ตอนที่ 3 [END]
ร่างกายเบาลงจนแทบจะล่องลอย ผมรู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อคืนมากที่ไม่ปวดหัวและปวดทุกส่วนของร่างกาย ไม่รู้สึกเจ็บแม้ตอนที่เสื้อผ้าเสียดสีเพียงเล็กน้อย ลืมตาดูโลกได้ไม่กี่วินาทีผมก็เห็นจอห์นนั่งอยู่ข้างๆแล้ว ทุกครั้งที่มองแก้วตาสีเขียวอันงดงามของเขาผมรู้สึกเหมือนได้รับยากระตุ้นชั้นดีที่ทำให้รู้สึกสดชื่นยังไงไม่รู้ เหมือนว่าเขาจะอยู่ตรงนี้มาได้สักพัก หรืออาจจะตลอดทั้งคืนเลยก็เป็นได้
"เป็นไงเจ้าบิสกิต ตัวไม่ร้อนแล้ว"
"รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ขอบคุณที่ดูแลผม" เขาใช้นิ้วมือเกลี่ยเส้นผมแล้วก้มลงมาจูบหน้าผากของผม น่าแปลกที่ผมหลับตายอมให้ทำโดยที่ไม่ได้หันหนีเลย
"ผมเพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จ เดี๋ยวพอคุณกินยาเรียบร้อยแล้วผมถึงจะออกไปทำงาน" ใช่เลย วันนี้เขาแต่งชุดสูทดำดูหรูและเท่ในคราวเดียวกัน ผมเพิ่งสังเกตว่าเขาเซ็ตผมขึ้น จอห์นดูหล่อสมกับหน้าที่การงานมากจนผมอดมองนานๆไม่ได้ เหมือนเขาจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เพราะร่างกายผมถูกพยุงขึ้นนั่งแล้วเขาก็เดินกลบความเขินออกไปอีกทาง ก่อนจะกลับมาพร้อมถ้วยอาหารที่มีควันหอมกรุ่นข้าวต้ม
"ช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ฟังหน่อยได้ไหม"
จอห์นชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหันมาถามผมด้วยสายตา
"ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลย...แบบว่า รู้จักกันไม่เท่าไหร่ก็ต้องมานอนป่วยให้ดูแลกันแล้ว" ผมพูดติดขัดจนเขาหัวเราะ ก็แหงล่ะ เหตุผลมันฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ที่จะไปขอให้เขาเล่าเรื่องส่วนตัว
"ถ้าสัญญาว่าจะกินข้าวให้หมดและกินยา..."
"ตกลง!" ผมรีบคว้าถ้วยข้าวต้มมาถือ แต่มันร้อนจนต้องส่งคืนให้เขาแล้วสะบัดมือไล่ความร้อน ถูกหัวเราะอีกจนได้...เขาอาสาถือให้แต่ให้ผมป้อนกินเอง
"ผมอายุสามสิบ มีเชื้อสายเกาหลีแบบคุณประมาณยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ เคยไปรบที่อัฟกานิสถานมาสามปีแต่ถูกส่งตัวกลับเพราะมีปัญหาสุขภาพ"
"ปัญหาสุขภาพ?"
"ปวดท้องรุนแรงมากจนต้องกลับมาผ่าเอาก้อนเนื้อในกระเพาะออก"
ผมสบถแล้วเลิกคิ้วสูง "มะเร็งเหรอ?!"
"แค่ก้อนเนื้อ โชคดีที่รีบกลับมาตรวจเจอก็เลยผ่าออกไปแล้ว ตอนนี้ผมปกติ" เขายืนถ้วยมาเพื่อกระตุ้นให้ผมรีบกิน ผมเลยไม่ได้ถามอะไรไปอีกพักใหญ่จนกระทั่งถึงเวลากินยา
"แล้ว...รอยสักนั่นล่ะ?"
