คำตอบของพี่
(2/2)
เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด กว่าจะเลิกงานได้ แทบกลายเป็นศพ ยิ่งมาปวดตูดแถมยังต้องเดินรับส่งออเดอร์ทั่วร้านอีก บอกได้คำเดียวว่า ระบม ถ้าไม่ใช่ไอ้ภีมทำไม่ได้นะครับ
“พี่อ้อย ผมไปแล้วนะครับ” ผมยกมือไหว้พี่อ้อยที่กำลังเก็บของอยู่ในครัวอย่างขะมักเขม้น
“จ้า ขอบคุณที่ทนเหนื่อยนะ เดี๋ยวพี่เพิ่มทิปให้” โอ้โห ฟังแบบนี้แล้วมีแรงฮึดขึ้นมาเลย
“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไว้พี่แกอีกครั้ง ก่อนจะไปหยิบกระเป๋า เดินไปหาไอ้ซานที่มานั่งหาววอดๆ รอผมเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน
ไอ้ซานเมื่อเห็นผมเลิกงานแล้ว ก็เดินนำไปที่รถ พาผมเข้า ม. มาที่ตึกเรียนรวมทันที ตอนนี้ค่อนข้างดึกแล้ว แต่ไม่ได้วังเวงเลยแม้แต่น้อย ได้ยินเสียงคุยกันดังลั่นมาแต่ไกลเลยครับ
“ใครก็ได้ช่วยไอ้ฟงเย็บเอกสารหน่อย ทำมาเป็นชั่วโมงแล้ว ยังไม่ได้สักเล่มเลย” เสียงพี่ฟิวดังลั่นกังวานทั่วตึกเลยครับ ถึงแม้ยังเดินไปไม่ถึง แต่เสียงแว้ดๆของพี่แกชัดแจ๋วมาก
เดี๋ยว! พี่ฟิว? เพื่อนพี่เนล มาได้ยังไง? ผมหันขวับไปมองหน้าไอ้ซานเลยครับ มันได้แต่ส่ายหน้าไปมา พลางส่งสายตามาบอกผมเป็นนัยๆว่า ‘กูไม่รู้เรื่องนะ’
“เงียบๆหน่อยไอ้ฟิว กูต้องการสมาธิ” พี่ฟงที่กำลังถือไว้บรรทัด ค่อยๆเอาไปทาบเอกสารปึกหนึ่งอยู่ หันไปพูดกับพี่ฟิวสีหน้าเคร่งเครียด พี่เขากำลังทำอะไรอยู่วะ ทำไมดูเครียดกันขนาดนั้น ผมกับไอ้ซานที่เดินมาถึงแล้วได้แต่ยืนนิ่งมองพี่เขาอย่างเงียบๆ
“โอ้ยย มึงจะเอาให้มันตรงเพื่ออะไรวะ แค่ใช้ได้ก็พอแล้ว มึงจะไปแข่งเย็บเอกสารเพอร์เฟคระดับโลกหรือไง ขัดใจพี่ฟิวคนนี้จริงๆเลย งานยิ่งเร่งๆอยู่ เพื่อนเสือกใจเย็นแข่งกับอากาศขั้วโลกเหนืออีก” พี่ฟิวแกดูเกี้ยวกราดน่าดู
“ไม่ได้ มันขัดต่อการดำรงชีวิตของกูมาก กูไม่ชอบอะไรที่ไม่เป็นระเบียบ แม้แต่การเรียงตัวของแม็กบนกระดาษกูก็ไม่เว้น” พี่ฟงตอบพลางเอาไม้บรรทัดทาบลงไปใหม่อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเมื่อกี้ยังไม่ตรงพอ อุดมการณ์พี่แกหนักแน่นมาก ไอ้ภีมคนนี้โคตรนับถือ
