บันทึกรักที่ 5 หนึ่งใจสองทาง (ตอนที่ 1)
อีกหนึ่งวันเต็มๆที่ไข้ของผมขึ้นสูงพอสมควร นึกว่าจะต้องไปนอนที่โรงพยาบาลแล้ว แต่พัดโบกคอยช่วยดูแลเช็ดตัว ทำกับข้าวและบังคับผมกินยาตรงเวลาเป๊ะ พอเช้าวันที่สองอาการเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวของผมหายไปแล้ว ไข้ก็ลดลง ไม่ปวดหัว แต่ก็เหมือนยังไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่ แต่ก็ไม่รู้สึกอยากนอนซมทั้งวันเหมือนเมื่อวานนี้ สบายตัวขึ้นอีกด้วย เมื่อรู้สึกดีขึ้นผมก็เลยต้องรีบเคลียร์เรื่องที่ยังค้างคาอยู่ในใจ ไม่ใช่เรื่องพัดโบกมีแฟนหรอกครับ เรื่องเรียนของเขามากกว่า
“พัด อย่าโกหกเรา พัดยังเรียนไม่จบใช่ไหม” ผมถามพัดโบกในห้องนั่งเล่น สีหน้าเขาดูตกใจที่ผมถามแบบนี้ เหมือนจะคิดอะไรอยู่ในใจ ผมเลยกระตุกข้อมือเขาอีกทีเพื่อให้รู้ว่าผมรอคำตอบที่แท้จริงอยู่
“อืม” เขาตอบกลับมาสั้นๆ
“ว่าแล้วเชียว ตอนที่คุยกันบอกต้องไปเรียนอีกหนึ่งปี นี่แค่ครึ่งปีกว่าๆเอง จะเร่งรัดยังไงก็ไม่น่าจะเรียนครบ ยิ่งเกี่ยวกับอาหารด้วย ทำไมต้องโกหก”
“เราไม่รู้ว่ากลอนโกรธเราเรื่องอะไร กลอนไม่ตอบเมลล์เรา ไม่รับโทรศัพท์เรา เราไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลยตัดสินใจว่าจะกลับมาทำงานที่เมืองไทย เรามั่นใจว่าเราไม่ต้องจบก็ทำงานได้แล้ว” ผมฟังเหตุผลของพัดโบกแล้วก็ลอบถอนหายใจ
“แล้ว..มีเรื่องอะไรที่โกหกเราอีกไหม” ผมเลยถามต่อ
“ไม่มี เราไม่ได้โกหกอะไรกลอน แต่เรื่องที่ไม่ได้บอกก็มี”
“อย่างเช่น” ผมถามต่อ สีหน้าของพัดโบกดูจ๋อยๆ
“เราแอบ...แอบ ใช้ปากให้กลอนเมื่อคืน เคยอ่านเจอว่าถ้าได้ปลดปล่อยแล้วไข้จะลง ขอโทษนะ ขอโทษๆๆๆ” พัดโบกรีบยกมือไหว้ผม ผมตกใจไม่คิดว่าจะออกมาเป็นเรื่องนี้ แล้วเมื่อคืนผมก็ไม่รู้ตัวจริงๆด้วย ตอนนี้หน้าผมกลับมาร้อนผ่าวเหมือนตอนเป็นไข้เลย มันวูบวาบจนต้องจับแก้มตัวเอง
“อย่าโกรธนะ แค่อยากลองดูว่ามันได้ผลจริงไหม” พัดโบกรีบเข้ามาจับมือผม ผมบอกไม่ถูกเลย อยากจะขำแล้วก็อยากจะซัดคนตรงหน้าสักหมัด ทะเล้นทะลึ่งไม่มีใครเกิน
“แล้ว..เป็นไงละ..” ผมถามไปแบบอ้อมแอ้ม ไม่กล้าสบตาเลย
“ร้อนในปากมาก น้ำก็ร้อน”
“โอ้ย บ้า ไม่ต้องเล่าแล้ว” ผมบอกแล้วก็ยกมือขึ้นปิดหน้า พัดโบกรีบดึงมือผมไปจับอีกรอบแล้วก็ยิ้ม ก่อนจะมาหอมที่หน้าผากของผม
“ดีกันนะ บอกเราหน่อย เราใจร้ายเรื่องอะไร” พัดโบกมาถามผมบ้าง
“มีแฟนแล้วทำไมไม่บอก” ผมพูดออกไปพร้อมกับเงยหน้ามามองหน้าอีกฝ่าย พัดโบกยังคงยิ้มอยู่ ไม่เห็นมีท่าทางตกใจเลยที่ผมรู้
“หึงเรานี่เอง” พัดโบกดึงผมไปกอดแล้วเอียงหน้ามาจูบที่ซอกคอมผมซ้ำๆ
“ตอบมาสิ ว่ามีหรือไม่มี” ผมถามซ้ำ
“เคยมี ตอนนี้ไม่มี ไม่มีมาจะปีหนึ่งแล้ว กำลังอยากจะมี แต่ไม่รู้เขาจะยอมมาเป็นแฟนเรารึเปล่า”
“เล่าให้ฟังหน่อย” ผมดึงตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของพัดโบก
“เด่นมันบอกเหรอ” พัดโบกถาม ผมพยักหน้า
