┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 8
“ลูกพี่! มองแทบเหลียวหลังเลยอะ”
ไอ้เด็กช่างก่อเรื่อง ตอนนี้เอื้อมมือมาพาดไหล่เขาอย่างถือวิสาสะ อารมณ์ว่าสนิทกันมากจนไม่เหลือพิธีรีตองแล้ว ให้ใช้หนี้แทนก็เคย ให้โดนต่อยแทนยังผ่านมาแล้ว ประสาอะไรกับแค่ตบไหล่แปะ ๆ ขณะปากก็จ้อไปเรื่อยเปื่อยระหว่างทาง
“แถมเดินอ้อมมาทำอะไรแถวนี้ ปกติพี่กลับทางอื่นนี่ กะมาดักรอรึไง!” ลูกน้องจำเป็นว่าเสียงทะเล้น “แอบชอบเขาเหรอ!?”
“อือ” ชายหนุ่มตอบเรียบ ๆ
“มิน่าล่ะ ก็ว่าจ้องซะ—เฮ้ย!”
เป๊กทำตาเหลือกใส่เขาอย่างกับเห็นผี หลังเผลอเออออไปแล้วรอบหนึ่งแบบไม่ทันคิด พอได้สติถึงกับอ้าปากหวอ หยุดเดินกันเสียดื้อ ๆ “เดี๋ยว ๆ นี่เราคุยถึงคนเดียวกันอยู่ปะเนี่ย พี่หมายถึงอาหมวยหุ่นเช้งที่เพิ่งเดินผ่านหน้าพวกเราไปใช่ไหม”
“ไม่ใช่”
“งั้นก็ยัยหนูที่ยืนซื้อของอยู่นั่น” เป๊กยังพยายามโบ้ยคนนั้นคนนี้พร้อมปั้นหน้ากรุ้มกริ่ม “ชอบกินเด็กก็ไม่บอก”
“เปล่า”
อีกฝ่ายเริ่มเหงื่อตก ถูกเดินทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ จนต้องเร่งฝีเท้าพลางสอดส่ายสายตาไปทั่ว ทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่าคนที่เขามองเป็นชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานคนนั้น ยังจะถามชี้นำถึงคนอื่นให้วุ่นวาย
“หรือจะเป็นผู้หญิงที่—”
ธัญญ์หันมามองเพื่อนร่วมทางอย่างเพลียใจ ขัดจังหวะการเดาเพ้อเจ้อด้วยประโยคสั้น ๆ ชัดถ้อยชัดคำ
“ฉันมองผู้ชายคนนั้น”
“หา!” เป๊กทำท่าตระหนก เหมือนเด็กเห็นฮีโร่ในดวงใจประกาศตัวว่าเป็นผู้ร้ายเสียเอง “มองทำไมวะ”
ชายหนุ่มยักไหล่ กลับไปสนใจเส้นทางพร้อมกับเร่งฝีเท้า “ก็ตอบไปแล้วเมื่อกี้ไม่ใช่หรือไง”
คนฟังมีอันต้องตาเหลือกหนักกว่าเก่า กระซิบกระซาบท่าทางไม่อยากเชื่อ
“..อย่าล้อเล่นน่า...แอบชอบเขาหรือไง..”
“...ชอบ.....หรือไง...”
“..อือ”
“พี่ธัญญ์!”
เจ้าของชื่อเบิกตาโพลง มองหน้าไอ้หนูที่ชะเง้อมาดูปฏิกิริยาเขา หลังจากเพิ่งเอาหนังสือม้วนเป็นทรงกระบอก จ่อหูเขาไว้ แล้วร้องเรียกเสียงดังผ่านท่อนั่น
ธัญญ์ยกมือลูบใบหู กะพริบตาปริบ ๆ ใส่เด็กชายพร้อมภูมิที่ยิ้มทะเล้นอยู่ตรงหน้า “อะไร”
“หลับอีกแล้ว ถามว่าชอบนอนกลางวันหรือไง”
เมื่อกี้ฝันนี่เอง.. เหมือนจริงจนตกใจ
ผ่านไปครู่หนึ่งที่เขาเอาแต่มองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ ไม่ยอมตอบแต่โดยดี ไอ้ตัวเล็กถึงกับทำหน้ามุ่ย วางหนังสือที่ถูกสั่งให้อ่านก่อนหน้านี้ลง ส่งเสียงกระเง้ากระงอดทำลายความเงียบ
“อะไรเล่าพี่ธัญญ์!”
