คาถาที่ 5 :: The confession of Devil. [คำสารภาพของนางมาร] [50%]“ผมไม่เข้าใจป๋าเลยอะแม่ ว่าทำไมถึงยอมให้ไอ้คนนั้นเข้ามาอยู่ในฟาร์มเรา แถมยังปกป้องออกหน้าออกตาอีก!” การประชุมเล็กๆ ภายในครอบครัวพยัคฆ์เกรียงไกรมีขึ้นในช่วงอาหารค่ำบนโต๊ะไม้มันเลื่อมในห้องทานอาหารที่อยู่ติดกับห้องครัว คนเป็นลูกชายยังคงรู้สึกคาใจกับประเด็นเมื่อช่วงบ่ายของวัน ท่าทางเขาไม่ค่อยจะพอใจนักกับการตัดสินใจของบิดา
“นั่นสิคะคุณเมฆ จากที่แม่ฟังลูกเล่ามา ทำไมคุณปกป้องเด็กคนนั้นจัง” หญิงสาวเลยวัยกลางคนไปหน่อยเอ่ยถามเสียงใส ใบหน้าสวยคมผิวน้ำผึ้งนิ่วเบาๆ ตามอารมณ์ไม่เข้าใจของตน
คนถูกถามหรือประมุขของบ้านยิ้มน้อยๆ กับอดีตที่หวนเข้ามาในห้วงความคิดของตนก่อนตอบ “ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วคุณบัว ว่าผมมีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่ง แล้วเขาก็มีลูกชายซึ่งลูกไอ้อาทิตย์ก็เหมือนลูกผมอีกคน”
คมเขี้ยวขมวดคิ้วฉับแล้วพูดน้ำเสียงห้วน “ผมว่าไม่น่าจะเป็นลูกชาย แค่หน้าก็สวยละ ไม่ต้องพูดถึงพฤติกรรม ชัดเจนขนาดนั้น”
คนเป็นพ่อโบกมือเป็นเชิงปัดทิ้งกับสิ่งที่ได้ยินพร้อมกับส่ายหน้าเหมือนว่าไม่ได้ใส่ใจกับประเด็นตรงนั้นแล้วตักข้าวเข้าปากหนึ่งคำ “เขาจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นลูกเพื่อนรักของป๋า รักมากด้วย ไม่มีเพื่อนคนนี้ก็ไม่มีครอบครัวเราอย่างทุกวันนี้”
คนเป็นลูกยังคงขมวดคิ้วและขมวดหนักกว่าเดิมแถมยังเพิ่มเติมความไม่เข้าใจให้กับตัวเอง ส่วนคุณบัวผู้เป็นศรีภรรยาเริ่มมีสีหน้าที่เข้าใจมากขึ้น
“คนนี้เองเหรอคะ” ประมุขของบ้านยิ้มอบอุ่นพร้อมพยักหน้า คนเป็นลูกยังคงอยู่ในหมวดสงสัยใคร่รู้ ยิ่งเห็นมารดาทำท่าว่าเข้าใจกับความคิดบิดาไปอีกคนก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“คนนี้? คนนี้อะไรกัน” คมเขี้ยวขมวดคิ้วเข้ม คนเป็นพ่อยิ้มกริ่มท่าทีอบอุ่น
“ที่ดินที่ป๋าให้แกดูแลอย่างดี เป็นของเด็กคนนี้แหละ” คมเขี้ยวเบิกตากว้าง มองหน้าคนเป็นพ่อด้วยความทึ่ง เมฆาพยักหน้ายืนยันเบาๆ เจ้าลูกชายหันหน้าตกตะลึงของตัวเองไปมองหน้ามารดาเพื่อขอคำยืนยัน พอคุณบัวยิ้มอ่อน กลับมา คมเขี้ยวก็รู้แล้วว่านี่มันคือเรื่องจริง
“เฮ้ยป๋า โลกจะกลมอะไรขนาดนั้นวะครับ” ผู้เป็นพ่อไหวไหล่ทั้งสองข้างแล้วถอนหายใจเบาๆ
“มันไม่ใช่โลกกลมหรอก แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นตามจังหวะเวลาของมัน…” คมเขี้ยวย่นคิ้ว เขายังคงมีความรู้สึกตะขิดตะขวงอยู่ในใจ เอาจริงๆ เหมือนยังไม่อยากยอมรับกับความจริงที่เพิ่งได้ยิน
“…รู้มั้ยเขี้ยว ที่ดินที่เราอยู่กันทุกวันนี้ ก็มาจากพ่อของเรียวจันทร์” เออ! ตะลึงอยู่ ได้ยินแบบนี้ก็อึ้งเข้าไปอีกสิครับ!