จอห์นดูนาฬิกา อีกไม่นานจะต้องไปแล้ว เขาจับมือผมทั้งสองข้างแล้วบีบ ก้มหน้าเล็กน้อยแล้วเงยขึ้นมาราวกับว่ามันพูดลำบาก
"อเล็กซ์เป็นคนที่ดี ดีมากจนผมต้องสักชื่อเขาไว้เพื่อเตือนความจำไปตลอดชีวิต เราพบกันที่ค่ายอัฟกานิสถาน แต่ตอนนี้คงไม่มีโอกาสได้พบกันแล้ว...ผมไปทำงานก่อนนะ นี่คีย์การ์ดสำรองของห้องผมเผื่อคุณอยากกลับห้องตัวเองหรือยังไม่ไปก็ได้ ไว้ค่อยเอามาคืน"
จอห์นลุกขึ้นยืนเต็มความสูงจนผมที่นั่งอยู่บนเตียงต้องเงยหน้ามอง รับคีย์การ์ดสีขาวนั่นเอาไว้ มือหนาจับแก้มของผมทั้งสองข้างอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่มีไข้ แล้วเขาก็โบกมือลาพร้อมสะพายเป้ออกไปจากห้อง
คนที่ดีจนต้องสักชื่อเอาไว้เพื่อเตือนความจำไปตลอดชีวิต แสดงว่าเขามีคนในใจอยู่แล้วและผมคงจะเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ประโยคมีความติดขัดนิดหน่อยตรงที่บอกว่าจะไม่ได้พบกันอีก ผมไม่เข้าใจ
ผมนั่งคิดอยู่นานสองนานไม่ยอมหลับ ไม่รู้เกิดหงุดหงิดอะไรขึ้นมาอีก งานก็ยังไม่เสร็จ แถมในหัวก็มีแต่ความสงสัยกับคนที่ชื่ออเล็กซ์ แต่ในที่สุดก็ฝืนฤทธิ์ยาไม่ไหว ทิ้งร่างนอนลงบนเตียงนุ่มและผ้าห่มอุ่นๆของจอห์นอีกครั้ง
...
ผมเคยบอกคุณหรือยังว่าตัวเองเป็นคนบ้างานพอสมควร บวกกับความดื้อรั้นนิดหน่อย พอตื่นขึ้นมารู้สึกดีขึ้นก็รีบกลับห้องไปนั่งทำงานต่อทันที แต่ก็ไม่ลืมหาอะไรรองท้องเพื่อจะทานยาตามที่คุณหมอจอห์นสั่งหรอกนะ
ระหว่างที่เปิดเว็บแปลคำศัพท์ ที่มุมจอด้านล่างเป็นเหมือนป้ายโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์อะไรสักอย่างผุดขึ้นมา อักษรมันเล็กพอสมควรทำให้ต้องหยีตาอ่าน มันคือโฆษณาของการท่องเที่ยว เป็นการเชิญชวนให้ไปเยี่ยมชมการเปิดห้องต่างๆในทำเนียบขาว
ทำเนียบขาว...ที่จอห์นทำงานอยู่
ผมรีบกดเข้าไปดูข้อมูลทันทีเพื่อหารายละเอียดเกี่ยวกับค่าเข้าชมของทัวร์และรอบเวลา ไม่ช้าไม่นานผมรีบปิดโน้ตบุ๊กหยิบของใช้ที่จำเป็นใส่กระเป๋าแล้วเดินออกจากห้อง
โชคไม่เข้าข้างเท่าไหร่ที่เดินไปตามห้องต่างๆมาเกือบชั่วโมงแล้ว แต่ไม่มีวี่แววของคนที่ผมอยากมาเจอเลย หรือว่าเขาจะทำงานอยู่ในที่ๆไม่ได้ให้คนทั่วไปเข้า แต่ไม่เป็นไร ถือเสียว่ามาพักผ่อนหลังจากหายป่วย เป็นการคลายเครียดไปในตัว
พอไกด์พูดจบการนำทัวร์ ผมก็ไม่รู้จะไปไหนนอกจากเดินออกมาด้านนอกที่มีคนกลุ่มใหม่กำลังจะรอเข้าชมรอบถัดไป อันที่จริงนอกจากงานแปลนิยายแล้วผมยังเขียนนิยายของตัวเองอีกด้วย ถ้าหากถ่ายรูปแล้วเอาบรรยากาศไปเป็นส่วนหนึ่งของฉากในนิยายมันคงจะดีไม่น้อย เพราะไม่บ่อยนักที่ผมจะออกไปเก็บบรรยากาศจริง มีแต่นั่งนึกเค้นเอาความรู้สึกเอง หวังว่าสักวันงานเขียนของผมจะได้ตีพิมพ์กับเขาบ้าง
ระหว่างที่ผมกำลังจะหยิบกล้อง มีใครก็ไม่รู้เดินมาประชิดที่ด้านหลังพร้อมกับมีวัตถุแข็งๆมาจ่อที่เอว ผมตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเขากระซิบ
"อย่าโวยวาย อยู่นิ่งๆแล้วเดินไป"
