ตอนที่ 16
ละเมิดข้อตกลง ข้อที่ 5
‘ห้ามขัดใจ’
ผมนอนดิ้นไปมาอยู่บนเตียงมาพักใหญ่
นอนไม่หลับอีกแล้ว!
เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมวันนี้มันตีกันยุ่งเหยิงอยู่ในหัวไปหมด
ทั้งเรื่องของพี่เนล และก็เรื่องของพ่อ...
ผมนอนหงาย เอามือก่ายหน้าผากย้อนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนพักกลางวัน
“ไอ้ภีม ไปค่ายกัน” ไอ้ทัศยังคงคะยันคะยอผมไม่เลิก หลังจากที่ผมเดินออกมา มันก็พูดถึงเรื่องค่ายไม่ยอมหยุด
“ไม่ไป” ผมยังยืนยันคำเดิม ยังไม่อยากหาความลำบากใส่ตัว แค่ทุกวันนี้ก็เอาตัวแทบไม่รอดแล้ว
“ไปเถอะ ค่ายนี้ดีนะโว้ย เราได้ไปสอนหนังสือเด็กโรงเรียนที่ขาดแคลนครู มึงไม่อยากแบ่งปันความรู้ให้อนาคตของชาติหรือไง”
“ใช่ๆ เท่ากับว่ามึงได้สร้างเด็กตาดำๆคนหนึ่ง ให้มีอนาคตเลยนะไอ้ภีม” ไอ้เหม่ยช่วยเสริม
“มึงจะทิ้งเด็กพวกนั้นได้ลงคอเหรอไอ้ภีม โคตรใจร้าย” ไอ้ทัศพูดพร้อมบีบน้ำตา มึงอย่ามาแอคติ้งให้มากเลย!
“มึงไม่สงสารเด็กที่อยากเรียนหนังสือ แต่ไม่มีครูสอนหรือไง เด็กพวกนั้นกำลังจะมีโอกาสได้เรียนหนังสือ แต่มึงก็ตัดโอกาสเด็กพวกนั้น เพียงเพราะมึงไม่อยากไปสอน โคตรสงสารว่ะ”ไอ้เหม่ยทำเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ตามไอ้ทัศ
แอคติ้งไม่ผ่าน ไปเรียนมาใหม่
“ทำไมเราถึงมาคบกับเพื่อนใจดำแบบไอ้ภีมได้วะ เป็นเหมอได้ไง เห็นคนอื่นลำบากแล้วไม่ช่วย”
“นั่นดิ หมอใจดำ”
“พูดถึงขนาดนี้แล้วยังไม่สำนึกอีก” ไอ้ทัศกับไอ้เหม่ยส่งสายตากดกันผมขั้นสุด
“ไปก็ไป ไอ้สัด อย่าพูดเหมือนกูทำผิดมากได้ไหมวะ”
“ก็แค่เนี๊ย” มันพูดออกมาพร้อมกัน บางทีผมก็รู้สึกเกลียดพวกมันขึ้นมายังไงก็ไม่รู้
“ค่อยสบายใจหน่อย เราไปเรียนกันเถอะไอ้เหม่ย” ไอ้ทัศพูดเสร็จก็เดินจูงมือไอ้เหม่ยขึ้นตึกเรียนไป
จึงหันไปหาไอ้ซาน เห็นมันทำหน้าเครียดขมวดคิ้วยุ่ง จึงอดถามออกไปไม่ได้
“เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้นวะ”
“ไอ้ภีม นั่นพ่อมึงหรือเปล่า” ผมมองไปตามทิศที่ไอ้ซานชี้ เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สายตาก็สอดส่องหาใครบางคน ผมใช้สายตาเล็งอย่สักพักก็เห็นภาพผู้ชายคนนั้นชัดเจน
“เห้ย! นั่นพ่อกู” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ ตอนนี้รู้สึกดีใจมาก ผมรีบวิ่งไปหาพ่ออย่างมีความหวัง ผมมีคำถามมากมายที่อยากจะถามท่านออกไป แต่ก็ไม่สามาถถามได้เพราะไม่มีท่านอยู่ให้ถาม แต่ตอนนี้ท่านมาหาผมถึงมหาวิทยลัยแล้ว
“พ่อ!” ผมตะโกนเรียกท่าน สองขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาท่านด้วยความรวดเร็ว พ่อหันมาหาผม สีหน้าท่านก็แสดงออกมาชัดเจนว่าท่านดีใจขนาดไหน
“ภีม!ของพ่อ” ท่านรีบเข้ามากอดผมแน่น “พ่อหาลูกตั้งนาน” พ่อผมกอดผมแน่น พร้อมเอามือมาลูบหัวผมเบาๆ
“พ่อหายไปไหนมา รู้ไหมว่าผมคิดถึงพ่อแค่ไหน ตอนที่โดนยึดบ้านผมสับสนมาก ไม่มีใครอยู่ข้างผมสักคน ไม่มีใครมาอธิบายให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกเลย”
“พ่อขอโทษนะลูก”พ่อว่าเสียงอ่อน “พ่อผิดเอง ที่แอบเอาบ้านเราไปขาย แต่ทั้งหมดที่พ่อทำไปก็เพื่อซื้อชีวิตของลูกกับแม่นะ พ่อไม่มีทางเลือกจริงๆ ยกโทษให้พ่อนะภีม” พ่อพูดออกมาเสียงสั่น คำถามที่ผมอยากจะตัดพ้อกับท่านตอนนี้หายไปในลำคอผมจนหมด เหลือแค่ความเข้าใจเท่านั้น ถ้าผมเป็นพ่อ ผมก็คงทำแบบท่านเหมือนกัน
“ครับ ผมเข้าใจ...ไม่เป็นไรนะครับ ผมหาวิธีเอาบ้านเราคืนได้แล้ว”
“หมายความว่าไงลูก?” ท่านปล่อยผมให้หลุดจากอ้อมกอดของท่าน ก่อนจะขมวดคิ้วสงสัย
“ผมทำงานให้เจ้าของบ้านคนใหม่เขา ถ้างานเสร็จเมื่อไหร่เขาจะคืนบ้านให้ผมครับ ไม่เป็นไรนะครับ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้บ้านเราคืน”
“...”