ผมพอเดาสถานการณ์ออกแล้ว คงจะกำลังเย็บเอกสารประกอบการเรียนกันอยู่ ดูจากข้างตัวพี่ฟิวที่มีเอกสารกองเป็นปึกๆ ต่างกับพี่ฟงที่ไม่มีสักเล่ม เพราะมัวแต่วัดว่ามันตรงหรือยัง ไม่ยอมแม็กเย็บเล่มสักที
“มา มึงไม่ต้องทำแล้ว เดี๋ยวกูทำเอง” พี่ฟิวทนไม่ไหวลุกพรวด ไปแย่งปึกเอกสารจากมือพี่ฟงมา
“ไม่เอา” พี่ฟงเอาเอกสารหนี “ไปทำอย่างอื่นเถอะ ถ้าวันนี้กูเย็บเล่มนี้ไม่เสร็จ กูคงนอนไม่หลับ”
“โวะ! ไอ้เชี่ยฟง! ชาตินี้จะเสร็จไหมเนี่ย นานจนน้องอาร์คหลับไปแล้วเห็นไหม” พี่ฟิวเอานิ้วชี้ไปที่ผู้ชายคนหนึ่งที่นอนขดตัวบนพื้น หลับปุ๋ยอยู่ข้างๆพี่ฟง ผู้ชายคนนี้ผมเคยเห็นมาก่อน ที่ไปกินข้าวกับพี่ฟงที่ร้านนางิโซะวันนั้นนี่หว่า
“อ่าว หลับไปตอนไหน” พี่ฟงหันไปมอง เอามือไปเขย่าร่างเล็กเพื่อปลุก แต่ดูเหมือนน้องมันจะหลับลึก ไม่ยอมตื่น พี่ฟงจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะยกหัวน้องอาร์คมาหนุนตักตัวเอง พลางถอดเสื้อแขนยาวออก ห่มให้น้อง ก่อนจะหันมาพูดกับพี่ฟิวเสียงเรียบ “ไอ้ฟิว…วันนี้กูคงช่วยมึงได้แค่นี้แหละ เดี๋ยวต้องพาน้องอาร์คไปนอนแล้ว”
“มึงจะอยู่หรือไม่อยู่ ก็ไม่ได้ช่วยให้งานมันเสร็จเร็วขึ้นหรอก รีบๆพาลูกมึงกลับไปนอนเถอะ”
“อืม งั้นกูไปก่อนนะ” พูดจบก็อุ้มน้องอาร์คเดินดุ่มๆจากไปทันที ผมว่าพี่ฟงแกดูเป็นผู้ชายอบอุ่นคนหนึ่งเลยนะ ถึงดูเป็นพวกบ้าความสมบูรณ์แบบไปบ้าง แต่ดูเอาใจใส่น้องอาร์คดี ตั้งแต่บังคับน้องมันกินผักแล้ว ฮ่าๆ คงจะเป็นห่วงสุขภาพน้องมันนั่นแหละ
พี่ฟิวได้แต่สายหัวอย่างระอา ก่อนจะหันกลับมา สบตาเข้ากับผมจังๆ เลยส่งยิ้มให้พี่เขาไป ตามวิถีคนเฟรนลี่
“ว้ายๆๆๆๆๆ ดูสิ ใครมา” อารมณ์เปลี่ยนไปทันที พี่แกเดินสะดีดสะดิ้งมาทางผม “น่องภีมของพี่” พูดจบก็เอามือมาลูบแขนผมจนขนลุกไหมหมด
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไว้พี่ฟิว ก่อนหันไปไหว้พวกพี่ๆที่มานั่งทำงานก่อนหน้าแล้ว มีครบแก๊งพี่เนลเลยว่ะ พี่เมฆกำลังนั่งตัดเชือกอยู่ข้างเสา หน้าตาจริงจังน่าดู พี่แจ็คก็ถือคัตเตอร์กำลังกรีดกระดาษแข็งอย่างตั้งอกตั้งใจ พี่ฟงพึ่งกลับไปเมื่อกี้ ส่วนพี่ฟิวก็ยืนเกาะแขนผมอยู่
อย่าบอกนะ ว่าพี่เนลก็ไปค่ายด้วย ตายแล้ว ถอนตัวทันไหม