ผมตระหนกแต่ทำอะไรไม่ถูกนอกจากทำตามคำสั่ง ในใจร้องตะโกนเป็นร้อยรอบให้คนช่วย แต่คนร้ายดูเหมือนจะทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเราเดินมาด้วยกันทั้งที่ความจริงแล้วผมถูกปืนจ่ออยู่ที่ใต้เป้ ไม่มีใครสังเกตเห็นเราสักนิด
"แกจะทำอะไร ที่นี่ทำเนียบขาวนะ"
"หุบปากแล้วทำตามที่บอกเถอะน่า!" คนร้ายพูดเสียงลอดไรฟันแต่พยายามข่มไว้ เขาเอาอะไรบางอย่างยัดใส่มือผมแล้วดันให้เดินต่อไปจนเกือบถึงกลางโถงใหญ่ และผมเห็นจอห์นกำลังเดินลงมาพร้อมเจ้าหน้าที่อีกสองสามคนที่บันไดอีกฟากหนึ่ง เขาดูเท่มากจนผมมองไม่เห็นคนอื่นเลย
พระเจ้าช่วยผมด้วย อยากจะร้องเรียกเขาเหลือเกิน ผมกลัว ยังไม่อยากตายตอนนี้ จอห์นไม่หันมาหาผมเลย ลมหายใจของผมสั่นระริกไปหมด
"หยุดก่อน อย่าเพิ่งเดิน ถ้าแกเรียกเจ้าหน้าที่ล่ะก็ฉันจะกดระเบิดในมือแกให้ทำงาน"
โอ้ น่ารักจริงๆ ผมกำลังจะกลายเป็นมือระเบิดทำเนียบขาวในอีกไม่กี่นาที
"แกไม่รอดหรอก คิดหรอว่าฉันจะกลัว"
"แกไม่กลัว แต่คนอื่นคงวิ่งกันสนุกเลยล่ะถ้าโวยวายออกไป" คนร้ายแค่นหัวเราะ อันที่จริงน้ำตาของผมมันเริ่มรื้นขึ้นมาแล้วด้วยซ้ำตอนพูดขู่เขา เหงื่อที่ศีรษะไหลเป็นหยด แถมอาการไม่สบายก็ดูจะกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว ในใจภาวนาให้ร่างนั้นหันมาเห็นผม
ได้โปรด
ดวงตาสีเขียวมะกอกเบนมาทางผมพอดีตอนที่กำลังคุยกับเพื่อนร่วมงาน เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วเพ่งมาก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นสูง ในใจผมรู้สึกลิงโลดมากๆ เขากำลังจะเดินมาทางนี้แล้ว แต่คนร้ายก็เริ่มดึงผมเดินออกไปอีกทางเช่นกัน จอห์นจะสังเกตความผิดปกติร้ายแรงนี้ไหม
ผมพยายามทำร่างกายให้นิ่งที่สุดและขยับปากขอความช่วยเหลือแบบไม่มีเสียง จอห์นเดินเข้ามาใกล้ในระยะไม่ถึงห้าสิบเมตร ยิ่งใกล้ผมยิ่งตัวสั่น พยายามส่ายหน้าให้น้อยที่สุดเพราะกลัวคนร้ายจะรู้ตัวว่าผมเป็นคนเรียกเขา และถ้าเดาไม่ผิด เขารู้แล้วว่าผมต้องการจะสื่ออะไร ร่างหนาแกล้งทำเป็นพูดวอร์แล้วเดินหายไปอีกทาง ผมแอบได้ยินคนร้ายถอนหายใจ เขายังคงจี้ปืนย้ำเป็นระยะ
"วางระเบิดไว้ตรงนี้ ถือนี่ไว้" คนร้ายว่าก่อนส่งแท่งอะไรบางอย่างซึ่งคาดว่าจะเป็นชวนระเบิด "เดี๋ยวฉันจะเดินออกไปก่อน แต่อย่าคิดหนีนะ ในมือฉันมีชนวนอีกอันหนึ่ง จะรอดูให้แกเดินออกมาตอนไม่มีคนสังเกต ถ้าแกเรียกเจ้าหน้าที่ล่ะก็เตรียมตัวเละไปพร้อมพวกมันได้เลย"
ผมไม่เข้าใจเลยว่าคนเหล่านี้ต้องการจะระเบิดทำเนียบขาวไปเพื่ออะไร และทำไมต้องเป็นตัวเองที่โชคร้ายมาเจอพอดี
ระหว่างที่คนร้ายเผลอ จอห์นโผล่มาจากประตูอีกฝั่งที่ใกล้กันแล้วปล่อยหมัดหนักๆใส่เขาจนล้มคว่ำ เครื่องมือกดชนวนระเบิดหลุดกระเด็นจากมือ ยังไม่ทันจะลุกขึ้นมาจอห์นก็ต่อยซ้ำอีกรอบ ผมว่าคนร้ายกรามหักแล้ว ถ้าฟังจากเสียงเอาน่ะนะ ผู้คนเริ่มตื่นตระหนกเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ถือปืนสั้นวิ่งมาเป็นสิบคนพร้อมส่งเสียงดังเคลียร์พื้นที่
"โทนี่หยิบเครื่องนั่นมาเร็ว!"
