ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ
น่าน, กันยายน 2560เมื่อถึงกำหนดเวลาที่เจ้าซ่าหริ่มต้องทำหมัน นคินทรก็ขับรถออกจากบ้านพักครูในอำเภอสันติสุขเพื่อเข้าเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ จอดรถที่หน้าคลินิกรักษาสัตว์ขนาด 2 คูหาซึ่งตั้งอยู่หลังตลาด ผลักประตูเข้าไปก็พบสิชลนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ เธอกล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดังเช่นทุกครั้ง เห็นว่ามีผู้คนพาสัตว์เลี้ยงมารอรับการรักษามากพอสมควรนคินทรจึงเปิดกรงอุ้มแม่แมวสามสีออกวางบนเครื่องชั่งน้ำหนักแบบที่อวัศย์เคยทำให้ดู ทันทีที่เจ้าซ่าหริ่มหันไปเห็นไซบีเรียนฮัสกี้ตัวโตมันก็ทำพองขนขู่ฟู่ ๆ ฝั่งเจ้าตาสีฟ้าก็ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความสงสัย กระโดดซ้ายทีขวาทีราวกับคิดว่านั่นคือวิธีการทักทายเพื่อนใหม่ของเจ้าแมว
“ซ่าหริ่ม ไม่เอาน่า” นคินทรปรามพร้อมกับดึงตัวเจ้าขนฟูขึ้นมากอดหลังจากผู้ช่วยสัตวแพทย์บันทึกตัวเลขลงกระดาษเรียบร้อย กระนั้นซ่าหริ่มยังส่งเสียงหง่าว ๆ คล้ายจะบ่นเจ้านายที่จู่ ๆ ก็พามันกลับมายังสถานที่แห่งนี้ที่ทั้งอากาศหนาวเย็นแถมยังต้องเจอกับเจ้าหมาขี้สงสัยนี่อีก
“บ่นใหญ่เลยซ่าหริ่ม” สิชลว่าพลางเกาคางแม่แมวที่ดูไม่มีอารมณ์ร่วมเอาเสียเลย มันขืนตัวซ้ำยังทำตาโตจ้องเขม็งไปยังเจ้าหมาตัวใหญ่ที่ไม่เลิกทำท่าทางตลกสักที “เหมือนมันรู้เนอะว่าม่อนจะพามาเจ็บตัว”
“ไม่ต้องบ่นเลยซ่าหริ่ม ม่อนสิต้องบ่น หายออกจากบ้านไป 2-3 วัน กลับอีกทีเอาลูกใครก็ไม่รู้ใส่ท้องมาด้วย หมอกเตือนแล้วเชียว แต่เราดันชะล่าใจ เห็นยังเด็ก ๆ ไม่คิดว่าจะท้องได้ นี่พอเจ้าตะโก้เลิกกินนมก็อุตส่าห์ให้เวลาทำใจตั้งนานแล้วนะ ยังจะบ่นอะไรอีก หืม...ซ่าหริ่ม”
“เจ้าของบ่นเยอะกว่าแมวอีก ไปตรวจเลือดรอขึ้นเขียงกันดีกว่าเนอะซ่าหริ่มเนอะ หนีไปเที่ยวไหนพ่อจะได้ไม่บ่นอีก” พูดจบเธอก็หลีกทางให้ผู้ช่วยสัตวแพทย์อุ้มแมวเข้าไปข้างใน “ม่อนไปทำธุระก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวสิส่งข่าว”
นคินทรยังไม่ทันได้พูดอะไร อวัศย์ก็เดินออกมา “วันนี้คิวเยอะหน่อยนะม่อน ถ้าไม่มีธุระที่ไหนก็ไปเล่นกับฟีฟ่าก่อนก็ได้” พูดจบเขาก็หันไปทักทายไซบีเรียนฮัสกี้ ฝั่งเจ้าหมาก็เห่าตอบราวกับคุ้นเคยกันดี “ไปฉีดวัคซีนกันนะข้าวซอย”