“ถ้าผมได้คืนเมื่อไหร่ พ่อกลับมาอยู่กับผมนะ”
“ได้สิ” ท่านยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน “พ่อภูมิในตัวลูกจริงๆ”
เราคุยเรื่องทั่วไปกันสักพัก พ่อก็ทำท่าคิดอะไรอยู่ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“ภีม...”
“ครับ”
“เอ่อ...พอจะมีเงินให้พ่อยืมสัก 1แสนไหมลูก”
“พ่อจะเอาไปทำอะไรครับ?”
“เอาไปใช้หนี้พนัน” พอได้ยินคำนี้เข่าผมแทบทรุดลงกับพื้น ยังไม่หมดอีกเหรอหนี้ที่ถ่วงชีวิตผมมานาน มันยังมีอีกหรือไง
“ที่พ่อขายบ้านเราไปยังใช้หนี้ไม่หมดอีกเหรอครับ” ผมตัดสินใจถามพ่อไป ผมว่าหนี้ที่เรามีอยู่ ถ้าขายบ้านหลังนี้ไปน่าจะใช้หมดนะ เผลอๆเหลือด้วยซ้ำ แล้วทำไมยังมีหนี้อีกล่ะ
“ส่วนนั้นใช้หมดแล้วลูก แต่...” ผมรอฟังท่านอธิบายต่อ
“พ่อเอาส่วนที่เหลือ..ไปเล่นใหม่” ท่านพูดแผ่วเบา พร้อมเบนสายตาไปมองที่พื้นแทน
“พ่อจะกลับไปเล่นอีกทำไม ก็เพราะการพนันไม่ใช่เหรอ ชีวิตของเราถึงตกต่ำกันแบบนี้” ตอนนี้ผมรู้สึกเสียใจกับการกระทำของท่านมากๆ มันจุกอยู่ในอก หนี้สินที่คิดว่าหมดไปแล้ว กลับก่อตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ความรู้สึกที่ว่า ต่อไปนี้ผมจะได้เก็บเงินเพื่อตัวเองสักที มันหายไปในพริบตา
“พ่อแค่อยากได้บ้านคืนเร็วๆ เห็นเพื่อนพ่อมันเล่นแล้วได้เยอะ พ่อคิดว่าถ้ากลับไปเล่นจะได้อย่างเขาบ้าง”
“แล้วพ่อก็ได้มาจริงๆ ได้หนี้เพิ่มไงครับ”
“พ่อขอโทษนะภีม”
“....”
“แต่พ่อขอร้องล่ะ ช่วยพ่อหน่อยนะ”
“....”