“มันไม่มาหรอก” พี่ฟิวดูเหมือนจะอ่านความคิดผมออก รีบพูดขึ้น “กูไม่มีทางมาค่ายนี้เด็ดขาด ถ้าเห็นกูมา เชิญตะโกนใส่หน้าว่าควายดังๆเลย น้องเนลได้กล่าวไว้อย่างนี้” พี่ฟิวทำเสียงสอง ล้อเลียนคำพูดของเพื่อนตัวเองด้วยความหมั่นไส้
เอ่อ ได้ยินแบบนี้แล้วค่อยสบายใจหน่อย “อ๋อ ครับ”
“เฮ้ ไอ้ภีมทางนี้ๆ” ไอ้เหม่ยยืนขึ้น โบกมือไปมา เรียกผมซะเสียงดังลั่นตึก “ไอ้ภีมมาแล้วโว้ย เฮ้ไอ้ภีม” ไอ้ทัศไม่น้อยหน้า หันมาเรียกชื่อผมแข่งกับไอ้เหม่ยทันที พี่ภีมรู้ว่าเป็นที่ต้องการ แต่ใจเย็นๆครับเพื่อน อย่าแย่งกันๆ
“มาช่วยกูตัดกระดาษหน่อย” ไอ้ทัศพูดพลางชูกระดาษขึ้นมาให้ผมดู
กูคงมีความสำคัญแค่นี้สินะ ไอ้เพื่อนรัก
“งั้นผมไปหาเพื่อนก่อนนะครับ” ผมยกมือไว้พี่ฟิวอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปหาไอ้สองคนที่นั่งตัดกระดาษกันจนนิ้วแทบล็อค
“มาๆ เชิญครับ เชิญ” ไอ้ทัศขยับให้ พร้อมผายมือเชิญผมให้ลงไปนั่งข้างๆ ส่วนไอ้เหม่ยก็ตบพื้นแปะๆ เรียกไอ้ซานไปนั่งด้วยเหมือนกัน ยังไม่ได้พูดอะไร ไอ้ทัศก็ยื่นกระดาษ กับกรรไกรมาให้ผมทันที
“ช่วยหน่อยครับฝ่ายสอน ฝ่ายกิจกรรมเหนื่อยเหลือเกิน” พูดจบก็ล้มตัวลงไปนอนกอดนอนฟัดกับไอ้โตทันที ไอ้โตเป็นหมาของมหาลัยที่ติดไอ้ทัศมากครับ สงสัยทะเลาะกันบ่อยจนซี้กันไปแล้ว ไอ้ทัศไปไหนบางครั้งก็เห็นไอ้โตเดินตามเป็นเงา วันนี้ก็น่าจะมานอนเฝ้ามันนั่นแหละ
“โห นี่กะใช้กูให้เต็มที่เลยนี่หว่า ไอ้ทัศ!”
“ใช่ ทำไปไอ้เบ๊ กูที่เป็นนายจะนอนแล้ว” พูดจบก็หันไปลูบหัวไอ้โต “เศร้าว่ะ ชะตาชีวิตกู เพื่อนก็มีผัวไปหมดแล้ว เหลือแต่กูที่ต้องนอนกอดหมาอย่างเปล่าเปลี่ยว กระซิกๆ มึงอย่าทิ้งกูไปไหนนะไอ้โต ตอนนี้กูรู้สึกเหงาเอกาเหลือเกิน” มันเอาหน้าไปถูกับลำตัวของไอ้โตที่นอนอยู่ อี๋!!! ไอ้ทัศ ไอ้โตมันเคยอาบน้ำบ้างไหมก็ไม่รู้ ดูจากขนที่เกาะตัวกันเป็นหย่อมๆแล้ว ถ้าอาบ ก็อาบมาแล้วหลายปี ทำไมมึงถึงยังกล้าทำอะไรแบบนั้น อย่ามาใกล้กูเลยนะ อยู่ห่างๆ พี่ภีมไม่มีเพื่อนแบบมึง
“บ่นอะไรของมึง” พี่ฟิวหันมาถามไอ้ทัศที่กำลังนอนพร่ำเพ้อพรรณนา กอดๆหอมๆไอ้โตอยู่ “ไม่มีเพื่อนคบเหรอไอ้ทัศ”