ชายหนุ่มหัวเราะแผ่ว เอนศีรษะกลับไปซบหมอนอิงบนโซฟา ชอบใจไม่น้อยกับท่าทางขัดใจแบบเด็ก ๆ ของอีกฝ่าย ดูใกล้ ๆ ยิ่งคล้ายภูเมศอย่างกับแกะ โตขึ้นจะหน้าตาอย่างไรเดาไม่ยากเลย เห็นแบบนั้นเข้าจึงอดไม่ได้จะแกล้งทำเป็นจ้องอย่างตั้งอกตั้งใจ ถามกลับเสียงยานคาง
“ก็ไม่อะไรนี่ มองไม่ได้หรือไง”
“มองแล้วก็พูดด้วยสิ”
“อือ”
“ทีนี้อืออะไรอีกล่ะ”
“นั่นสิ” เขารับคำส่งเดชแล้วหลับตา
“อย่าเพิ่งหลับเซ่! เพิ่งตื่นไม่ใช่เหรอ”
ไม่ทันขาดคำ นิ้วเล็ก ๆ ก็จิ้มเข้ามาที่เอว เจตนาแกล้งให้จักจี้ แต่เขาไม่ใช่คนบ้าจี้ วิธีแบบนี้ทำอะไรได้ที่ไหน คนเริ่มเองต่างหากที่ท่าจะแย่ พอโดนมือธัญญ์พุ่งไปตะครุบเข้าตรงเอวเบา ๆ เป็นการโต้ตอบก็สะดุ้งโหยง ขยับนิ้วอีกไม่กี่ที ถึงกับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาลั่นบ้าน
“โอ๊ย! ฮ่า ๆ ๆ ๆ พะ..พอแล้ว...พี่ธัญญ์...ฮ่า ๆ ๆ โอยหยุด..หยู้ดดด!”
“พูดเพราะ ๆ ก่อนเร็ว”
“ฮ่า ๆ ๆ...พะ...พี่ธัญญ์ครับ...พะ..พอครับ..”
“เย็นนี้กินผัดผักคะน้ากันนะ”
“ไม่เอ๊า! อ๊ะ! ฮ่ะ ๆ ๆ”
“จริงหรือ”
“...มะ..ไม่!”
“ให้คิดอีกที” คราวนี้เขากระโจนเข้าไปขยำเอวพร้อมกันสองข้าง เด็กชายถึงกับลงไปนั่งดิ้นอยู่กับพื้น หัวเราะจนน้ำตาไหล ตอนนี้จะให้ทำอะไรก็ยอมหมดแล้ว
“..กะ..กิน...กินครับ โอ๊ย! ฮ่า ๆ ๆ ๆ พอ! พ๊อ!”
“เอะอะอะไรกันน่ะ”
เป็นเจ้าบ้านนั่นละที่ชะเง้อมาขัดจังหวะก่อนคุณลูกชายจะโดนแกล้งไปกว่านี้ พร้อมภูมิเห็นพ่อเดินเข้ามาใกล้ก็ฉวยโอกาสยึดไว้เป็นทางรอด อาศัยตอนพี่ธัญญ์คลายมือ รีบลุกขึ้นวิ่งจี๋ไปเกาะหลังภูเมศ พลางออกแรงดันให้พ่อเดินเข้าไปรับหน้า ปากก็ฟ้องไปด้วย
“พ่อช่วยด้วย พี่ธัญญ์แกล้งผม!”
“หืม?” ภูเมศเลิกคิ้วยิ้ม ๆ มองหน้าหูแดงก่ำของลูกชายที มองพี่เลี้ยงที “ไม่ใช่เล่นกันหรอกหรือ”
“แกล้งต่างหาก” พร้อมภูมิค้าน
“ใช่ครับ แกล้ง” ธัญญ์สนับสนุนหน้าตาย “บอกแล้วว่าไม่ชอบเด็ก”
“เห็นไหม!” เด็กชายร้องลั่น “ยอมรับแล้ว”
คนกลางถึงกับยกมือนวดขมับ คนหนึ่งก็เด็ก อีกคนก็ผู้ใหญ่ทำตัวเป็นเด็ก
“งั้นเอาไงดี” ภูเมศแสร้งถามหน้าเครียด “ไล่ออกดีไหม? เดี๋ยวพ่อหาพี่เลี้ยงใหม่ให้”
“ไม่เอา!” คราวนี้คุณลูกชายรีบท้วงทันควัน ดูรีบร้อนกว่าเก่าเสียอีก
“อ้าว?”
“ไม่เอาคนใหม่”
ฟังลูกรักยืนยันหนักแน่น ภูเมศเกือบขำออกมาแล้ว “ก็โดนพี่เขาแกล้งไม่ใช่หรือ”
“พ่อก็แกล้งคืนให้หน่อยสิครับ”
“ไหงงั้นล่ะ” ชายหนุ่มว่า เหลือบมองท่าทีของธัญญ์ไปด้วย แต่อีกฝ่ายเพียงยักไหล่ครั้งหนึ่งอย่างไม่เดือดร้อน
“นะครับ ๆ” พร้อมภูมิอ้อน พลางดันหลังพ่อเดินเข้าใกล้พี่เลี้ยงเข้าไปอีก ระหว่างนั้นยังมีแอบโผล่ออกมายักคิ้วหลิ่วตาให้คู่กรณี “ที่เอวเลย เมื่อกี้พี่ธัญญ์จิ้มเอวผมแรงมากอะ พ่อจัดการเร้ว ๆ”
“หือ...เอางั้นเลยหรือ” เขาอ้อมแอ้มตอบลูกชาย
ครั้นหันกลับมามองเป้าหมายบนโซฟา ใบหน้าหมดจดนั้นมองไปก็ไม่แน่ใจนักว่ามีรอยยิ้มน้อย ๆ วางอยู่หรือเปล่า นัยน์ตาดำขลับคู่เดียวกับที่สบตาเขาบนเตียงเมื่อคืน เห็นแล้วพานให้รู้สึกเคอะเขินอย่างประหลาด แม้แต่ตอนที่ลูกชายจับมือเขายกขึ้นแล้วดันให้เอื้อมไปข้างหน้า ส่วนธัญญ์ยกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงเปิดช่องว่างให้เอาคืนได้ตามใจชอบ กลับยังตะขิดตะขวงใจจะยื่นมือไปสัมผัส
ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย แค่จี้เอวเท่านั้นเอง จิ้มนิ้วลงไปสักทีก็จบเรื่องจบราวแล้ว เอวนั่นเขาเคยสัมผัสมาก่อน..ใต้ร่มผ้าเลยด้วยซ้ำ...