“พ่อขอร้องล่ะภีม พ่อขอร้อง” พ่อเข้ามาเขย่าแขนผมเบาๆ “ถ้าพ่อหาไปคืนเขาไม่ได้ก่อนสิ้นเดือนหน้า พวกนั้นต้องส่งคนมาฆ่าพ่อแน่ๆ”
“สิ้นเดือนหน้า! เงินตั้ง 1แสน ลำพังผมคนเดียวคงหาไม่ไหวหรอกนะครับ”
“พ่อขอผ่อนจ่าย 1 หมื่นก่อน แต่ต้องเอาไปจ่ายก่อนอาทิตย์หน้า ภีมพอไหวไหมลูก”
1 หมื่น น่าจะพอไหว ไปทำงานที่ Sun Pub วันไหนโชคดีอาจจะได้ทิปหลักพัน ต้องลองเสี่ยงดวงดู
“พ่อขอร้องล่ะ ช่วยพ่อหน่อย”ท่านพูดออกมาเสียงสั่น
ถึงท่านจะทำให้ผมเสียใจ หรือ ผิดหวังในตัวท่านซ้ำๆ แต่ผมก็ไม่สามารถมองข้ามความลำบากของท่านไปได้ เพราะยังไงท่านก็คือพ่อของผม
“ครับ ผมจะพยายามหาเงินมาให้ทัน”
“ขอบคุณลูกมากนะ ขอบคุณจริงๆ”
“แต่พ่อสัญญากับผมได้ไหม ว่าจะไม่กลับไปเล่นการพนันอีก เรื่องบ้านปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
“โอเคพ่อสัญญา”
เฮ้อออ
ผมถอนหายใจออกมาเมื่อย้อยคิดถึงเรื่องของพ่อ เงินตั้ง 1 แสน เลยเหรอวะ ถึงอาทิตย์นี้จะรอดเพราะขอเบิกเงินจากพี่เนลมาก็เถอะ แต่ก็ต้องหาเพิ่มอีก 9 หมื่น คงต้องไปหางานทำเพิ่มอีกแล้วล่ะมั้ง
แถมตอนนี้คงไม่กลับไปทำงานที่ sun pub อีกแล้วล่ะ สถานที่อันตรายแบบนั้นน่ะ
คงต้องให้ไอ้ซานหางานให้ใหม่อีกแล้ว...
----------------------------------------------------------------------------------------
วันนี้ผมเรียนหนักตั้งแต่เช้ายันเย็น มีทั้งชั่วโมงที่ต้องจดเลคเชอร์ แถมยังมีแล็บอีก จึงไม่ค่อยมีเวลาได้นั่งจับเข่าเล่าปัญหาชีวิตกับไอ้พวกแก๊งสักเท่าไหร่
“นิสิตครับ พรุ่งนี้มีควิซนะครับ ไปอ่านหนังสือมาด้วย อย่ามัวเถลไถล ไอ้ที่นัดเพื่อนไปกินเหล้าเคล้านารีก็เบาๆลงหน่อย ควิซรอบนี้คะแนนหนักนะครับ” เสียงอาจารย์ฤกษ์เอ่ยเตือนพวกเราที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว
“ครับ” ไอ้เสียงห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาที่ตอบรับอาจารย์แกไปนี่มันอะไรกันครับ เฮ้ๆเพื่อนๆ เราควรจะกระตือรือร้นไม่ใช่หรือไง พรุ่งนี้สอบนะโว้ย
หลังจากนั้นอาจารย์แกก็เดินออกจากห้องไป โดยไม่สนใจซากศพนับสิบๆชีวิตที่นั่งอืดตายเพราะแล็บโหดตอนเช้าเลย
ผมกับไอ้ซานกำลังเดินไปที่ลานจอดรถข้างตึกคณะแพทย์ จึงใช้โอกาสนี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ที่ Sun Pub ให้ไอ้ซานฟัง มันก็ขอโทษขอโพยผมใหญ่เลย
มันบอกว่าเป็นความผิดของมันที่สะเพร่าเอง ด่วนหางานให้ผมจนไม่ตรวจสอบข้อมูลให้ดีๆ
กว่าจะบอกมันให้เข้าใจว่า มันไม่ได้ผิดหรอกที่ไม่รู้ ใครๆเขาก็ไม่รู้กัน ยกเว้นพวกหมกมุ่นเรื่องอย่างว่าแบบไอ้พี่เนลมันเท่านั้นแหละ ก็ปาไปหลายนาที
“เพราะงี้แหละ กูเลยตั้งใจจะไปลาออก มึงช่วยหางานใหม่ให้กูหน่อย กูต้องใช้เงินจริงๆ”
“ที่มึงต้องการเงินขนาดนี้ เพราะเรื่องที่พ่อมึงมาหามึงเมื่อวานหรือเปล่า” ไอ้ซานถามผม
“อืม” ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกมันไป ได้แต่พยักหน้ายอมรับความจริง
“เฮ้ออ ไอ้ภีม ทำไมชีวิตมึงเหี้ยขนาดนี้วะ กูล่ะสงสารมึงจริงๆ”
“ถ้าสงสารก็รีบหางานให้กูทำ”