ใช่ครับ อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งนี่แหละ พึ่งตัดความสัมพันธ์ไปเมื่อ 1วิที่แล้ว
“ฮือออ พี่ฟิวครับบ ชีวิตผมโคตรเศร้า มีเพื่อนอยู่สามคน หนีไปมีผัวแล้วสอง อีกคนก็หล่อระเบิดระเบ้อถ้ามันคิดจะหา ก็หาได้สบาย เหลือแต่ผมเนี่ยแหละที่ยังโสดและสดอยู่อย่างนี้” ไอ้ทัศหันไปโอดโอยกับพี่ฟิว พลางเอามือล้วงเข้าไปในรูจมูก เพื่อหยิบขนไอ้โตออก ก่อนจะดีดใส่ไอ้เหม่ยที่นั่งตัดกระดาษเงียบๆอยู่ อี๋! กูรับการกระทำอันต่ำทรามนี้ไม่ได้จริงๆ
“ไอ้ทัศ….” พี่ฟิวลุกขึ้นมาหาไอ้ทัศ ก่อนจะโผกอดมันแน่น ประหนึ่งหมากฝรั่งติดกับรองเท้า เหนียวแน่นชนิดที่ว่าชาตินี้กูจะยึดติดกับมึงไม่ไปไหน “ฮือ กูเข้าใจความรู้สึกมึงงง เพื่อนกูก็หนีไปมีเมียหมดแล้ว เหลือแต่กูเนี่ยแหละที่ยังซิง”
หลังจากนั้นสองคนนั้นก็กอดปลอบกัน งานการไม่ยอมทำอีกเลย
เฮ้อ ปล่อยคนบ้าเขาคุยกันไปดีกว่า ไร้สารมาก
“เอ้า เด็กๆ ของว่างมาแล้วครับบ” ผมหันไปมองคนที่มาใหม่ ตาคมๆแบบนี้ ไว้ผมไถข้าง เจาะหู จมูกโด่งได้รูปแบบนี้ จะเป็นใครไม่ได้นอกจาก พี่ท็อป!
พี่แกวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ตรงดิ่งมาหาไอ้เหม่ยทันที พร้อมยื่นน้ำแตงโมปั่นให้ “นี่ครับของน้องเหม่ย น้ำแตงโมปั่นเย็นๆ แถมหัวใจของพี่ไปด้วย ดื่มเข้าไปรับรองหวานเจี๊ยบ โดยไม่ต้องใส่น้ำเชื่อมเพิ่ม เพราะความหวานที่พี่มีให้น้องมันมีมากกว่ามวลน้ำตาลใดๆในโลก” โอ้โห…ขออ้วกแปป
ไอ้เหม่ยยอมรับน้ำจากมือของพี่ท็อปแต่โดยดี “ผมขอรับไว้แค่น้ำแตงโมนะครับ ส่วนหัวใจพี่เอากองไว้ตรงนั้นแหละ” พูดจบก็ดูดน้ำแตงโมไปหลายอึกด้วยความกระหาย ทิ้งให้พี่ท็อปยืนอึ้งกับคำพูดไร้ซึ่งเยื่อใยเมื่อกี้
“ใจแข็งว่ะ แต่ไม่เป็นไร ยังไงสักวันมึงก็ต้องแพ้ในลีลากูอยู่ดี”
“หลงตัวเองฉิบหาย”
“ถ้ากูไม่มั่นใจ ไม่มีทางพูดออกไปหรอกนะ ยังไงกูก็ต้องจีบมึงให้ติด เพราะมึงคือคนที่หัวใจเลือกแล้ว”
“พี่ไม่ต้องมาปากหวาน ผมเห็นพี่พูดแบบนี้กับทุกคนที่จีบอยู่นั่นแหละ ขอบอกไว้เลยว่าผมไม่หลงเคลิ้มกับคำพูดหลอกลวงของคนอย่างพี่หรอก”
พี่ท็อปมองไอ้เหม่ยเหมือนคิดอะไรอยู่ ก่อนยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ดี! ยากๆแบบนี้แหละ ท้าทายกูดี”
