Chapter 24: โรคผิวหนัง[1]
แต่เดิมก็ชิงชังเสียจนไม่ใคร่จะมองหน้า แต่เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ความชิงชังอิเหนาในใจของระตูจรกานั้นก็เพิ่มพูนมากเท่าทวี ทั้งที่เขาคิดว่าพอจะมีสิ่งหนึ่งให้ตนได้ถูกพูดถึงในทางที่ดีบ้างว่าได้ครอบครองหญิงงามด้วยการอภิเษกกับบุษบา ทว่าสิ่งนั้นก็พังทลายลงไปสิ้นราวกับฝุ่นละอองต้องพายุโหมกระหน่ำตนหายไปกับตา
ต้องใช้เวลายาวนานเพียงใด ความแค้นนี้ของเขาจะได้รับการชำระ!
จรกาคิดแค้นเสียจนแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ถึงแม้ว่าเขาจะหวังผลประโยชน์ในการอภิเษกเป็นคู่ครองกับนางบุษบา แต่ในใจเขาก็นึกรักบุษบาอยู่บ้างเพราะตั้งแต่ที่นางรับหมั้น นางก็หาได้มีท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์เลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังพูดคุยสนทนาด้วยอย่างเป็นมิตร ไม่เหมือนสตรีนางอื่นที่คอยจะดูแคลนเขาอยู่ร่ำไป แม้ว่านั่นจะเป็นการกระทำที่นางแสดงออกไปเพราะเอ็นดูเจ้าจรกาที่เยาว์วัยกว่าและเป็นคนที่สหายของนางแอบมีจิตปฏิพัทธ์ด้วยก็ตาม
หากแต่จรกาไม่รู้ และไม่ใคร่จะรู้ด้วย เพลานี้คิดแต่จะล้างแค้นเท่านั้น
จะต้องทำสิ่งใด! ต้องทำอย่างไร ข้าถึงจะชำระความแค้นนี้กับเจ้าได้! อิเหนา!
ครุ่นคิดไม่ตก สุดท้ายก็ได้คำตอบว่าตนหาได้กระทำสิ่งใดกับอิเหนาได้ ด้วยอิเหนานั้นเป็นถึงองค์ยุพราชแห่งวงศ์อสัญแดหวา วงศ์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีต้นวงศ์เทวาเป็นถึงเทพยาดาบนสรวงสวรรค์ ต่างจากเขาซึ่งเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็กๆ เท่านั้น
แค้น...แค้นนัก...
ระตูจรกาได้แต่เก็บงำความแค้นนี้ไว้กับตัว ขณะที่อิเหนาและบุษบาหายไปจากเมืองดาหาตั้งแต่วันนั้น หาได้มีผู้ใดพบพานนับแรมปีแม้ว่าท้าวกุเรปันจะส่งเหล่าไพร่พลออกตามหาพระโอรสมาโดยตลอดก็ตาม
แต่นั่นก็หาใช่สิ่งที่จรกาจะสนใจ นอกเสียจากเก็บตัวอยู่แต่ยังเมืองของตน ไม่พบหน้าพบตาผู้ใดด้วยเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นนัก จากที่ถูกผู้คนล้อเลียนให้เจ็บช้ำ มาบัดนี้กลายเป็นว่าเป็นที่เวทนาอยู่ไม่น้อย อิเหนาซึ่งเป็นตัวต้นเรื่องถูกประณามว่าไร้ยางอาย อีกทั้งยังตระบัดสัตย์ กลืนคำพูดของตนที่เป็นฝ่ายถอนหมั้นแต่สุดท้ายก็มาลักพาตัวบุษบาไป
เรื่องนี้ทำให้ท้าวกุเรปันร้อนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อทรงรู้ดีว่าพระโอรสของตนกระทำผิด จึงหมายจะไถ่โทษให้อิเหนาไม่ถูกบริภาษด้วยการไปขอนางจินดาส่าหรี พระธิดาของท้าวสิงหัดส่าหรี พระญาติของตนให้มาเป็นมเหสีของจรกาแทน