“เอ่อๆ กูจะรีบหาให้” ไอ้ซานตอบผมพลางกดโทรศัพท์ของมันไปด้วย “แต่ต้องหลังสอบควิซในวันพรุ่งนี้ผ่านไปก่อนนะ กูต้องเอาเวลาไปอ่านหนังสือ มึงก็อย่ามัวแต่ทำงานจนลืมอ่านล่ะ” ไอ้ซานเงยหน้าจากโทรศัพท์พลางจ้องหน้าผมอย่างคาดโทษ
“เอ่อๆ รู้แล้วน่ะ กูไม่ลืมหรอก”
“แล้วก็อย่าหักโหมทำงานหนัก จนไม่ได้พักผ่อนล่ะ”
“ครับๆ วันนี้กูไม่ได้ไปทำงานอยู่แล้ว พี่อ้อยหยุดร้านวันหนึ่ง”
ไอ้ซานพยักหน้า ก่อนจะหยุดคิดอะไรบางอย่าง
“กูว่าบทนี้กูพอจะได้อยู่ คืนนี้มึงมาติวที่หอกูเอาปะ จะได้สอบผ่านไปด้วยกัน”
“เอ่อ ความคิดดีเหมือนกันว่ะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของไอ้ซาน ถ้าอ่านคนเดียวตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามใครไม่ได้ แต่ถ้ามีเพื่อนนั่งติวให้จะเป็นอะไรที่ช่วยได้เยอะเลย แถมไอ้ซานก็เก่งเรื่องนี้ด้วย “โอเค แต่ขอกลับไปเอาของที่บ้านก่อนนะ”
“เอ่อ ได้” ไอ้ซานตบไหล่ผมปุๆ ก่อนจะเดินนำผมไปที่รถของมัน ผมก็เดินตามมันไปติดๆ ระหว่างทางเราก็คุยกันเรื่อยเปื่อยครับ ส่วนมากไอ้ซานจะเป็นคนพูดมากกว่า ผมก็นั่งฟังมันเพลินจนรถมาจอดที่หน้าบ้านเป็นที่เรียบร้อย
“จะให้กูไปด้วยปะ”
“ไม่เป็นไร มึงรออยู่ตรงนี้แหละ กูเข้าไปเอาของแปปเดียว” ผมเอ่ยบอกไอ้ซาน ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน เห็นพี่เนลนั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ผมไม่ได้สนใจอะไรมัน สองเท้าก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสองที่มีห้องนอนของผมอยู่ ผมเดินเข้าไปเก็บพวกของใช้จำเป็น เช่น แปรงฟัน ยาสีฟัน แล้วก็เสื้อยืด กางเกงบ๊อกเซอร์ เอาไว้ใส่นอน อ๋อ! ชุดนักศึกษาด้วย เอาไว้เปลี่ยนไปเรียนพรุ่งนี้ ผมจัดการยัดของทั้งหมดใส่ในกระเป๋าเรียน ยกขึ้นสะพาย
“จะไปไหน” พี่เนลที่ยืนพิงอยู่ตรงหน้าประตูห้องของผม เอ่ยถามเสียงเข้ม มันมาตอนไหนวะ เมื่อกี้ยังเห็นนั่งดูทีวีอยู่ข้างล่างอยู่เลย
“ไปติวหนังสือ”
“ไปกับใคร”
“กับไอ้ซาน” มันเริ่มทำสีหน้าไม่พอใจ
พี่เนลนี่ก็แปลกคน เวลาเอ่ยถึงไอ้ซานเมื่อไหร่จำต้องหัวเสียทุกที เป็นบ้าอะไรของมันวะ!
“แค่ไปติวหนังสือ จำเป็นต้องเอาเสื้อผ้าไปด้วยเหรอ?”
“ก็ผมต้องไปนอนค้างกับมัน”
“กูไม่ให้ไป”
“ใช่เรื่อง! ผมจะไป”
“นี่เป็นคำสั่ง ห้ามขัดใจกู!”
“คำก็สั่ง สองคำก็สั่ง ผมเริ่มเบื่อแล้วนะ ผมแค่ไปติวหนังสือยังจะห้ามอีก พี่เป็นอะไรมากปะ” อารมณ์ผมเริ่มขุ่นขึ้นมาหน่อยๆ
“ไม่มีปัญญาอ่านเองหรือไง ยังไงกูก็ไม่ให้มึงไป” มันเริ่มตะคอกใส่ผมเสียงดัง คิ้วขมวดยุ่งเหยิง สายตาเริ่มแข็งกราว
“พี่มีสิทธิอะไรมาห้ามผม หลีกไป” คนอะไรวะ งี่เง่าซะมัดเลย! เรื่องอะไรผมจะฟังมันล่ะครับ แม่ง!ไม่มีเหตุผล ผมเดินตรงไปที่ประตู ก่อนจะดันพี่เนลที่ยืนขวางอยู่ตรงประตูให้หลีกทางให้ แต่มันก็ใช้สองมือผลักผมให้กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“กูไม่ให้มึงไปนอนค้างอ้างแรมกับผู้ชายคนอื่นสองต่อสอง นอกจากกู! ยิ่งไปนอนกับไอ้นั่นแล้วกูยิ่งไม่ให้ไป” ดูมันพูดเข้า! ทำตัวเหมือนแม่หวงลูกสาวไปได้!