ไอ้เหม่ยไม่ได้ตอบโต้อะไรพี่ท็อปไป หันไปตัดกระดาษของมันต่อ
“ฮันแน่ พึ่งรู้นะครับว่าแอบมาปลูกต้นรักกับเด็กแถวนี้” พี่ฟิวที่เมื่อกี้ล้มตัวลงไปนอนกับไอ้ทัศ ลุกขึ้นมาแซวที่ท็อปเล่น
“แน่นอนครับ กูปลูกไว้ทุกที่แหละ จะได้ไม่อดตาย”
“แล้วเอาน้องออมไปไว้ไหนล่ะครับนั่น รายนั้นดูเหมือนจะกัดพี่ไม่ยอมปล่อยด้วยนะครับ”
“อ่าว นี่มากันหมดทั้งแก๊งเลยเหรอ” พี่ท็อปเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อพี่ฟิวเอ่ยถึงน้องออม
“แหม เปลี่ยนเรื่อง เกือบครบแล้วครับ ยกเว้นน้องรหัสพี่”
“อ่าว ไอ้ห่าเนลไม่มาจริงดิ” ป๊าด วันนี้มีแต่เรื่องให้ตกใจ พี่ท็อปเป็นพี่รหัสของพี่เนลว่ะ โห เหมือนกันจริงๆ
เหี้ยเหมือนกัน
คนหนึ่งเลือกที่จะไม่ทิ้งน้องออม แต่ก็ตามจีบไอ้เหม่ยทุกวี่ทุกวัน ส่วนอีกคนก็ยังไม่ลืมรักเก่า แต่ควงคนอื่นไปทั่ว ถือคติที่ว่า ไม่มั่วแต่ทั่วถึง ใครเข้ามาพี่เอาหมด
ตายๆ เข้ากันอะไรอย่างนี้ ไม่ควรเป็นแค่พี่รหัสกับน้องรหัสอะ ควรเป็นพี่น้องกันจริงๆ
“ครับ มันบอกว่าค่ายเฮงซวย ไม่เหมาะกับคนสูงส่งแบบมัน!” พี่ฟิวพูดใส่อารมณ์
“อ่าวไอ้สัด! ขึ้นเลยๆ กูขึ้นเลย! ไอ้เนลมันว่าอย่างนั้นจริงเหรอ”
“เปล่าครับ ผมใส่ไข่”
“อ่าว ไอ้ห่าฟิว กวนตีนนะมึง” พี่ท็อปชูนิ้วกลางให้ ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งข้างๆพี่ฟิว “แล้วนี่มันไปไหน ว่าจะพาไปเลี้ยงสายสักหน่อย”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าแต่พี่เถอะ คิดไงเลี้ยงมัน ตั้งแต่ผมรู้จักกับพี่มา ยังไม่เคยเห็นพี่พามันไปเลี้ยงเลยนะ”
“ไม่ได้ กูจะจบแล้ว เดี๋ยวมันเทกู”
“โห! ยอม”
“เอาน่า ก็กูไม่ชอบคนเจ้าชู้แบบมันนี่หว่า คนสองจิตสองใจแบบนั้นกูไม่ปลื้ม” เหมือนพี่แกด่าตัวเองยังไงก็ไม่รู้
“แหวะ หน้าอย่างพี่มีสิทธิพูดคำนั้นด้วยหรือไง” ไอ้เหม่ยพูดขึ้นมาเสียงดังด้วยความความหมั่นใส้
“แน่นอนครับ พี่รักเดียวใจเดียว แล้วก็…..รักน้องคนเดียว”
“แหวะ กูจะอ้วก ไปพูดจาชวนเลียนไกลๆเลย กูไม่อิน” ไอ้เหม่ยรีบเบือนหน้าหนีพี่ท็อปทันที เห็นแวปๆว่าหูมันแดงนิดๆด้วย เห้ยไอ้เหม่ย มึงอย่ามาแพ้ให้ไอ้คนแบบนี้เด็ดขาดนะโว้ย กูไม่เชียร์!