เรื่องราวเหมือนจะจบ แต่ทว่า...ดวงใจอันบอบช้ำของจรกานั้นหาได้รับการเยียวยาเลยแม้แต่น้อย ครั้นอิเหนาและบุษบากลับมายังกุเรปันและอภิเษกสมรสเป็นคู่ครอง จรกาก็ยิ่งใจร้าวรานดั่งแก้วร้าวที่ไม่มีวันสมาน
เวลาผ่านไปชั่วชีวิต ความแค้นนี้ก็หาได้รับการบรรเทาเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเรือนผมดำขลับแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว ผิวหนังเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา ดวงตาฝ้าฟางมองสิ่งใดไม่ชัดเจนอีกต่อไป กระนั้นความแค้นก็ยังคงอยู่ตราบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของชีวิต
อิเหนา... เจ้ากับข้า ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้ แม้ว่าชาตินี้ข้าจะถูกเจ้าช่วงชิงน้องบุษบาไป แต่ชาติหน้าฉันใด ขอให้กงเกวียนกำเกวียนหนุนนำให้ข้าได้นางกลับคืน
โอ้...องค์เทวดาเจ้าขา หรือปีศาจอสุรกายตนใด หากได้ยินคำขอของข้าแล้วไซร้ โปรดเห็นใจดลบันดาลให้ข้าได้สมปรารถนา
ขอให้สมปรารถนา...
ชาติหน้าฉันใดขอให้สมปรารถนา...
ระตูจรกา...
เมื่อคืนก็ฝันอีกแล้ว แต่รอบนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีกับความฝันสักเท่าไรเลย ตั้งแต่ที่ฝันจนตกใจตื่น ร้องเรียกหาพี่อินทร์เสียงหลงในวันนั้น ผมก็ไม่รู้สึกดีกับความฝันที่เกี่ยวข้องกับอดีตชาติอีก แต่ที่รู้สึกไม่ดียิ่งกว่าก็คือรอยแดงๆ บนหน้าอกของผมที่ตอนนี้ดูเหมือนจะค่อยๆ แผ่ขยายพื้นที่มากขึ้น
ตอนแรกก็มีแค่รอยเหมือนเล็บข่วนที่พี่วิญญูเห็น จากนั้นก็เริ่มแตกกิ่งก้านสาขามากขึ้นเรื่อยๆ จนดูเหมือนรากต้นไม้ ผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจหรอกนะ รีบไปหาหมอตั้งแต่ที่เห็นว่ามันเริ่มลามจนมีความกว้างขนาดเท่าฝ่ามือ หมอก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้เหมือนกันว่าผมเป็นอะไร ได้แต่บอกว่าอาจจะแพ้อะไรสักอย่าง ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแพ้อะไร ตัวผมเองก็ไม่เคยแพ้อาหารหรือฝุ่นละอองใดๆ ที่มีผลกระทบกับผิวหนังมาก่อนด้วย สุดท้ายเลยกลายเป็นสรุปว่าผิวแตกลายแทนเสียอย่างนั้น
ผมก็เลยได้ยาทากลับมาหลายขวด วันนี้ก็ครบอาทิตย์หนึ่งแล้วที่มีอาการนี้ แต่ทายาไปก็ไม่ช่วยอะไรทั้งนั้น เพราะนอกจากจะไม่ทำให้รอยมันลด ยังแตกลายมากขึ้นจนลามไปยังหัวไหล่ และตอนนี้ก็เริ่มลามลงมาที่ต้นแขนแล้ว
ผมมองร่างกายเปล่าเปลือยของตัวเองหน้ากระจกแล้วก็ได้แต่กลุ้มใจ ผิวเนียนๆ ที่พี่อินทร์ชอบลูบ ตอนนี้แม้แต่มองก็ยังไม่น่ามองเลย แน่นอนว่าผมไม่บอกให้เขารู้หรอกว่าผมเป็นอะไรแบบนี้ กลัวว่าถ้าหากเขาเห็นว่าผมไม่น่าดูเหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว เขาจะไม่อยากแตะต้องตัวผมขึ้นมา
ยังไงก็ต้องเก็บเป็นความลับ ส่วนในระหว่างนี้ก็ต้องหาวิธีรักษาให้ได้...