ผมสะดุ้ง แต่รีบคว้าเครื่องนั่นตามที่จอห์นบอกก่อนคนร้ายจะคว้าเอาไป
"เคลียร์พื้นที่ด่วน มีระเบิด ย้ำ มีระเบิด" จอห์นหันไปบอกเจ้าหน้าที่คนข้างๆตอนที่เขารวบตัวคนร้ายเอาไว้กับพื้น เขาโคตรเท่เลยบอกตรงๆ ประชาชนเริ่มทยอยออกจากพื้นที่เกือบหมด เหลือแต่ผมที่ยังยืนทำอะไรไม่ถูก
"โทนี่ออกไปรอข้างนอก ตรงนี้อันตราย"
ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมามองผม และนั่นก็ทำให้คนร้ายอาศัยจังหวะพลิกตัวขึ้นให้เขาเสียหลัก ผมร้องตกใจ และยังไม่ทันไรเจ้าบ้านั่นก็วิ่งมาจ่อปืนที่หัวผมแทนที่เอว เยี่ยมไปเลย
"ปล่อยตัวประกันเดี๋ยวนี้!" จอห์นเสียงเข้มพร้อมคว้าปืนพกออกมาตั้งการ์ด และปืนนั่นกระบอกใหญ่กว่าอันที่จ่อหัวผมประมาณสองเท่าได้ เจ้าหน้าที่ล้อมเราเต็มไปหมด เตรียมพร้อมที่จะลั่นไกตลอดเวลา
"ก็เอาสิ ถึงยังไงเราก็ตายกันหมดอยู่ดี เอาชนวนระเบิดมา" ประโยคหลังนี่เหมือนคนร้ายจะพูดกับผมนะ แต่เมื่อผมส่ายหน้า นิ้วของเขาเลื่อนมือไปที่นกปืนเสียงดังกริ๊ก
"เอามาเร็ว! ไม่งั้นแกตายคนแรกแน่"
"โทนี่อย่าให้มัน" จอห์นเรียกสติ แต่ผมกำลังจะคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว ผมหายใจแรงและปวดหัวมาก ยิ่งมันเลื่อนปืนมาใกล้ที่ขมับผมยิ่งหายใจแรง เหลือบตามองจอห์นอย่างหวาดกลัว ดูเหมือนเขาก็กำลังกลัวเช่นกัน คิ้วเข้มๆนั่นขมวดกันเป็นปม ดวงตาแข็งกร้าวจ้องอย่างไม่ลดละ เขาพูดอะไรบางอย่างในสายไมค์ข้างหูด้วย
สถานการณ์ตึงเครียดเกินไป ผมต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นเราจะไม่รอดกันหมด งานแปลของตัวเองยังไม่เสร็จดีและผมจะไม่ยอมให้ใครมาขัดขวางการเป็นนักแปลอาชีพหรอกนะ
"บอกให้ส่งมาเร็วๆ!" กระบอกปืนจ่อมาที่แก้มของผม
"โอ๊ย!" ผมแกล้งร้องแล้วทรุดตัวลงทำให้คนร้ายเผลอ ก่อนจะโยนชนวนระเบิดออกไปให้จอห์นแบบเต็มแรงที่สุดเท่าที่จะไหวพร้อมหันมาผลักไอ้คนที่เอากระบอกปืนมาจี้ให้เสียหลัก จากนั้นผมวิ่งไม่คิดชีวิตเลยคุณ ผลที่ตามมาคือจอห์นรับมันได้แล้วรัวปืนใส่ไอ้บ้านั่นจนหมดแม็กก่อนที่มันจะลั่นไก เจ้าหน้าที่คนอื่นเข้ามาเก็บกู้ระเบิด อีกจำนวนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบร่างคนร้าย ส่วนผม ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ในอ้อมกอดคนตัวใหญ่กว่า
"เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า" จอห์นเสียงสั่นเครือ เขาจับตามร่างกายแล้วโน้มตัวลงมาจูบหน้าผากชื้นเหงื่อของผมเมื่อเห็นว่าผมส่ายหน้า แขนแข็งแรงโอบผมจนเกือบลอย เขาถอนหายใจโล่งอก ผมก็เช่นกัน