“เขาชื่อทามะ เรียนเชพด้วยกัน ตัวเล็กๆ ขาว หน้าตาสวยเหมือนผู้หญิง เราเห็นครั้งแรกก็หลงรักเลย เราไปจีบเขาแล้วก็ตกลงคบกัน แต่เขาเป็นคนใจร้อน เอาแต่ใจและเครียดเรื่องการเป็นเชฟมากเพราะทางบ้านคาดหวังในตัวเขามาก เราทะเลาะกันบ่อยๆ บอกเลิกกันหลายหน แล้วก็กลับมาดีกันอีก เรื่องที่เราทะเลาะกันหนักก็คือเขาอยากไปแปลงเพศ แต่เราไม่อยากให้เขาทำ เรารักที่เขาเป็นแบบนั้น ไม่จำเป็นต้องไปเจ็บตัวอะไรเลย แต่เขาก็ไม่ยอม ทะเลาะกันหนักๆเข้าก็เลยจบความสัมพันธ์กันไป”
“แล้วยังเจอกันอยู่ไหม”
“ก็เจอ”
“เขาแปลงเพศไปแล้วเหรอ” ผมถาม
“เปล่า เขาไม่ได้แปลงเพศแล้ว”
“เขายังรักพัดโบกใช่ไหม”
“มันไม่สำคัญแล้วละ เพราะเราไมได้รักเขาแล้ว มันจบไปแล้ว คนที่เรารักคือคนที่เราทนไม่ได้ที่เขาโกรธเราโดยที่เราไม่รู้เลยว่าเราผิดอะไร” พัดโบกทำหน้าดุใส่ผม ผมเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก พัดโบกไม่เคยดุผมเลย เอาใจสารพัด แต่มันก็น่าให้เขาโมโห ผมไม่มีเหตุผลเอง ไม่ถามเขาแต่ตัดการติดต่อไปเลย
“ก็..เราไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ของใคร”
“แต่กลอนกำลังทำลายความสัมพันธ์ของเรา เราน้อยใจนะ”
“ขอโทษนะ” ผมบอกเสียงอ่อยๆ พัดโบกถอนหายใจแล้วคลี่ยิ้มให้ผม ส่ายหน้าก่อนจะกอดผมอีกรอบ
“ไม่เป็นไร หายน้อยใจตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว”
“กลับไปเรียนเถอะนะ” ผมบอกเขา สีหน้าเขาสลดลง
“ไม่อยากให้เราอยู่ด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้น เราเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว เราผิดเองที่คิดไปเอง แต่เราจะรู้สึกแย่มากกว่าถ้าพัดโบกเลิกเรียนมาเพราะเรา อีกแค่ครึ่งปีเอง กลับไปเรียนนะ แล้วรีบกลับมา” ผมบอก อีกฝ่ายยิ้มออกมาได้หลังจากที่หน้าเสียไปพักใหญ่
“คบกันนะ นะ” พัดโบกเร่งรัด ผมนั่งนิ่งก่อนจะส่ายหน้า พัดโบกหน้าเสียอีกรอบ
“กลับไปเรียนให้จบแล้วเราจะให้ของขวัญ” ผมบอก แต่พัดโบกยังคงสีหน้าไม่ดี เขาปล่อยมือผม
“ยังรอเขาเหรอ” พัดโบกถามผม ผมอึ้งไป เป็นคำถามที่ผมตอบไม่ได้เหมือนกัน
“เราไม่ได้คบใคร ไม่ได้นอนกับใครนอกจากพัดนะ มาถึงตรงนี้พัดคิดว่าเราไม่ได้เปิดใจให้พัดเลยเหรอ” ผมถามเขา
“แต่ไม่ได้รักใช่ไหม” เขาถามผม ผมเงียบไป ผมรักเขารึยัง ผมก็ถามตัวเองอยู่
“โอเค ไม่เป็นไร ไม่ต้องตอบ ไม่เครียดๆ อย่ากัดปากตัวเองสิ” พัดโบกพูดต่อแล้วปรับสีหน้าท่าทางใหม่ ยิ้มให้ผมแล้วก็หอมแก้มผม
“เอาแบบนี้นะ เราจะกลับไปเรียนให้จบ แล้วจะกลับมาขอของขวัญ แต่รู้เอาไว้นะ เรารักกลอน รักมาก ถ้าวันไหนที่ไม่มีใครในหัวใจแล้ว รับเราไว้พิจารณาด้วยนะ” พัดโบกใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยที่แก้มของผมแล้วหอมอีกครั้ง ผมพยักหน้าให้เขา
ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกเสียใจที่คิดว่าเขามีแฟนแล้วไม่บอกผม แต่ตอนนี้ผมกำลังทำให้เขาเสียใจใช่ไหมที่ไม่สามารถพูดคำที่เขาอยากได้ยินได้ แม้จะมีรอยยิ้มฉาบบนใบหน้าของพัดโบก แต่แววตาของเขาดูเศร้าจนผมรับรู้ได้ ผมได้แต่สวมกอดคนตรงหน้า อยากให้เขามั่นใจว่า แม้ว่าผมยังมีใครอีกคนในหัวใจ แต่กับความเป็นจริงของชีวิต ผมมีแค่เขาคนเดียวจริงๆ