“โวะ! ไอ้ซานก็เพื่อนผมปะวะ ไปนอนกับมันแล้วผิดตรงไหน” เมื่อก่อนก็ไปนอนออกจะบ่อย ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
“กูไม่อนุญาต อยากขนาดต้องไปถวายตัวให้ผู้ชายคนอื่นถึงที่เลยเหรอ แรดว่ะ อย่ามาพูดดีว่าจะไปติวหนังสือหน่อยเลยกูไม่เชื่อหรอก” แม่งหาเรื่องกูแล้วไง อยากรู้จริงๆว่าเอาสมองส่วนไหนคิดวะ
“พี่แม่งพูดไม่รู้เรื่องว่ะ!” ผมเริ่มขึ้นเสียงกับมัน อารมณ์จากขุ่นๆตอนนี้เริ่มเดือดปุดๆขึ้นมาแล้ว
ก็ดูมันพูดจาดิ ใครมันจะหมกมุ่นแบบมันวะ แล้วผมกับไอ้ซานก็ไม่ได้มีอะไรเกินเลยแบบที่มันคิดด้วย แม่ง! ปัญญาอ่อน
“มึงกล้าดียังไงมาขึ้นเสียงกับกู!” มันเดินมากระชากแขนผมอย่างแรงแล้วเหวี่ยงผมลงบนฟูก ถึงจะแข็งไปหน่อย แต่ก็ถือว่ายังดีที่มันไม่จับผมทุ่มลงพื้น ไม่งั้นคงได้กระดูกหักไปหลายซี่เหมือนกัน ถ้าวัดจากระดับอารมณ์ของมันในตอนนี้
พี่เนลมันเดินมาค่อมผมเอาไว้ก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างหูผม “ถ้าอยากมากก็มาเอากับผัวมึงนี่”
“อยากเหี้ยอะไร กูกับมันเป็นแค่เพื่อนกันโว้ย!” บอกไปหายครั้งแล้วไม่เคยฟัง อย่าให้ต้องพูดคำเดิมซ้ำๆได้ไหมวะ!
“เพื่อนเหรอ หึ! มึงคิดกับมันแค่เพื่อน แล้วมึงแน่ใจเหรอว่ามันคิดกับมึงแค่เพื่อนจริงๆน่ะ ไอ้เหี้ยนั่นน่ะดูก็รู้ว่าจ้องจะเอามึงอยู่!”
อื้อหือ ยั๊วะกูมากตอนนี้! ว่าผมคนเดียวยังไม่โกธรเท่ามาว่าเพื่อนผมเลย
ผมเป็นคนที่รักเพื่อนมากๆ จะไม่ยอมเลยถ้าเพื่อนมาโดนกล่าวหาเสียๆหายๆ ถ้าเรื่องนั้นมันไม่ใช่ความจริง!
“มึงอย่ามาใส่ร้านเพื่อนกูนะไอ้สัตว์! ถ้าเกิดกูกับมันเอากันขึ้นมาจริงๆ แล้วมึงเกี่ยวอะไรด้วยว่ะ! คนนอกอย่ายุ่งดิ อีกอย่างไอ้ซานไม่มีทางทำเรื่องเหี้ยๆแบบนั้นกับกูหรอก!” ตอนนี้อารมณ์ผมเริ่มเดือดขั้นสุดแล้ว แต่ดูเหมือนพี่เนลก็เดือดไม่แพ้ผมเหมือนกัน มันเอามือมาบีบสันกรามผมไว้แน่น ทำหน้าเหี้ยมใส่ผม พร้อมกัดฟันพูด “มึงปกป้องมัน!”
“เอ่อ! ไอ้ซานเพื่อนกู ทำไมจะปกป้องไม่ได้” ผมยังคงพ่นน้ำลายใส่มันไม่หยุด พี่เนลดูเหมือนจะฟิวขาดก็ตอนนี้แหละครับ มันรวบมือทั้งสองข้างของผมตรึงไว้เหนือศีรษะ
ก่อนก้มลงมาดูดเม้นตรงซอกคอผมจนเป็นรอยแดง ลิ้นร้อนไล่เลียรอยที่มันทำไว้ซ้ำๆ ก่อนใช้ริมฝีปากได้รูปนั้นกดจูบซ้ำๆเป็นการตอกย้ำว่ารอยนั้นมันเป็นคนทำ สองมือก็ปลดกระดุมเสื้อผมออกรวดเร็ว จนตอนนี้เสื้อนิสิตของผมลงไปกองกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย
“กูไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันหรอกนะ แต่ถ้าเรื่องเซ็กส์กูว่ากับผู้ชายด้วยกันก็น่าลองเหมือนกัน เริ่มจากมึงคนแรกเลยดีไหม?”
