมนึกกลับไปเมื่อสองปีก่อนที่เห็นว่าช่วงหนึ่งรามินทร์มักจะทานยาอยู่เสมอ
นึกว่าป่วย เป็นไข้หวัด ที่ไหนได้ มันเป็นยารักษาอาการนั่นเอง
“พี่ราม...หายดีหรือยังคะ”
“ไม่รู้สิ พี่ไม่ได้ทานยา ไม่ได้ไปหาหมอมานานแล้วด้วย แต่ไม่ค่อยฝันแล้วล่ะ ล่าสุดก็เมื่อมี่กี่สัปดาห์ก่อน แต่อินมันเข้ามาช่วยพี่ก่อน พี่เลยสงบได้”
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเห็นใจพี่ชาย
ทุกคนมีเหตุผลในการกระทำของตัวเองทั้งหมด แต่เหตุผลนั้นจะนำมาซึ่งการกระทำที่ดีหรือการกระทำที่เลวร้าย คนที่จะตัดสินเรื่องนี้คืออินทัช
“ขอโทษนะคะ ขอโทษสำหรับที่ผ่านมา ที่รินปิดบัง รินโกหก รินไม่อยากให้พี่รามกับพ่อแม่ต้องผิดหวัง”
“เอาเถอะ พี่ไม่ถือโทษโกรธอะไรรินแล้ว ถ้าน้องเปลี่ยนตัวเองได้แล้วพี่ก็จะไม่รื้อฟื้นมันขึ้นมา ผ่านไปแล้ว ก็ให้มันหายไปกับอดีตนั่นแหละ” รามินทร์ว่า
“ขอบคุณนะคะ”
“แต่สิ่งที่รินต้องทำคือขอโทษอินมัน และพี่ก็จะทำเหมือนกัน ของพี่อาจจะต้องพยายามหน่อย เพราะที่อยากได้ไม่ใช่แค่คำว่าให้อภัย แต่มันมีคำว่ารักด้วย”
“ค่ะ รินต้องทำอยู่แล้ว แต่รินก็จะคอยช่วยพี่รามด้วย มันถึงเวลาที่รินต้องทำอะไรเพื่อพี่รามบ้างแล้ว”
“ดีใจที่รินคิดได้นะ ส่วนเรื่องที่ผ่านมาก็ช่างมันเถอะ พี่โกรธเราไปก็แก้ไขอดีตไม่ได้ ไม่อยากจะทำผิดซ้ำสองอีก ไปพักผ่อนเถอะ พี่เองก็อยากพักเหมือนกัน”
“จะให้รินพักที่ไหนคะ ที่ห้องเล็ก?” หญิงสาวหมายถึงห้องเล็กในบ้านพักของรามินทร์ที่ตอนนี้อินทัชเป้นคนอยู่
“ห้องนั้นพี่ให้อินมันอยู่ไปแล้ว รินไปบอกพนักงานให้เปิดห้องให้เลยนะ ว่าแต่แฟนของรินไม่ได้มาด้วยหรือ” ร่างแกร่งถามหาคนรักของน้องสาวที่เจ้าตัวอวดนักอวดหนาตอนที่ยังอยู่ฝรั่งเศส
“รินเปิดห้องให้พี่ฟรองซัวนอนพักน่ะค่ะ แต่เดี๋ยวจะเปิดอีกห้องไม่นอนด้วยกันแน่นอนค่ะ”
“ครับ ดีแล้ว เดี๋ยวพนักงานจะมองเราไม่ดี”
“รินรู้ค่ะ ขอบคุณนะคะที่ไม่โกรธริน รินรักพี่รามนะคะ” หญิงสาวเข้าไปสวมกอดพี่ชายอย่างแนบแน่น รามินทร์เองก็กอดร่างของรินลณีกลับเช่นกัน
พี่น้องสายเลือดเดียวกัน...ไม่ว่าจะผิดยังไง ก็ตัดกันไม่ขาดหรอก ก็เรามีอยู่กันแค่นี้
“จอมดีใจนะที่ทุกอย่างมันคลี่คลาย ผู้บริสุทธิ์ได้รับความเป็นธรรม รินได้สารภาพและขอโทษ พี่รามเองก็จะได้ตาสว่าง...” เจ้าจอมพูดขึ้นมายิ้มๆ แล้วเดินไปนั่งอีกฝั่งของรามินทร์ ก่อนจะสวมกอดเอวหนาอย่างรักใคร่เช่นเดียวกัน
“มันจะเป็นบทเรียนราคาแพงของพี่เลยล่ะ”