ผมสวมเสื้อแล้วออกจากห้องไปยังโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยตามที่หมอนัด ซึ่งผลก็ออกมาเป็นอย่างเคยคือไม่สามารถวินิจฉัยได้ และก็ได้ยากลับมาทาอีกเช่นเคย แต่มันไม่เหมือนเดิมตรงที่ระหว่างเดินออกจากโรงพยาบาล ผมก็เจอคนที่ไม่สมควรจะเจอเข้า
“อ้าวน้องจิ มาทำอะไรที่โรง’บาลเหรอ”
...พี่วิญญู
เขาถามผมพร้อมกับรอยยิ้ม ผมอดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันนะว่าทำไมเขาถึงยังกล้าทักทายผมอยู่ทั้งที่รู้ว่าพี่อินทร์หึงหวงผมอย่างกับอะไรดี คงเป็นเพราะตอนนี้พี่อินทร์ไม่ได้อยู่ด้วยล่ะมั้ง เขาถึงได้ทักทาย
“จิมาทำธุระครับ”
ผมก็ตอบไปตามมารยาท ไม่บอกรายละเอียดเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เขาควรรู้ ทว่าสายตาของพี่วิญญูกลับมองไปยังถุงยาที่ผมถือไว้ในมือแล้วเป็นที่เรียบร้อย
“ไม่สบายเหรอ เป็นอะไรล่ะ”
ผมรีบดึงถุงยาไปซ่อนไว้หลังตัวเองทันที ไม่ใช่แค่พี่อินทร์หรอกที่ผมไม่อยากให้รู้ คนตรงหน้าหรือใครๆ ก็เหมือนกัน ผมไม่อยากให้ใครรู้ทั้งนั้น
“ไม่มีอะไรครับ จิขอตัวก่อนนะ”
ผมตัดบทแล้วรีบเดินออกจากตรงนั้นทันที แต่เพราะรีบร้อนเกินไปเลยทำให้ถุงยาหลุดมือหล่นลงบนพื้น ผมหันไปทิ้งตัวลงนั่งยองเก็บของถุงอย่างกลับเข้าไปในถุงตามเดิม พี่วิญญูที่เห็นเหตุการณ์อยู่ก็เข้ามาช่วย
“ไม่เป็นไรครับ จิเก็บเอง”
ผมรีบบอก มือก็รีบเก็บ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิดเมื่อพี่วิญญูหยิบยาหลอดหนึ่งขึ้นมาอ่าน
“เป็นโรคผิวหนังเหรอ”
ผมเงยหน้ามองเขาทันควัน ก่อนแย่งยาในมือเขาคืนมาโดยไม่พูดอะไร
ต้องรีบไป...
ต้องรีบไปจากที่นี่...
ทว่าพี่วิญญูกลับคว้าข้อมือผมเอาไว้ พอผมเหลือบมองหน้า เขาก็ถือวิสาสะมาเลิกแขนเสื้อผมขึ้น รอยแดงที่ต้นแขนปรากฏให้เขาเห็นเต็มสองตา ก่อนเขาจะเบิกตาโต ครางออกมาเบาๆ
“นั่น...”
ดูท่าทางเขาตกใจมาก ผมเองก็ตกใจ รีบดึงแขนตัวเองกลับ ผุดลุกพรวด
“จิมีธุระ ไปก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวสิน้องจิ”
เขาพยายามจะรั้งผมไว้ แต่ผมไม่อยู่แล้ว แค่พี่วิญญูเห็น ผมก็รู้สึกอับอายขึ้นมาจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ความรู้สึกเดียวกับตอนที่จรกาถูกใครต่อใครถ่มถุยเรื่องหน้าตาฉายวาบเข้ามาในจิตใต้สำนึกของผม ความอับอายนั้นทำให้ผมต้องเม้มปากแน่น น้ำตาคลอเบ้าอย่างไม่อาจห้าม ตอนนี้ชัดแล้ว...ชัดเลยว่ายังไงผมก็ให้พี่อินทร์รู้ไม่ได้
ไม่ว่าใครก็จะรู้เรื่องนี้ไม่ได้ทั้งนั้น!