“ปล่อยกู!” พยายามดิ้นให้หยุดจากการเกาะกุมของมัน แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่
แถมเสียงที่ร้องห้ามให้มันปล่อยก็เหมือนจะส่งไปไม่ถึงไอ้คนหน้ามือตามัวแบบมัน
พี่เนลใช้มือข้างหนึ่งนวดคลึงยอดอกของผม ก่อนจะล้มลงมาดูดคลึงสลับกับใช้ลิ้นร้อนไล่วนไปทั่วยอดอกของผม จนต้องยื่นอกรับสัมผัสของมัน
ตอนนี้ผมรู้สึกร้อนไปหมด ร้อนไปทั้งตัว
“อะ อ๊ะ” เชี่ย! เผลอคราง ผมขบริมฝีปากแน่นเพื่อจะได้ไม่ต้องปล่อยเสียงทุเรศๆแบบนั้นออกไปอีก
มันเงยหน้าขึ้นมามองผม ใช้มือข้างที่ว่างอยู่เสยผมขึ้น พร้อมเลียริมฝีปากได้รูป ก่อนจะส่งยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อสายตาเลื่อนมองมายังรอยแดงที่มันทำเอาไว้ตรงซอกคอของผม
เชี่ยยย โคตรเซ็กซี่เลยว่ะ
“ร้องดังๆสิ ให้ไอ้คนที่รอมึงอยู่ข้างล่างได้ยินเสียงมึงชัดๆนะ ถ้ามันไม่ไป กูก็จะไม่หยุด” พูดจบก็ก้มลงไปเล่นกับยอดอกผมต่อ ส่วนมือซนๆของมันก็ค่อยๆเลื่อนลงไปลูบไล้แก่นกายของผมช้าๆ ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มตอบสนองกับสัมผัสวาบหวามที่พี่เนลมอบให้แล้วล่ะ
“อ่าห์ ปล่อย” ทำไมเสียงผมมันกระเส่าแบบนี้วะ กูไม่ขำนะโว้ยย! ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดไอ้หมีควายตัวนี้แล้ว
ผมคิดว่ายิ่งผมตะโกนด่าทอมัน พี่เนลมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกอับอาย งั้นลองใช้ไม้อ่อนดูละกันเผื่อมันจะใจเย็นลงบ้าง
“อึก พี่เนลครับ ปล่อมภีมไปเถอะ ภีมไม่ไปติวกับซานแล้วครับ ภีมจะอยู่อ่านหนังสือที่บ้านก็ได้ถ้าพี่เนลไม่อยากให้ไป ภีมขอโทษครับ”
ได้ผลแฮะ มันหยุดแล้ว
มันมองหน้าผมอย่างอึ้งๆ เหมือนไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี้ เอ่อ! คิดว่ามึงอึ้งคนเดียวเหรอ กูก็อึ้ง เชี่ย พูดอะไรได้หน้าขนลุกสัดๆ แต่ถ้ามันช่วยให้รอดจากพี่เนลไปได้ ผมก็ต้องยอมละวะ
หน้าตึงๆของมันเมื่อกี้ดูผ่อนคลายลงมาบ้าง คิ้วที่ขมวดเป็นปมก็ค่อยๆคลายออก นั่นเป็นสัญญาณว่ามันเริ่มอารมณ์เย็นขึ้นมาแล้ว
สายตาที่มีเสน่ห์ของมันก็ยังคงจ้องผมอยู่อย่างนั้น ก่อนจะขยับปากพูดถ่อยคำที่ทำให้ผมอยากต่อยหน้ามันให้คว่ำ
“กูเผลอ” พร้อมยกมือขึ้นมาเกาหัวแก้เก้อ ก่อนจะส่งยิ้มแหะๆมาให้ผม เปลี่ยนอารมณ์เร็วดีนะมึง!
หืมมม! ช่วงนี้มึงเผลอบ่อยจังนะไอ้พี่เนล! เผลอขนาดนี้วันหลังมึงไม่จับกูปล้ำเลยไหมล่ะ
“ปล่อยผมได้ยัง จะได้ไปบอกไอ้ซาน” พี่เนลมันก็ยอมลุกออกไปแต่โดยดี ผมก้มลงไปเก็บซากเสื้อที่ถูกถอดทิ้งเมื่อกี้ ขึ้นมาใส่ให้เรียบร้อย
“ลงไปบอกมันซะ ว่ากูไม่อนุญาตให้ไป ถ้ามีปัญหามากก็ให้มาเคลียร์กับกู” พี่เนลว่าก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความเอือมระอา
เข้าใจยากว่ะคนแบบนี้ แถมเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งอีก
ผมลงไปบอกไอ้ซานว่าไปไม่ได้แล้ว พร้อมขอโทษขอโพยมันยกใหญ่ ดูเหมือนมันจะเข้าใจผมนะครับ มันก็บอกแค่ว่าให้ตั้งใจอ่านหนังสือ ถ้าตรงไหนไม่เข้าใจก็จดไว้ แล้วค่อยเอามาถามมันพรุ่งนี้เช้า ผมก็พยักหน้าตอบรับไป แล้วก็แยกย้ายกันไป
“น้องภีมครับบบบ” อื้อหือเสียงหวานเชียว กินยามาผิดหรือไงวะ
“ว่าไงครับ” ผมเอามือกอดอกมองพี่เนลอย่างคาดโทษ ยังเคืองที่ลวนลามกูอยู่นะ
“ขอต่อจากเมื่อกี้ได้ไหม” เรื่องแบบนี้มันขอกันได้อย่างหน้าด้านๆแบบนี้เลยหรือไงวะ! ให้ตายเถอะ!ผมรีบเดินจ้ำอ้าวขึ้นไปชั้นสองโดยไม่สนใจเสียงงอแงของพี่เนลที่ร้องเรียกผมอยู่ที่ห้องนั่งเล่นอีกเลย
ผมล่ะปวดหัวกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของมันที่สุดเลย!