“จอมรักและภูมิใจในตัวพี่รามเสมอนะครับ ต่อให้พี่จะทำผิดไปบ้าง แต่จอมก็รักและเคารพพี่ราม เพราะจอมรู้ว่าไม่มีใครจะดีร้อยเปอร์เซ็นได้ขนาดนั้น ทุกคนต้องมีผิดมีพลาดกันบ้าง”
“พี่ก็ต้องขอโทษจอมและขอบคุณจอมกับทุกเรื่องด้วยนะ” ร่างสูงว่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ จอมไม่โกรธ แค่ตอนนี้จอมได้พี่รามคนเดิมกลับมา จอมก็ดีใจสุดๆ แล้วครับ” ร่างเล็กพูดด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
สามพี่น้องกอดกันแน่น เป็นภาพที่แสนประทับใจของเหล่าพนักงานและลูกค้าที่วันนี้ได้เห็นกันหลายภาพ หลายอิริยาบถเหลือเกิน
“พี่รักรินกับจอมนะครับ น้องสาวน้องชายของพี่”
“รินก็รักพี่รามกับจอมนะ”
“จอมก็รักพี่รามกับรินเหมือนกัน”
ต่อให้อีกสามวันรามินทร์จะพบเจอกับอะไร จะดีใจ เสียใจ เศร้าใจ ผิดหวัง ร้องไห้ แต่เขาจะยังมีน้องสาวน้องชายคอยเป็นกำลังใจและอยู่ข้างๆ เสมอ
ครอบครัว ยังไงก็คือครอบครัว...
รักแท้...ที่แสนจะมั่นคงและยั่งยืนนาน
ช่วงเย็น รามินทร์พาอินทัชมายังสวนที่ถูกจัดสถานที่เอาไว้อย่างสวยงามราวกับเป็นงานเลี้ยงต้อนรับแต่ความเป็นจริงรามินทร์ก็แค่อยากจัดให้กับอินทัชเท่านั้น
“กูแค่คิดว่ามึงน่าจะชอบ”
“ทำไมกูต้องชอบ ที่จริงกูชอบที่จะกินในครัวกับพวกคนงานมากกว่า” ตอบแบบไม่คิดจะรักษาน้ำใจของรามินทร์เลยสักนิด หากแต่รามินทร์ก็ยิ้มให้น้อยๆ
“ไม่ต้องมายิ้ม กูไม่ได้ชม”
“อะไรที่มึงพูดกับกู กูจะคิดว่ามันเป็นเรื่องดีหมดนั่นแหละ”
“หึ...ทำมาเป็นมองโลกในแง่ดี ทีเมื่อก่อนนะ กูพูดอะไรก็เลวไปหมด”
ไม่อยากจะรื้อฟื้นหรอก แต่มันอดไม่ได้ที่จะประชดประชันออกไป
“มันก็เป็นเรื่องของอดีตนี่ ไปนั่งเถอะ เขารอมึงกินข้าวอยู่” รามินทร์ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดถากถาง เสียดสีนั่น เพราะมันยังเจ็บได้ไม่เท่ากับสิ่งที่เขาเคยทำลงไปด้วยซ้ำ
ร่างแกร่งเดินนำร่างโปร่งไปยังโต๊ะอาหารโต๊ะยาวที่มีคนนั่งรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งเจ้าจอม จักร ขรรค์ หมอเงิน รินลณี และฟรองซัว ทุกคนนั่งเป็นคู่ในรูปแบบของการนั่งตรงกันข้ามกัน รามินทร์กับอินทัชเดินไปนั่งที่เก้าอี้ว่างทันที บรรยากาศคลอไปกับดนตรีคลาสสิกเบาๆ ที่เปิดเอาไว้ไม่ให้บรรยากาศเงียบ
“ขอแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะคะ นี่พี่ฟรองซัวค่ะ แฟนของรินเอง...พี่ฟรองซัวคะ นี่พี่ชายของรินค่ะ พี่ราม ที่นั่งตรงข้ามคือพี่อิน นี่ก็พี่ขรรค์กับหมอเงินค่ะ” รินลณีแนะนำแฟนตัวเองให้รู้จัก และแนะนำคนที่ฟรองซัวยังไม่รู้จักให้กับคนรักด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ฟรองซัวพูดเป็นภาษาอังกฤษออกมา ซึ่งทุกคนก็ยิ้มรับน้อยๆ ยกเว้นอินทัชที่นั่งหน้านิ่งตลอดเวลา ไม่สนใจใคร ไม่มองหน้าใคร จนฟรองซัวต้องสังเกตดีๆ ว่าอินทัชเป็นอะไรหรือเล่า ไม่ชอบอะไรตน แต่กลับต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“อิน? อินทัช ใช่อินหรือเปล่า” ภาษาฝรั่งเศสออกมาจากปากของฟรองซัวเรียกความสนใจจากอินทัชได้ทันที แต่เมื่อเห็นหน้าของคนที่ถามเขาแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี
นับว่าเป็นรอยยิ้มแรกของวันเลยก็ว่าได้
“ฟรองซัว? นี่นายเองเหรอ” อินทัชเองก็ถามกลับไปเป็นภาษาฝรั่งเศส ทำเอาคนที่ฟังไม่ออกอย่างรามินทร์ เจ้าจอม จักร ขรรค์และหมอเงินถึงกับมองหน้ากันอย่างมึนงง
“ใช่น่ะสิ โลกกลมชะมัดเลย ช่วงนี้ไม่เคยเห็นบินไปฝรั่งเศสเลย ที่แท้ก็มาขลุกตัวอยู่นี่เอง รู้ไหมว่าข่าวการหายตัวไปของนายน่ะ มันกระจายไปทั่วโลกแล้วนะ บริษัทคู่แข่งนายต่างก็พากันกอบโกยเละเลย” ฟรองซัวพ่นภาษาฝรั่งเศสต่ออีก คราวนี้ยาวเหยียด ชนิดเหมือนฟังภาษาต่างด้าวอยู่ก็ไม่ปาน
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันมีวิธีกอบกู้วิกฤตน่า สบายดีนะ ไม่เจอกันนานเลย ตั้งแต่เมื่อปีก่อนที่ฉันไปดูงานที่ฝรั่งเศส”
“ก็สบายดีนั่นแหละ แต่เหมือนว่านายคงไม่สบายเท่าไหร่นะอิน” พอถึงประโยคนี้อินทัชก็นิ่งไป กลับมาสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิม
“ค่อยคุยกันนะฟรองซัว เอาไว้ฉันกลับกรุงเทพก่อน นายค่อยไปหาฉันที่บริษัท”
“ก็ได้ ตามนั้น”
ทั้งคู่ตกลงกันเสร็จก็กลับมาต่างคนต่างนั่งนิ่งเหมือนเดิม รินลณีมองหน้าของอินทัชสลับกับคนรักไปมาอย่างสงสัย แปลกใจที่ทั้งสองคนรู้จักกัน คนอื่นๆ ที่ไม่รู้ว่าทั้งคู่คุยอะไรก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้
จักรมองเพื่อนอย่างทึ่งในความสามารถ จนนึกอิจฉาที่เขากับมันแตกตางกันขนาดนี้ ถ้ามันกลับไปในที่ของมัน จักรคงไม่กล้าเรียกอินทัชว่าเพื่อนอีกต่อไปแน่ๆ
“He is my friend. We do business together and I respect his ability. He was so good and all employees loved him. The company's problems, He will be on hand to advise me.”