พัดโบกอยู่กับผมหนึ่งอาทิตย์ก่อนจะกลับไปที่ญี่ปุ่น เขาให้ผมสัญญาว่าห้ามขาดการติดต่อ ไม่ว่าจะโกรธหรืองอนอะไรขอให้ผมพูดกับเขา ขอให้เขาได้อธิบาย ผมรับปากและขอโทษเขาอีกครั้ง ความรู้สึกหม่นๆในใจหายไปเมื่อทุกอย่างเคลียร์แล้ว ผมกลับไปดูแลพ่อเหมือนเดิม แต่ผมสามารถไปทำงานได้ด้วยเพราะแม่ของพี่นิ่มขึ้นมาช่วยดูน้องสาวของผมให้ พี่นิ่มจึงมาผลัดเปลี่ยนกับผม ทำให้ผมมาทำงานในช่วงเช้าแล้วไปเฝ้าพ่อในตอนกลางคืน
พี่นิ่มบอกว่าตอนนี้มาอาจารย์หมออีกท่านมาช่วยดูอาการของพ่อให้ ผมรับฟังแล้วก็ไม่ได้คิดอะไร จนมารู้จากพี่นิ่มว่า อาจารย์หมอเป็นเพื่อนสนิทของพ่อพี่ฉลาม ท่านฝากให้มาดูแล พี่นิ่มเลยมาถามว่าผมรู้จักพ่อพี่ฉลามไหมว่าเป็นใคร ทำไมถึงได้ให้อาจารย์หมอมาดูแลพ่อของผมเป็นพิเศษ ผมโทรไปหาพี่นุ๊กทันที พี่นุ๊กบอกว่าพี่นุ๊กรู้จักอาจารย์หมอ แต่ไม่รู้ว่าพ่อพี่ฉลามฝากเอาไว้ ผมคุยกับบุ้ง บุ้งยอมสารภาพว่าที่ผ่านมาพี่ฉลามรู้เรื่องราวของผมทุกอย่างผ่านจากพี่นุ๊กแล้วก็บุ้งเอง บุ้งมันขอโทษผมยกใหญ่ กลัวผมโกรธ ผมไม่ได้โกรธ แต่ผมกำลังรู้สึกเจ็บปวด เจ็บปวดกับหลายๆอย่าง เจ็บปวดเพราะดีใจ เจ็บปวดเพราะเสียใจ ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดีให้ทุกคนรับรู้ถึงความรู้สึกตอนนั้นที่ผมเป็นอยู่
ผมจำได้ดีในวันนั้น เช้าวันอาทิตย์ ผมยืนสูดอากาศเข้าปอดอยู่ที่หน้าบ้านของพี่ฉลามพร้อมกับผลไม้ตะกร้าใหญ่ที่แม่ฝากมา ผมกดกริ่งหน้าประตู ไม่นานลุงคนสวนก็มาเปิดแล้วยิ้มให้ผม ทักทายว่าผมหายไปเลย เจ้านายของลุงบ่นคิดถึงกันทุกคน ผมรับรู้แล้วยิ่งรู้สึกว่าหัวใจผมสั่นไหวอย่างรุนแรง ผมเดินเข้าไปมาในสถานที่ๆคุ้นเคย ใจเต้นรัว เกร็งไปหมด ผมไม่ได้เข้ามาที่นี่สองปีได้ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ผมเลือกมาในวันนี้เพราะรู้ว่าพ่อและแม่ของพี่ฉลามจะอยู่บ้าน
“กลอน มาได้ยังไงลูก เข้ามาเลย เข้ามาก่อน”
“สวัสดีครับ แม่ผมให้เอาผลไม้มาขอบคุณคุณลุงที่ช่วยฝากอาจารย์หมอให้ดูแลพ่อผมเป็นพิเศษครับ” ผมไม่ได้ก้าวเข้าไป แต่ยื่นตะกร้าผลไม้ให้ แม่ของพี่ฉลามรับแล้วก็จูงมือผมให้เดินเข้ามาในบ้าน
“คุณ ดูสิใครมา” แม่พี่ฉลามพาผมเดินเข้าไปถึงในห้องรับแขก พ่อพี่ฉลามเห็นผมก็รีบวางหนังสือพิมพ์ พ่อพี่ฉลามดูสดใสและแข็งแรงกว่าเดิม ท่านรีบกวักมือเรียกผมให้เดินไปหา ผมยกมือไหว้แล้วเดินเข้าไปหา รู้สึกอาการเกร็งลดลงกว่าเดิมเมื่อเห็นปฏิกิริยาของท่านทั้งสองคน
“เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำมะตูมกับครองแครงกะทิสดมาให้ชิมนะ ช่วยแม่ชิมหน่อย พ่อเขากินหวานไม่ได้ แต่แม่เพิ่งได้สูตรมา” แม่พี่ฉลามพูดจบก็เดินหายเข้าไปในครัว
“กลอนขอบคุณนะครับเรื่องอาจารย์หมอ แล้วก็..กลอนขอโทษนะครับ..” ผมพูดต่อไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าขอโทษเรื่องอะไรดี แต่คิดว่าพ่อพี่ฉลามคงเข้าใจ
“เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม ผอมลงรึเปล่า” พ่อพี่ฉลามลูบหัวผม ผมน้ำตารื้นขึ้นมาทันที แต่ก็พยายามกลั้นเอาไว้
“กลอนขอโทษนะครับ” ผมบอกท่านอีกครั้ง ก้มลงกราบท่านที่ทำให้ท่านผิดหวัง ท่านเมตตาผม แต่ผมก็ทำให้ท่านเสียใจเรื่องของพี่ฉลาม ท่านรีบดึงผมขึ้นมา เห็นผมร้องไห้ท่านก็ดูจะตกใจ แต่ก็ยิ้มให้
“พ่อต้องขอโทษมากกว่า อย่าโกรธพ่อนะ” ท่านพูดจบผมรีบส่ายหน้า เช็ดน้ำตา