“โห บุญคุณเขาท่วมหัวเราขนาดนี้เลยเหรอ” เขาพูดน้ำเสียงเซ็ง ไม่ใช่จะเป็นคนเนรคุณหรอก แต่การที่ชีวิตเขาต้องไปพัวพันกับไอ้หน้าสวยนั่น มันไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา แค่เจอกันวันเดียวมันยังเปรี้ยวทำให้ม้าทั้งคอกเขาเกือบเยี่ยวราดมาแล้ว เกิดมันมาวุ่นวายวื่อวึงกับฟาร์มเขามากๆ ม้าเขาไม่ขี้แตกขี้แตนเอารึไง
“อาทิตย์มันให้ มันไม่เคยขออะไรตอบแทน ขอแค่ดูแลลูกมันด้วย”
“ทำไมอะ แล้วเขาไม่มีคนดูแลรึไง” เมฆาถอนหายใจ หันไปมองหน้าภรรยาตัวเองที่มีสีหน้าลำบากใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
“พ่อเล่าให้แม่ฟังว่า แม่ของเรียวจันทร์เป็นผู้ดีเก่า แต่ตกอับ ก็นานแล้วละ พอคลอดเรียวจันทร์เสร็จก็หนีไปกับสามีใหม่เลย” คมเขี้ยวทึ่งเข้าไปอีก ถลึงตาตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“โห เพื่อนป๋าเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวเหรอเนี่ย น้ำเน่าว่ะป๋า”
“มีน้ำเน่ากว่านั้นอีก” คมเขี้ยวเลิกคิ้วเข้มทั้งสองข้างขึ้นสีหน้าแสดงออกว่า ยังมีอีกเหรอ? ผู้เป็นพ่อพยักหน้าพร้อมกับบิดปากน้อยๆ
“ไอ้อาทิตย์ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของหนูเรียวจันทร์หรอก” คมเขี้ยวกลืนข้าวลงคอสีหน้ามึนงง
“อ้าว แล้วพ่อแท้ๆ เขาไปไหน” ทั้งป๋าทั้งแม่ต่างส่ายหน้าพร้อมกัน ทำเอาคนเป็นลูกหน้าเอ๋อไปอีก
“ไม่มีใครรู้ว่าพ่อเขาเป็นใคร ป๋าไม่อยากว่าผู้หญิงหรอกนะ แต่สมัยสาวๆ น่ะ แม่หนูเรียวควงผู้ชายเยอะมาก”
“อื้อหือ!” ชายหนุ่มผิวน้ำผึ้งจนเกือบคล้ำถึงกับสบถด้วยความอึ้งทึ่ง ไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องราวน้ำเน่าเหมือนละครไทยเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อนในชีวิตจริงของตัวเอง ใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ ได้ยินเรื่องน้ำเน่ามาพอสมควร แต่เรื่องนี้เน่าสุดแล้วมั้ง ผู้เป็นพ่อถอนหายใจแผ่วเบา หน้าตาหมองลงไปนิดเมื่อคิดถึงชีวิตของเพื่อนรักกับลูกเลี้ยง
“เอ้อ แกรู้เรื่องที่ดินแล้ว อย่าเพิ่งบอกใครนะ แม้กระทั่งเรียวจันทร์เองก็เถอะ”
“อ้าว ทำไมอะ เขาเป็นเจ้าของที่ดินไม่ใช่รึไง ให้เขาไปดิ” จะมาเก็บไว้ทำไม ในเมื่อเจ้าของมาแล้วก็ยกๆ ให้เขาไป ยิ่งเป็นไอ้เรียวจันทร์ยิ่งรีบๆ ให้ไปเถอะ ดีกว่ากั๊กมันไว้ใกล้ตัว เพราะเขากลัวความวินาศจะเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินเงินทองของทุกคนในฟาร์มจริงๆ