ภูเมศไม่อยากจะยอมรับเลยว่าอดคิดไปไกลไม่ได้ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทำท่าไม่รู้สึกรู้สายิ่งกระอักกระอ่วน
แบบนี้ชักไม่ดีแล้ว...
“พ่อลุยเลยยย”
ไอ้ตัวแสบก็ยุเหลือเกิน! ดูจะเห็นเป็นเรื่องสนุกไปแล้ว..ไม่สิ...มันก็เป็นแค่เรื่องสนุกของเด็ก ๆ แต่แรกอยู่แล้วนี่
ชายหนุ่มหลับหูหลับตา จิ้มนิ้วชี้ลงไปก่อนหนึ่งนิ้วบนเอวอีกฝ่าย เห็นเจ้าตัวไม่ว่าอะไร สุดท้ายก็จับลงไปเต็มมือ
นิ่ง..
“หือ?”
ธัญญ์มองเขาตาใส “ผมไม่บ้าจี้น่ะครับ”
“อ้าว”
ภูเมศเหลียวกลับไปหาคุณลูก แต่ยังไม่ได้ทันอ้าปากไต่ถาม ก็มีอันต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเป็นฝ่ายโดนขยุ้มเข้าที่เอวแรง ๆ เสียเอง
“โอ๊ะ!”
“แต่คุณบ้าจี้เหมือนลูกชายเลยนี่นา”
“หยุดเลย! อุ๊!” เขากลั้นขำ รีบตะครุบมืออีกฝ่ายให้หยุด เมื่อธัญญ์ขยำลงมาด้วยท่าทางมันเขี้ยว คราวนี้สาบานจริง ๆ ว่าเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ วาดขึ้นบนริมฝีปาก ดูจะไม่ใช่แค่ชอบแกล้งเด็กแล้วกระมัง ขนาดกับผู้ชายวัยใกล้สี่สิบอย่างเขายังจะกล้าเล่น
มือไวออกอย่างนี้ เขาคว้าไว้ได้แค่ตรงข้อมือ แต่ปลายนิ้วอยู่ไม่สุขยังขยับหยุกหยิกไม่ไว้หน้าผู้ใหญ่สักนิด อย่างกับไปเก็บกดมาจากไหน
ก่อนจะเผลอหัวเราะจนเสียเชิงเหมือนลูกรัก ภูเมศจึงได้เปลี่ยนเป้าหมายไปจับไหล่อีกฝ่าย แล้วอาศัยว่าแขนยาวกว่าดันออกจนเจ้าตัวหงายหลังลงบนโซฟา
ธัญญ์เสียหลักหน้าเหวอไปแค่แวบเดียว จากนั้นกลับมองเขายิ้ม ๆ นัยน์ตาดำขลับเป็นประกายวาววับเหมือนเด็ก แม้ถูกกดจนแผ่นหลังติดกับโซฟาก็ไม่ดิ้นหนี
พร้อมภูมิกระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ พลางส่งเสียงเชียร์เย้ว ๆ ว่าคุณพ่อชนะแล้ว! ส่วนคนที่ถูกเขาคร่อมอยู่ข้างล่าง พึมพำแทรกขึ้นมา เสียงเบาจนต้องก้มลงไปเงี่ยหูฟังใกล้ ๆ
“คุณกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงหมดเลย”
ใกล้ไป...เขารู้สึกได้ถึงความร้อนจากร่างกายคน
“ไม่รู้ว่าบ้าจี้ขนาดนี้”
แม้สาเหตุของความรู้สึกหวิว ๆ ที่กำลังก่อตัวอาจไม่ชัดเจนนัก ทว่าภูเมศรู้ตัวดีว่าหากตัวเองกำลังหน้าแดงอย่างธัญญ์ว่าจริง ต้องไม่ใช่เพราะจากการกลั้นหัวเราะแน่นอน แต่ดูคนพูดเข้าเถอะ ตัวเองต่างหากที่แก้มขึ้นสีเข้มออกอย่างนี้ ยังกล้ามาว่าคนอื่นเขาอีก
อุปาทานว่าได้กลิ่นหอมหยอกล้อปลายจมูก ใต้ลงไปจากร่างเขาที่คร่อมอยู่
...ต่ำลงกว่านั้นอีกนิด
ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงเชื่องช้า..