“พ่อพยายามจะติดต่อกับกลอน แต่ฉลามมันไม่ยอม สงสัยมันนึกว่าพ่อของมันใจร้ายจะไปต่อว่ากลอนมั๊ง” พ่อพี่ฉลามพูดแล้วหัวเราะ มือท่านก็ยังลูบหัวผม
“พ่อรู้ว่าพ่อใจร้ายจริงๆ พ่อไม่ได้รังเกียจกลอนเลยนะ แต่พ่อไม่รู้ว่าความรักแบบนี้มันฉาบฉวยรึเปล่า ฉลามมันอยากพิสูจน์ก็ให้มันพิสูจน์ มันบอกว่ามันรักกลอนจริงๆ มันจะทำให้พ่อเห็นว่ามันมีความรักโดยไม่ทำให้เรื่องอื่นเสียได้ ตอนนี้มันเรียนจบแล้วนะ แถมมีผลงานได้รางวัลจากงานที่มันได้ไปฝึกกับบริษัทใหญ่ๆที่โน้นมาอวดด้วย ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะพ่อเลย เพราะกลอนทั้งนั้น”
“ไม่หรอกครับ พี่ฉลามรักพ่อกับแม่มากๆ”
“พ่อให้นุ๊กไปตามเราให้มาหา นุ๊กมันก็บอกว่ามันทำไม่ได้เพราะฉลามห้ามเอาไว้ พ่อไปหากลอนที่คอนโดมาด้วยนะ แต่ไม่เจอใคร” ผมตกใจที่ได้รู้ แต่ที่ผ่านมาผมไปเฝ้าพ่อตลอด เด่นก็ไม่ค่อยอยู่ ท่านคงไปตอนที่ไม่มีใครอยู่ที่ห้อง
“แค่กลอนรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่โกรธกลอน กลอนก็ดีใจแล้วครับ”
“มาหาพ่อบ่อยๆนะ พ่อคิดถึง แม่เขาก็คิดถึง แล้วก็..โทรหาฉลามมันนะ มันคงคิดถึงกลอนมากกว่าพ่ออีก”
“มันไม่ได้โทรหากลอนเลยเหรอ” เมื่อเห็นผมนิ่งไปพ่อพี่ฉลามเลยถามผม
“ไม่ได้โทรครับ”
“อย่าโกรธมันเลยนะ เพราะพ่อเอง พ่อขอโทษ”
“ไม่เป็นไรครับพ่อ ไม่เป็นไรจริงๆ” ผมรีบบอกเมื่อเห็นว่าสีหน้าของท่านไม่ดีเลย ผมเชื่อว่าท่านเสียใจจริงๆ ผมเข้าใจในเหตุผลที่ท่านทำ ผมไม่ได้มองโลกสวยงามนะครับ แต่ผมมองจากความเป็นจริง ใจเขาใจเรา ถ้าผมเป็นพ่อคน ผมก็คงอยากให้ลูกทำในสิ่งที่ควรจะทำก่อน ตอนนี้พี่ฉลามเรียนจบแล้ว พิสูจน์ให้ท่านเห็นแล้ว การที่ท่านยังเมตตาผม แปลว่าท่านไม่ได้รังเกียจผมจริงๆ แต่ท่านคงอยากให้พี่ฉลามได้ทำในสิ่งที่ควรทำก่อน เมื่อท่านไม่ห่วงเรื่องการเอาตัวรอดดูแลตัวเองได้ของพี่ฉลาม ผมคิดว่า ท่านก็คงไม่ห่วงเรื่องอื่นแล้ว
“อยู่กินข้าวเย็นกับพ่อนะ พ่อเหงา ไม่มีใครเล่นหมากรุกได้สนุกเท่าเล่นกับกลอนอีกแล้ว” พ่อพี่ฉลามชวนผม ผมตอบตกลง ดูท่านดีใจที่ผมไม่ได้โกรธท่าน
วันนั้นผมอยู่ที่บ้านของพี่ฉลามทั้งวัน พ่อกับแม่ของพี่ฉลามชวนผมคุยหลายเรื่อง ส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องของพี่ฉลาม เวลาแค่วันเดียวผมได้รู้เรื่องที่ผมพยายามปฏิเสธไม่รับรู้มาตลอดสองปีได้มากมาย หลายๆเรื่องผมก็ขำตามพ่อกับแม่ของพี่ฉลามไปด้วย แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมขำไม่ออก แถมยังอยากจะร้องไห้อีก
..พี่ฉลามไม่เคยมีใครเลย พี่ฉลามให้พี่นุ๊กคอยดูแลผม คอยถามเรื่องผมผ่านทางพี่นุ๊กและบุ้งมาโดยตลอด หมอประจำที่รักษาพ่อก็เป็นเพื่อนของพี่นุ๊ก แม่ของเด่นก็รู้จักกับแม่ของพี่ฉลามมาตั้งนานแล้ว มิน่าแม่ของเด่นถึงได้มาซื้อคอนโดที่นี่เอาไว้ แม่พี่ฉลามจัดทัวร์ให้แม่เด่นพาแม่ผมไปเที่ยว แม่พี่ฉลามก็ไปด้วย ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าท่านไปทำความรู้จักกัน แม่ของผมไม่ได้เล่าให้ผมฟังเลย ฟังดูแล้วมันเหมือนนิยาย แต่มันคือความจริงที่เกิดกับผม พี่ฉลามไม่ให้ผมรอ แล้วเขารอผมทำไม ผมกำลังเสียใจที่คิดว่าผมรักเขา แต่ความรักของผมมันไม่ได้ครึ่งที่พี่เขาให้ผมเลย ตอนนี้ผมเจ็บ เจ็บยิ่งกว่าตอนที่พี่เขาไปจากผมเสียอีก...