“ถ้าให้ง่ายๆ พ่อเขาจะเก็บเงียบมาทำไม ตอนแรกพ่อจะให้เขี้ยวไปตามหาเรียวจันทร์ด้วยซ้ำ เพื่อมาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่เผอิญตอนนี้มันมีบางอย่างทำให้พ่อเขายังไม่กล้ายกที่ดินให้เรียวจันทร์เขาไปดูแล” คมเขี้ยวหันไปมองหน้าแม่สลับกับมองหน้าพ่ออย่างงงๆ
“นี่เคยมีความคิดจะส่งผมให้ไปตามหาไอ้จันทร์นั่นด้วย” เขาทำหน้าทึ่งปนสยองหน่อยๆ แค่คิดว่าต้องไปตามติดชีวิตของไอ้หน้าหวาน เขาก็ขนลุกแล้ว
“ก็เออสิ ไอ้อาทิตย์มันบอกว่าถ้าหนูเรียวอายุยี่สิบห้าเมื่อไหร่ให้กลับมาจัดการเรื่องที่ดิน แต่พอมันมีคนจ้องจะเอาที่ดินตรงนั้นมากขึ้น ป๋าเลยคิดว่าควรเบรกไว้ก่อน” คมเขี้ยวหน้าตึงเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาไม่ได้โกรธแค้นแทนไอ้เรียวจันทร์ แต่เพราะเขาไม่ชอบไอ้พวกนายทุนต่างหาก
“ไอ้จอมทัพใช่มั้ย?!” ชายหนุ่มพูดเสียงห้วนสะบัด แววตามีแววเกลียดชังจางๆ
“นั่นก็ด้วย แต่มันก็มีอีก…” ประมุขของบ้านพยัคฆ์เกรียงไกรมีสีหน้าหน่ายใจและถอนหายใจแผ่วเบาตามมา
“…แต่ป๋ายังไม่แน่ใจข้อมูลนี้เท่าไหร่ แค่คิดว่าที่ไอ้อาทิตย์มันเคยพูดๆ ไว้น่าจะเป็นจริง” คิ้วเข้มของเจ้าของฟาร์มรูปหล่อขมวดเข้าหากันอีกครั้ง มันจะซ้ำซ้อนอะไรขนาดนั้นกันวะ
“ป๋า ชีวิตไอ้เรียวจันทร์ไรเนี่ย มันประเด็นเยอะไปแล้วมั้ง” เมฆาหัวเราะเสียงทุ้ม พอๆ กับคุณบัวที่หัวเราะอย่างพองามกับอาการไม่เข้าใจของลูกชาย
“เพียบ ใครว่าเรื่องน้ำเน่ามีแต่ในละคร อย่าดูถูกสังคมไทยไอ้เขี้ยว บางมุมที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยได้รับรู้ ใช่ว่ามันจะไม่มีอยู่จริง” คมเขี้ยวยักคิ้วหนึ่งที สีหน้ามึนไร้อารมณ์ร่วม พยักหน้าหงึกหงักไปเรื่อยพลางตักข้าวเข้าปากอีกคำ คือไม่ใช่ว่าไร้หัวใจหรอก แต่จะให้มานั่งสงสารก็ไม่รู้จะทำไปทำไม เพราะก็คงไม่ได้ทำให้ชีวิตไอ้หน้าหวานนั่นดีขึ้น
“เออ แล้วทำไมเพื่อนป๋าถึงยอมเลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่ลูกตัวเองอะ” คนถูกถามหันไปมองหน้าภรรยาแล้วเอื้อมมือไปจับมือหญิงสาวไว้พร้อมกับส่งยิ้มให้กันและกัน
“เพราะรักไง” คมเขี้ยวหน้าระอา ทำท่าจะอ้วกข้าวที่เพิ่งตักเข้าปากไปเป็นการแซวพ่อกับแม่ตนเอง
“โห่ป๋า พูดปกติผมก็เข้าใจละ ไม่ต้องแสดงก็ได้” คนเป็นพ่อกับแม่หัวเราะเบาๆ