ตอนนี้เข้าอาทิตย์ที่สอง ยาที่หมอให้มาหมดอีกแล้ว ปกติแล้วยาจะใช้ได้ประมาณหนึ่งเดือน แต่เพราะรอยบนตัวผมมันมีมากเกินไป แล้วผมก็วิตกจริตกลัวว่ามันจะไม่หายด้วย เลยโบกยาลงบนตัวแทนที่จะทา ตอนนี้นอกจากยาแล้ว โลชั่นลบรอยแตกบนผิวหนังอะไรที่เขาว่าดี ผมก็ไปซื้อมาใช้หมดจนพี่อินทร์แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้ลุกขึ้นมาดูแลผิวพรรณตัวเอง ซึ่งก็แน่ล่ะว่าผมบอกเขาไปว่า...
“จิอยากให้พี่อินทร์แตะต้องตัวจิเยอะๆ”
...ผมอยากให้เขาทำอย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่ใช่ช่วงนี้ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงอยู่ เวลาที่เขาทำท่าเหมือนจะอยากทำอะไรกับผมตามอย่างเคย ผมมักจะแกล้งหลับ หรือไม่ก็อ้างเหนื่อยบ้าง ทำการบ้านบ้าง อ่านหนังสือบ้างไปตามเรื่อง จนเขาแปลกใจอยู่หน่อยๆ แต่ดีที่ไม่ได้ตอแยอะไร เพราะช่วงนี้พี่อินทร์เองก็มีโปรเจ็กต์วิชาหนึ่งที่เขาต้องทำเหมือนกัน และที่ผมดีใจที่สุดก็คือ...เขาไม่ค่อยได้กลับหอเพราะโปรเจ็กต์นี้
รู้สึกว่าจะต้องไปซ้อมการแสดงที่ตึกคณะกับเพื่อนจนดึกดื่น ผมก็ไม่ตามเขาหรอก อยู่ห่างๆ กันไว้อย่างนี้แหละดีแล้ว ตราบใดที่รอยพวกนี้ยังไม่หายไป อยู่ใกล้กันมันไม่เป็นการดีเลย สักวันเขาจะต้องเห็นแน่
วันนี้ก็เช่นกันที่เขายังไม่กลับหอ ผมกลับมาที่ห้องหลังจากแวะไปซูเปอร์มาร์เก็ตที่ห้างแถวมหาวิทยาลัยเพื่อซื้อของใช้จำเป็น ก่อนจะแกะกระดุมเสื้อนักศึกษาออก
ช่วงนี้...ผมใส่เสื้อนักศึกษาแบบไม่พับแขน แทบจะเรียกได้ว่าแต่งกายถูกระเบียบเลยเถอะ ส่วนเหตุผลน่ะ ก็เพราะว่า...
สายตามองไปยังเงาสะท้อนของตัวเองที่ปรากฏอยู่บนกระจกเงาในตู้เสื้อผ้า รอยแดงๆ เหมือนรากต้นไม้กระจายจากหน้าอกไปยังต้นแขนทั้งสองข้าง และตอนนี้ก็ลามเลยลงมายังข้อพับแขนแล้ว
...นี่ล่ะ เหตุผลที่ผมต้องใส่เสื้อแขนยาวปกปิดมันเอาไว้
ผมคว้าเอาเสื้อแขนยาวที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาตัวหนึ่งแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ชำระล้างร่างกายอย่างเคย พอทายาและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องน้ำ จากนั้นก็ต้องผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพี่อินทร์กลับเข้าห้องมาพอดี
“วันนี้กลับเร็วจังเลยครับพี่อินทร์”
ผมทักเขาเพื่อลดความประหม่า รีบซ่อนหลอดยาลงในกระเป๋ากางเกงด้วย ปกติแล้วผมจะเอาไปเก็บไว้ตามกระเป่ากางเกงในตู้เสื้อผ้า แต่พี่อินทร์ดันโผล่พรวดเข้ามาแบบนี้ คงต้องหาจังหวะเอาของไปเก็บใหม่อีกที