จากวันนั้นมา ผมก็เลยต้องกลายเป็นแขกประจำของครอบครัวของพี่ฉลามอีกครั้ง ผมต้องเข้าไปทานข้าวกับพ่อและแม่ของพี่ฉลามทุกวันอาทิตย์ ท่านทั้งคู่ไปเยี่ยมพ่อของผมบ่อยมาก ที่ทำให้ผมประหลาดใจที่สุดคือแม่ของผมก็ขึ้นมาเยี่ยมพ่อเหมือนกัน แม่ได้เจอกับพี่นิ่มเป็นครั้งแรก แม่พูดคุยกับพี่นิ่มดี พี่นิ่มดูจะเกรงใจแม่ของผมมาก แม่อุ้มน้องสาวของผมด้วย ท่านซื้อชุดมาฝากน้องด้วย พ่อก็ดูเหมือนจะดีใจที่แม่มาเยี่ยม ท่านคุยกันเหมือนเพื่อน แถมแม่ยังดุพ่อเรื่องที่ชอบไปหงุดหงิดใส่พี่นิ่ม ผมรู้สึกดีจังที่ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้
แม่มาค้างกับผมตลอดอาทิตย์ ไปช่วยดูแลพ่อช่วงเย็นประมาณหนึ่งชั่วโมง แล้วแม่พี่ฉลามก็เป็นคนมารับแม่กลับไป ผมบอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกยังไง มันเกินความคาดหมายมาก บรรยากาศนี้มันอบอวลไปด้วยความสุขอย่างที่ผมไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว การอภัยให้กันมันดีแบบนี้เอง มันทำให้เราโล่งใจ สบายใจและมีแต่เรื่องดีๆให้แก่กันและกัน แล้วพอพ่อเหมือนมีเรื่องสบายใจ ท่านก็ดูจะทานข้าวได้มากขึ้นจนหมอแซวว่าถ้าพ่อใจสู้แบบนี้ก็จะได้ไม่ต้องกินยาแทนข้าว ส่วนวันนี้พี่นิ่มมานอนเฝ้าพ่อ ผมเลยกลับมานอนที่คอนโดกับแม่
“แม่ กลอนไม่อยากให้แม่กลับเลย” ผมอ้อนแม่เมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้แม่จะกลับแล้ว แม่ของเด่นขึ้นมากรุงเทพจะเลยมารับแม่กลับไปด้วยเลย
“แม่ห่วงบ้าน ไม่อยู่นานๆ สกปรก ขโมยขโจรอีก”
“ห่วงบ้านมากกว่ากลอนอีกเหรอ” ผมแกล้งงอนแม่
“ใช่ เพราะกลอนมีแต่คนรักคนห่วง แม่สบายใจแล้ว” แม่พูดจบผมก็รู้สึกร้อนตัวแปลกๆ
“ใครจะมาห่วงกลอน”
“เพราะลูกเป็นคนดีนะกลอน ถึงได้ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ แม่ดีใจและภูมิใจในตัวกลอนนะ ที่ผ่านมาแม่เองก็กังวลไปสารพัดตามประสาคนเป็นแม่ แต่ตอนนี้แม่รู้แล้วว่าลูกของแม่ได้พบเจอแต่คนดีๆ”
“แล้วแม่ไปสนิทกับแม่ของพี่ฉลามตอนไหน เอ่อ..พี่ฉลามที่กลอนเคยเล่าให้ฟังอะครับ”
“แม่รู้จำได้น่า ต้องอธิบายด้วย แม่ไม่ได้แก่ขนาดลืมนะ”
“ก็เผื่อแม่นึกไม่ออกไง”
“ก็รู้จักผ่านม๊าของเด่นไง คนสูงวัยมารวมตัวกัน ไปเที่ยวกัน สนุกสนานดี แล้วแม่ก็จำได้ที่ลูกมาเล่าให้ฟังบ่อยๆว่าท่านเมตตาลูก แม่ได้สัมผัสเองก็คิดว่าทั้งคู่เป็นคนดีแล้วก็นิสัยดีนะ กลอน..คุณน้าทั้งสองเขาเมตตาลูกนะ หมั่นไปหา ว่างก็ไปดูแลท่านให้เหมือนท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ของเรา กตัญญูรู้คุณคนจะไม่อับจนหนทางนะลูก”
“ครับแม่ กลอนจะจำคำที่แม่สอนเอาไว้ทุกอย่างเลย” ผมนอนตักของแม่ แม่ยิ้มให้ผม
เรื่องเดียวจริงๆที่ผมไม่กล้าบอกแม่ ถึงจะรู้ว่าแม่รักผมมากและตอนนี้แม่ก็ปลงได้หลายอย่าง แต่ผมก็ไม่กล้าอยู่ดี ยิ่งท่านแสดงออกว่าภูมิใจในตัวของผมมากกว่าเดิม ผมยิ่งไม่อยากให้ความรู้สึกแบบนั้นของท่านจางหายไป ผมเชื่อว่าแม่ของพี่ฉลามก็คงไม่พูดเรื่องนี้เหมือนกัน
.....