“ได้ที่ไหน เขี้ยวยังไม่พาสาวคนไหนมาให้แม่รู้จักสักที หนูเอื้องก็น่ารักนะ ไม่รู้ทำไมเล่นตัวกับเขานัก” คนเป็นแม่เอ่ยแซวและพูดถึงหญิงสาวที่มาชอบลูกชายได้สักพักแล้ว แถมยังคอยเทียวไปเทียวมาบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้อ่อยจนเกินงาม
“ก็ดูๆ ไปก่อนแม่ รีบทำไมล่ะ อีกอย่างตอนนี้ผมก็มีความสุขดี” เขาไม่รีบ ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องรีบมีเมีย มีครอบครัวเป็นตัวเป็นตนขนาดนั้น ทุกวันนี้เขาไม่มีใคร เขาก็อยู่ได้ สบายใจดี ไม่คิดว่าตัวเองขาดอะไรไป นอกจากช่อเอื้องที่แม่เขากล่าวถึง ก็ยังมีผู้หญิงคนอื่นอีกที่คอยมาส่งสายตา คอยมาโปรยเสน่ห์ใส่ เขาก็ทำได้เพียงยิ้มรับ แต่ไม่คิดรับรักหรือความเสน่หาทั้งหลายเหล่านั้น มันเป็นเรื่องที่ดี แต่ในหัวเขาไม่คิดจะมีใครจริงๆ อาจเพราะพวกเธอยังไม่ใช่ไม่โดนใจมั้ง
“ได้ม้าเป็นเมียซะแล้วมั้ง” คนเป็นพ่อหัวเราะร่า เลยทำให้คนเป็นแม่หัวเราะตาม ส่วนคนเป็นลูกนั้นยิ้มหน่ายใจพร้อมโคลงหัวเบาๆ คำพูดไอ้เรียวจันทร์ที่ด่าเขาว่ามีเมียเป็นม้าพุ่งวาบเข้ามาในหัวทันที
“แหม่ป๋า ว่าไปนั่น ก็ผมโตมากับไอ้หงายแต่เด็กนี่” อยู่กับมันตั้งแต่มันคลอดออกมาจากท้องแม่มัน เวลาเหงาๆ ก็ไปเล่นกับมันเหมือนพวกคนรักหมารักแมวนั่นแหละ พอมันโตขึ้นเขาก็ช่วยคนงานของพ่อฝึกมัน จนทุกวันนี้มันเป็นม้าเบอร์หนึ่งของฟาร์มเลยก็ว่าได้
“เออ ระวังเหอะ ไม่ได้ม้าเป็นเมีย ก็ได้เมียพยศเหมือนม้านี่แหละ” ทั้งสามคนยิ้มขบขัน เมฆามองหน้าลูกชายแล้วยิ้ม มันมีแฟนคนเดียว คบกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย จนกระทั่งขึ้นมหาวิทยาลัยแล้วก็เลิกรากันไปก่อนจบ ฝ่ายหญิงน่ะแต่งงานมีลูกไปนานแล้ว แต่ไอ้เจ้าลูกชายเขาสิ ยังโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นชายโสดอยู่เลย แต่เขาก็ไม่เคยคิดไปเร่งเร้าหรือบังคับเรื่องนี้กับลูกมันหรอก เพราะสำหรับเขาแล้ว เรื่องหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ เขารู้ดี
คุณบัวเองก็เช่นกัน หล่อนไม่เคยคิดบังคับลูกชายเรื่องนี้ แต่ก็แอบหวังอยากเห็นลูกชายมีชีวิตชีวาจากความรักบ้าง ทุกวันนี้ลูกชายหล่อนมีความสุขกับการทำงานเหลือเกิน แต่มันจะไปเหมือนกันได้อย่างไร หล่อนอยากเห็นลูกชายมีความสุขเพราะมีใครข้างกายสักคน แล้วก็แอบอยากเห็นลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาอยู่เหมือนกัน แต่ที่สุดแล้ว หล่อนปล่อยให้เป็นเรื่องของหัวใจลูกชายตัวเองดีกว่า เพราะคมเขี้ยวเป็นเด็กดีมาตลอด มีเรื่องให้ผิดหวังบ้างแต่ก็เล็กน้อย ไม่ได้ใหญ่โต เรื่องดีๆ ที่ลูกชายหล่อนทำมีให้ภูมิใจมากกว่า