ฟรองซัวออกปากชมร่างโปร่งด้วยภาษาอังกฤษเป็นชุด ทำให้รามินทร์ หมอเงิน และขรรค์กระจ่างในข้อสงสัยทันที แต่จักรที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอย่างนึกสมเพชตัวเอง
“Shut up!!” อินทัชหันไปสั่งเสียงดุ ทำให้ฟรองซัวรีบเม้มปากแน่นทันที ไม่ได้กลัวจริงหรอก แต่ก็ไม่อยากจะขัดอินทัชเทาไหร่ เราเป็นเพื่อนกันมานานมาก...
“ทานข้าวเถอะครับ” รามินทร์ชวน ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าแล้วเริ่มทานอาหารกันทันที ต่างคนก็ต่างเอาอกเอาใจคนรักที่อยู่ตรงหน้า สลับกันตักอาหารให้กันและกัน แต่รามินทร์กับอินทัชก็ยังต่างคนต่างทาน หากร่างสูงก็ลอบมองใบหน้าหวานของอินทัชอยู่ตลอด
“พี่อินอยากได้ปลาไหมครับ” เจ้าจอมถาม
“ไม่เป็นไรครับน้องจอม พี่กินเฉพาะแค่ตรงหน้าก็ได้ แค่นี้ก็ไม่หมดแล้วล่ะ” อินทัชยิ้มให้คนข้างๆ ตัวเอง
“ตามสบายเลยครับ พี่อินอยากกินอะไรถ้าตักไม่ถึงบอกจอมได้ เดี๋ยวจอมตักให้”
“ได้ครับ ถ้าพี่อยากได้อะไร พี่จะบอกให้จอมช่วยนะ”
“ครับ”
แต่อินทัชก็เลือกที่จะทานแต่ของที่ตัวเองตักถึงเพราะไม่อยากจะรบกวนใคร ระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่ไม่มีการพูดคุยอะไรกันอย่างที่ควรจะเป็น เพราะอินทัชทำตัวเย็น จนใครๆ ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากคุยด้วย โดยเฉพาะรินลณีที่อยากจะคุยแต่ก็ไม่มีความกล้าเสียที
“อ่ะ...อันนี้อร่อยนะ มึงลองกินดู”
“ขอบใจนะจักร” อินทัชยิ้มให้เพื่อนตัวใหญ่ของตนที่ตักอาหารมาใส่จานของเขาทั้งๆ ที่นั่งกันคนละฝั่งและไม่ได้นั่งตรงกันอีก
“อือ...กูแค่อยากให้มึงกินหลายๆ อย่าง จะได้รู้ว่ามีอะไรที่อร่อยถูกปาก อะไรไม่ถูกปาก”
“ยังไงก็ขอบใจนะ”
รามินทร์กำมือแน่นอย่างอิจฉา ตวัดสายตามองจักรที่อยู่ข้างๆ ตัวเองทันทีแบบไม่พอใจ ทำเอาจักรต้องยิ้มมุมปากให้กับเจ้านาย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จักรทำแบบนี้กับรามินทร์ ทั้งๆ ที่ผ่านมาตัวเองจะให้เกียรติและเคารพเจ้านายเสมอ แต่ตอนนี้ขอหน่อยเถอะ...