แม้จะดูคุ้นเคยกัน แต่การพาเจ้าตัวโตแสนรู้เข้าไปในห้องตรวจเพื่อฉีดวัคซีนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเจ้าข้าวซอยคิดว่านายสัตวแพทย์หนุ่มกำลังเล่นกับมัน มันก็กระโดดไปมาจนคนที่มาซึ่งเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ไม่อาจควบคุมได้
“มันเคยถูกสัตว์มีพิษต่อยจนขาบวมไปหมด หมอกก็เลยให้มาอยู่ดูอาการที่นี่น่ะ อยู่ด้วยกันหลายสัปดาห์ก็เลยสนิทกัน” สิชลยิ้มไปพูดไป มองสามีที่กำลังรั้งสายจูงเพื่อพาเจ้าหมาตัวใหญ่เข้าไปในห้องตรวจ
“ดีใจได้เจอเพื่อนว่างั้น” นคินทรกล่าวเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะเดินผ่านไป
“เดี๋ยวเถอะไอ้ม่อน เดี๋ยวเราจะเอาลูกยัดใส่ท้องซ่าหริ่มไปอีกแปดตัว”
“แค่ลูกโทนก็ปวดหัวจะแย่แล้ว” นคินทรหัวเราะ
“อ้าวพาย” สิชลเอ่ยขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา “วันนี้มาทำอะไรจ๊ะ”
เจ้าของชื่อยกมือทักทายอวัศย์ก่อนจะเบนสายตาไปยังอีกคน มุมปากหยักเข้าเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มบางเบาที่สุดแต่ก็ยังพอสังเกตได้ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยวนาที ในที่สุดจึงตอบคำถาม
“มาซื้ออาหารแมวน่ะ”
หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ “หมดแล้วเหรอ เมื่อวัน-สองวันก็เพิ่งมาซื้อไปเองนี่นา”
“เรา...บังเอิญผ่านมาแถวนี้ก็เลยแวะซื้อตุนเอาไว้เฉย ๆ น่ะ”
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ”
“อ...เอายากำจัดเห็บหมัดด้วยนะสิ” พายุพัดกำชับ
“จ้ะ เดี๋ยวสิหยิบให้” พูดจบสิชลก็เดินไปหยิบอาหารแมวจากชั้นวางแล้วเดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์ จากนั้นจึงหันไปเอื้อมหยิบน้ำยากำจัดเห็บหมัด
“นายมาทำอะไรที่นี่” พายุพัดกล่าว
“พาซ่าหริ่มมาทำหมันน่ะ”
“เดี๋ยวไปไหนต่อ” ยกนิ้วขึ้นถูปลายจมูกเมื่อรู้สึกว่าตนเองถามคำถามเหล่านี้ได้คล่องเหลือเกิน
“ว่าจะไปนั่งเล่นบ้านฉายน่ะ นายล่ะ”
“เราก็ว่าจะไปที่นั่นอยู่พอดี”
นคินทรพยักหน้าแล้วหันกล่าวกับสิชล “เราไปก่อนนะสิ ฝากด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงจ้ะม่อน” หญิงสาวกล่าว มองชายหนุ่มที่กำลังผลักประตูออกไปจากนั้นจึงเลื่อนสายตามายังเจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะใส่ของทั้งหมดลงในถุงหูหิ้ว
“บังเอิญจังเลยน้า...มาเจอกันที่คลินิกทีไรก็บังเอิญจะไปบ้านฉายเหมือนกันทุกที” สิชลว่าพลางก้มหน้าก้มตากดเครื่องคิดเลข
....