“ยอมแพ้แล้วครับ ผิดไปแล้ว ลุกก่อนเถอะ”
ธัญญ์ขยับตัวเป็นเชิงบอกให้เขาปล่อยเสียที พลางมองข้ามไหล่เขาไปยังเด็กชายที่ยังกระโดดไปมาสนุกสนาน
ภูเมศชะงัก
เพราะอย่างนั้นจึงได้สติ รีบผุดลุกขึ้นมานั่งเอานิ้วถูจมูกเบา ๆ แก้เก้อ ท่าทางอย่างเมื่อครู่จะไม่คิดอะไรมันก็ไม่มีอะไร แต่ช่วงนี้ดูเหมือนเขาคงคิดมากไปหน่อย แถมพอคิดแล้ว ยังมักเผลอตัวทำตามใจเสียด้วยสิ
หากไม่ถูกทักเข้าเมื่อครู่ จะก้มลงไปจูบแล้วหรือเปล่า
พอนึกอย่างนี้ ภูเมศก็เริ่มกลัวตัวเองขึ้นมา
“พ่อชนะแล้ว!” พร้อมภูมิร้องเฮ ส่วนธัญญ์ลุกขึ้นยืน เอ่ยรับเนือย ๆ อย่างเคย
“ครับ ๆ”
ดูเหมือนสมาชิกคนอื่นจะกลับเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว ธัญญ์ลุกขึ้นเดินนำไปทางห้องครัว พร้อมภูมิหันมาชูนิ้วโป้งให้เขาครั้งหนึ่งแล้ววิ่งตามเกาะหลังธัญญ์ไปอีกคน กอดคอห้อยต่องแต่งอย่างกับลูกลิง
ไอ้ตัวเล็กเจื้อยแจ้วไม่หยุดทีเดียว พี่ธัญญ์อย่างโน้นพี่ธัญญ์อย่างนี้ไปตลอดทางจนลับสายตา บทสนทนาที่ได้ยินมาแว่ว ๆ จากนั้นเป็นเรื่องของเจ้าแมวส้มชื่อถุงทองที่เลี้ยงแบบปล่อย ๆ ไว้หลังบ้าน
แต่ภูเมศวุ่นวายใจเกินกว่าจะสนแมวแล้ว
เขารู้อยู่หรอก ว่านั่งทอดหุ่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ขนาดนี้มันดูแก่อย่างกับอะไรดี แต่ก็นั่นละ..
“เฮ้อ...”
มือขวาที่วางอยู่บนเมาส์ ค้างอย่างนั้นมาได้สามสี่นาทีแล้ว
สายตาเขาทอดมองไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่สมาธิไม่ได้จดจ่อกับเนื้องานบนนั้น มัวแต่ลอยไปถึงคนที่ขนสารพัดวิธีมาหลอกล่อลูกชายเขาให้ยอมกินของที่ไม่ชอบ ทำอะไรที่ปกติบังคับไม่ค่อยได้ แล้วพร้อมภูมิก็ยอมเสียด้วยแน่ะ
ปากบอกออกบ่อยว่าไม่ชอบเด็กอย่างนั้นอย่างนี้ ดูเผิน ๆ เหมือนคอยชวนตีกันเรื่อย ทว่าเอาเข้าจริงแล้ว ออกจะเข้ากันอย่างกับอะไรดี กลายเป็นคนโปรดของลูกชายเขาที่ไม่รู้ว่าไปถูกใจกันตรงไหน
จนถึงตอนนี้ ก็ยังรู้สึกว่าเป็นคนประหลาดเสียจริง
หากคืนนั้นไม่ได้หน้ามืดชวนกันขึ้นเตียง เรื่องจะเลยเถิดมาถึงอย่างที่เป็นอยู่หรือเปล่า ภูเมศยังนึกสงสัย
ทว่านั่งไตร่ตรองเงียบ ๆ ได้ครู่หนึ่ง กลับพบกว่าสิ่งที่น่าสงสัยกว่า คือการพบกันของพวกเขาต่างหาก
ตอนนั้นธัญญ์เอากระเป๋าสตางค์มาคืน โดยบอกว่าเขาทำหล่นไว้ แต่ภายหลังเจ้าตัวกลับแสดงให้เห็นเป็นนัยว่าอาจไม่ใช่เขาทำตก แต่เป็นอีกฝ่ายฉวยไปโดยเขาไม่รู้ตัวต่างหาก แม้ไม่ได้เอ่ยปากยอมรับออกมาชัดเจน แต่ข้อนี้ภูเมศค่อนข้างแน่ใจว่าต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ
จงใจเข้าหา?