“อื้ม วันนี้ซ้อมเสร็จเร็วน่ะ พี่เลยรีบกลับ”
เขาตอบ ก่อนจะถอดรองเท้าผ้าใบเก็บเข้าชั้น ให้ผมได้ยืนเงอะๆ งะๆ แล้วถามเขาขึ้นอีก
“แล้วพี่อินทร์กินอะไรมาหรือยัง”
ทำเป็นถามไปอย่างนั้นแหละ ดึกขนาดนี้แล้ว เขาน่าจะหาอะไรกินมาแล้ว
แต่เขากลับตอบในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคิดผมเสียอย่างนั้น
“ยังหรอก พี่ไม่หิว อยากเจอจิมากกว่า”
คำพูดนั้นทำให้ผมยิ้มออก พี่อินทร์น่ารักกับผมเสมอถึงแม้ว่าช่วงนี้ผมจะไม่ให้เขาแตะเนื้อต้องตัวเลย เอาจริงๆ ผมก็รู้สึกผิดกับเขาอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่มั่นใจว่าถ้าเขาเห็นแล้วมันจะเป็นไปในแง่ดีหรือแง่ร้าย ผมเลยไม่ให้เขาโดนเนื้อตัวเลยดีกว่า จะว่าผมกังวลไร้สาระก็ได้ แต่คนที่ถูกใครต่อใครดูถูกมาทั้งชาติอย่างผม ผมทนไม่ได้หรอกถ้าเกิดว่ารอยนี้ไม่หาย แล้ววันหนึ่งพี่อินทร์จะไปจากผมเพราะเรื่องนี้
ถ้าผมไม่ใช่จิระคนงามอีกต่อไป แล้วผมต้องสูญเสียเขา ผมทนไม่ได้จริงๆ...
ผมได้แต่ยิ้มบางๆ ให้เขา พี่อินทร์ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น นอกจากจะถอดเสื้อนักศึกษาออก พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นข้าวของเครื่องใช้ที่ผมซื้อมาบนโต๊ะใกล้ๆ พอดี
“วันนี้จิไปห้างมาเหรอ”
ผมพยักหน้า ลืมไปว่าไม่ได้บอกเขาก่อน ปกติเวลาไปไหน ผมจะบอกเขาทุกครั้ง ยกเว้นช่วงนี้ที่ไม่อยากให้เขาไปด้วย
“อืม จิไปซื้อของมานิดหน่อย”
พี่อินทร์ขมวดคิ้ว เดินไปแหวกๆ ถุงที่ผมซื้อมาดู ก่อนจะหยิบโลชั่นขึ้นมา
“ท้องเหรอจิถึงต้องใช้ของแบบนี้”
มันเป็นโลชั่นสำหรับผิวแตกลายงาของคุณแม่ตั้งครรภ์น่ะ ผมยกมือขึ้นลูบหลังคอตัวเอง แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
“เห็นบล็อกเกอร์รีวิวว่ามันทำให้ผิวนุ่ม จิก็เลยลองซื้อมาใช้”
พี่อินทร์ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ พวกโลชั่นพวกนี้ เขาเห็นมาพักหนึ่งแล้ว ดูท่าทางน่าจะเริ่มชิน แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมซื้อโลชั่นสำหรับผิวแตกลายงามา เขาเลยคงอดถามไม่ได้
“แล้วทำไมจิซื้อแขนยาวมาเยอะแยะเลย”
พี่อินทร์รื้อถุงอีกใบดู แต่อันนี้พอผมเห็นแล้วก็รีบพุ่งพรวดไปแย่งถุงคืนเพราะเสื้อที่ซื้อมามันเยอะเสียจนน่าสงสัย อะไรไม่ว่า ในนั้นมีถุงยาจากโรงพยาบาลด้วย ให้เขาเห็นไม่ได้หรอก!