ซีดานสีเทาดำจอดอยู่ริมรั้วไม้สน ถัดขึ้นไปคือซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำที่เพิ่งเคลื่อนเข้ามาหยุด ครู่หนึ่งเจ้าของก็เปิดประตูลงมาก่อนจะเดินเข้าไปภายในอาณาบริเวณร่มรื่นแวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า มือใหญ่ผลักประตูไม้ติดกระจกแต่งด้วยเหล็กดัดเป็นลวดลายเครือเถาเข้าไปก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าตาคู่สวยล้อมด้วยแพขนตายาวกำลังจับจ้องมาที่ตน
“วันนี้บังเอิญอีกแล้วสินะ” พูดจบน้ำหวานก็มองไปยังอีกคนที่กำลังนั่งปั้นแป้งอยู่กับลูกชายของเธอ
“อือ บังเอิญเจอกันที่คลินิกหมอกน่ะ” นคินทรตอบ
“แล้วก็บังเอิญว่าจะมาที่นี่อยู่เหมือนกัน” หญิงสาวกล่าว แต่กลับหันมาเอาคำตอบจากคนที่เพิ่งมาถึง
พายุพัดทำเพียงพยักหน้า เดินมาหยุดหน้าเคาน์เตอร์แล้วนั่งลง
“บังเอิญเจอกันที่ร้านสะดวกซื้อ บังเอิญเจอกันที่ห้างสรรพสินค้า บังเอิญเจอกันที่สนามบิน บังเอิญเจอกันที่ตลาด” พูดพลางก้มหน้าก้มตาเช็ดแก้วทรงสูงแล้วคว่ำลงบนถาดไปพลาง “แถมยังบังเอิญกำลังจะมาที่นี่เหมือนกัน แหม...บังเอิญจังเลยเนอะ” ว่าแล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มหวานให้หนุ่มนักกีฬา
“บ่นอะไรน่ะแม่” ภาณุที่เดินมาจากอีกฝั่งหนึ่งของบ้านซึ่งเปิดเป็นร้านรับออกแบบป้ายเอ่ยขึ้น เห็นว่ามีอีกคนจึงกล่าวต่อ “อ้าวไอ้พาย บังเอิญมาเจอไอ้ม่อนอีกแล้วสิท่า”
พายุพัดไม่ได้ตอบคำถามแต่หันไปสั่งเครื่องดื่ม “โกโก้ปั่น”
“สองแก้ว...บังเอิญชอบกินเหมือนม่อนเลย ดีจังจะได้ทำทีเดียว รอเดี๋ยวนะ รับรองว่าหวานจะชงให้เข้ม ๆ เลยจ้ะ” น้ำหวานบอกก่อนจะกลับหลังหันไปทำเมนูสุดโปรดของเพื่อนทั้งสอง
“วันนี้ไปเจอกันที่ไหนวะ นายถึงบังเอิญมาที่นี่ได้ เราบอกให้มานั่งเล่นเวลาเบื่อ ๆ ไม่รู้จะไปไหนก็ไม่ยอมมา มาทีไรต้องบังเอิญมาพร้อมไอ้ม่อนทุกที มาเดี่ยว ๆ บ้างไม่ได้หรือไง” ภาณุกล่าว
“คลินิก” คนพูดน้อยตอบ
“พ่อใครพูดมาก ฟีฟ่ายกมือขึ้น!” สิ้นเสียงนคินทร เจ้าตัวเล็กก็คลายมือจากแป้งโดสีฉูดฉาดแล้วชูขึ้นสุดแขน
“อ้าวไอ้นี่ สอนหลานแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้น”
เมื่อเสียงเครื่องปั่นอาหารดังกลบทุกสิ่ง การสนทนาจึงจำต้องหยุดลง ครู่หนึ่งโกโก้ปั่นสองแก้วก็ถูกยกมาวางที่หน้าเคาน์เตอร์ “นี่จ้ะพาย ได้แล้วนะจ๊ะม่อน”
ภาณุเห็นดังนั้นจึงเดินไปเปลี่ยนให้นคินทรได้มาลิ้มลองเครื่องดื่มโปรด เขาแบมือรับแป้งโดที่อีกฝ่ายวางแหมะ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับลูกชาย มองก้อนบุบบี้อย่างพิจารณา “นี่มันตัวอะไรวะ”
“แมวไง ดูไม่ออกเหรอ”
“แอบสแตรคโคตร ๆ” คนพูดถึงกับส่ายหัว “โรแดง* ยังต้องกราบขอชีวิต”
“แสดงว่าเจ๋งใช่ปะ นี่ปั้นสุดฝีมือแล้วนะ” ชายหนุ่มพูดขณะเดินอ้อมไปล้างไม้ล้างมือด้านหลังเคาน์เตอร์ แล้วกลับมานั่งลงข้าง ๆ พายุพัด
“ถ้าไม่โดนรถทับก็ต้องพิการแต่กำเนิด”