อีกใจหนึ่งก็เถียงว่าใช่หรือ
ถ้าอย่างนั้นแล้ว เพราะอะไรกัน ถ้าแค่เรื่องเงิน ด้วยรูปร่างหน้าตาอย่างธัญญ์ จะใช้วิธีแบบนี้หาเอาจากคนอื่นที่กระเป๋าหนักกว่าเขาไม่น่าเป็นเรื่องยาก ขอเพียงยิ้มมากกว่านี้สักนิด หัดพูดจาฉอเลาะอีกหน่อย ภูเมศคิดว่ามีคนอยากจ่ายให้ถมเถไป ขนาดเขาเองที่ไม่เคยคิดจะมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันมาก่อน แถมอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูสมกับที่ขูดรีดเอา ๆ สักหน่อย รู้ตัวอีกทียังมานั่งกลัดกลุ้มขนาดนี้แล้ว
หรือเขาห่างผู้หญิงมานานเกินไป พอไม่ได้มีเรื่องอย่างว่านานเข้า จึงได้มาหาเศษหาเลยกับผู้ชาย
หลังจากค้างอยู่ท่านั้นตั้งนานงานก็ยังไม่เดินสักที ชายหนุ่มตัดสินใจปล่อยมือจากเมาส์แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ถอดแว่นสายตาสำหรับใส่ตอนทำงานวางไว้บนโต๊ะ หลับตาแล้วนวดขมับตัวเองเบา ๆ
เรื่องนี้ควรมีทางออก
เพื่อนร่วมงานหญิงที่หน้าตาสะสวย แล้วยังแสดงทีท่าว่าสนใจเขาก็มีอยู่ บางทีอาจถึงเวลาควรเปิดใจ เปิดโอกาสให้ตัวเอง มองหาใครสักคนมาช่วยดูแลลูกชาย เป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกอย่างบ้านอื่น หากเข้ากับพร้อมภูมิได้ยิ่งน่าจะเป็นเรื่องดี ลูกชายเขาไม่ใช่เด็กดื้ออยู่แล้ว อีกอย่างเขาเองจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นอย่างทุกวันนี้รู้สึกเหมือนกำลังทำอะไรนอกลู่นอกทางอยู่พิกล
ใช่แล้ว...นี่ละทางออก เขานึกกระหยิ่มกับตัวเองนิดหน่อย
จากที่ตั้งใจว่าจะพักสายตาเพียงสักครู่ แต่เมื่อได้เอนหลังบนเบาะนุ่ม ๆ ทั้งยังอุณหภูมิเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศ หนังตาก็เริ่มหนักขึ้นมาจริง ๆ
เพิ่งจะคืนวันเสาร์ งานเอาไว้เท่านี้ก่อนแล้วกัน พอคิดอย่างนั้นจึงเบาใจจนเลิกต่อต้านกับความง่วง
ผล็อยหลับไปนานเท่าไรนั้น ภูเมศไม่แน่ใจนัก
ตอนที่ลืมตาขึ้นมา แม้ยังงัวเงียจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก แต่พบว่ามีผ้าห่มคลุมร่างตัวเองอยู่ และที่มือซ้ายซึ่งอยู่ใต้ผ้าห่มก็รู้สึกว่าอุ่นกว่าปกติ..
ถัดไปด้านซ้ายของเขา ใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งก่อนเขาหลับไปมันยังไม่ได้ตั้งอยู่ตรงนี้ ศีรษะเจ้าตัววางฟุบอยู่ข้างคีย์บอร์ด ใบหน้าหันตรงมาทางเขา แต่นัยน์ตาหลับพริ้มสงบนิ่ง
ทิศทางและท่วงท่าราวกับว่าธัญญ์นอนมองเขาอยู่เงียบ ๆ อย่างนั้นจนตัวเองเผลอหลับตามไปอีกคน
ภูเมศนึกประหลาดใจในคราวแรก แต่ยังรู้สติพอจะเตือนตัวเองไม่ให้ขยับตัว เพียงมองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ จนแน่ใจว่าหลับอยู่จริง ไม่ใช่แกล้งทำอย่างเคยโดนหลอกมาแล้ว จึงค่อยเลื่อนสายตาลงมายังมือตัวเอง
เพราะอยู่ใต้ผ้าห่ม จึงมองไม่เห็น ต่อเมื่อขยับนิ้วเบา ๆ จึงตระหนักได้ว่าที่รู้สึกอุ่นนั้น ด้วยมีมืออีกคนวางกุมไว้หลวม ๆ
หลายวินาทีทีเดียวที่เขาเผลอกลั้นหายใจ ลองไล้ปลายนิ้วผะแผ่วโดยระวังไม่ทำอีกฝ่ายตื่น
ใช่มือจริง ๆ นั่นละ
ครั้นอ้าปากจะเรียกชื่อ กลับลังเลจนไม่มีเสียงออกจากคอ
แน่นหน้าอกชะมัด...
เขาควรดึงมืออีกฝ่ายออก แล้วปลุกให้ไปนอนดี ๆ แต่ใจหนึ่งก็ไม่อยากทำให้ตื่นเลย แม้แต่จะขยับตัวขึ้นมานั่งหลังตรงยังค่อย ๆ ทำอย่างเงียบเชียบ มือซ้ายไม่ได้เคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมสักนิด ซ้ำยังกุมมือตอบเสียอีก
ผ้าห่มเนื้อบางร่วงลงจากไหล่ลงมากองอยู่บนตัก เขาปล่อยมันกองของมันไป จะหล่นลงตักหรือหล่นลงพื้นก็ช่างปะไร มัวแต่สนใจคนตรงหน้า เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์
นี่อาจจะใกล้เคียงกับอาการเผลอใจหรืออะไรเทือกนั้น เขาเอี้ยวตัวเล็กน้อยแล้วโน้มหน้าลงไปใกล้ มืออีกข้างที่ว่างยกขึ้นเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผากอีกฝ่ายออกแผ่วเบา
เรื่องที่ว่าเป็นคนหน้าตาดีนั้น ภูเมศตระหนักได้ตั้งแต่คราวแรกที่เห็นธัญญ์แล้ว
แต่ความรู้สึกว่าน่ารัก...ไม่ยักรู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน...
พิศมองอยู่ครู่ใหญ่ แทนที่จะคิดได้ กลับคล้ายว่ายิ่งถลำลึก
..น่ารัก..