“เอ้อ แล้วทำไมป๋าถึงไปตั้งชื่อลูกเขาได้อะ แถมยังตั้งซะผู้ยิ้งผู้หญิง” คมเขี้ยวอดสงสัยกับประเด็นนี้ไม่ได้ ถึงไอ้นั่นมันจะไม่ได้เป็นชายชาตรีเต็มร้อย แต่ถ้าพูดแค่ชื่อใครก็ต้องคิดว่าเป็นผู้หญิงนั่นแหละ
“ก็ไอ้อาทิตย์มันคิดชื่อลูกไม่ออก มันรับหนูเรียวจันทร์มาอยู่ด้วยกะทันหัน ตอนแรกเรียกตาหนูๆ จนเรียวจันทร์ได้ขวบสองขวบเนี่ยแหละ หนูเรียวก็มีชื่อเพราะป๋าตั้งให้ แล้วอาทิตย์มันก็ยกเรียวจันทร์ให้เป็นลูกป๋าอีกคน”
“ก็เท่ากับว่าเขาเป็นน้องชายเราน่ะแหละเขี้ยว ชื่อเรียวจันทร์พ่อเขาก็ตั้งมาให้คล้องจองกับเรา” มารดาของเขาเสริมขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น คนเป็นลูกชายขมวดคิ้วนิดหน่อย ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ดูรักและเอ็นดูไอ้ออกสาวนั่นขนาดนี้ ก็รู้แหละว่ามีบุญคุณ แต่ทำอย่างกับคลอดมันออกมาอีกคนงั้นอะ
“น้องชาย? ไม่มั้ง ผมว่าแม่งไม่แมน”
“ก็ไม่แปลกใจ ไอ้อาทิตย์ชอบจับหนูเรียวแต่งตัวเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ มันบอกลูกมันสวย” เมฆาหัวเราะเสียงทุ้มเมื่อนึกถึงอดีตกับเพื่อนสนิท
“แล้วเขาจะเป็นยังไงก็ปล่อยเขา ชีวิตเขาเศร้าพอแล้ว อย่าไปทำลายตัวตนเขาเลย” คมเขี้ยวพยักหน้าน้อยๆ หน้าตาไม่ได้ยินดียินร้ายเท่าไหร่ จะเป็นอะไรก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขาหรอก ขอแค่อย่ามาสร้างความวินาศให้เขาอีก
“เอ้อ แล้วพ่อเขาไปไหนอะ” เมฆาหันไปมองหน้าภรรยาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะถอนหายใจแผ่ว
“พ่อ วันนี้เรียวไปเจอเพื่อนพ่อมาด้วยนะ บังเอิญมากเลยอะ ไม่คิดว่าจะเจอกัน พ่อไปนัดแนะอะไรกับเขามาก่อนรึเปล่าเนี่ย…” รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นใบหน้าสวยเมื่อได้พูดกับผู้เป็นพ่อผู้เป็นที่รัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสุกใสเหมือนกวางน้อยอ่อนแสงลงเมื่อยามมองหน้าบิดา