“โธ่...อุตส่าห์ดีใจ” ว่าแล้วก็ยกแก้วโกโก้ขึ้นดูด ไม่รู้ตัวเลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้ามองทุกอากัปกิริยาของตน
“ที่โรงเรียนเขาไม่ได้ให้นายสอนศิลปะใช่ไหม”
“อยากสอนอยู่เหมือนกัน แต่เขามีครูศิลปะครบแล้ว”
“เออ สอนวิทยาศาสตร์หรือภาษาไทยไปนั่นแหละดีแล้ว เนอะลูกเนอะ” ว่าแล้วก็หันไปสัพยอกลูกชาย ส่วนเจ้าตัวเล็กก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากตามผู้เป็นพ่อ
“ไม่กินเหรอพาย เดี๋ยวละลายหมดนะ” น้ำหวานบอก
“ก...กินสิ” พายุพัดกล่าวก่อนจะใช้ปลายนิ้วจับหลอดคนเกล็ดน้ำแข็งในแก้วแล้วดูด
“ไม่เป็นรอยแล้วนี่ นึกว่าจะเป็นแผลเป็นเสียอีก” นคินทรเอ่ยขึ้นขณะมองข้อมือของอีกฝ่ายที่กลับมาสวมกำไลได้เช่นเดิม “ตอนที่เจอกันบนเครื่องยังเห็นเป็นรอยอยู่เลย” ว่าพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปลายเดือนก่อนที่อีกฝ่ายช่วยยกกระเป๋าลงจากที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะให้
“หายแล้วละ”
“แล้วไปให้หมอฉีดยาบาดทะยักหรือเปล่า”
คนถูกถามพยักหน้ากับแก้วโกโก้ปั่น
“ทำไมไม่สบตาเวลาคุยล่ะพาย” จู่ ๆ น้ำหวานก็เอ่ยขึ้น “หรือว่าเขินม่อน”
“มาเขินอะไรเรา” นคินทรเลิกคิ้วมองคนข้าง ๆ พร้อมกับใช้สองมือประคองแก้วแล้วก้มลงดูดโกโก้ต่อ เงยหน้าขึ้นชำเลือง เห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งอ้ำอึ้งจึงยิ้มกริ่ม เช็ดไม้เช็ดมือกับกางเกงแล้วอาศัยจังหวะเผลอประกบมือเย็นเฉียบลงบนสองแก้มบิดหน้าของพายุพัดให้หันมาสบตากัน “ไหน มา”
เป็นครั้งแรกที่ดวงตาสองคู่ประสานกันตรง ๆ พายุพัดรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในขณะนี้ “เล่นอะไรเนี่ย” หนุ่มนักกีฬาบ่นพร้อมกับรีบคว้าข้อมือขาวแล้วดึงออก
“แก้เขินไง เราใช้วิธีนี้กับนักเรียนบ่อย ๆ พวกที่พูดน้อย ถามคำตอบคำอย่างนายนี่แหละ เดี๋ยวก็เลิกเขินไปเอง”
“สองคนนี้นี่ตลกจัง เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ” น้ำหวานส่ายหัว
เพราะความบังเอิญไม่รุ้จะไปไหน ทำให้ทั้งนคินทรและพายุพัดขลุกอยู่ที่บ้านของภาณุตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่ได้อยู่เปล่า ๆ ยังช่วยแบ่งเบาสองสามีภรรยาด้วยกันเป็นเพื่อนเล่นกับลูกชายจอมซนของทั้งคู่อีกด้วย กว่าเจ้าตัวเล็กจะหมดฤทธิ์ยอมกินนมนอนกลางวันก็เล่นเอาพายุพัดที่แปลงร่างจากฉลามมาเป็นม้าต้องวิ่งไปรอบบ้านอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็หมดแรงข้าวต้มสลบเหมือดไปทั้งอาทั้งหลาน
“หลับคาขวดนมเลยลูก สงสัยจะหมดแรง” หญิงสาวกล่าวพลางทอดตามองเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขน ค่อย ๆ ดึงขวดนมออกจากปากแล้ววางลูกลงบนที่นอน
“พอกันเลย” นคินทรบอก หันมองชายหนุ่มที่นอนแผ่อยู่บนโซฟาหนังสีน้ำตาล
“เราขอบใจม่อนกับพายมากนะ มาทีไรก็มาช่วยเลี้ยงเจ้าตัวเล็กทุกที”
“ไม่เป็นไร” นคินทรว่ายิ้ม ๆ ...
พายุพัดสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงครืด ๆ ดังอยู่ใกล้ ๆ เมื่อแรกลืมตาเห็นพัดลมทรงโบราณซึ่งติดอยู่บนเพดานกำลังหมุนเอื่อย ๆ ตาคมเลื่อนลงจนกระทั่งพบต้นตอ นั่นก็คือโทรศัพท์ในมือของอีกคนที่วางพาดลงมาบนหน้าอกของตน มองไล่ลงไปคือใบหน้าของคนที่กำลังหลับโดยการนั่งพับเพียบหันเข้าหาโซฟาแล้วเอียงหัวลงหนุนแขนตัวเอง เห็นแล้วให้รู้สึกเมื่อยแทน
นคินทรปรือตาขึ้น เลื่อนมือที่กำโทรศัพท์เข้าใกล้ตัว เห็นว่าเป็นชื่อสิชลจึงรีบกดรับ คุยกันอยู่ไม่กี่ประโยคก็วางสาย ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิ มองคนที่ยังคงนอนหลับอยู่บนโซฟาพร้อมกับเรียกเบา ๆ
“พาย”
เมื่อไร้ปฏิกิริยาตอบสนองจึงตัดสินใจยื่นมือโบกไปมาเหนือใบหน้าของอีกฝ่าย
“ท่าทางจะ หลับ ยา...ว” เตรียมจะชักมือกลับ เจ้าของร่างสูงก็พลิกตัวนอนตะแคงซ้ำยังรวบมือของเขาไปแนบไว้กับแก้มเสียอีก
นคินทรเรียกซ้ำอีกครั้ง เมื่อไม่เป็นผลจึงดึงมือออกอย่างแผ่วเบาที่สุดด้วยกลัวว่าคนที่กำลังนอนหลับสบายจะตกใจตื่น ทันทีที่มือหลุดจากสัมผัสอุ่น ๆ ก็ลอบถอนใจอย่างโล่งอก มัวแต่สนใจรูปเจ้าเหมียวที่เพิ่งทำหมันเสร็จซึ่งปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์จนไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่แต้มอยู่ที่ใบหน้าของอีกคน
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ปลายนิ้วยังคงลากผ่านหน้าจอสัมผัสเพื่อเปลี่ยนภาพไปเรื่อย ๆ กำลังจะหมุนตัวหันหลังให้ก็ต้องหยุดเพราะคำถามหนึ่งรั้งไว้
“จะไปแล้วเหรอ”
“อือ” นคินทรตอบรับในลำคอก่อนจะกล่าวต่อเบา ๆ เพราะเกรงว่าจะรบกวนเจ้าตัวเล็ก “สิโทรมาบอกว่าซ่าหริ่มฟื้นตัวแล้วน่ะ” มองคนที่กำลังยันกายลุกขึ้นยืน
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับด้วย”
สองคนร่ำลาน้ำหวานที่ขณะนี้อยู่เฝ้าร้านโดยลำพัง เนื่องจากภาณุต้องออกไปติดตั้งป้ายนอกสถานที่ เมื่อเสริฟน้ำให้ลูกค้าชุดสุดท้ายเรียบร้อยจึงได้มีเวลากลับมาดูลูกชาย ไม่ได้เดินออกไปส่งเพื่อนที่หน้าบ้าน