…
..
ในที่สุดผมก็เรียนจบเสียที เพราะเกรดออกมาแล้วว่าผมผ่าน ใบฝึกงานก็ส่งไปแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยหมด ถึงจะรู้ว่าจบแน่ๆ แต่พอทำเรื่องจบมันก็ยิ่งมีความสุขมากกว่าร้อยเท่า พี่เหิรจัดงานเลี้ยงฉลองเรียนจบและฉลองต้อนรับพนักงานใหม่ไปด้วยในตัวให้ผม ส่วนเรื่องพัดโบก..ผมก็ยังคุยกับพัดโบกเสมอต้นเสมอปลาย อีกสองเดือนเขาก็จะจบเหมือนกัน พัดโบกยังคงทวงเรื่องของขวัญตลอดทุกครั้งที่ได้คุยกัน
ผมมาทบทวนเรื่องของตัวเองซ้ำๆ ผมยังรักพี่ฉลามมันชัดเจนแน่นอนอยู่แล้ว มันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ผมคิดว่าพี่เขาคงรู้แล้วว่าผมกับพ่อแม่เขากลับมาสนิทสนมกันเหมือนเดิม แต่เขาก็ยังไม่ได้ติดต่อผมมา รู้แต่ว่าเขาสบายดีผ่านจากคำบอกเล่าของพ่อและแม่ของพี่เขา มันคงมีอะไรที่ไม่เหมือนเดิมสำหรับเราอีกแล้ว มันคงถูกลิขิตมาแล้วว่าเราคงเป็นได้แค่พี่น้องที่ดีต่อกัน บางทีพี่เขาอาจจะผิดหวังที่ผมไม่ได้รอเขาเหมือนที่เขารอผม เขาอาจจะไม่อยากรักผมอีกแล้ว
......
ถ้าชีวิตคนเราคือบททดสอบที่ทำให้เราเรียนรู้และผ่านเรื่องราวต่างๆให้ได้ บททดสอบครั้งนี้ของผมคงเป็นครั้งที่หนักหนาอีกรอบ ก่อนหน้านี้พ่อของดูดีขึ้นมากจนออกจากโรงพยาบาลได้ ทั้งที่นอนโรงพยาบาลนานจนเหมือนบ้าน ด้วยความที่เห็นพ่ออาการดีขึ้น ผมก็คิดว่าพ่อคงจะอยู่กับผมได้อีกนานหลังจากที่ได้รับการรักษาอย่างดีและมาถูกทาง แต่หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลได้เดือนเดียว พ่อก็เริ่มทรุดลง กินข้าวไม่ได้ อาเจียนบ่อยๆเหมือนเดิม พี่นิ่มตั้งใจว่าจะพาพ่อไปโรงพยาบาล แต่พ่อเป็นลมและล้มไปก่อน พี่นิ่มโทรมาหาผมร้องไห้จนฟังแทบไม่รู้เรื่อง ผมรีบโทรตามรถพยาบาลแล้วไปรอพ่อที่โรงพยาบาล พ่อถูกพาเข้าห้องไอซียู หมอบอกว่าพ่อไตวายเฉียบพลัน ความดันต่ำและหัวใจเต้นผิดปกติ ผมพยายามรวบรวมสติทั้งที่ตอนนี้ใจของผมมีลางสังหรณ์ไม่ดีเลย ผมโทรบอกแม่ แม่บอกว่าเช้าจะรีบขึ้นมาหา
ผมนั่งเฝ้าพ่อจนเช้า ไม่นานแม่ก็มาถึงพร้อมแม่ของเด่น พักใหญ่ๆหมอประจำตัวของพ่อก็มา หมอมาบอกข่าวร้ายว่าตอนนี้พ่ออยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจและยาเพิ่มความดัน หมอบอกว่ามะเร็งมันลามมาที่ผนังหน้าท้องและลำไส้ หมอจะพยายามประคองอาการเอาไว้แต่ก็อยากให้ญาติๆรับรู้ว่า คนไข้เคสแบบพ่อถือว่าสู้มากแล้ว พี่นิ่มร้องไห้จนดูน่าสงสาร ผมกับแม่ก็ร้องไห้เหมือนกัน แต่เราก็เข้าใจ ผมว่าพ่อก็สู้กับความทรมานมามากแล้วจริงๆ