“…เพราะความบ้าของเรียวแท้ๆ ที่ทำให้เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ ใครจะคิดว่าเพื่อนพ่อจะอยู่ที่นั่น เรียวจำไม่ค่อยได้หรอกนะ ว่าจริงๆ เคยไปที่ฟาร์มนั้นหรือเปล่า เพราะมันก็นานมากแล้วเนอะ” เรียวจันทร์หยุดยิ้มแล้วมองหน้าบิดาตัวเองด้วยสายตาอ่อนโยนผสมกับความคิดถึง
“เรียวไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยพ่อ แต่คิดว่านี่คือวิธีที่น่าจะดีแล้ว เรียวมีเงินก็จริง แต่ไม่มากมายที่จะใช้หนี้ให้แม่เยอะขนาดนั้น เรียวอยากทิ้งเขา แต่เพราะพ่อบอกว่ายังไงเขาก็คือแม่ เรียวก็จำคำพ่อมาตลอด…” น้ำตารื้นขึ้นมาตรงขอบตาคู่สวยทั้งสองข้าง ความเหงา ความเหนื่อยล้าเกาะกุมหัวใจดวงน้อย
“…แต่เรียวเหนื่อยจังพ่อจ๋า แม่ไม่เคยหยุดเลย เรียวอยากปล่อยให้เขาไปตามทางของเขาแล้ว เขาไม่เคยให้กำลังใจเรียว มีแต่เหยียบย่ำซ้ำเติมด้วยการเพิ่มเติมปัญหา” มือบางนุ่มนิ่มยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้มอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากสีชมพูสั่นน้อยๆ ยามเปล่งเสียงพูดออกมา ใบหน้าสวยประหนึ่งหญิงสาวหมองลงด้วยความเศร้า
“เรียวคิดถึงพ่อ เรียวอยากให้พ่ออยู่ด้วยกันตอนนี้” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ร่างบางก็เหมือนได้ปลดเปลื้องความเข้มแข็งทุกอย่างที่ห่อหุ้มตัวเองอยู่ ลึกๆ เรียวจันทร์รู้ว่าตัวเองอ่อนแอและเหนื่อยล้ามากแค่ไหน นางแค่ต้องการกำลังใจจากคนสำคัญอย่างพ่อตัวเอง แม้จะไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่พ่ออาทิตย์ก็เลี้ยงดูนางมาอย่างดี แต่ว่าตอนนี้พ่อไม่อยู่แล้ว
พ่อจากไปแล้ว จากไปเมื่อสองปีก่อน เหตุผลที่นางต้องกลับมาอยู่ไทยก็เพราะพ่อกำลังจะจากไป กลับมาเพื่อดูแลพ่อในช่วงสุดท้ายของชีวิต
“ฮึก… เรียวคิดถึงอ้อมกอดของพ่อ” เรียวจันทร์ดึงกรอบรูปพ่อที่ตั้งอยู่ข้างโกศเก็บอัฐิของพ่อมากอดไว้แนบอกแล้วก้มหน้าลงร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาหยดแหมะลงบนกรอบกระจกของรูป หนึ่งหยดของน้ำตาไหลผ่านแก้มรูปบิดาของเรียวจันทร์ราวกับผู้เป็นพ่อนั้นร้องไห้ไปกับลูกชายสุดที่รักด้วย