----------------------------------------------------------------------------------------
กรอบ กรอบ
ฮึ่มม
“พี่เนล เคี้ยวขนมเบาๆหน่อย ผมต้องการสมาธิ”
“หือ” มันเงยหน้าจากโทรศัพท์มามองผม “มันเคี้ยวเบากันได้ด้วยเหรอ” พร้อมทำหน้ายียวนกวนประสาท มือก็ล้วงขนมจากซองขึ้นมาเคี้ยวเสียงดังโชว์ไปด้วย เอาแล้วไง กวนตีนกูแล้ว
ตอนนี้พี่เนลมันมานั่งเล่นที่ห้องของผมครับ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไปสักที ทนมือทนเท้ามาก
ตอนแรกผมก็ไม่ยอมให้มันเข้ามาหรอกครับ แต่มันก็ตื้อไม่เลิก บอกว่าจะอยู่เล่นโทรศัพท์เงียบๆไม่รบกวนผม เลยยอมให้อยู่ด้วย ไอ้เล่นโทรศัพท์นี่เงียบจริงๆเนี่ยแหละ แต่เสียงขนมนที่มันกินนี่กวนผมมาก
แต่ผมขี้เกียจจะเถียงกับมันแล้ว เถียงไปก็มีแต่เสียกับเสีย เห็นมันอยากอยู่ห้องของผมมาก เดี๋ยวจะปล่อยให้อยู่สมใจเลย ผมจัดการหอบกองหนังสือที่กำลังนั่งอ่านอยู่บนฟุกขึ้นมาถือไว้ เตรียมลุกเดินไปอ่านที่ห้องนั่งเล่นทันที
“จะไปไหน” พี่เนลเมื่อเห็นผมเก็บหนังสือเตรียมลุกหนี มันก็รีบเอ่ยถามขึ้นมาทันที
“ไปอ่านหนังสือที่อื่น”
“อ่านนี่แหละ”
“ไม่ได้ครับ พี่ทำเสียงดัง ผมไม่มีสมาธิ”
“แค่เสียงเคี้ยวขนมก็ทำให้มึงสมาธิแตกแล้วเหรอวะ แตกง่ายเหมือนกันนะเรา”
“ครับ” ผมตอบมันหน้านิ่ง อารมณ์ผมตอนนี้ยังไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับคนอย่างมันสักเท่าไหร่
พี่เนลมองผมสักพักก็ยกมือขึ้นทั้งสองข้าง เป็นการบอกนัยๆว่า ยอมแพ้แล้ว
“โอเคๆ แค่ไม่ทำเสียงดังก็พอใช่ไหม?” พี่เนลถามย้ำ
“ครับ” ผมพยักหน้าให้มัน
พี่เนลเมื่อเห็นว่าผมยอม ก็ดึงมือผมให้ลงไปนั่งที่ฟุกดังเดิม ก่อนจะลุกเอาซองขนมที่มันกินเมื่อกี้ไปทิ้งถังขยะ ผมไม่ได้สนใจอะไรมันอีก หันมาสนใจกับหนังสือต่อ สักพักก็รับรู้ถึงอะไรหนักๆที่ตัก ก้มลงไปดูก็เห็นพี่เนลมันเอาหัวมานอนหนุนตักผมอยู่ เลยทำเป็นเมินใส่มัน หันมาท่องจำส่วนที่จะออกสอบต่อ ทีนี้แหละครับ มือครับมือ! เลี้อยไปทั่วเลย เดี๋ยวก็เอื้อมมาดึงแก้มผมเล่น เดี๋ยวก็เลื่อนมาลูบเอวบ้าง ขาบ้าง หน้าท้องบ้าง
“พี่เนลครับ อย่ามากวน ผมไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ”
“เรื่องมากจัง กูอุส่าห์อยู่เงียบๆแล้วนะ” ผมไม่ได้เรื่องมากนะครับ พี่มึงนั่นแหละ เยอะ!