มีอย่างที่ไหนทำร้ายเพื่อนของเขาเสียขนาดนั้น แม้จะเพิ่งรู้จักกัน แต่เพราะความเป็นกันเอง ความไม่ถือเนื้อถือตัวของอินทัช ก็ทำให้จักรผูกพันได้ไม่ยาก
“พี่รามทำไมมองจักรอย่างนั้นล่ะครับ” เจ้าจอมถามขึ้น
“เปล่า พี่ก็ไม่ได้มองนี่ แค่หันไปดูอะไรเฉยๆ”
“เหรอครับ”
“ครับ...พี่จะโกหกจอมทำไมล่ะ” รามินทร์ยิ้ม
บางครั้ง คนเราก็ต้องรู้จักโกหกเพื่อเอาชีวิตตัวเองให้รอด
“แล้วไป”
“อาหารอร่อยไหมครับคุณฟรองซัว” รามินทร์ถามแขกที่เป็นชาวต่างชาติอย่างกังวลเพราะกลัวว่าจะไม่ชินกับอาหารไทยแบบนี้
“อร่อยมากเลยครับ ผมชอบ”
“ดีใจที่ชอบนะครับ ถ้าชอบก็ทานเยอะๆ เลยนะครับ คิดว่าจะทานอาหารไทยไม่ได้เสียแล้ว”
“ผมกินได้ครับ ยิ่งอาหารไทยผมยิ่งชอบ พอดีตอนมาหาอินที่ไทย ทุกครั้งอินก็จะพาไปกินอาหารไทยนี่แหละครับ” ฟรองซัวตอบตามจริง ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้มีเตนาแอบแฝงอะไร เพียงแต่เจ้าของรีสอร์ทกลับคิดมากหนักเข้าไปแล้ว
อิจฉา ไม่พอใจ ที่ฟรองซัวรู้จักอินทัชมาก่อนเขา ไหนจะความสนิทสนมนั่นอีก
ฮึ่ย! ถ้าโลกมันจะกลมขนาดนี้...
“ดีครับ ปรับตัวได้เข้ากับทุกที่ได้ดีเลย”
อินทัชส่ายหน้านิดๆ เพราะเข้าใจท่าทีของรามินทร์ดีว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกอะไรอยู่ เล่นแสดงออกมาทางหน้าตาหมดเลยแบบนั้น...
พอกลายเป็นคนที่มันรัก...อะไรๆ ก็ดูเปลี่ยนไปหมด ถามว่าดีไหม มันก็ดี...แต่ก็ไม่ดีไปทั้งหมดหรอก เพราะการกระทำพวกนี้อาจจะมีผลต่อความรู้สึกในภายภาคหน้าได้
ความรู้สึกเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก ขนาดที่ตัวของเราเองยังไม่เข้าใจมันในบางครั้งเลย...ไม่รู้จะส่งผลกระทบที่ความรู้สึกไหน แต่แน่นอนว่ามันต้องมีบ้าง...เขาไม่อาจจะพูดได้ว่าจะไม่หวั่นไหวกับรามินทร์ เพราะนั่นมันเป้นความรู้สึก นึกคิดที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ และธรรมชาติก็ไม่มีใครฝืนหรือเปลี่ยนมันได้
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ขรรค์กับหมอเงินก็ขอตัวกลับบ้านไปพักผ่อนเพราะหมอเงินต้องเข้าเวรเช้า จักรกับจอมเองก็อยู่คุยกันสักพักแล้วก็ขอตัวกลับตามไปอีกคู่ เหลือเพียงแค่รามินทร์ อินทัช รินลณีและฟรองซัว สองพี่น้องอัครสิงหบดีนั่งมองอินทัชกับฟรองซัวพูดภาษาฝรั่งเศสกันอย่างสนุกสนาน
“ฮ่าๆ จริงเหรอวะ เอาไว้ว่างๆ นายพาฉันไปดูหน่อยสิ อยากจะเห็นเหมือนกันนะ”
“ได้สิ แต่คงต้องเป็นคราวหน้านะ เพราะฉันกลับกรุงเทพคราวนี้มีงานที่ต้องเคลียร์เยอะเลยล่ะ”