การกระทำนั้นทำให้เขามองผมอย่างงุนงงทันควัน ผมเลิ่กลั่กไป ก่อนคิดคำแก้ตัวได้
“คือ...ช่วงนี้จิขี้หนาวน่ะครับ เลยซื้อเสื้อแขนยาวมาไว้ใส่นอน”
โกหกคำโต ร้อนขนาดนี้ ใครมันจะไปขี้หนาว ถ้ารอยพวกนั้นไม่ลามไปตามแขนอย่างนั้น ผมก็ไม่ใส่หรอก ส่วนพี่อินทร์...ตอนนี้เรียวคิ้วเขาขมวดมุ่นเข้าหากันเลย ผมกลืนน้ำลายเอื้อก กลัวเหลือเกินว่าเขาจะจับพิรุธได้ หรือสงสัยในอะไรที่ผมไม่อยากให้เขารู้ กระทั่งเขาเอ่ยปากขึ้น
“หรือจิจะไม่สบาย?”
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจที่เขาเข้าใจไปแบบนั้น ก่อนจะพยักหน้า
“นิดหน่อยครับ”
ผมไม่สบายจริงๆ อันนี้ไม่ได้โกหก แต่ไม่ได้เป็นไข้อะไรอย่างนั้น เป็นโรคผิวหนังต่างหาก แต่พี่อินทร์เข้าใจอย่างนั้นเพราะเขาเดินมาเอาหลังมืออังที่หน้าผากผมแล้ว
“เอ...ตัวก็ไม่ร้อนนี่”
ผมเม้มริมฝีปากแน่น เขาก็มองหน้าผมนิ่งเช่นกัน
“หรือจะเป็นหวัด?”
แกล้งไอตอนนี้ทันไหม คงไม่ทันแล้วสินะ ผมเลยได้แต่อึกๆ อักๆ
“คือจิ...”
ไม่รู้ว่าจะอ้างว่าอะไร แต่พี่อินทร์ก็ว่าออกมาก่อนแล้ว
“ถ้าจิหนาว พี่ปิดแอร์ก็ได้นะ คืนนี้เปิดพัดลมนอน”
ผมส่ายหน้าพรืดเลย เรื่องอะไรล่ะ ร้อนจะตาย ที่ต้องมาใส่เสื้อแขนยาวแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้เขาเห็นรอยน่าเกลียดพวกนั้นต่างหาก
“จิไม่เป็นไรครับ ถ้าปิด พี่อินทร์ก็ร้อนสิ”
“พี่ก็ไม่เป็นไร พี่กลัวจิหนาวมากกว่า”
“เดี๋ยวจิห่มผ้าหนาๆ นอนก็ได้”
พอผมออกอาการดื้อ พี่อินทร์ก็ไม่ตอแย เขายกยิ้มขึ้นมา ว่าอย่างกะลิ้มกะเหลี่ย
“ถ้างั้น...เดี๋ยวพี่ช่วยห่มอีกแรงนะ”
จากนั้นก็ดึงผมไปที่เตียง ดันตัวผมลงนอนหน้าตาเฉย รู้ตัวอีกที เขาก็มาขึ้นคร่อมเอาไว้แล้ว
“จิเคยได้ยินไหมว่าหนาวเนื้อต้องห่มเนื้อ”
หน้าตาก็กะลิ้มกะเหลี่ย ผมรู้เลยว่าเขาคิดจะทำอะไร ก็ทำอย่างที่เขาเคยทำทุกทีนั่นแหละ ปกติผมก็จะยอม แต่ไม่ใช่ในครั้งนี้ พอเขาล้วงมือเข้ามาสัมผัสที่หน้าท้องใต้เสื้อ ผมก็เบิกตาโพลง ดิ้นหนีอย่างรวดเร็ว
“พี่อินทร์อย่า...”