"ทำไมไม่นอนพักอยู่ที่คอนโด คุณยังไม่หายดีเลย" หลังจากทุกอย่างคลี่คลาย จอห์นพาผมมาคุยในห้องๆหนึ่งที่ลับตาคน เสียงนิ่มๆของเขาเหมือนจะดุนิดหน่อย
"ความจริงก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แล้วผมก็เบื่อ เลยออกมาเดินเล่น”
"เดินเล่นเหรอ?" เขาเดินมาประชิดตัวผม แต่พูดเสียงอ่อนลง "ฟังนะ ตอนที่ผมไม่ติดต่อคุณเพราะไม่อยากให้คุณอยู่ใกล้ผมมากเกินไป อาชีพที่ทำอยู่มันอันตราย ถ้าคุณเป็นอะไรไปแล้วผมจะทนได้ยังไง"
"หมายความว่ายังไง?" ผมมองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ และเหมือนเขาก็ไม่เข้าใจที่ผมไม่เข้าใจเขาด้วย ร่างหนาตรงเข้ามาจูบโดยไม่ตอบคำถาม แผ่นหลังของผมติดผนังห้อง สัมผัสที่รอบเอวโอบเอาไว้แน่น จอห์นย้ำสัมผัสที่ริมฝีปากอีกหลายครั้งจนผมตอบสนองเขาไม่ทัน รสจูบทั้งดุดันและอ่อนโยนผสมกัน ความกลัวถูกละลายไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะในการทรงตัวของตัวเองด้วย ได้แต่ใช้มือพยุงโดยการขยำชุดสูทของเขาจนยับยู่ พอเขาผละออกไปก็ยังไม่ห่างไปเกินกว่าคืบหนึ่งเลย
"ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ผมไม่อยากเสียคุณไป ถ้าเมื่อกี้คุณถูกยิ่งแล้วผมจะรู้สึกยังไง คนโง่ ตอนปืนจ่อที่หัวของคุณใจของผมเต้นไม่เป็นระส่ำ ผมยิงไม่ได้เพราะถ้ามันพลาด..." ผมอยากบอกเข้าว่าผมเข้าใจตั้งแต่ที่เขาถามเมื่อกี้ แต่ในเมื่อพูดแทรกไม่ได้ ผมจึงใช้วิธีการเขย่งเท้าแล้วจับใบหน้าเขาโน้มลงมาประกบปากแทน เราจูบกันอีกพักใหญ่แล้วเขาก็ปล่อยผมเป็นอิสระ สมองขาวโพลนไปหมดจนลืมไปเลยว่าเมื่อกี้ปวดหัว
กว่าเราจะได้กลับห้องก็ใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง ทันทีที่เดินออกมาจากทำเนียบขาวได้นักข่าวก็มาสัมภาษณ์กันยกใหญ่ แต่จอห์นก็ตอบคำถามอย่างรวบรัดแล้วขอตัวออกมาก่อน อันที่จริงนักข่าววิ่งไปสัมภาษณ์ตอนประธานาธิบดีเดินออกมาจากสถานที่ปลอดภัยสักแห่งในนั้น จอห์นฝากผมให้รออยู่กับเพื่อนเจ้าหน้าที่ของเขาแล้วไปทำงาน จนหมดเวลางานแล้วเขาก็ให้ผมนั่งซ้อนท้ายรถฮาเลย์คันงามกลับมาด้วย ผมกอดเขาจนแน่นเลยล่ะ...คนอะไรขับรถซิ่งสุดๆ
ผมกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดและทำใจให้สงบที่ห้อง หลังจากนั้นก็เดินมาที่ห้องของคนที่ช่วยชีวิตผมไว้เมื่อเย็น คุณก็รู้ว่าผมทำอาหารไม่เป็นแล้วก็ไม่มีอะไรกินวันนี้ด้วย ถ้าผมจะฝากชีวิตให้เขาดูแลอีกสักคืนคงไม่เป็นไรใช่ไหม
ผมนั่งรอเขาทำอาหารให้อีกตามเคย แม้วันนี้จะเหนื่อยกันทั้งคู่ แต่จอห์นก็ยังมีกะจิตกะใจทำไก่อบซอสอะไรสักอย่างมากินด้วยกัน และเขาใช้เวลาไม่นานเลย ผมชอบตรงนี้ล่ะ
อ้อ ผมชอบจอห์นด้วย