ไอ้พี่ท็อปได้แต่ยิ้มพึงพอใจก่อนจะพูดออกมา “เมียแพ้ท้องเหรอครับ อ้วกบ่อยจัง”
“หุบปากไปเลย” ไอ้เหม่ยหยิบกรรไกรเขวี้ยงใส่พี่ท็อปอย่างแรง โชคดีที่พี่แกหลบได้ ไม่งั้นคงได้เย็บไปหลายเข็ม เย็บตรงไหนรู้ไหมครับ ตรงน้องชายไงครับ ไอ้เหม่ยแม่ง! เล่งตรงจุดยุทธศาสตร์เลย
“โหดจัง” ไอ้พี่ท็อปสบถออกมาเบาๆ หน้าซีดเผือด
“กวนตีนใส่ผมก่อนช่วยไม่ได้” ไอ้เหม่ยดูจะไม่แคร์กับการกระทำเมื่อกี้สักเท่าไหร่ เห้ย! ถ้าพลาดถึงตายเลยนะโว้ยไอ้เหม่ย!! กูยังไม่อยากมีเพื่อนเป็นฆาตกรนะ
“วันหลังพี่ขอเป็นอย่างอื่นแทนกรรไกรได้ไหมครับ….เช่น…” ไอ้พี่ท็อปทำหน้าหื่น ก่อนจะใช้สายตาหื่นกระหายนั่น จ้องไปที่ตูดของไอ้เหม่ยนิ่ง… น่ากลัวว่ะ น่ากลัวมากคนแบบนี้
ไอ้เหม่ยยิ้มเหี้ยมเกรียมก่อนจะหยิบกรรไกรมาจากมือไอ้ซาน ยกขึ้นขู่ “ผมว่าครั้งนี้ไม่น่าพลาด” มันค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ ตรงมาทางพี่ท็อป “เพราะผมจะเป็นคนตัดเอง”
โห กูว่าไอ้นี่แหละน่ากลัวสุด เอาซะผมเสี่ยวไข่แทนพี่แกเลย ดูจากหน้าเพื่อนผมแล้ว มันเอาจริงด้วยนะนั่น
ไอ้พี่ท็อปหน้าซีดกว่าเก่า รีบยกมือยอมแพ้ “พี่แค่ล้อเล่นครับน้องเหม่ย วางอาวุธลงก่อน ของแบบนี้เราเจรจากันได้”
“ฮ่าๆๆ” พี่ฟิวหัวเราะร่วน “มีแววเกียร์มัวว่ะ”
“หุบปากไปเลยไอ้ฟิว เดี๋ยวกูตบด้วยหน้าแข้ง” พี่ท็อปหันไปขู่ที่ฟิวที่ตอนนี้ยังหัวเราะไม่ยอมหยุด เมื่อเห็นไอ้เหม่ยยอมรามือ เดินกลับไปตัดกระดาษต่อ พี่แกก็หันมาพูดกับพี่ฟิวต่อ
“ตกลงไอ้เนลมันจะว่างไปกับกูหรือเปล่า ไปถามเพื่อนมึงให้กูหน่อย”
“เอ้าทำไมต้องเป็นผม พี่ก็ไปถามเองดิ แต่ผมแนะนำว่าช่วงนี้อย่าไปยุ่งกับมันเลย น้องรหัสพี่กำลังเป็นบ้า”
“หือ? มันเป็นอะไร”
“มันโดนปั่นหัวอยู่ ปัญหาตีกันรอบด้าน ทั้งรักเก่า ทั้งคู่หมั่น ไหนจะครอบครัวอีก ล่าสุดนี่เลย ไอ้นี่เลย” พี่ฟิวพูดพลางชี้นิ้วมาทางผมด้วย หือ อะไร? ผมเกี่ยวอะไร
ผมจะเอาอะไรไปปั่นหัวมัน ออกจะเชื่อฟัง(?)ขนาดนี้
“อะไรวะ กูไม่เข้าใจ ช่วยขยายความให้กูที”
“ช่างมันเถอะ ไม่อยากพูดเยอะ” พูดจบก็ลุกขึ้นไปเย็บเอกสารต่อ ปล่อยให้พี่ท็อปนั่งงงอยู่คนเดียว ไม่สิ บวกผมไปด้วยอีกคน อะไรวะ ทำไมวันนี้พี่ภีมเจอแต่คนแบบนี้ ตั้งแต่ไอ้ซานยันพี่ฟิว พูดเหมือนรู้อะไร แต่ก็เลือกที่จะไม่บอกเนื้อหา ให้เราเอาไปคิดต่อเอง