แต่พี่อินทร์ไม่ฟัง ฝังใบหน้าลงมายังซอกคอผม
“ไหนๆ ไม่สบายตรงไหน เดี๋ยวพี่หมออินทร์จะรักษาให้นะจ๊ะ”
แล้วก็พรมจูบไปทั่ว ทั้งที่ผมเคยสนุกกับการหยอกล้อแบบนี้ของเขาแท้ๆ แต่ครั้งนี้ไม่สนุกเลยสักนิด ผมดันเขาออกเป็นพัลวัน
“ไม่เอาพี่อินทร์ วันนี้จิไม่เล่น”
พี่อินทร์ก็ไม่หยุดอีก จับข้อมือทั้งสองข้างของผมไปขึงพรืดไว้เหนือหัว
“วันนี้อยากเล่นบทขัดขืนเหรอ”
เขาว่าขำๆ แต่ผมไม่ขำแล้ว เห็นหน้าเขา ผมก็รู้สึกไม่ดี แต่ไม่ใช่เพราะเขา ผมกำลังกลัวต่างหาก
กลัว... ถ้าเขาเห็นว่าผมไม่ได้เป็นจิระคนงามอีกแล้ว เขาจะรักผมน้อยลง
ถึงใครจะคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่สำหรับผมที่ชาติก่อนถูกใครต่อใครประณามว่าอัปลักษณ์ มันทำให้ผมฝังใจมาก ในเมื่อชาตินี้เกิดมาหน้าตาดีแล้ว ผมก็อยากดูดีในสายตาเขาตลอดเวลา อยากเป็นจิระคนงาม ไม่ใช่จิระที่มีรอยแดงๆ ทั้งตัวแบบนี้
“เอ้า ขัดขืนก็ขัดขืน วันนี้เล่นบทจำเลยรักก็แล้วกันเนอะ”
พี่อินทร์ยังคงว่าด้วยน้ำเสียงระรื่น โน้มใบหน้าลงมาจูบเข้าที่ซอกคอผมแล้วด้วย มือก็ดึงคอเสื้อผมลงต่ำเพื่อพรมจูบ ผมใจหายวาบ ก่อนจะตะเบ็งเสียงออกมา
“พี่อินทร์! จิบอกว่าอย่า! ถอยออกไป!”
ไม่ใช่แค่ตะโกน ยังทั้งดิ้นทั้งถีบ พี่อินทร์คงคิดว่าผมเล่นในตอนแรก แต่พอผมเสียงดังขึ้น
“ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้! พี่อินทร์!”
เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ทันทีว่าผมไม่ได้เล่นแล้ว พอเขาชะงัก ทำท่าเหมือนจะถามอะไรผมสักอย่าง ผมก็ผลักเอาออกสุดแรง เขาแทบไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ได้แต่มองผมด้วยสายตางุนงง
“จิเป็นอะไร”
“ออกไป!”
ผมผลักเขาอีกครั้งสุดแรง เขาก็พยายามจะจับผมให้อยู่นิ่ง
“จิ... จิระใจเย็นๆ เป็นอะ...”
“จิบอกแล้วไงว่าให้หยุด!”
เพียะ!
จังหวะนั้นผมลุกขึ้นนั่งได้พอดี พลันก็สะบัดมือออกไปฟาดกับซีกแก้มของเขา เสียงดังของฝ่ามือกระทบกับใบหน้าทำให้ทั้งผมทั้งเขาชะงักงันไป วินาทีนี้เองที่ผมรู้สึกตัวว่าพลั้งมือทำอะไรลงไป พลันในใจก็พรั่นพรึงยิ่งกว่าเดิม
ผะ...ผมตบเขา...ตบหน้าเขา
ซีกหน้าข้างนั้นของพี่อินทร์แดงเรื่อขึ้นมาทีละน้อย เขาเองก็มองผมอย่างไม่เชื่อสายตาเช่นกัน
“พะ...พี่อินทร์...” ผมครางเรียก เขายังคงนิ่ง ผมเลยรีบพูดออกมา “จะ...จิไม่ได้ตั้งใจ จิขอโทษ...”
น้ำตาก็พลันไหลออกมาเป็นสายด้วย ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะพลั้งมือไปแบบนี้ ขณะที่เขายกมือขึ้นลูบแก้มข้างที่ถูกตบของตัวเอง ผมเลยถลาเข้าไปหาเขา พูดประโยคเดิมๆ ซ้ำๆ ไม่หยุด
“จิไม่ได้ตั้งใจ ฮึก...พี่อินทร์ จิขอโทษ...”
ไม่ได้ตั้งใจ...
ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ...