"วันนี้ถ้าผมไม่รอด คุณจะทำยังไงต่อไป" ผมถามขณะที่วางช้อนลงหลังจากกินเสร็จ ไม่ได้สนใจแก้วยาสักเท่าไหร่ จอห์นมองผมแล้วคว้าเอามือทั้งสองข้างของผมไปกุมไว้
"ผมคงทำตัวเป็นโสดตลอดชีวิต" เขาหัวเราะ
"เกิดอะไรขึ้นกับอเล็กซ์ที่อัฟกานิสถาน"
"คิดอยู่แล้วว่าต้องถาม" จอห์นถอนหายใจ เขาเงียบไปอึดใจหนึ่งจนผมแอบกลัว
"เราพบกันที่ค่าย อเล็กซ์เป็นแพทย์ทหารในทีมที่มากับเรา เขาเป็นคนวินิจฉัยเรื่องอาการปวดท้องของผม วันหนึ่งที่เราพักการรบ หลังจากที่ผมปวดท้องมาเป็นอาทิตย์ไม่ยอมหาย อเล็กซ์พาผมออกไปเดินเล่นที่ทุ่งใกล้ๆค่าย" จอห์นกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ผมเดาว่าต่อจากนี้ไปจะเป็นจุดตึงเครียดมากๆ
"เราสารภาพความในใจต่อกันหลังจากดูใจกันมาปีกว่า ตอนนั้นผมมีความสุขมาก แต่แล้วอเล็กซ์เห็นศัตรูอยู่ในระยะที่สามารถโจมตีค่ายของเรา เราทั้งคู่วิ่งกลับไปที่ค่าย และระหว่างทางเขาเหยียบกับระเบิด..." จอห์นเสียงสั่นเครือ ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้เลย สัมผัสที่มือของผมเริ่มแน่นขึ้น ดวงตาสีเขียวคู่นั้นเริ่มมีน้ำใสรื้น
"ระเบิดยังไม่ทำงาน แต่ถ้ายกขาขึ้นเราทั้งคู่จะตาย ตอนนั้นผมเริ่มปวดท้องอีกครั้งและคิดว่าเดินต่อไปไม่ไหวแน่ ผมตัวสั่น แต่เขาไม่กลัวแม้แต่น้อย...ผมบอกให้เขารออยู่นิ่งๆเพื่อจะรีบวิ่งไปบอกคนที่ค่ายให้มาช่วยเพราะศัตรูเข้ามาใกล้มากแล้ว อเล็กซ์สัญญาว่าจะรอ แต่พอผมวิ่งไปได้ไกลพอที่จะพ้นรัศมี ระเบิดก็ทำงาน"
"พระเจ้าช่วย..." ผมอุทาน หยาดน้ำแห่งความรู้สึกหยดลงบนมือของผม ฝ่ามือหนาบีบมือผมแล้วคลายออกอย่างหมดแรง จอห์นกัดริมฝีปากเสียจนห้อเลือด และเหมือนจะเป็นผมที่ได้สติก่อน ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาให้เขา ดีที่ว่าเรากินมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นมันคงเป็นมื้อเย็นที่น่าเศร้าที่สุด
"เพราะเขา ครั้งนั้นเลยไม่มีคนบาดเจ็บจากการโจมตีของศัตรู แรงระเบิดทำให้ฝั่งนั้นตายหมด...แต่อเล็กซ์ผิดสัญญากับผม"
"คุณโทษตัวเองหรือเปล่าที่ทำให้เขาตาย"
จอห์นยิ้มเศร้า เขาไม่พูดอะไรต่อแต่เก็บจานชามไปล้าง พอล้างเสร็จ ผมเดินเข้าไปกอดเขา กอดอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมจอห์นถึงต้องสักชื่อของคนๆนั้น มันเป็นเครื่องเตือนใจ แต่ก็เป็นรอยแผลที่ชวนให้นึกถึงวันที่เลวร้ายในคราวเดียวกันเมื่อต้องมองทุกวัน
"คุณกลัวว่าถ้าผมเป็นอะไรไปอีกมันจะเป็นเพราะคุณใช่หรือเปล่า"
เขาพยักหน้า โน้มตัวลงมาจูบแก้มผม
"กินยาเสีย แล้วไปนอนพักผ่อน วันนี้เจออะไรหนักมาทั้งวัน อ้อ บอกเลยนะว่าผมจะทวงที่นอนผมคืนแล้ว เพราะฉะนั้นกรุณาทำตัวให้เล็กด้วยครับ"