แต่ช่างมันเถอะ เมื่อถึงเวลา น่าจะรู้เองนั่นแหละ ผมเชื่อแบบนั้นอะนะ.. โดยเฉพาะเรื่องพี่ฟ้า ผมค้างคาใจเป็นพิเศษเลย ในชีวิตนี้ผมไม่เคยไปทำอะไรให้พี่ฟ้าเกลียดชัง แม้แต่เข้าไปคุยด้วยยังไม่เคยเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมพี่เขาถึงมองผมด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ เหมือนผมไปทำอะไรไม่ดีไว้อย่างนั้นแหละ
ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ก่อนจะหันมาสนใจกับการตัดกระดาษตรงหน้าแทน ต้องรีบตัดกระดาษให้เสร็จก่อน ถ้ามัวแต่คิดเรื่องนี้งานไม่เดินกันพอดี
พวกผมทำงานมาเพลินๆ จนเวลาล่วงเลยมา 4 ทุ่มกว่าๆ พี่ท็อปเมื่อเห็นว่าควรพอได้แล้ว จึงบอกให้พวกผมเก็บของและแยกย้ายกันกลับได้ เมื่อเก็บเสร็จผมก็บอกลาพวกพี่ๆตามมารยาท แล้วตามไอ้ซานเจ้าเก่าที่อาสาไปส่งผมเป็นกิจวัตรไปที่รถทันที
ระหว่างทางเราไม่ได้คุยอะไรกัน เพราะไอ้ซานมันทำหน้าเครียดมาก เหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ผมจึงปล่อยให้มันอยู่ในโลกของตัวเอง หันไปมองวิวนอกหน้าต่างเป็นการพักสายตา ถึงแม้ตอนนี้จะมืดจนมองไม่เห็นอะไรก็เถอะ ฮ่าๆ
ใช้เวลาไม่นาน รถของไอ้ซานก็มาจอดหน้าบ้านเป็นที่เรียบร้อย ผมบอกลามัน ก่อนจะเดินลงจากรถไป แปลกมากที่ไฟเปิดอยู่ ทั้งไฟห้องนั่งเล่น และไฟห้องพี่เนล ดูเหมือนวันนี้มันจะอยู่บ้านไม่ออกไปตกผู้หญิงที่ไหนว่ะ หายากนะเนี่ย เวลาที่เสืออย่างมันจะอยู่ในถ้ำ
ผมเปิดประตูเข้าไปในบ้าน แต่ไม่เห็นพี่เนลอยู่ในห้องนั่งเล่น จึงเดินขึ้นไปดูที่ชั้นสอง หันไปมองหน้าห้องมันที่เปิดประตูทิ้งไว้ เห็นเจ้าตัวกำลังรีบร้อนเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้ สองมือหยิบอะไรได้ ก็ยัดๆเข้าไปหมด มันยกกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า เดินออกมาอย่างรวดเร็ว สายตาคมนั่นหันมามองผมนิ่ง ก่อนก้าวขายาวๆเข้ามาหา พร้อมใช้มือหนานั่นลูบหัวผมอย่างเบาๆ
“อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม กูไปก่อนนะ”
“จะกลับเมื่อไหร่ครับ” ผมรีบดึงแขนมันเอาไว้ เมื่อห็นมันกำลังจะทิ้งผมเอาไว้คนเดียว
“ไม่รู้” มันตอบ “ทำไมมองกูแบบนั้น ไม่อยากให้ไปหรือไง”
“ถ้า..บอกว่าใช่ล่ะครับ พี่จะไปอยู่ไหม”
“กูก็จะไป” มันตอบเสียงเรียบ ก่อนจะแกะมือผมออก เดินลงบันไดไป ไม่วายหันมาชี้นิ้วขู่ “อยู่คนเดียวแล้วอย่าดื้อล่ะ อย่าให้กูรู้นะว่าตอนที่กูไม่อยู่แอบเอาชู้มานอนกก ไม่งั้นมึงตาย”
“ครับ”
นี่สินะ…คำตอบของพี่….