ครั้งนี้ชัดเจนเกินไป จนถึงกับบรรจงวางริมฝีปากแผ่วเบาลงตรงหน้าผาก แนบอยู่เนิ่นนานก่อนจะอดไม่ไหว จนต้องกดจมูกตามลงไปบนกระหม่อม สูดกลิ่นหอมสะอาดจาง ๆ ของแชมพูฟอดหนึ่ง
ธัญญ์ขยับตัวในตอนนั้น
ถึงขั้นนี้ หากจะให้ดีก็ควรปล่อย แต่คงต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเขาจริง ๆ จึงได้ทำในสิ่งตรงกันข้าม รวบท้ายทอยอีกฝ่ายรั้งให้เข้าใกล้กว่าเก่า พรมจูบเบา ๆ ลงมาที่ข้างกกหู
ธัญญ์ตื่นแล้วแน่นอน เขารู้ได้จากลมหายใจที่เปลี่ยนจังหวะไปจากเดิมแม้ยังไม่ต้องมองหน้าด้วยซ้ำ ต่อให้เจ้าตัวจะแทบไม่ขยับตัวเลยก็เถอะ
“มาทำอะไรตรงนี้” เขากระซิบถาม
อีกฝ่ายผงกศีรษะ ซบหน้าลงบนไหล่เขา ไม่ยอมตอบอะไรจนต้องส่งเสียงย้ำ
“หืม?”
จึงได้ยอมอ้อมแอ้มออกมา
“มองคุณเพลิน ๆ”
นั่นฟังไม่ขึ้นเท่าไรนัก
“มองทำไมล่ะ”
“อือ..” อีกฝ่ายส่งเสียงแผ่ว เมื่อเขาก้มลงไปกัดเบา ๆ ที่ต้นคอด้วยความมันเขี้ยว “คราวนี้จะคิดคำถามละเท่าไหร่ดี”
“หน้าเลือด”
“นั่นสิ”
ภูเมศถอนหายใจเฮือก ถอยออกมาเล็กน้อยพอให้เห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ได้สติขึ้นมาทีก็แทบยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองแรง ๆ ก่อนหน้านี้ไม่เท่าไรยังเพิ่งตั้งมั่นจะลองเริ่มเปิดใจกับผู้หญิงสักคนจะได้เลิกฟุ้งซ่าน แต่ตื่นมาเห็นคุณพี่เลี้ยงคนโปรดของลูกชายโผล่ขึ้นมาทำตัวประหลาดใกล้ ๆ ก็ลงอีหรอบเดิมอีกแล้ว
“อา..พอเถอะ” ชายหนุ่มกัดฟันตัดบท “พวกเราทำอะไรกันอยู่นะ”
แต่อีกฝ่ายเดือดร้อนเสียที่ไหน กลับถามออกมาหน้าซื่อตาใสเสียนี่
“คืนนี้ผมนอนด้วยได้ไหม”
นั่นปะไร ภูเมศมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ และไม่รู้สายตาเขาเหมือนกำลังหวาดระแวงนักหรืออย่างไร จึงได้ยินเสียงกำชับจากธัญญ์ตามมาอีก
“แค่นอนเฉย ๆ ไม่ทำอะไรคุณหรอก”
เขาหลุดขำพรืด “เธอจะมาทำอะไรฉันได้”
“ก็เหมือนจะทำคุณกระเป๋าแฟบได้”
“เงียบเลย” เขาบ่น พลางยกมือขึ้นดีดหน้าผากเหม่ง ๆ ที่ถูกปัดผมไปด้านข้างออกเสียงดังแปะ “งั้นก็เลิกไถเงินกันเสียที ฉันยังต้องเลี้ยงลูกนะรู้ไหม ไหนจะต้องเก็บเงินไว้ดูแลตัวเองตอนแก่อีก”
“ผมเลี้ยงคุณได้” ธัญญ์งึมงำ “จะดูแลคุณเอง”
เขาเลิกคิ้ว ได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก “หืม?”
“เปล่า”
“เมื่อกี้พูดยาวกว่านี้นี่”
“ผมบอกว่าพยายามเข้าล่ะ อีกเดี๋ยวคุณก็แก่แล้ว”
ว่าแล้วยังมีหน้ามายิ้มละไมใส่อีก เห็นแล้วหมั่นไส้จนต้องยื่นมือไปดึงแก้มให้ปากยืดปากยาว
“อะไรกัน เดี๋ยวนี้รู้จักทำหน้าอย่างนั้นเป็นด้วยหรือ”
พอโดนทักเข้า ธัญญ์ก็กลับไปทำหน้าตายเหมือนเก่า แต่เพราะยังถูกดึงแก้มอยู่จึงยิ่งดูตลก เห็นแล้วอดขำออกมาไม่ได้ ครั้นปล่อยมือออก เห็นแก้มแดงเป็นปื้นแล้วยิ่งเอ็นดู
“ผิวบางเชียว แค่นี้ก็แดงแล้ว พ่อแม่เลี้ยงมาดีล่ะสิ”
ธัญญ์ชะงักไปนิดหน่อย ก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าเหม่อ ๆ เหมือนคนง่วงนอนเต็มแก่ “งั้นมั้งครับ”
“กะแล้วเชียว” ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ทำท่าคล้ายไม่ใส่ใจนัก หันไปปิดคอมพิวเตอร์ ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ จากนั้นเดินไปปิดเครื่องปรับอากาศ พูดต่อโดยไม่หันไปมองคู่สนทนา “ไปนอนละ”
“ครับ”
“เธอเองก็ไปนอนได้แล้ว”
“ครับ”