จอห์นตบก้นผมสองครั้งแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ ผมล่ะไม่เข้าใจอารมณ์ของผู้ชายคนนี้จริงๆ
“เมื่อคืนนี้คุณละเมอบอกชอบผมด้วยล่ะ”
“ไม่จริงน่า” ผมย่นจมูกใส่เขา ตอนนี้เรานอนหันหน้าเข้าหากันบนเตียง จอห์นไม่กลัวจะติดไข้จากผมเลยสักนิด
“จริงๆนะ” เขากระซิบพลางใช้มือบีบจมูกของผมเบาๆแบบมันเขี้ยว “ไหนเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังบ้างสิ”
“อืม...เรื่องไหนดีล่ะ คุณอยากฟังเรื่องไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“เรื่องของคุณพิเศษสำหรับผมเสมอ”
นี่เขากำลังบอกรักผมทางอ้อมอยู่หรือเปล่า สายตาหวานหยดถูกส่งมาจนผมไม่กล้าสบตาเขาแล้ว หน้าร้อนเป็นเตาถ่านครับ
“แอนโทนี่ ลี หรือ แทซอน ลี ลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกัน อายุยี่สิบเจ็ด และโสด” พอผมพูดประโยคจบเขาก็ใช้แขนโอบเอวของผมให้เข้าไปชิดกัน ใบหน้าเราห่างกันเพียงปลายจมูกแม้ว่าดวงไฟทุกดวงจะดับสนิทจนแทบมองไม่เห็น
“เมื่อสามเดือนก่อนผมเจอผู้ชายคนหนึ่งที่อีกฟากของคอนโด เขาพักถัดลงไปสองชั้นตึก และผมมักแอบมองเขาเสมอเวลานั่งทำงาน”
“เขาเป็นใครกัน” จอห์นเลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นเชิงถาม
“อืม...ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่ผมสามารถฝากชีวิตไว้ด้วยได้ล่ะมั้ง ผมตกหลุมรักเขาเต็มๆเลยล่ะ คุณว่าผมพอจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักเขาจริงจังบ้างไหม” ผมเอาหัวไปถูกับคางของเขา อากาศเริ่มเย็นจนต้องหาที่อบอุ่นพักพิง
“ได้สิ คุณจะได้รู้จักและฝากชีวิตไว้กับเขาแน่นอน เพราะเขาจะไม่มีวันทิ้งคุณไป” จอห์นจูบหน้าผากผมแล้วกระชับกอด “มันอาจเร็วไปแต่...ผมรักคุณนะแอนโทนี่”
ผมพยักหน้าแล้วซุกในอ้อมอกแกร่ง เสียงบอกรักแผ่วๆของเขาเซ็กซี่ที่สุดในโลก
“รักคุณเช่นกัน จอห์น”
คุณรู้จักผู้ชายคนนั้นไหมครับ ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เวลาที่ผมมองลงไปแทบจะทุกครั้ง เขาจะชอบทำตัวน่ารำคาญให้ได้หงุดหงิดเล่นเสมอ ในขณะที่ความรู้สึกคู่ขนานค่อยๆชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
และใช่ ผู้ชายคนนั้นแหละ คือแฟนผมในวันนี้
-The End-
____________________
ต้องมีแอคชั่นให้สมกับหน้าที่พี่จอห์นเขาหน่อย เอิ้กกก
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
ใครอยากอ่านเรื่องยาวเรามีผลงานอื่นด้วย>>>>>
ร้ายนะครับหัวหน้า จบแล้ว >>>>>
Business Districts Project On going