แต่ถึงแม้จะทำใจเอาไว้แล้ว ผมก็ยังรู้สึกกลัวทุกครั้งที่พยาบาลเดินเปิดประตูออกมา ผมกลัว กลัวว่าจะได้ยินคำว่าเสียใจด้วย อารมณ์การนั่งอยู่ที่หน้าห้องไอซียูมันเป็นประสบการณ์ฝังใจผมมาถึงตอนนี้เลย เวลาผ่านไปจนค่ำ แม่กลับไปอาบน้ำแล้วจะมาเปลี่ยนผม แต่ผมขออยู่ก่อน พี่นุ๊กพาพ่อแม่ของพี่ฉลามมาเยี่ยม พวกเพื่อนๆผมก็มากันหมด ทุกคนพยายามให้กำลังใจผม ผมยิ่งใจไม่ดี อาจารย์หมอ เพื่อนของพ่อพี่ฉลามเดินมาบอกว่าให้ญาติเข้าไปเยี่ยมได้ ผมเข้าใจความหมายว่าพ่อของผมคงมีเวลาไม่นานแล้ว ผมรู้สึกตื้อและอลอึงไปหมด แต่ก็รีบเปลี่ยนชุดแล้วเดินเข้าไปก่อน สักพักแม่กับพี่นิ่มก็ตามเข้ามา พ่อนอนหลับตานิ่ง มีสายอะไรเต็มไปหมด
“พ่อ” ผมจับมือพ่อและเรียก พ่อยังนอนนิ่งไม่ไหวติง
“ถ้าพ่อทรมานก็ไม่ต้องทนนะ ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น กลอนจะดูแลน้อง ไม่ทิ้งน้องนะ กลอนรักพ่อนะ ถ้ากลอนทำอะไรให้พ่อเสียใจ กลอนขอโทษนะครับและกลอนอภัยให้พ่อในทุกเรื่องนะ” ผมบอก น้ำตาร่วง ผมพยายามกลั้นแล้ว แต่มันกลั้นไม่ได้จริงๆ ผมเดินออกมาให้พี่นิ่มเข้ามาหา พี่นิ่มปิดปากร้องไห้ พูดไม่ออก ได้แต่บีบมือของพ่อเอาไว้ แล้วพี่นิ่มก็เดินถอยออกมาร้องไห้ แม่เลยเดินเข้าไป
“คุณ ฉันอโหสิกรรมให้นะ อย่าเสียใจกับทุกอย่างๆ คิดแต่เรื่องดีๆ เรื่องอื่นไม่ต้องห่วงนะ ฉันช่วยอะไรได้ก็จะช่วย อย่างน้อยเราเคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ขอบคุณที่เคยดูแลฉันอย่างดีนะ” แม่พูดจบพ่อก็กระดิกนิ้ว ผมรีบเดินเข้ามาหา
“พ่อได้ยินใช่ไหมครับ พวกเรารักพ่อนะ พวกเราจะดูแลกัน พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ กลอนรักพ่อนะ กลอนรักพ่อนะ” ผมพูดจบพ่อก็กระดิกนิ้ว น้ำตาพ่อไหลด้วย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ พ่อร้องไห้จริงๆทั้งที่ตายังหลับอยู่ ผมเห็นแล้วน้ำตาร่วงแต่ก็ไม่กล้าปล่อยโฮ
ประมาณครึ่งชั่วโมงได้หัวใจของพ่อก็เต้นช้าลง หมอเข้ามาถามว่าต้องการให้ให้ยากระตุ้นไหม แม่ให้พี่นิ่มตัดสินใจ พี่นิ่มเลยบอกว่าไม่ต้องให้แล้วเพราะไม่อยากให้พ่อทรมาน แล้วเส้นกราฟหัวใจของพ่อก็แผ่วลงเรื่อยๆเหมือนในหนังเลย แต่หนังเรื่องนี้มันกันเกิดขึ้นจริงกับผม ผมกราบที่เท้าของพ่อ พอเงยหน้าขึ้นมาชีพจรของพ่อก็เป็นเส้นตรง ผมก้มลงไปจูบเท้าพ่ออีกครั้ง พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาหยดใส่ พอเดินออกมานอกห้องก็พบว่าทุกคนยังอยู่ แล้วคนที่ทำให้ผมแทบปล่อยโฮก็คือใครบางคนที่มายืนเด่นอยู่ท่ามกลางคนที่มาให้กำลังครอบครัวของผม
...พี่ฉลาม..