หลังได้ยินเสียงรับคำอย่างว่าง่ายติด ๆ กัน ภูเมศค่อยเดินกลับห้องนอนตัวเอง ทว่ามาจนถึงประตูห้องก็แล้ว กลับพบว่ามนุษย์ว่าง่ายคนเมื่อครู่ตีเนียนเดินตามมาถึงหน้าห้องนอนเฉย
“จะนอนแล้ว” เขาพูดซ้ำ
“ครับ” อีกรอบ
คราวนี้ภูเมศหันกลับไปทำหน้าละเหี่ยใส่ ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกถามกลับมาก่อน
“ผมนอนด้วยได้ไหม” แม้สีหน้าไม่ยักเปลี่ยน แต่สายตากลับดูละห้อยพิกล “แค่นอนเฉย ๆ ไม่กวนจริง ๆ”
“ทำไมกันเนี่ย”
“ไม่คิดเงินด้วย”
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามอย่างยิ่งจะหักอกหักใจ จับไหล่อีกฝ่ายให้กลับหลังหัน “ไปนอนห้องเธอซะไป”
จากนั้นรีบถอยหลังเข้าห้องตัวเอง ดึงประตูปิดฉับ ล็อคทั้งลูกบิดและลงกลอนเรียบร้อย ปล่อยพี่เลี้ยงลูกชายยืนเคว้งอยู่หน้าห้อง
ธัญญ์เหลียวหลังกลับมามองลูกบิดประตู แม้ได้ยินเสียงล็อคดังกริ๊กแล้วกับหู แต่ยังอดไม่ได้จะเอื้อมมือไปลองหมุน
ล็อคจริงด้วยสิ
เขาเม้มปาก หมุนตัวยืนพิงผนังด้านข้าง ยกมือตัวเองขึ้นมาลูบเบา ๆ
เหมือนกับว่าสัมผัสจากเมื่อไม่กี่นาทีก่อนยังตกค้างตรงปลายนิ้วอยู่เลย แต่คนที่เขานั่งมองแล้วเอื้อมมือไปจับจนเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น ตอนนี้หนีเข้าห้องไปเรียบร้อย
ตื๊อแบบนี้ไม่ได้ผลสินะ... ชายหนุ่มพยักหน้าทำความเข้าใจกับตัวเอง
..หรือว่าจะถูกเบื่อเข้าแล้ว?
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าส่งเสียงเตือนแจ้งข้อความเข้า ธัญญ์หยิบขึ้นมาดูชื่อคนส่งแล้วกดลบทิ้งโดยไม่ได้เปิดอ่าน ก่อนจะเก็บมันเข้าที่เดิม จากนั้นย่อตัวลงนั่งบนพื้นข้างประตูห้องนอนของภูเมศ ผ่อนลมหายใจยาวออกมา มองเหม่อไปข้างหน้าในความมืด
ผู้ชายที่เคยมีภรรยาเป็นผู้หญิง มีลูกแล้ว ไม่เคยมีอะไรกับเพศเดียวกันมาก่อน คนแบบนี้จะเปลี่ยนมารักผู้ชายด้วยกันได้หรือเปล่านะ..
ไอ้เด็กเป๊กที่ช่างหาเรื่องเดือดร้อนมาให้เขา ตอนคบเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็เคยพูดเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ
เด็กนั่นเล่าให้เขาฟังถึงตอนตัวเองมีสาวมาติดพัน บอกว่าของแบบนี้ถ้าเปรียบเป็นเกม ใครหลงรักก่อน คนนั้นก็เหมือนเป็นฝ่ายแพ้นั่นละ
ชายหนุ่มหลับตา ยกขาขึ้นชันเข่า นั่งครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ
เขาแพ้แล้วหรือเปล่า...
แบบที่ธเนศก็แพ้เหมือนกัน
ตอนที่ภูเมศเปิดประตูห้องออกมาในความมืด เขาเกือบสะดุดกับร่างที่นั่งพิงผนังอยู่ข้างประตูเข้าให้
แม้เดาได้อยู่แล้วว่าใคร แต่เมื่อก้มลงไปดูให้ชัด ก็ยังถึงกับพูดไม่ออกอยู่ดี
ไหงมานั่งจ๋องตรงนี้ได้ ไม่ใช่ว่าไปนอนแล้วหรอกหรือ?
ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งชันเข่า โบกมือไปมาตรงหน้าร่างที่นั่งคอพับคออ่อน ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดนอกจากแผ่นอกซึ่งขยับขึ้นลงช้า ๆ
ต่อให้ไม่อยากปลุก แต่ปล่อยนอนอย่างนี้ดูจะไม่เข้าท่านัก
“ธัญญ์” เขากระซิบ เอามือแตะแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ “นี่...ธัญญ์”
แม้เจ้าของชื่อจะเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างสุดแสนงัวเงียเพียงไร แต่ก็อาจเรียกได้ว่าตื่นแล้ว
“..หือ?”
“ลุกไปนอนที่ห้องตัวเองดี ๆ”
“อืม..”