มือผมสั่นระริก ตัวก็สั่น ทั้งตกใจ ทั้งเสียใจ ช็อกด้วยเช่นกัน พี่อินทร์ก็คงจะช็อกไม่ต่างกัน เขาคงไม่คิดว่าผมจะตบหน้าเขาเต็มแรงขนาดนั้น แต่เขาก็ได้สติก่อนเป็นคนแรก
“จิ... ไม่เป็นไร โอ๋ๆ นะ พี่ไม่เป็นไร”
เขาดึงผมไปกอดอย่างรวดเร็ว ลูบหัวลูบหลังเป็นการใหญ่ ส่วนผมเองก็ร้องไห้โฮยิ่งกว่าเดิม
“จะ...จิขอโทษครับพี่อินทร์ ฮือ...”
“พี่ไม่โกรธๆ พี่รู้ว่าจิไม่ได้ตั้งใจ พี่ผิดเองที่เล่นไม่เลิก”
เขากระซิบ จูบขมับ จูบหน้าผากผมเป็นการปลอบประโลม ผมรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธเลยแม้แต่นิดเดียว แต่การที่ผมพลั้งมือไปทำร้ายเขาอย่างนั้นมันทำให้ผมรู้สึกแย่
แย่...แย่มาก ทั้งรู้สึกแย่กับรอยบนตัว แย่กับการกระทำของตัวเอง แย่ที่ทั้งๆ ที่ผมเป็นฝ่ายผิด เขาก็ยังดีกับผมแบบนี้
รู้สึกแย่มากเลย...
“จิขอโทษ...”
“พี่ไม่โกรธครับคนดี ไม่ต้องร้องแล้วนะ ยิ้มๆ”
พี่อินทร์ผละออกมา ใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้ผมเป็นการใหญ่ เขายิ้มกว้าง สีหน้าไม่ได้ดูผิดแผกไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่ใจไม่ดีเลย
“แต่จิ...”
“จิไม่ต้องขอโทษแล้ว พี่ไม่โกรธ ยังรักจิเหมือนเดิมนะ นิ่งซะๆ”
เหมือนเขารู้เลยว่าผมกลัวอะไร พอพูดมาอย่างนั้น ผมก็ค่อยสงบลงได้ แต่ก็ไม่วายเหลือบมองซีกแก้มของเขาที่ยังมีรอยนิ้วระเรื่อ
“จิไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะพี่อินทร์”
พี่อินทร์ยิ้มมาอีกครั้ง “พี่รู้ พี่เล่นไม่เลิกเอง สมควรโดนแล้ว จิบอกแล้วนี่เนอะว่าไม่สบาย ยังจะไปแหย่อีก”
กลายเป็นว่าเขาโทษตัวเองเสียอย่างนั้น ถึงจะสงบลงแล้ว แต่ผมก็ไม่สบายใจเลย ทว่าพี่อินทร์กลับยิ้มออกมา
“นอนนะจิ เดี๋ยวพี่กล่อม ไม่ต้องคิดมากนะ”
พลันดึงตัวผมเอนลงนอน ตระกองกอดไว้ ลูบหลังลูบไหล่เบาๆ ในช่วงแรกผมก็ยังเกร็งๆ อยู่ แต่พอผ่านไปสักพักแล้วเห็นว่าพี่อินทร์ทำตัวเหมือนปกติทุกอย่าง ผมก็ค่อยๆ สบายใจขึ้นมา ก่อนจะซุกหน้าลงบนอกเขา พึมพำเสียงเบา
“ขอบคุณที่ไม่โกรธจินะครับ”
“พี่รักจิมากขนาดนี้ จะโกรธลงได้ไงหืม?” เขาว่ายิ้มๆ ก่อนจูบลงมาบนริมฝีปากผม “นอนนะคนดี คืนนี้พี่ขอให้ฝันดีนะครับ”
พี่อินทร์...
ผมโผเข้าหา กอดกระชับเขาแน่น นอกจากพ่อแม่ที่ตายไป แล้วก็ลุงกับป้าที่เลี้ยงดูผมมา ในชีวิตนี้คงไม่มีใครรักผมได้มากเท่าพี่อินทร์อีกแล้วล่ะ
ขอบคุณ... ขอบคุณครับ...
ขอบคุณที่ยังรักจิเหมือนเดิมทั้งที่จิทำตัวงี่เง่า
ขอบคุณพี่อินทร์จริงๆ...