พายุพัดมองตามแผ่นหลังของคนข้างหน้าขณะเดินผ่านรั้วไม้เตี้ย ๆ เมื่อถึงรถก็เอื้อมมือจับที่เปิดประตู ในที่สุดจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น “แม่บ่นคิดถึงน่ะ”
นคินทรหยุดแล้วหันมามองอย่างแปลกใจ
“ก็...คราวก่อนนายบอกแม่ว่าจะต้องมากินน้ำพริกปลาทูฝีมือแม่ให้ได้”
“ถ้าอย่างนั้นฝากบอกแม่ว่าคราวหน้าถ้าเราเข้ามาในเมือง เราจะแวะไปให้แม่ทำให้กินแน่ ๆ”
พายุพัดพยักหน้าแล้วชวนคุยต่อ “เจ้าสามตัวนั่นตอนนี้ก็ตัวใหญ่ขึ้นตั้งเยอะ”
“แล้วแยกออกหรือเปล่าว่าตัวไหนเป็นตัวไหน”
เจ้าของร่างสูงส่ายหัวก่อนจะอธิบาย “ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็ไม่รู้หรอก เหมือนกันทุกตัว พี่ฝนต้องใส่ปลอกคอให้ตัวละสี จะได้เรียกถูก”
“แล้วแม่ตั้งชื่อมันว่าอะไรบ้าง”
“ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง”
คนฟังอมยิ้ม “ฟังแล้วหิวเลย”
“ถ...ถ้าอย่างนั้น” พายุพัดเลื่อนมือขึ้นลูบต้นคอ “เย็นนี้ไปกินข้าวที่บ้านเราก่อนไหม”
“อืม...ไว้วันหลังดีกว่า ไม่รู้ป่านนี้ซ่าหริ่มเป็นยังไงบ้างน่ะ เราไปก่อนนะ” พูดจบนคินทรก็เดินไปที่รถ เปิดประตูเข้าไปนั่งแล้วขับออกไป
โทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้พายุพัดไม่มีโอกาสได้กล่าวคำอำลา เมื่อเขาดึงอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาดูก็พบว่ามีข้อคววามหนึ่งถูกส่งมาจากคนที่สถาปนาตัวเองขึ้นเป็น “องครักษ์พิทักษ์ม่อน” ชายหนุ่มส่ายหัว ยิ้มให้กับเรื่องบังเอิญทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้...
...และวันก่อน ๆ...
เมื่อความ “ความบังเอิญ” ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงรูปร่าง...
.
.
“บังเอิญผ่านมาก็เลยแวะเอาน้ำพริกปลาทูมาให้น่ะ”
.
.
“บังเอิญคิดถึงเจ้าซ่าหริ่มกับเจ้าตะโก้...ก็เลย...แวะมาหา”
.
.
“บังเอิญอยากกินน้ำพริกปลาทูฝีมือแม่น่ะ”รู้ตัวอีกที...ความคุ้นเคยก็พาให้ต่างคนต่างไปนอนเอกเขนกอยู่ที่บ้านของกันและกันเสียแล้ว
....
*โรแดง เป็นประติมากรที่ปั้น The Thinker
จบครึ่งแรก
สวัสดีค่ะ มาอัพแล้ว ชื่อตอนว่า บังเอิญ-ตั้งใจ
ในครึ่งแรกนี้เอาส่วนที่เป็นความบังเอิญไปอ่านกันก่อนเนอะ
แล้วว่าง ๆ จะรีบมาต่ออีกครึ่งที่เหลือด้วยความตั้งใจค่ะ