ทั้งที่รับคำอย่างนั้น ทว่ากลับยังหลับต่อเฉย ภูเมศเข้าใจความรู้สึกลูกชายตอนโดนพี่เลี้ยงทำง่วงใส่แล้วม่อยหลับไปต่อหน้าต่อตาก็ตอนนี้เอง
พอจะบ่นว่าไปอดนอนมาจากไหน พลันนึกขึ้นได้ว่าที่อดนอน ก็เพราะทำอะไรต่อมิอะไรกันคืนก่อนไม่ใช่หรอกหรือ หักลบเวลาที่ธัญญ์ตื่นแต่เช้าตรู่มาดูแลพร้อมภูมิทุกวัน เทียบกับเขาเองที่ตื่นสายกว่า อีกฝ่ายเหลือเวลานอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง
“นี่ ไอ้หนู” เขาถอนหายใจจนไม่รู้จะถอนอย่างไรแล้ว “ห้องหับก็มีทำไมไม่รู้จักนอนให้เป็นที่เป็นทาง เป็นแมวหลงหรือไงเรา”
พูดไปก็นึกถึงแมวส้มถุงทองที่สองคนลูกชายกับพี่เลี้ยงพากันเห่อ ช่วงนี้เขาเก็บอะไรมาเลี้ยงที่บ้านเยอะแยะนักหนายังน่าสงสัย คิดไปก็คว้าแขนอีกฝ่ายมาคล้องคอตัวเอง พยุงลุกขึ้นโดยไม่ถามไถ่ความสมัครใจ
ธัญญ์หันมามองเขาหน้างง ๆ อย่างกับลืมไปแล้วว่าเป็นคนขอนอนด้วยเองก่อนหน้านี้ แต่ถึงอย่างนั้น ระหว่างระยะทางสั้น ๆ จากหน้าห้องถึงเตียงที่กึ่งพยุงกึ่งลากกันมาก็ยังว่าง่ายไปตลอดทาง
“ฮึบ!”
เขาส่งเสียงเรียกพลังนิดหน่อยช่วงก้าวสุดท้าย ก่อนจะปล่อยร่างอีกฝ่ายลงบนเตียงเบามือ
เตียงเขา หมอนเขา ผ้าห่มเขา ให้ตายเถอะ ต่อให้กว้างขวางพอแบ่งกันนอนได้สบาย แต่ให้ลงไปนอนข้าง ๆ ก็ออกจะเสี่ยงน้อยเสียเมื่อไร
คิดสะระตะแล้ว ตัดสินใจหันหลังออกจากตรงนั้น แต่ความมือไวของธัญญ์ยังคงอยู่แม้ในขณะงัวเงียจะแย่ ไม่ทันเดินได้ถึงก้าว เสื้อยืดเขากลับถูกรั้งไว้จากด้านหลัง เหลียวกลับไปมองพบมือเจ้าปัญหายื่นออกมาจากผ้าห่ม กำเสื้อเขาไว้แน่นอย่างกับเด็กทารกตอนเริ่มหัดคว้าสิ่งของ
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก...” เจ้าตัวพึมพำทั้งที่ยังหลับตา
ไม่ใช่ไม่เชื่อหรอกนะ ภูเมศย่นคิ้วอ่อนใจ แต่คนที่จะทำน่ะ มันเขาต่างหากไม่ใช่หรือไร
“...จริง ๆ นะ”
ยังมีหน้ามายืนยันแบบที่แยกแทบไม่ออกว่ากำลังละเมออยู่หรือเปล่านั่นอีก
ลังเลอยู่เป็นนานสองนาน จนเมื่อมือนั้นคลายลงแล้วหล่นตุบลงข้างตัวเจ้าของ เขาจึงได้ยอมแพ้ แทรกตัวเองเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันด้วยอีกคน ตั้งใจจะแค่นอน ‘เฉย ๆ’ แล้วกัน
ทว่าอยู่ ๆ ไป อุณหภูมิจากร่างกายคนก็อุ่นกำลังดี คงเพราะอย่างนั้น จึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะเขยิบเข้าไปนอนใกล้ ๆ ธัญญ์เองก็อาจคิดแบบเดียวกัน
เอาเข้าจริง...ไม่รู้ว่าใครเบียดตัวเข้าหาใครก่อน
แต่เมื่อตื่นรู้ตัวอีกครั้งตอนเช้ามืด ก็พบว่าพวกเขาแทบจะกอดกันกลม แขนขาเกี่ยวกันอยู่ในตำแหน่งกำลังสบาย ใบหน้าอีกฝ่ายซุกอยู่กับอก ส่วนคางเขาวางอยู่บนศีรษะเจ้าตัวพอดี
ภูเมศสะลึมสะลือมองนาฬิกา และพบว่ายังเหลือเวลาอีกถมเถ
ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขน โยนเรื่องเหตุผลหรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานคนสวยที่ทำท่าเหมือนสนใจเขาทิ้งไปก่อน หลับตาลงอย่างสุขใจ
กอดไว้อย่างนี้อีกสักสิบนาทีแล้วกัน
To be continued...กลับมาแล้วค่ะ //คลานเข่าเข้าเล้า
ขอโทษจริง ๆ ค่ะที่หายไปนาน ชีวิตเยินอยู๋ค่ะ แง้
ตอนนี้เบา ๆ นะคะ ที่จริงเรื่องนี้ก็เบ๊าเบา...(มั้ง) ฮา
ปล. คำผิดเดี๋ยวตามมาแก้นะคะ งานจี้ไฟลนตูด ถถถถถถ
กราบขอบพระคุณงาม ๆ ที่ยังไม่ทิ้งกันค่ะ *น้ำตาไหล* ช้าหน่อยแต่จะพยายามค่ะ
มีของแถมรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v