ป้าอุ่นกำลังเดินตามหาคุณหนูของตัวเอง พอได้ยินเสียงร้องไห้เธอก็รีบเดินเข้าไปในห้องนอนของคุณผู้ชาย เห็นเรียวจันทร์นั่งกอดรูปพ่อตัวเองอยู่บนของเตียงแล้วก็นึกเวทนา ด้วยความที่เธอเองก็ช่วยคุณผู้ชายเลี้ยงคุณหนูมา เมื่อเห็นภาพว้าเหว่นั้นจึงน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“คุณเรียว…” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบา เจ้าของนามเงยดวงหน้าขึ้นมามอง น้ำตานองหน้าสวยหวานเกินชายของเรียวจันทร์ ป้าอุ่นยิ้มน้อยๆ ใจหนึ่งนึกสงสาร อีกใจก็ชวนให้นึกถึงคุณหนูเรียวจันทร์ในวัยเด็กยามร้องไห้น้ำตาเปรอะเปื้อนแก้มยุ้ยแล้วมีคุณพ่อคอยกอดปลอดใจ แต่ยามนี้คุณหนูของเธอไม่มีใครกอดปลอบโยน เธอทำก็คงเทียบไม่เท่ากับคุณผู้ชายหรอก
“ไม่เป็นไรป้าอุ่น มันแค่วูบเดียวเท่านั้น” เรียวจันทร์ไม่ชอบให้ใครมาปลอบใจ (ยกเว้นพ่อ) เพราะคุณหนูของเธอไม่ชอบให้ใครมาสงสาร ไม่ชอบให้ใครมาปลอบโยน น้อยครั้งนักที่คนๆ นี้จะแสดงความอ่อนแอออกมา แม้จะเหนื่อย จะล้า จะเจ็บยังไง ไม่ว่ากับเรื่องอะไร เรียวจันทร์จะซ่อนมันไว้และสลัดมันทิ้งออกไปได้อย่างดีเสมอ
“ไปทานข้าวกันนะคะ ป้าเตรียมไว้ให้แล้ว” เรียวจันทร์หยุดสะอื้น พยักหน้ารับเบาๆ วางรูปพ่อลงบนโต๊ะข้างเตียง ลุกขึ้นยืนแล้วใช้สองมือเช็ดน้ำตาจนหมดไปจากแก้ม สูดลมหายใจเข้าปอดหนึ่งที ปรับสีหน้าให้มั่นใจตามเดิม ปรับท่าทีให้กลับมาฮึดอีกครั้ง สองเท้าก้าวเดินออกจากห้องนอนบิดานำป้าอุ่นออกไป
“แล้วเขาไปไหนล่ะ” เรียวจันทร์ถามถึงแม่ตัวเองหลังจากนั่งลงบนโต๊ะทานอาหารเล็กๆ ในห้องครัว นางไม่ชอบนั่งโต๊ะใหญ่ๆ แต่นั่งกินข้าวอยู่แค่คนเดียว เลยชอบมานั่งกินอาหารกับพวกป้าอุ่นในครัวแทน
“ออกไปไหนก็ไม่รู้ค่ะ เห็นมีเพื่อนมารับ” เรียวจันทร์พยักหน้าขอไปที ไม่ได้สนใจที่จะสอบถามจริงจัง
“ไปไหนก็ไปเถอะ แค่อย่าไปสร้างหนี้ให้อีกก็แล้วกัน” ไม่รู้จะออกงาน ออกเที่ยวกับเพื่อนอะไรนักหนา หวงนักกับหน้าตาทางสังคมเนี่ย
“คงยากค่ะที่จะให้เธอปล่อยวางเกียรติยศที่ตระกูลสั่งสมมานาน” เรียวจันทร์เบ้ปาก โบกมือปัดไล่ราวกับมีแมลงวันมาตอมอยู่แถวหน้า นางไม่คิดอยากจะฟังความเลิศเลอของต้นตระกูลผู้หยิ่งทระนงและสูงศักดิ์ของแม่ที่ตอนนี้ล่มสลายหายไปพร้อมกับยุคเมโสโปเตเมีย
“ทานข้าวกันเถอะป้าอุ่น เรียกลุงกับแก๊ปมากินเร็ว” ก่อนหน้านี้ทั้งสามคนไม่กล้ามานั่งกินด้วยหรอก เพราะเกรงใจในความเป็นเจ้านาย แต่เรียวจันทร์เอ่ยปากว่าอย่ามาแบ่งชนชั้นใดๆ กับนาง เพราะนางไม่เคยคิดแบ่งกับใคร หลังๆ มาทั้งสามคนจึงมานั่งทานข้าวกับหนุ่มนายแบบได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
ก็คงจะมีสามคนนี้แหละที่ทำให้เรียวจันทร์รู้สึกว่าตัวเองก็มีครอบครัวกับใครเขาบ้าง