อยากจะถามจริงๆว่าว่างนักหรือไงวะ! ถึงมีเวลามานั่งกวนผมอยู่ได้
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรมันออกไป ได้แต่จ้องหน้ามันนิ่งๆ แล้วหันมาสนใจหนังสือเล่มหนาเตอะในมือต่อ พี่เนลดูเหมือนจะเบื่อกับการแกล้งผมแล้ว จึงหยิบโทรศัพท์มากดนั่นกดนี่เล่นฆ่าเวลา
“ลูกหมา หิวข้าวหรือยัง?” พี่เนลพูดขึ้นหลังจากที่เงียบอยู่พักใหญ่ สงสัยมันคงหิวข้าวละมั้ง
“ยังครับ” ผมตอบมันออกไป แต่ความจริงแล้วก็แอบหิวขึ้นมาหน่อยๆเหมือนกัน
“ไปหาอะไรกินเพิ่มพลังก่อนไหม เดี๋ยวกูพาไปกินร้านอาหารหลัง ม. ที่พึ่งเปิดใหม่”
“ครับ แต่ผมขออ่านหน้านี้ให้จบก่อนนะครับ”
“อืม กูจะรอนะ”
“ครับ” ผมก้มลงไปส่งยิ้มอ่อนๆให้มัน พี่เนลเห็นอย่างนั้นจึงยิ้มตอบผม ก่อนจะเอื้อมมือลอดผ่านหนังขึ้นมาบีบจมูกผมอย่างหยอกล้อ
คลื่น ~ คลื่น ~
เสียงโทรศัพท์ของพี่เนลดังขึ้น มันจึงเด้งตัวลุกออกจากตักผม มาขัดสะมาดอยู่บนฟุก แล้วกดรับสายทันที
“ว่าไงครับน้องบิวว” มันทำตัวระริกระรี้ ก่อนกรอกเสียงใส่มือถือไป หืม! เสียงหวานเชียวนะมึง
“ตอนนี้เหรอครับ”
“ว่างครับ”
“ได้ครับ เดี๋ยวพี่ไปรับที่บ้านนะ”
“ครับ แล้วเจอกันครับ”
พูดจบก็กดวางสายไป ก่อนจะหันมาพูดจาไร้ความรับผิดชอบกับผม “ไอ้ภีม ตอนนี้กูไม่ว่างไปกินข้าวกับมึงแล้วว่ะ”
“แต่พี่สัญญากับผมแล้ว”
“โทษทีว่ะ น้องบิวสำคัญกว่า” เหมือนมีหอกนับพันมาลุมแทงที่กลางอก รู้สึกจุกนิดหน่อย แต่ก็ยังยิ้มได้
ทำไมตอนนี้ถึงอยากขออะไรที่งี่เง่าออกไปก็ไม่รู้ จู่ๆก็กลัวความเหงาขึ้นมา ไม่อยากอยู่คนเดียวเลยว่ะ
“ไม่ไปได้ไหมครับ” ผมทำใจกล้าเอ่ยขอพี่เนลไป ถึงแม้ว่าความหวังที่มันจะทำตามที่ผมขอเท่ากับศูนย์ก็เถอะ แต่ในใจก็แอบหวังเล็กๆว่ามันจะไม่ทิ้งผมให้อยู่บ้านคนเดียว
“ไม่ได้หรอก คนนี้กูพึ่งเจอ ต้องเอาใจสักหน่อย”
“แต่ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”
“อย่ามาทำตัวงี่เง่าใส่กูนะไอ้ภีม กูไม่ชอบ” มันเริ่มขึ้นเสียงใส่ผม สงสัยสิ่งที่ผมพูดจะไปสร้างความรำคาญใจให้กับมันไม่น้อยเลย ผมจึงก้มหน้าสำนึกผิดกับสิ่งที่พูดออกไป
ผมคงขอมันมากเกินไปสินะ...
“...”
“คืนนี้กูอาจจะไม่กลับบ้าน เดี๋ยวพาน้องบิวมาทำเสียงดังรบกวนมึงตอนอ่านหนังสืออีก อยู่บ้านคนเดียวไปก่อนนะ อย่าดื้อล่ะ” พี่เนลที่เห็นผมเงียบไปจึง ลดระดับน้ำเสียงลง พร้อมเอามือใหญ่นั่นมาลูบหัวผมเบาๆเป็นการปลอบใจ
“ครับ” ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะครับ
----------------------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้ผมไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลย ในหัวคิดแต่เรื่องของพี่เนลกับผู้หญิงที่มันพึ่งนัดเจอเมื่อกี้ คงนัดกันไปทำเรื่องอย่างว่า ที่มันถนัดนักนั่นแหละ
ผมรีบสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว แล้วหันมาจดจ่อกับสิ่งที่ผมควรให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนนี้ สอบควิซพรุ่งนี้รอผมอยู่
เอามือขึ้นตบหน้าสองครั้งเพื่อเรียกสติ แล้วหันไปจดจ่อกับหนังสือ
แต่ก็อย่างว่าแหละ อ่านแปปๆก็เหม่ออีกแล้ว เฮ้อ เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ว่ะ
ไปให้ไอ้ซานติวให้ดีกว่า ขืนอยู่คนเดียวได้คิดเรื่องไร้สาระจนอ่านหนังสือไปไม่ถึงไหนแน่ๆ
เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็เก็บกระเป๋าขึ้นมาสะพายบ่า เดินออกจากบ้านไปเรียกพี่วินมอเตอร์ไซค์ ตรงดิ่งไปที่หอของไอ้ซานทันที
ในเมื่อผมขออะไรมันก็ไม่เคยทำตามอยู่แล้ว ทำไมผมจะต้องทำตามที่มันขอด้วยล่ะ จริงไหม?
ขอขัดใจมันสักวันเถอะ•‿•