“อืม...ฉันเข้าใจ ฉันเองก็พอรู้เรื่องจากรินมาบ้างแล้ว เห็นใจนายนะ ไม่ได้ผิดอะไรแต่ต้องมาทนรับกรรมอยู่แบบนี้ แต่นายก็ต้องฟังเหตุผลของคุณรามเขาดูด้วยนะ ทุกการกระทำมันมีเหตุผลเสมอ นายสอนฉันเองนะอิน” ร่างโปร่งบางนิ่งไป ก่อนจะหันไปมองรามินทร์และรินลณีอย่างครุ่นคิด
เหตุผล? อินทัชก็แค่คนๆ หนึ่งที่มีเลือด มีเนื้อ มีความรู้สึก และแน่นอนว่าไม่ใช่เทวดาที่จะให้อภัยคนได้ง่ายขนาดนั้น...ไม่ถือโทษ เอาความ แต่ใช่ว่าจะลืมเรื่องเลวร้ายพวกนั้น
“อืม...จะพยายามก็แล้วกัน”
“และขอร้องนะอิน เรื่องมันผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วศาสนาของนายก็สอนไว้ไม่ใช่เหรอ ว่าการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการให้อภัย ถ้านายยึดติดอยู่แบบนี้ นายจะไม่มีความสุขนะ” ฟรองซัวพูดเตือนสติ ทำเอาอินทัชถึงกับหัวเราะออกมา
“นี่นายนับถือคริสต์ไม่ใช่หรือ”
“ก็ใช่ ฉันนับถือคริสต์ แต่ว่าก็ไม่มีใครห้ามไว้นี่ว่าจะนับถือศาสนาได้แค่ศาสนาเดียว อย่างคำสอนของศาสนานายฉันก็ชอบนะ สอนและเตือนสติได้ดีทีเดียว”
“ถ้านายไปพูดให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉันฟัง รับรองคนไทยบางคนมีอายน่ะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า”
“ฮ่าๆ”
“หัวเราะแล้ว” ฟรองซัวว่า
ร่างสูงโปร่งยิ้มให้เพื่อนต่างชาติของตน เข้าใจในความหมายของประโยคที่ฟรองซัวพูด...แสดงว่าที่ผ่านมาเขาทำหน้าไม่มีความสุขอยู่ตลอดเวลาสินะ ฟรองซัวถึงได้ดีใจที่เห็นเขาหัวเราะได้
“ไม่คุยกับนายแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ ฉันเองก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน”
“พรุ่งนี้เราจะเจอกันไหม?”
อินทัชหันมองสองพี่น้องรามินทร์ รินลณีที่จ้องมองเราสองคนอยู่เพื่อตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะตอบออกไปเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้รามินทร์เข้าใจในคำตอบของเขาด้วย
ขี้เกียจพูดซ้ำหลายรอบ
“ไม่ต้องเจอกันหรอก นายค่อยไปเจอฉันที่กรุงเทพแล้วกัน ส่วนสามวันต่อจากนี้ ฉันมีนัดแล้ว คงไม่มีเวลามาเจอนายหรอกนะ”
นับว่าเป็นประโยคที่ให้ความหวังกับรามินทร์สุดๆ จนร่างสูงใหญ่ฉีกยิ้มกว้างมีความสุข นั่นมันทำให้หัวใจของร่างบางกระตุกไปด้วย
คิดผิดหรือถูกที่พูดแบบนั้นออกไป...แต่ที่พูดไปอย่างนั้นไม่ใช่ว่าอยากจะอยู่กับรามินทร์หรอก แค่ทำตามคำพูดที่ได้สัญญาไปแล้วต่างหาก...
50%
มาแล้วค่า ขอโทษที่ให้รอนานนะจ้ะ อ่านแล้วเม้นท์ให้ด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้ยูกิ
พูดคุยกับยูกิ ติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจเลยค่า
https://www.facebook.com/sawachiyuki/