พี่เขามายืนอยู่ที่หน้าห้องไอซียูด้วย เขาอยู่ตรงหน้าผมแล้วแบบไม่ใช่ความฝัน ผมได้แต่ยืนนิ่งเพราะสติของผมในตอนนี้มันไม่รู้จะเริ่มจากอะไรก่อนเลย จนกระทั่งแม่เดินตามออกมาบอกข่าวร้ายกับทุกคน พี่ฉลามเดินเข้ามากอดผมเลยโดยไม่สนใจใคร พอผมตกอยู่ในที่พักพิงที่คุ้นเคยผมก็ปล่อยโฮออกมาเหมือนกัน เพื่อนคนอื่นๆก็เลยเดินมารุมกอดปลอบผมด้วย
วินาทีที่ผมได้พบกับความสูญเสียครั้งนี้มันช่างทรมานและมันเป็นการสูญเสียแบบไม่มีวันได้กลับคืนมา มันยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดนั้นให้ทวีคูณ อยากบอกว่าเข้าใจคำที่ว่า ใครที่ยังมีพ่อแม่อยู่ให้ดูแลท่านให้ดี ถ้าท่านไม่อยู่แล้ว ไม่ว่าคุณมีเงินทองมากมายแค่ไหน คุณก็จะไม่มีวันได้ท่านกลับมาอีก ชีวิตคนๆหนึ่งมีพ่อแม่ได้แค่คนเดียว เป็นความจริงที่เราต้องจำให้ขึ้นใจ ขนาดผมว่าผมเป็นลูกที่ดีให้ท่านเท่าที่ทำได้ ผมก็เสียใจมากๆเลยตอนที่ท่านจากไป แต่ในความเสียใจเราจะไม่เสียดายเลยว่าเรายังไม่ได้ทำอะไรดีๆให้ท่าน
หลังจากช่วงเวลาแห่งความเศร้าเสียใจผ่านไป ผมต้องสลัดความอ่อนแอออกเพื่อจัดการเรื่องงานศพให้พ่อ เราตกลงกันว่าจะเอาพ่อกลับไปไว้ที่วัดที่บ้านเกิด แม่ของเด่นพาแม่กลับไปเตรียมงานเลยในคืนนี้ เด่นเป็นคนขับรถกลับไปให้ พี่นุ๊กให้รถตู้ของบริษัทไปรับพี่นิ่ม น้องสาวของผมและแม่ของพี่นิ่มตามไปค้างที่บ้านของผมด้วยเลยเหมือนกัน ส่วนผมอยู่จัดการเรื่องใบมรณะบัตรและเรื่องรถพยาบาลที่จะพาร่างของพ่อกลับไปที่บ้านในวันพรุ่งนี้เอง พี่ฉลามบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนผมเอง ส่วนเพื่อนคนอื่นๆและพ่อแม่ของพี่ฉลามก็กลับบ้านก่อนจะตามไปในวันพรุ่งนี้เช้าเหมือนกัน
กว่าผมจะกลับจากโรงพยาบาลมาถึงคอนโดก็ตีสามกว่าๆ ผมกลับมาเก็บของที่จะเอาไปด้วย ผมนั่งเหม่อคิดถึงพ่อ สักพักพี่ฉลามก็เดินเข้ามานั่งข้างๆผม ลูบหลังผมเบาๆ ผมหันมามองพี่เขา ก่อนจะโผไปกอดเขาแล้วร้องไห้อีกครั้ง มันหลายอย่างเหลือเกินที่ผมรู้สึก ผมเสียใจเรื่องพ่อแน่นอนอยู่แล้ว แต่อีกความรู้สึกหนึ่งคือความคิดถึงที่ผมเก็บกดมานาน นานจนผมคิดว่าผมไม่ทรมานเวลาที่คิดถึงผู้ชายคนนี้อีกแล้ว แต่เอาเข้าจริงมันไม่ใช่เลย มันทะลักออกมาเหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าจนมันระเบิด ผมกอดพี่เขาแน่นๆ แน่นจนคิดว่าพี่เขาคงจะเจ็บ แต่เขาก็ไม่ได้พูดว่าเจ็บ แต่พี่เขาพูดคำที่ทำให้ผมเป็นฝ่ายเจ็บแทน
“พี่กอดกลอนได้ไหม พี่ยังกอดกลอนได้ใช่ไหม”
**โปรดติดตามต่อตอนหน้าค่ะ**
อ่านละน้ำตาซึมเรื่องพ่อ เข้าใจหัวอกคนสูญเสียคนที่รัก อย่าลืมดูแลพ่อแม่กันให้ดีนะคะ
แต่เดี๋ยวก่อน โอ้ย ฉันเชียร์ไม่ถูกจริงๆนะยะ ขาดเธอก็เหงาขาดเขาก็คงเสียใจ (หมั่นไส้เบื้องบนเบาๆ)
แต่อย่างน้อยผู้แต่งก็ไม่อึดอัดเพราะรู้ปัจจุบันละว่าใครได้ไป ส่วนคุณผู้อ่านก็หน่วงกันต่อไปนะคะ 555
ปูลูมีคำผิดเตือนได้นะคะ เดี๋ยวมาแก้ไข ขอบคุณมากคร่าาาา จุ๊บๆ